‘จงระวังเชื้อแห่งพวกฟาริซายและพวกซาดูกายให้ดี’
คราวที่พระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านี้เมื่อ 1,900 กว่าปีมาแล้ว พระองค์ทรงเตือนให้เหล่าสาวกของพระองค์ตื่นตัวต่อคำสอนและกิจปฏิบัติทางศาสนาที่เป็นอันตราย. (มัดธาย 16:6, 12) บันทึกที่มาระโก 8:15 ชี้เฉพาะว่า ‘จงระวังเชื้อของพวกฟาริซายและเชื้อของเฮโรดให้ดี.’ เหตุใดจึงกล่าวถึงเฮโรด? ก็เพราะพวกซาดูกายบางคนเป็นพวกเฮโรเดียน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง.
ทำไมจึงจำเป็นต้องมีคำเตือนโดยเฉพาะเช่นนั้น? ทั้งพวกฟาริซายและพวกซาดูกายเป็นปฏิปักษ์กับพระเยซูอย่างเปิดเผยมิใช่หรือ? (มัดธาย 16:21; โยฮัน 11:45-50) ใช่แล้ว. แต่ต่อมาพวกเขาบางคนได้ยอมรับศาสนาคริสเตียนแล้วพยายามยัดเยียดแนวความคิดของเขาแก่ประชาคมคริสเตียน.—กิจการ 15:5.
นอกจากนั้น ยังมีอันตรายที่เหล่าสาวกเองอาจเลียนแบบพวกผู้นำศาสนาเหล่านั้นซึ่งพวกสาวกเคยถูกเลี้ยงดูภายใต้อิทธิพลของพวกเขา. บางครั้ง แค่การมาจากภูมิหลังเช่นนั้นก็เป็นอุปสรรคแก่การที่พวกเขาจะเข้าใจความหมายคำสอนของพระเยซู.
อะไรทำให้ลัทธิฟาริซายและลัทธิซาดูกายเป็นอันตรายเช่นนั้น? การมองดูสภาพการณ์ด้านศาสนาในสมัยพระเยซูจะทำให้เราเข้าใจ.
การแตกแยกทางศาสนา
นักประวัติศาสตร์ แมกซ์ เรดิน เขียนเกี่ยวกับชุมชนชาวยิวระหว่างศตวรรษแรกสากลศักราชดังนี้: “การที่ประชาคมชาวยิวเป็นเอกเทศจากกันนั้นเป็นเรื่องจริง และพวกเขายืนกรานเช่นนั้นด้วยซ้ำ. . . . บ่อยครั้ง เมื่อมีการเน้นอย่างหนักแน่นยิ่งในเรื่องความเคารพต่อพระวิหารและกรุงบริสุทธิ์นั้น ก็จะมีการแสดงการหมิ่นประมาทอย่างแรงต่อผู้ที่ในเวลานั้นมีอำนาจปกครองสูงสุดในมาตุภูมิ.”
ช่างเป็นสภาพฝ่ายวิญญาณที่น่าเศร้าจริง ๆ! มีปัจจัยอะไรบ้างที่สนับสนุน? ไม่ใช่ชาวยิวทั้งหมดอาศัยในปาเลสไตน์. อิทธิพลของวัฒนธรรมกรีก ซึ่งถือว่าพวกปุโรหิตไม่ใช่ผู้นำชุมชน ได้มีส่วนส่งเสริมการเสื่อมความเคารพต่อการจัดเตรียมของพระยะโฮวาในเรื่องตำแหน่งปุโรหิต. (เอ็กโซโด 28:29; 40:12-15) และที่ไม่ควรมองข้ามก็คือพวกฆราวาสและพวกอาลักษณ์ที่มีการศึกษา.
พวกฟาริซาย
ชื่อฟาริซาย หรือเพรูชิมʹ ดูเหมือนหมายความว่า “กลุ่มคนที่แยกต่างหาก.” พวกฟาริซายถือว่าตนเป็นสาวกของโมเซ. พวกเขาตั้งสังคมพี่น้องหรือสมาคม (ฮีบรู, ชาบูราฮ์ʹ) ของพวกเขาเองขึ้นมา. เพื่อได้รับการยอมรับเป็นสมาชิก คนนั้นต้องสาบานต่อหน้าสมาชิกสามคนว่าจะปฏิบัติตามบัญญัติแห่งความบริสุทธิ์อย่างเคร่งครัด, หลีกเว้นการคบหาใกล้ชิดกับพวกอัมฮาอาʹเร็ตส์ (ฝูงชนที่ไร้การศึกษา), และจ่ายส่วนสิบชักหนึ่งอย่างเคร่งครัดถี่ถ้วน. มาระโก 2:16 กล่าวถึง “ฝ่ายอาลักษณ์แห่งพวกฟาริซาย.” พวกฟาริซายบางคนเป็นอาลักษณ์และอาจารย์โดยอาชีพ ขณะที่คนอื่น ๆ เป็นฆราวาส.—มัดธาย 23:1-7.
