ผมตัดสินใจจะก้าวหน้าเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่
เล่าโดย คาร์ล ดากเคา
“จะก้าวหน้าเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่หรือว่าจะกลับทรุดลงเข้าสู่ความบาป?” เป็นชื่อเรื่องของบทความหนึ่งในวารสารหอสังเกตการณ์ ฉบับธันวาคม 1948. บทความนั้นกระตุ้นผมให้เปลี่ยนจากสภาพอันตรายฝ่ายวิญญาณที่ฟาร์มในสหรัฐ ไปสู่งานประจำชีพเป็นมิชชันนารีในอเมริกาใต้ ซึ่งกินเวลายาวนานกว่า 43 ปี.
ผมเกิดวันที่ 31 มีนาคม 1914 เป็นลูกคนที่สามจากลูกชายสี่คน ในกระท่อมไม้ซุงในเมืองเวอร์กัส รัฐมินนีโซตา. ชีวิตวัยเยาว์ของผมนั้นน่าเพลิดเพลิน. ผมจำได้ที่ตกปลากับคุณพ่อ. อย่างไรก็ตาม คุณแม่ป่วยกระเสาะกระแสะ และผมต้องออกจากโรงเรียนตอนอยู่ชั้นประถมปีที่ห้า เพื่อช่วยท่านทำงานบ้าน. พอผมอายุ 13 ปี โรคของท่านได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งที่ปอด.
เมื่อคุณแม่ทราบว่าท่านจะอยู่ได้ไม่นาน ดังนั้น ท่านจึงเริ่มเตรียมผมให้ทำหน้าที่แทน. ท่านจะนั่งในห้องครัวและแนะนำผมว่าทำอาหารและขนมปังอย่างไร. นอกจากนั้น ท่านสอนผมซักเสื้อผ้า, ดูแลสวน, และเลี้ยงไก่นับร้อยตัว. ท่านยังสนับสนุนให้ผมอ่านคัมภีร์ไบเบิลหนึ่งบททุกวัน ซึ่งผมก็ทำทั้ง ๆ ที่ผมอ่านไม่เก่ง. หลังจากฝึกอบรมผมอยู่สิบเดือน คุณแม่ก็เสียชีวิตวันที่ 27 มกราคม 1928.
สงครามทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนไป
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มขึ้นในเดือนกันยายน 1939 มีการอธิษฐานเผื่อพวกทหารทุกวันอาทิตย์ในโบสถ์ลูเทอรันของเรา. แฟรงก์พี่ชายของผมตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่ยอมฆ่าคน ดังนั้น เมื่อเขาปฏิเสธที่จะรับราชการทหาร เขาจึงถูกจับ. เมื่อถูกพิจารณาคดี เขากล่าวว่า “ก่อนที่ผมจะฆ่าคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ คุณยิงผมก็ได้!” เขาจึงถูกพิพากษาลงโทษให้จำคุกหนึ่งปีบนเกาะแม็กนีลนอกชายฝั่งของรัฐวอชิงตัน.
ที่นั่น แฟรงก์พบพยานพระยะโฮวากว่า 300 คนซึ่งถูกจำคุกเพราะพวกเขารักษาความเป็นกลางอย่างเคร่งครัดระหว่างสงคราม. (ยะซายา 2:4; โยฮัน 17:16) ไม่ช้า แฟรงก์เริ่มสมทบกับพวกพยานฯ และรับบัพติสมาในคุกนั่นเอง. เนื่องจากมีความประพฤติดี เขาจึงได้รับการลดโทษลงเหลือเก้าเดือน. ในเดือนพฤศจิกายน 1942 เราได้รับข่าวว่า แฟรงก์เป็นอิสระ และไม่นานหลังจากนั้นเขาก็บอกเราเกี่ยวกับข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า. หลังจากตรวจสอบข่าวสารอย่างถี่ถ้วนโดยใช้คัมภีร์ไบเบิลของเรา พวกเราทุกคนเห็นได้ว่า สิ่งที่แฟรงก์กำลังสอนเรานั้นเป็นความจริง.
