จะบรรลุความจริงทางศาสนาได้ไหม?
ในสวีเดน ชายผู้อยากรู้อยากเห็นในเรื่องศาสนาคนหนึ่งในเมืองอุพซาลาที่มีมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ได้ตัดสินใจที่จะศึกษาความเชื่อของศาสนาต่าง ๆ ในเมืองของเขา ถึงกับไปเยือนสถานที่นมัสการของศาสนาเหล่านั้นด้วยซ้ำ. เขารับฟังขณะที่นักเทศน์ได้เทศนา และเขาสัมภาษณ์สมาชิกบางคน. เขาสังเกตว่า เฉพาะแต่พยานพระยะโฮวาเท่านั้นที่ดูเหมือนจะมั่นใจว่าพวกตนได้ “พบความจริง.” เมื่อคำนึงถึงแง่คิดทางศาสนาที่มีอยู่หลากหลาย เขาจึงสงสัยว่า พวกพยานฯอ้างดังกล่าวได้อย่างไร.
คุณเองคิดไหมว่า เป็นไปได้ที่จะบรรลุความจริงเกี่ยวกับศาสนา? เป็นไปได้ไหมที่จะถึงกับตัดสินได้ว่า อะไรอาจเรียกได้ว่าความจริงขั้นสุดท้าย?
ปรัชญาและความจริง
คนเหล่านั้นที่ศึกษาปรัชญาได้ปลูกฝังทัศนะที่ว่า ความจริงขั้นสุดท้ายไม่ใช่สิ่งที่มนุษยชาติบรรลุได้. คุณอาจทราบว่าปรัชญาได้รับการนิยามว่า “ศาสตร์ที่พยายามอธิบายต้นกำเนิดของการดำรงอยู่และชีวิต.” แต่แท้จริงแล้ว ปรัชญาแทบจะไปไม่ถึงขั้นนั้น. ในฟิโลโซฟีนส์ ฮิสโทรีอา (ประวัติของปรัชญา, ภาษาสวีเดน) อาล์ฟ อาห์ลเบิร์ก นักประพันธ์ชาวสวีเดนได้เขียนไว้ว่า “คำถามทางปรัชญาหลายข้อมีลักษณะที่เป็นไปไม่ได้ที่จะให้คำตอบแน่ชัด . . . หลายคนมีความเห็นที่ว่า ปัญหาเกี่ยวกับปรัชญาทั้งหมด [เกี่ยวกับหลักพื้นฐานของสิ่งต่าง ๆ] . . . อยู่ในข่ายนี้.”
เพราะฉะนั้น คนเหล่านั้นที่ได้พยายามจะหาคำตอบสำหรับคำถามสำคัญ ๆ เกี่ยวกับชีวิตโดยทางปรัชญานั้น บ่อยครั้งลงเอยด้วยความไม่พอใจหรือความปวดร้าว. ในหนังสือทังคาลินเยอร์ โอค ทรุสโฟร์เมอร์ (แนวความคิดและความเชื่อทางศาสนา, ภาษาสวีเดน) กันนาร์ อัสเพลิน นักประพันธ์ชาวสวีเดนกล่าวว่า “สิ่งหนึ่งที่เราเห็นคือ ธรรมชาติไม่ได้สนใจในมนุษย์ยิ่งไปกว่าสนใจในผีเสื้อและยุง . . . เราปราศจากพลัง ไร้พลังอย่างสิ้นเชิงเมื่อเผชิญกับพลังเหล่านั้นที่ส่งผลกระทบต่อกันในเอกภพและโลกภายในของเรา. นี่เป็นทัศนะเกี่ยวกับชีวิตซึ่งปรากฏบ่อยทีเดียวในวรรณกรรมตอนปลายศตวรรษซึ่งมนุษย์ได้เชื่อมั่นในความก้าวหน้าและฝันถึงอนาคตที่ดีกว่า.”
การเปิดเผยความจริงจำเป็นไหม?
ปรากฏชัดว่า ความพยายามของมนุษย์เพียงอย่างเดียวไม่เคยประสบผลสำเร็จในการเสาะหาความจริงเกี่ยวกับชีวิต และความพยายามนั้นก็ไม่เคยดูท่าว่าจะประสบผลสำเร็จเลย. ดังนั้นแล้ว มีเหตุผลที่ดีที่จะลงความเห็นว่า การเปิดเผยของพระเจ้าในบางลักษณะเป็นสิ่งจำเป็น. สิ่งที่หลายคนเรียกว่าหนังสือแห่งธรรมชาตินั้นให้การเปิดเผยบางอย่าง. ถึงแม้ไม่ได้ให้รายละเอียดที่ชัดแจ้งเกี่ยวกับต้นกำเนิดของชีวิตก็ตาม ธรรมชาติก็ยังแสดงว่า มีสิ่งที่น่าพอใจยิ่งกว่าการอธิบายทางสสารนิยมล้วน ๆ เกี่ยวกับชีวิต. ใบหญ้าที่เติบโตขึ้นมาเป็นไปตามกฎซึ่งต่างไปจากกฎที่ควบคุมกองหินในถ้ำที่พังทลายนั้นอย่างแท้จริง. สิ่งมีชีวิตในธรรมชาติสร้างและจัดระเบียบตัวเองในวิธีที่สิ่งไม่มีชีวิตไม่ได้ทำ. ด้วยเหตุนี้ นักศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายและศาสนาผู้เรืองนามคนหนึ่งจึงมีรากฐานในการสรุปว่า “คุณลักษณะต่าง ๆ [ของพระเจ้า] อันไม่ประจักษ์แก่ตาก็เห็นได้ชัด ตั้งแต่การสร้างโลกเป็นต้นมา เพราะว่าคุณลักษณะเหล่านั้นเป็นที่เข้าใจได้โดยสิ่งทั้งปวงที่ถูกสร้างขึ้น.”—โรม 1:20, ล.ม.