พวกฟาริซายเชื่อพระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่ทั่วทุกแห่ง. พวกเขาอ้างเหตุผลว่า เนื่องจาก “พระเจ้าทรงสถิตทุกหนทุกแห่ง จึงสามารถนมัสการพระองค์ได้ทั้งในและนอกพระวิหาร และไม่ต้องวิงวอนโดยใช้เครื่องบูชาเท่านั้น. ดังนั้น พวกเขาจึงส่งเสริมให้ธรรมศาลาเป็นสถานนมัสการ, ศึกษา, และอธิษฐาน และยกระดับให้ธรรมศาลาเป็นศูนย์กลางและสถานที่สำคัญในชีวิตผู้คนเทียบเท่ากับพระวิหาร.”—สารานุกรมจูไดกา.
พวกฟาริซายขาดความหยั่งรู้ค่าต่อพระวิหารของพระยะโฮวา. เรื่องนี้เห็นได้จากคำตรัสของพระเยซูที่ว่า “วิบัติแก่เจ้าคนนำทางตาบอด, ซึ่งสอนว่า, ‘ผู้ใดจะสาบานต่อโบสถ์ก็เป็นคำลอย ๆ, แต่ผู้ใดจะสาบานต่อทองคำของโบสถ์ผู้นั้นจะต้องเป็นไปตามคำสาบาน.’ โอคนโฉดเขลาและคนตาบอด สิ่งอะไรจะใหญ่กว่า, ทองคำหรือ, หรือโบสถ์ซึ่งกระทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์? และว่า, ‘ผู้ใดจะสาบานต่อแท่นก็เป็นคำลอย ๆ, แต่ผู้ใดจะสาบานต่อของที่ตั้งถวายบนแท่นนั้นผู้นั้นจะต้องเป็นไปตามคำสาบาน.’ โอคนตาบอด สิ่งอะไรจะใหญ่กว่า, ของถวายหรือ, หรือแท่นที่กระทำให้ของถวายนั้นศักดิ์สิทธิ์? เหตุฉะนี้ผู้ใดจะสาบานต่อแท่น, ก็สาบานต่อแท่นและสิ่งสารพัตรซึ่งอยู่บนแท่นนั้นด้วย.”—มัดธาย 23:16-20.
พวกฟาริซายกลายเป็นพวกกลับกลอกบิดเบือนในการหาเหตุผลถึงขนาดนั้นได้อย่างไร? พวกเขามองข้ามอะไรไป? ขอสังเกตสิ่งที่พระเยซูตรัสต่อไป. “ผู้ใดจะสาบานต่อโบสถ์, ก็สาบานต่อโบสถ์และต่อพระองค์ผู้สถิต ในโบสถ์นั้นด้วย.” (มัดธาย 23:21) เกี่ยวเนื่องกับข้อนี้ ผู้คงแก่เรียน อี. พี. แซนเดอร์ส ให้ข้อสังเกตว่า “พระวิหารเป็นที่บริสุทธิ์ไม่เพียงเพราะมีการนมัสการพระเจ้าองค์บริสุทธิ์ที่นั่นเท่านั้น แต่เนื่องจากพระองค์ทรงสถิต ที่นั่นด้วย.” (ลัทธิยูดา: กิจปฏิบัติและความเชื่อ ปี 63 ก่อนสากลศักราช—ปีสากลศักราช 66, ภาษาอังกฤษ) แต่การที่พระยะโฮวาประทับเฉพาะที่คงไม่ค่อยสำคัญเท่าไรนักสำหรับผู้ที่คิดว่าพระองค์ทรงสถิตในทุกหนทุกแห่ง.