อุปสรรคต่อความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ
ในปี 1944 ผมย้ายไปแถบเมืองมอลตา รัฐมอนตานา เพื่ออยู่กับคุณอา. เรามีอะไรที่เหมือนกัน คือภรรยาทิ้งเราหลังจากแต่งงานได้หกเดือน. ท่านดีใจที่มีผมมาช่วยทำไร่และหุงหาอาหาร และเราแบ่งกำไรกันคนละครึ่ง. คุณลุงบอกว่า ผมจะเป็นทายาทซึ่งจะได้รับฟาร์ม 1,600 ไร่หากผมอยู่กับท่าน. นั่นเป็นช่วงปีที่เฟื่องฟูสำหรับการเกษตร และผมก็ชอบชีวิตเกษตรกรมาก! เราได้พืชผลที่อุดมสมบูรณ์ทุกปี และข้าวสาลีขายได้ถึงถังละ 38 บาท.
อย่างไรก็ตาม คุณลุงไม่ชอบที่ผมเข้าร่วมประชุมกับประชาคมเล็ก ๆ ของพยานฯในเมืองมอลตา. วันที่ 7 มิถุนายน 1947 โดยที่คุณลุงไม่ทราบ ผมรับบัพติสมา ณ การประชุมหมวดของพยานพระยะโฮวาที่เมืองวูลฟ์ พอยต์. ที่นั่นพี่น้องคริสเตียนคนหนึ่งเชื้อเชิญผมให้มาเป็นไพโอเนียร์หรือผู้เผยแพร่เต็มเวลา. แม้การใช้ชีวิตเช่นนั้นเป็นสิ่งที่หัวใจของผมปรารถนา แต่ผมอธิบายว่า คุณลุงของผมจะไม่มีวันยอมให้ผมอุทิศเวลามากขนาดนั้นให้กับงานเผยแพร่.
ไม่นานหลังจากนั้น คุณลุงเปิดและอ่านจดหมายที่จ่าหน้าถึงผม จากเพื่อนซึ่งกระตุ้นผมให้มาเป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลา. คุณลุงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ยื่นคำขาดกับผม—ให้เลิกประกาศหรือไม่ก็ไปจากที่นั่น. การยื่นคำขาดครั้งนั้นเป็นสิ่งดี เพราะผมชอบชีวิตเกษตรกรมากจนผมไม่รู้ว่าผมจะจากไปเองหรือไม่. ดังนั้น ผมจึงกลับไปหาครอบครัวของผมในมินนีโซตา ซึ่งตอนนั้นทุกคนรับบัพติสมาแล้วและสมทบกับประชาคมดีทรอยต์ เลกส์.
ตอนแรก ครอบครัวสนับสนุนให้ผมเป็นไพโอเนียร์ แต่ในปี 1948 พวกเขาเริ่มเย็นลงฝ่ายวิญญาณ. ช่วงนั้นแหละที่บทความเรื่อง “จะก้าวหน้าเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่หรือว่าจะกลับทรุดลงเข้าสู่ความบาป?” ให้การกระตุ้นฝ่ายวิญญาณซึ่งผมจำต้องได้รับ. บทความนั้นเตือนว่า “ถ้าเรายังดื้อดึงไม่พยายามที่จะทำความก้าวหน้าเข้าไปสู่ความรู้ชนิดนี้ ความเสียใจก็จะมีแก่เราเป็นแน่แท้.” บทความนั้นกล่าวว่า “เราจะนิ่งเฉยอยู่และล้าหลังไม่ได้ เราต้องก้าวเข้าไปสู่ความชอบธรรมยิ่ง ๆ ขึ้น. อำนาจต้านทานที่จะไม่ให้ล้มทรุดลงในความบาปอีกก็คือการทำความก้าวหน้าต่อไป ไม่ใช่หยุดชะงักอยู่กับที่.”
แม้ว่าครอบครัวของผมได้ให้ข้อแก้ตัวต่าง ๆ นานา แต่ผมเชื่อว่า ปัญหาที่แท้จริงก็คือพวกเขาอยากจะรวย. พวกเขาเห็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในการใช้เวลามากขึ้นในการเกษตรและประกาศให้น้อยลง. แทนที่จะเข้าไปติดกับความปรารถนาจะมั่งมี ผมวางแผนที่จะเป็นไพโอเนียร์. ผมรู้ว่านั่นจะไม่ง่าย และผมถึงกับคิดว่าผมไม่อาจเป็นได้. ดังนั้น ในปี 1948 ผมทดสอบตนเองโดยจงใจสมัครที่จะเริ่มเป็นไพโอเนียร์ในช่วงที่อากาศเลวร้ายที่สุด นั่นคือ เดือนธันวาคม.
รับเอางานไพโอเนียร์
พระยะโฮวาทรงอวยพระพรความพยายามของผม. เพื่อเป็นตัวอย่าง วันหนึ่งอุณหภูมิ -27 องศาเซลเซียส ไม่นับรวมความหนาวเหน็บจากลม. ผมให้คำพยานตามถนนเช่นเคย คอยสลับมืออยู่เรื่อย ๆ โดยให้ข้างที่หนาวซุกกระเป๋าขณะที่อีกข้างหนึ่งถือวารสาร จนมือข้างนั้นเย็นจัดและเปลี่ยนไปซุกในกระเป๋าอีก. ชายคนหนึ่งเข้ามาหา. เมื่อบอกว่าเขาได้สังเกตสิ่งที่ผมทำเป็นเวลานานพอควร เขาถามว่า “มีอะไรในวารสารพวกนั้นซึ่งสำคัญถึงปานนั้น? เอามาให้ผมสองเล่มซิ ผมจะได้อ่าน.”
ในช่วงเวลานั้น ผมเห็นได้ว่า การอยู่ร่วมกับครอบครัวของผมกำลังทำให้สภาพฝ่ายวิญญาณของผมเองตกอยู่ในอันตราย ดังนั้น ตามที่แจ้งความจำนงต่อสมาคมว็อชเทาเวอร์ ผมจึงได้รับมอบหมายใหม่ให้ไปยังเมืองไมลซ์ ซิตี รัฐมอนตานา. ที่นั่นผมรับใช้ในฐานะผู้รับใช้ประชาคม เวลานี้รู้จักกันว่าผู้ดูแลผู้เป็นประธาน. ผมอาศัยอยู่ในรถพ่วงขนาดสองคูณสามเมตร และเลี้ยงตัวด้วยการทำงานบางเวลาในร้านซักแห้ง. เป็นครั้งคราว ผมได้รับการว่าจ้างให้ทำงานที่ผมชอบมากที่สุด นั่นคือ การเก็บเกี่ยวพืชผล.
ในช่วงนี้ ผมได้ยินแต่สภาพที่ย่ำแย่ลงทางฝ่ายวิญญาณของครอบครัวผม. ในที่สุด พวกเขารวมทั้งคนอื่น ๆ ในประชาคมดีทรอยต์ เลกส์ ได้ต่อต้านองค์การของพระยะโฮวา. จากจำนวนผู้ประกาศราชอาณาจักร 17 คนในประชาคมนั้น มีเพียง 7 คนที่ยังคงรักษาความซื่อสัตย์. ครอบครัวของผมตั้งใจแน่วแน่ที่จะเอาผมออกจากองค์การของพระยะโฮวาด้วย ดังนั้นผมจึงตระหนักว่า มีทางแก้เพียงทางเดียวคือ ก้าวหน้าต่อไป. แต่โดยวิธีใด?
มุ่งไปในงานรับใช้เป็นมิชชันนารี
ระหว่างการประชุมนานาชาติที่นครนิวยอร์กในปี 1950 ผมเป็นสักขีพยานในการสำเร็จการศึกษาของนักเรียนที่จะเป็นมิชชันนารีจากชั้นเรียนที่ 15 ของโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียด. ผมคิดว่า ‘ถ้าผมได้เป็นคนหนึ่งในพวกนี้ที่กำลังจะไปรับใช้พระยะโฮวาในงานมอบหมายต่างแดนก็จะดี.’
ผมยื่นใบสมัครและได้รับเข้าชั้นเรียนที่ 17 ของกิเลียด ซึ่งเริ่มในเดือนกุมภาพันธ์ 1951. ที่ตั้งของโรงเรียน ณ ฟาร์มแห่งหนึ่งทางเหนือของรัฐนิวยอร์กนั้นช่างงดงาม. ผมอยากทำงานที่ฟาร์มหลังเลิกเรียนเหลือเกิน อาจจะในโรงนากับพวกวัวหรือกลางแจ้งกับพวกพืชผล! แต่จอห์น บูท ผู้ดูแลฟาร์มราชอาณาจักรในเวลานั้น ชี้แจงว่า ผมเป็นเพียงคนเดียวที่มีประสบการณ์ในด้านซักแห้ง. ดังนั้น ผมจึงได้รับมอบหมายให้ทำงานนั้น.
โรงเรียนกิเลียดไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ที่มีการศึกษาแค่ชั้นประถมปีที่ห้า. แม้จำต้องปิดไฟเมื่อถึงเวลา 4 ทุ่มครึ่ง แต่ผมมักศึกษาไปจนถึงเที่ยงคืน. วันหนึ่ง หนึ่งในผู้สอนเรียกผมเข้าไปในห้องทำงานของเขา. เขาพูดว่า “คาร์ล ผมเห็นว่า คะแนนของคุณไม่ดีนัก.”
‘ตายละ’ ผมรำพึงกับตนเอง ‘พวกเขาจะขอให้ผมออก.’
อย่างไรก็ตาม ผู้สอนคนนั้นให้คำแนะนำบางอย่างด้วยความรักว่า ผมจะใช้เวลาที่มีให้เป็นประโยชน์มากที่สุดอย่างไรโดยไม่ศึกษาจนดึกดื่น. ผมถามอย่างกลัว ๆ ว่า “ผมทำคะแนนได้ดีพอที่จะอยู่ต่อที่กิเลียดได้ไหม?”
“อ๋อ ได้สิ” เขาตอบ. “แต่ผมไม่รู้ว่าคุณจะมีคุณวุฒิที่จะได้ประกาศนียบัตรหรือเปล่า.”
ผมได้รับคำปลอบใจจากคำพูดของนาธาน เอช. นอรร์ ประธานโรงเรียน. ก่อนหน้านั้น ท่านได้บอกบรรดานักเรียนว่า คะแนนไม่ได้ประทับใจท่านมากเท่ากับการยืนหยัดของมิชชันนารีที่ยังคงอยู่ในงานมอบหมายของตน.
วิชาที่แย่ที่สุดสำหรับผมก็คือภาษาสเปน แต่ผมหวังว่าจะถูกมอบหมายไปอะแลสกา ที่ซึ่งอากาศหนาวเย็นเป็นสิ่งที่ผมเคยชินที่บ้าน. นอกจากนั้น ผมยังสามารถประกาศเป็นภาษาอังกฤษ. ดังนั้น คุณคงนึกภาพออกว่า ผมตกใจเพียงใดเมื่อเรียนไปได้ครึ่งหลักสูตร ผมได้รับมอบหมายให้ไปเอกวาดอร์ในอเมริกาใต้. ใช่แล้ว ผมจะต้องพูดภาษาสเปน และอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตรที่ร้อนระอุเลยทีเดียว!
วันหนึ่ง ตัวแทนจากเอฟบีไอมาหาผมที่โรงเรียนกิเลียด. เขาถามถึงลูกชายของผู้รับใช้ประชาคมซึ่งออกจากองค์การของเราในเมืองดีทรอยต์ เลกส์. สงครามเกาหลีกำลังเปิดฉากรบ และชายหนุ่มคนนี้อ้างว่าเขาเป็นผู้เผยแพร่ของพยานพระยะโฮวา และโดยวิธีนี้จึงควรได้รับการยกเว้นจากการรับราชการทหาร. ผมอธิบายว่า เขาไม่ได้เป็นพยานพระยะโฮวาอีกแล้ว. ขณะที่ตัวแทนคนนั้นกล่าวคำอำลากับผม เขาบอกว่า “ขอให้พระเจ้าของคุณอวยพรคุณในงานของคุณ.”
ต่อมา ผมทราบว่าเด็กหนุ่มคนนั้นถูกฆ่าในการสู้รบครั้งแรก ๆ ของเขาในเกาหลี. ช่างเป็นผลอันน่าเศร้าเพียงใดสำหรับผู้ที่อาจได้ก้าวหน้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ในองค์การของพระเจ้า!
ในที่สุด วันที่มีความสุขในการสำเร็จการศึกษาของเราก็มาถึงในวันที่ 22 กรกฎาคม 1951. แน่นอน ไม่มีใครในครอบครัวของผมมา แต่ความยินดีของผมนั้นเต็มเปี่ยมเมื่อผมได้รับประกาศนียบัตรเนื่องจากความก้าวหน้าของผม.
ปรับตัวเข้ากับเขตทำงานในต่างแดน
ครั้นผมอยู่ในงานมอบหมายแล้ว ผมพบว่าการฝึกอบรมจากคุณแม่มีประโยชน์จริง ๆ. การทำอาหาร, การซักเสื้อด้วยมือ, และการขาดน้ำประปาไม่ได้เป็นสิ่งใหม่สำหรับผม. แต่การประกาศเป็นภาษาสเปนนั้นเป็นสิ่งใหม่! ผมใช้คำเทศน์ที่พิมพ์เป็นภาษาสเปนอยู่นานพอควร. ต้องใช้เวลาสามปี กว่าผมจะสามารถบรรยายสาธารณะเป็นภาษาสเปนได้ ซึ่งผมบรรยายโดยใช้บันทึกอย่างยืดยาว.