นอกจากนี้ พวกฟาริซายเชื่อเรื่องการกำหนดล่วงหน้าควบคู่กับเจตจำนงเสรีด้วย. พูดอีกอย่างคือ “ทุกสิ่งถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า แต่ก็ให้เสรีภาพในการเลือก.” กระนั้นก็ตาม พวกเขาเชื่อว่าอาดามและฮาวาถูกกำหนดล่วงหน้าให้ทำบาป และเชื่อว่า แม้แต่แผลเล็ก ๆ บนนิ้วมือก็ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า.
พระเยซูอาจคิดถึงความคิดผิด ๆ เช่นนั้นเมื่อพระองค์ตรัสถึงหอรบที่พังลงซึ่งทำให้ 18 คนตาย. พระองค์ตรัสดังนี้: “ท่านทั้งหลายคิดว่าเขาเป็นคนบาปยิ่งกว่าคนทั้งปวงที่อาศัยในกรุงยะรูซาเลมหรือ?” (ลูกา 13:4) ดังที่เป็นจริงในอุบัติเหตุส่วนใหญ่ นี่คือผลของ “วาระและเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดล่วงหน้า” ไม่ใช่โชคชะตาที่กำหนดล่วงหน้าดังที่พวกฟาริซายสอน. (ท่านผู้ประกาศ 9:11, ล.ม.) ผู้ที่คิดเอาว่ามีความรู้เหล่านั้นจะดำเนินการอย่างไรกับคำบัญชาตามหลักพระคัมภีร์?
พวกเขาเป็นนักปฏิรูปทางศาสนา
พวกฟาริซายยืนยันว่า จำต้องมีการตีความคำบัญชาต่าง ๆ ในพระคัมภีร์โดยพวกอาจารย์ศาสนายิวของแต่ละชั่วอายุให้ประสานกับความรู้ใหม่สุดที่มีอยู่. ดังนั้น สารานุกรมจูไดกา จึงบอกว่า พวกเขา “ไม่มีความยุ่งยากมากมายอะไรในการประสานคำสอนในโทราฮ์กับแนวความคิดใหม่ ๆ ของเขา หรือในการพบแนวความคิดของพวกเขาแฝงอยู่หรือบอกเป็นนัยไว้ในถ้อยคำของโทราฮ์.”
เกี่ยวด้วยวันไถ่โทษประจำปี พวกเขาย้ายอำนาจการไถ่บาปจากมหาปุโรหิตมาเป็นของวันนั้นเอง. (เลวีติโก 16:30, 33) ณ การฉลองปัศคา พวกเขาให้ความสำคัญแก่การอ่านบทเรียนจากบันทึกในพระธรรมเอ็กโซโดในขณะดื่มเหล้าองุ่นและกินขนมมาตโซยิ่งกว่าที่ให้แก่ลูกแกะปัศคา.
ต่อมา พวกฟาริซายมีอิทธิพลในพระวิหาร. ดังนั้น พวกเขาจึงตั้งการจัดขบวนแห่ซึ่งเกี่ยวข้องกับการนำน้ำจากสระซีโลอามและการถวายน้ำนั้นเป็นเครื่องบูชาดื่มในช่วงเทศกาลเลี้ยงฉลองการเก็บผล, รวมทั้งการฟาดกิ่งวิลโลว์บนแท่นบูชาในตอนสิ้นสุดเทศกาล, และการอธิษฐานเป็นประจำทุกวันซึ่งไม่เคยมีพื้นฐานในพระบัญญัติ.
สารานุกรม เดอะ จิววิช กล่าวว่า “ที่มีความหมายเป็นพิเศษ” คือ “การปฏิรูปใหม่ของพวกฟาริซายอันเกี่ยวเนื่องกับวันซะบาโต.” มีการคาดหมายให้ภรรยาต้อนรับวันซะบาโตด้วยการจุดตะเกียง. หากดูเหมือนว่ากิจกรรมบางอย่างอาจทำให้มีการใช้แรงงานอย่างผิดพระบัญญัติ พวกฟาริซายก็ห้ามกิจกรรมนั้น. พวกเขากระทั่งทำถึงขนาดที่ควบคุมการรักษาเยียวยาและแสดงความเดือดดาลต่อการที่พระเยซูทรงรักษาโรคด้วยการอัศจรรย์ในวันซะบาโต. (มัดธาย 12:9-14; โยฮัน 5:1-16) กระนั้น พวกนักปฏิรูปศาสนาเหล่านี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่การตั้งข้อกำหนดใหม่ ๆ ขึ้นเพื่อพยายามสร้างรั้วป้องกันบัญญัติต่าง ๆ ตามหลักพระคัมภีร์.