เมื่อผมถึงเอกวาดอร์ในปี 1951 มีผู้ประกาศราชอาณาจักรไม่ถึง 200 คน. การทำให้คนเป็นสาวกดูเหมือนช้าสำหรับ 25 ปีแรกหรือราว ๆ นั้น. คำสอนของเราเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลต่างกันมากกับคำสอนสืบปากที่ไม่เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์ในลัทธิคาทอลิก และการยึดมั่นของเรากับคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ต่อคู่สมรสคนเดียวไม่เป็นที่นิยมเป็นอย่างยิ่ง.—เฮ็บราย 13:4.
ถึงกระนั้น เราสามารถจำหน่ายสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลได้มากมาย. งานเผยแพร่ของเราในเมืองมาคาลาซึ่งตั้งอยู่ใจกลางแหล่งปลูกกล้วยเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้. นิโคลัส เวสลีย์กับผมเป็นพยานฯเพียงสองคนที่นั่นตอนเราไปถึงในปี 1956. เราจะออกแต่เช้าตรู่ไปกับรถบรรทุกดินที่ใช้ในงานก่อสร้างทางหลวงที่กำลังสร้างในสมัยนั้น. หลังจากเรานั่งไปได้ไกลพอควร เราจะขอลงและให้คำพยานแก่ประชาชนตลอดทางกลับไปยังที่ที่เราพักอยู่.
วันหนึ่ง นิกกับผมจดบันทึกเพื่อดูว่าใครในเราสองคนจะจำหน่ายวารสารได้มากกว่า. ผมจำได้ว่าผมนำหน้านิกตอนเที่ยงวัน แต่พอตกเย็นเราได้วารสาร 114 เล่มเท่ากัน. เราเวียนส่งวารสารหลายร้อยเล่มให้กับประชาชนในแต่ละเดือน. มีอยู่หกครั้งที่ผมจำหน่ายวารสารได้มากกว่าหนึ่งพันเล่มในช่วงหนึ่งเดือน. ลองคิดดูซิว่า ผู้คนมากมายเพียงใดอาจเรียนรู้ความจริงในคัมภีร์ไบเบิลจากวารสารเหล่านั้น!
ในเมืองมาคาลา เรายังได้รับสิทธิพิเศษในการสร้างหอประชุมแห่งแรกที่เป็นของประชาคมเองในเอกวาดอร์. นั่นเป็นเวลา 35 ปีมาแล้วในปี 1960. ในสมัยแรกเริ่มนั้น เรามีผู้เข้าร่วมการประชุมของเราเพียงประมาณ 15 คน. ทุกวันนี้ มาคาลามีประชาคมที่เจริญก้าวหน้า 11 ประชาคม.
ไปเยือนสหรัฐ
ตอนปลายทศวรรษปี 1970 ผมกลับไปสหรัฐช่วงหยุดพักผ่อนและใช้เวลาสองสามชั่วโมงกับแฟรงก์พี่ชาย. เขาพาผมนั่งรถของเขาขึ้นไปบนเนินเขา ซึ่งจากที่นั่นเราสามารถมองเห็นได้ไกลทั่วหุบเขาเรด ริเวอร์. ช่างเป็นภาพที่สวยงาม ทุ่งข้าวสาลีอันกว้างใหญ่ที่โน้มรวงอันหนักอึ้ง พร้อมด้วยเมล็ดข้าวที่สุกอร่ามไหวเอนไปตามลม. ที่ไกลออกไปนั้นเห็นแม่น้ำชีเอนน์ซึ่งมีต้นไม้อยู่สองฟากฝั่งแม่น้ำ. การชื่นชมกับความงามอันสุขสงบนั้นถูกขัดจังหวะเมื่อพี่ชายของผมเริ่มการสนทนาตามปกติ.
“ถ้าน้องไม่โง่ไปอยู่ที่อเมริกาใต้นั่น ที่ที่เห็นนี้ก็เป็นของน้องได้ด้วย!”
“แฟรงก์” ผมสอดขึ้นทันควัน. “หยุดเดี๋ยวนี้นะ.”
เขาไม่พูดอีก. ไม่กี่ปีต่อมา เขาเสียชีวิตอย่างกะทันหันเนื่องจากเป็นลมปัจจุบัน ทิ้งฟาร์มขนาดใหญ่ที่งดงามไว้สามแห่งในนอร์ท ดาโคตา ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งสิ้นกว่า 2,500 ไร่รวมทั้งฟาร์มของคุณลุง 1,600 ไร่ในมอนตานาซึ่งเขาได้เป็นผู้สืบมรดก.
เวลานี้ ทุกคนในครอบครัวของผมเสียชีวิตหมดแล้ว. แต่ผมดีใจที่ว่าในดีทรอยต์ เลกส์ ที่ซึ่งพวกเราทุกคนเริ่มเป็นพยานพระยะโฮวาเมื่อหลายปีก่อน ผมมีครอบครัวฝ่ายวิญญาณเป็นพี่น้องชายหญิงคริสเตียนกว่า 90 คน.
ก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณต่อไป
ช่วง 15 ปีหลังนี้มีพืชผลอุดมสมบูรณ์ในการเก็บเกี่ยวฝ่ายวิญญาณในเอกวาดอร์. จากผู้ประกาศราชอาณาจักรประมาณ 5,000 คนในปี 1980 เวลานี้เรามีกว่า 26,000 คน. ผมได้เก็บเกี่ยวพระพรแห่งการช่วยผู้คนเหล่านี้กว่าร้อยคนให้รับบัพติสมา.
เวลานี้ ขณะที่อายุ 80 ปี ที่จะทำงาน 30 ชั่วโมงต่อเดือนในงานเผยแพร่ ยากกว่าที่ผมทำเพื่อบรรลุเป้า 150 ชั่วโมงในปี 1951. ตั้งแต่ปี 1989 เมื่อผมได้รับทราบว่าเป็นมะเร็งที่ต่อมลูกหมาก ผมได้ฉวยประโยชน์จากเวลาพักรักษาตัวที่จะอ่านหนังสือ. ตั้งแต่ปีนั้น ผมอ่านคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่ม 19 เที่ยวและหนังสือพยานพระยะโฮวา—ผู้ประกาศราชอาณาจักรของพระเจ้า (ภาษาอังกฤษ) 6 เที่ยว. วิธีนี้ผมก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณต่อ ๆ ไป.
ใช่แล้ว ผมมีโอกาสหลายครั้งที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ฝ่ายวัตถุจากฟาร์มในสหรัฐ. แต่บำเหน็จแห่งความมั่งคั่งฝ่ายวัตถุไม่มีอะไรเมื่อเปรียบกับความยินดีที่ผมประสบในการเก็บเกี่ยวฝ่ายวิญญาณ. สาขาที่นี่ในเอกวาดอร์แจ้งผมว่า ผมได้จำหน่ายวารสารกว่า 147,000 เล่มและหนังสือกว่า 18,000 เล่มในงานมิชชันนารีของผม. ผมถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเมล็ดฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมีหลายเมล็ดที่ได้งอกขึ้นแล้ว เมล็ดอื่น ๆ อาจจะงอกขึ้นอีกในหัวใจของผู้คนขณะที่พวกเขาอ่านเกี่ยวกับความจริงเรื่องราชอาณาจักร.
ผมคิดว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการก้าวหน้าต่อ ๆ ไปสู่โลกใหม่ของพระเจ้า พร้อมด้วยลูก ๆ ฝ่ายวิญญาณของผมทุกคนและคนอื่นหลายล้านคนซึ่งได้เลือกที่จะรับใช้พระยะโฮวาพระเจ้าของเรา. เงินจะไม่ช่วยชีวิตคนใดผ่านอวสานของโลกที่ชั่วช้านี้. (สุภาษิต 11:4; ยะเอศเคล 7:19) อย่างไรก็ตาม ผลแห่งการงานฝ่ายวิญญาณของเราจะมีไม่ขาดสาย—ถ้าเราแต่ละคนก้าวหน้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ต่อ ๆ ไป.
[รูปภาพหน้า 24]
พร้อมที่จะเป็นไพโอเนียร์ในเมืองไมลซ์ ซิตี มอนตานา ในปี 1949
[รูปภาพหน้า 24]
ซื้อน้ำสำหรับบ้านมิชชันนารีของเรา ปี 1952
[รูปภาพหน้า 25]
ประกาศในเมืองมาคาลา ปี 1957
[รูปภาพหน้า 25]
ตั้งแต่ป่วยลงในปี 1989 ผมอ่านคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่ม 19 เที่ยว