การยกเลิก
พวกฟาริซายอ้างสิทธิ์ในการเลิกใช้ชั่วคราวหรือการยกเลิกบัญญัติในพระคัมภีร์. เหตุผลของพวกเขามีแสดงไว้ในหลักพื้นฐานของทัลมุดดังนี้: “การที่บัญญัติข้อเดียวถูกยกเลิกก็ดีกว่าโทราฮ์ทั้งหมดถูกลืม.” กรณีตัวอย่างคือ การเลิกปีจูบิลีโดยอาศัยเหตุผลว่า เพราะความกลัวจะสูญเสียสิทธิเรียกร้องเมื่อใกล้จะถึงปีจูบิลี จะไม่มีใครให้คนจนยืมเงิน.—เลวีติโกบท 25.
ตัวอย่างอื่น ๆ ได้แก่การยกเลิกการทดสอบผู้หญิงที่ถูกสงสัยว่าได้เล่นชู้และในกรณีที่มีการฆ่าคนตายโดยไม่รู้ตัวผู้ฆ่า, การยับยั้งกระบวนการไถ่ถอนความผิด. (อาฤธโม 5:11-31; พระบัญญัติ 21:1-9) ไม่เร็วก็ช้า พวกฟาริซายคงจะยกเลิกข้อเรียกร้องในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการจัดเตรียมสำหรับบิดามารดาที่ขัดสน.—เอ็กโซโด 20:12; มัดธาย 15:3-6.
พระเยซูทรงเตือนดังนี้: “จงระวังเชื้อของพวกฟาริซายซึ่งเป็นความหน้าซื่อใจคด.” (ลูกา 12:1) ลัทธิฟาริซาย ซึ่งมีเจตคติที่ไม่เป็นไปตามระบอบของพระเจ้า เป็นแต่การหน้าซื่อใจคดอย่างแน่ชัด เป็นสิ่งที่ไม่พึงนำเข้ามาในประชาคมคริสเตียนอย่างแน่นอน. กระนั้นก็ตาม หนังสืออ้างอิงต่าง ๆ ของชาวยิวกล่าวถึงพวกฟาริซายในแง่ที่เห็นด้วยมากกว่าพวกซาดูกาย. ตอนนี้ขอให้เราพิจารณากลุ่มนี้ซึ่งอนุรักษ์นิยมยิ่งกว่า.
พวกซาดูกาย
เป็นไปได้ว่าชื่อซาดูกายเอามาจากชื่อซาโดค ปุโรหิตใหญ่ในสมัยของซะโลโม. (1 กษัตริย์ 2:35, เชิงอรรถ) พวกซาดูกายจัดตั้งพรรคอนุรักษ์นิยมที่แสดงถึงผลประโยชน์ต่าง ๆ ของพระวิหารและตำแหน่งปุโรหิต. ไม่เหมือนพวกฟาริซายซึ่งอ้างสิทธิ์โดยอาศัยการเป็นผู้รู้และมีความเลื่อมใส พวกซาดูกายอ้างอภิสิทธิ์โดยอาศัยลำดับวงศ์ตระกูลและตำแหน่งของตน. พวกเขาคัดค้านการปฏิรูปของพวกฟาริซายจนถึงเวลาที่พระวิหารถูกทำลายในปีสากลศักราช 70.
นอกจากปฏิเสธเรื่องการกำหนดล่วงหน้าแล้ว พวกซาดูกายไม่ยอมรับคำสอนใด ๆ ที่ไม่มีกล่าวไว้อย่างชัดแจ้งในเพนทาทุก ไม่ว่าจะมีการกล่าวคำสอนนั้นในที่อื่นในพระคำของพระเจ้า. แท้จริง พวกเขา “ถือว่าเป็นการดีที่จะถกเถียงกัน” ในเรื่องเหล่านี้. (สารานุกรม เดอะ จิววิช) เรื่องนี้ทำให้ระลึกถึงคราวเมื่อพวกเขาท้าทายพระเยซูเกี่ยวกับการกลับเป็นขึ้นจากตาย.
โดยยกตัวอย่างหญิงม่ายที่มีสามีเจ็ดคน พวกซาดูกายทูลถามว่า “ในวันที่เป็นขึ้นมาจากความตาย. หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของผู้ใดในเจ็ดคนนั้น?” แน่ละ หญิงม่ายที่พวกเขาสมมุติขึ้นมานั้นอาจเคยมีสามีถึง 14 หรือ 21 คนก็ได้. พระเยซูทรงชี้แจงดังนี้ “เมื่อเป็นขึ้นมาจากความตายนั้นจะไม่มีการสมรสหรือยกให้เป็นสามีภรรยากันอีก.”—มัดธาย 22:23-30.
ด้วยทรงทราบดีว่าพวกซาดูกายไม่ยอมรับผู้จารึกที่ได้รับการดลใจคนอื่น ๆ นอกจากโมเซ พระเยซูทรงพิสูจน์ประเด็นของพระองค์โดยยกข้อความจากเพนทาทุกมากล่าว. พระองค์ตรัสดังนี้: “เรื่องคนซึ่งตายแล้วที่เขาจะเป็นขึ้นอีกนั้น, ท่านทั้งหลายยังไม่ได้อ่านคัมภีร์ของโมเซหรือ, ซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้แก่โมเซที่ต้นไม้นั้นว่า, เราเป็นพระเจ้าของอับราฮาม, พระเจ้าของยิศฮาค, และพระเจ้าของยาโคบ? พระองค์มิได้เป็นพระเจ้าของคนตาย, แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น.”—มาระโก 12:26, 27.
ผู้กดขี่ข่มเหงพระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์
พวกซาดูกายเชื่อในการใช้ศิลปะการบริหารประเทศเพื่อดำเนินการกับชาติอื่น ๆ แทนที่จะรอคอยมาซีฮาถ้าพวกเขาเชื่อในการเสด็จมาของพระองค์จริง ๆ. ภายใต้ข้อตกลงกับโรม พวกเขาดำเนินงานพระวิหารและไม่ต้องการให้มีมาซีฮาไม่ว่าคนใดมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ. โดยเห็นว่าพระเยซูเป็นอันตรายต่อตำแหน่งฐานะของตน พวกเขาจึงรวมกำลังกับพวกฟาริซายเพื่อวางแผนสังหารพระองค์.—มัดธาย 26:59-66; โยฮัน 11:45-50.
โดยมีจุดมุ่งหมายด้านการเมือง พวกซาดูกายจึงมีเหตุผลจะแสดงความภักดีต่อโรมและตะโกนว่า “กษัตริย์ของพวกเราไม่มีเว้นแต่กายะซา.” (โยฮัน 19:6, 12-15) หลังพระเยซูสิ้นพระชนม์และคืนพระชนม์ ก็เป็นพวกซาดูกายนั่นแหละที่นำหน้าในการพยายามจะยับยั้งการขยายตัวของศาสนาคริสเตียน. (กิจการ 4:1-23; 5:17-42; 9:14) ภายหลังการทำลายพระวิหารในปีสากลศักราช 70 พวกนี้ไม่มีเหลืออยู่เลย.
ความจำเป็นต้องเฝ้าระวังอยู่เสมอ
คำเตือนของพระเยซูช่างเหมาะสมเสียจริง ๆ! ใช่แล้ว เราจำเป็นต้อง ‘ระวังเชื้อแห่งพวกฟาริซายและพวกซาดูกายให้ดี.’ คนเราเพียงแต่สังเกตผลชั่วของพวกเขาทั้งในชนชาติยิวและในคริสต์ศาสนจักรสมัยนี้ ก็จะเห็นว่าเป็นเช่นนั้นจริง.
แต่ในทางตรงข้ามโดยสิ้นเชิง คริสเตียนผู้ปกครองที่มีคุณวุฒิในกว่า 75,500 ประชาคมแห่งพยานพระยะโฮวาทั่วโลก ‘เอาใจใส่ตนเองและต่อคำสอนของตนอยู่เสมอ.’ (1 ติโมเธียว 4:16) พวกเขายอมรับคัมภีร์ไบเบิลทั้งหมดว่ามีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า. (2 ติโมเธียว 3:16) แทนที่จะเป็นคนชอบปฏิรูปและส่งเสริมกระบวนการทางศาสนาของตนเอง พวกเขาทำงานเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันภายใต้การชี้นำขององค์การตามหลักคัมภีร์ไบเบิลซึ่งใช้วารสารนี้เป็นเครื่องมือหลักในการสอน.—มัดธาย 24:45-47.
ผลนะหรือ? ผู้คนหลายล้านทั่วโลกกำลังถูกยกระดับฝ่ายวิญญาณขึ้นเมื่อพวกเขามาเข้าใจคัมภีร์ไบเบิล, ใช้คัมภีร์ไบเบิลในการดำเนินชีวิตของตน, และสอนคัมภีร์ไบเบิลแก่ผู้อื่น. เพื่อจะเห็นว่าสิ่งนี้กำลังสัมฤทธิผลอย่างไร เชิญไปเยือนประชาคมแห่งพยานพระยะโฮวาที่ใกล้ที่สุด หรือเขียนถึงผู้จัดพิมพ์วารสารนี้.
[กรอบหน้า 26]
พระเยซูทรงคำนึงถึงผู้ที่ฟังพระองค์
พระเยซูคริสต์ทรงสอนอย่างชัดเจน โดยคำนึงถึงแนวความคิดของผู้ที่ฟังพระองค์. ยกตัวอย่าง พระองค์ทรงทำเช่นนี้เมื่อพระองค์ตรัสกับฟาริซายชื่อนิโกเดโมเกี่ยวด้วยเรื่องการ “บังเกิด” ใหม่. นิโกเดโมทูลถามว่า “คนชราแล้วจะบังเกิดอย่างไรได้? จะเข้าในครรภ์มารดาครั้งที่สองและบังเกิดได้หรือ?” (โยฮัน 3:1-5) ทำไมนิโกเดโมจึงรู้สึกยุ่งยากเช่นนั้น ในเมื่อพวกฟาริซายเชื่อว่าการเกิดใหม่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเปลี่ยนมาถือลัทธิยูดาย และคำกล่าวของอาจารย์ศาสนายิวเปรียบผู้ที่เพิ่งเปลี่ยนมาถือลัทธิยูดายว่าเหมือน “เด็กเกิดใหม่”?
คำอธิบายพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่จากทัลมุดและเฮบรายกา (ภาษาอังกฤษ) โดยจอห์น ไลต์ฟุต ให้ความเข้าใจดังนี้: “ทัศนะโดยทั่วไปของชาวยิวในเรื่องคุณสมบัติของชาวยิศราเอล . . . ยังคงฝังแน่นในจิตใจของฟาริซายผู้นี้” ซึ่งไม่อาจ “ขจัดอคติที่มีแต่แรกได้ง่าย ๆ . . . ‘เนื่องจากชาวยิศราเอล . . . มีสิทธิจะถูกรับเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระมาซีฮา ดังนั้น ตามคำกล่าวนี้พระองค์ทรงหมายความว่า คนใดก็ตามจำเป็นต้องเข้าในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สองกระนั้นหรือ เขาจึงจะเป็นชาวยิศราเอลอีกครั้ง?’”—เทียบกับมัดธาย 3:9.
แม้ว่ายอมรับการเกิดใหม่สำหรับผู้เปลี่ยนมาถือศาสนา นิโกเดโมก็คงเห็นว่ากระบวนการเช่นนั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับชาวยิวโดยกำเนิด คือการเข้าในครรภ์ใหม่อีกครั้งดังที่กล่าวนั้น.
อีกโอกาสหนึ่ง หลายคนขุ่นเคืองเมื่อพระเยซูตรัสถึง ‘การรับประทานเนื้อและดื่มโลหิตของพระองค์.’ (โยฮัน 6:48-55) แต่ไลต์ฟุตชี้ให้เห็นว่า “ในสำนักชาวยิวแล้วเป็นเรื่องธรรมดามากที่จะกล่าวถึงวลี ‘การกินและดื่ม’ ในความหมายเชิงอุปมา.” อนึ่ง เขาให้ข้อสังเกตด้วยว่า ทัลมุดได้กล่าวถึง “การกินมาซีฮา.”
ดังนั้น ทัศนะของพวกฟาริซายและพวกซาดูกายมีผลกระทบไม่น้อยต่อความคิดชาวยิวในศตวรรษแรก. อย่างไรก็ตาม พระเยซูทรงให้ความสนใจอย่างเหมาะสมในเรื่องความรู้และประสบการณ์ของผู้ที่ฟังพระองค์. นี่เป็นหนึ่งในปัจจัยหลายประการซึ่งทำให้พระองค์เป็นครูผู้ยิ่งใหญ่.