แต่เพื่อที่จะค้นหาว่าใครอยู่เบื้องหลังการสร้างและการจัดระเบียบทั้งหมดนี้ เราต้องได้รับการเปิดเผยต่อไปอีก. มิควรหรือที่เราจะคาดหมายว่า มีการเปิดเผยดังกล่าว? ไม่มีเหตุผลหรอกหรือที่จะคาดหมายว่า ท่านผู้นั้นที่เป็นบ่อเกิดแห่งชีวิตบนแผ่นดินโลกจะเปิดเผยพระองค์เองต่อผู้ที่พระองค์ทรงสร้างมา?
คัมภีร์ไบเบิลอ้างว่าเป็นแหล่งที่เปิดเผยดังกล่าว. ในวารสารนี้ เราเคยเสนอเหตุผลที่ดีอยู่บ่อยครั้งสำหรับการยอมรับคำกล่าวอ้างนี้ และคนช่างคิดหลายคนได้ยอมรับเรื่องนี้. ข้อเท็จจริงที่ว่า เหล่าคนที่เขียนคัมภีร์ไบเบิลเป็นห่วงจริง ๆ ในการทำให้ชัดแจ้งว่า เรื่องที่เขาเขียนนั้นเขาไม่ใช่ผู้ประพันธ์ ในตัวมันเองแล้วนับว่าโดดเด่นทีเดียว. เราพบมากกว่า 300 ครั้งที่ผู้พยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลใช้ถ้อยคำดังเช่น “พระยะโฮวาได้ตรัสดังนี้ว่า.” (ยะซายา 37:33; ยิระมะยา 2:2; นาฮูม 1:12) คุณคงจะทราบว่า ตามปกติแล้วชายและหญิงผู้ซึ่งเขียนหนังสือหรือบทความมักอยากมีชื่ออยู่ในงานของตน. กระนั้น คนเหล่านั้นซึ่งเขียนคัมภีร์ไบเบิลเก็บตัวอยู่หลังฉาก ในบางกรณี ยากที่จะตัดสินว่าใครเขียนบางส่วนของคัมภีร์ไบเบิล.
อีกแง่มุมหนึ่งของคัมภีร์ไบเบิลที่คุณอาจพบว่าสำคัญก็คือความสอดคล้องลงรอยกันภายในเล่ม. เรื่องนี้นับว่าโดดเด่นจริง ๆ เมื่อคำนึงถึงการที่พระธรรม 66 เล่มของคัมภีร์ไบเบิลได้รับการเขียนระหว่างช่วงเวลา 1,600 ปี. สมมุติว่าคุณไปยังห้องสมุดสาธารณะและเลือกหนังสือทางศาสนา 66 เล่มซึ่งเขียนระหว่างช่วง 1,600 ปี. แล้วคุณก็ให้เย็บหนังสือเหล่านั้นแต่ละเล่มเป็นเล่มเดียว. คุณจะคาดหมายว่าหนังสือเล่มนั้นมีอรรถบทเดียวกันและข่าวสารที่กลมกลืนกันไหม? ไม่อย่างแน่นอน. นั่นคงต้องอาศัยการอัศจรรย์. ขอพิจารณาเรื่องนี้: พระธรรมต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลมีอรรถบทเดียวกันจริง ๆ และพระธรรมเหล่านั้นยืนยันหลักฐานซึ่งกันและกัน. นี่แสดงให้เห็นว่า ต้องมีสติปัญญาที่ปราดเปรื่อง หรือผู้ประพันธ์ซึ่งชี้นำสิ่งที่ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลได้บันทึกไว้.
อย่างไรก็ดี คุณจะพบสิ่งที่พิสูจน์ว่าต้นกำเนิดของคัมภีร์ไบเบิลเป็นมาจากพระเจ้ายิ่งกว่าแหล่งอื่นใด. นั่นคือคำพยากรณ์ต่าง ๆ ข้อความที่เขียนไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต. ถ้อยคำดังเช่น “เมื่อถึงสมัยสุดท้ายนั้น” และ “ครั้นถึงวันนั้น” มีเฉพาะแต่ในคัมภีร์ไบเบิล. (ยะซายา 2:2; 11:10, 11; 23:15; ยะเอศเคล 38:18; โฮเซอา 2:21-23; ซะคาระยา 13:2-4) หลายร้อยปีก่อนพระเยซูคริสต์ปรากฏพระองค์บนแผ่นดินโลก คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูให้รายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตของพระองค์ ตั้งแต่การประสูติจนกระทั่งสิ้นพระชนม์. ไม่มีข้อสรุปที่มีเหตุผลอื่นใดยิ่งไปกว่าข้อที่ว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นแหล่งของความจริงเรื่องชีวิต. พระเยซูเองทรงยืนยันเรื่องนี้ด้วยคำตรัสที่ว่า “คำของพระองค์เป็นความจริง.”—โยฮัน 17:17.
ศาสนาและความจริง
แม้แต่หลายคนซึ่งอ้างว่าเชื่อในคัมภีร์ไบเบิลก็ยังคิดว่าความจริงแท้ ๆ เป็นสิ่งที่ไม่อาจบรรลุได้. จอห์น เอส. สปอง นักเทศน์ชาวสหรัฐได้ออกความเห็นว่า “เราต้อง . . . เปลี่ยนจากการคิดว่าเรามีความจริงและคนอื่นต้องมีทัศนะเหมือนเรา มาเป็นการสำนึกว่า ความจริงขั้นสุดท้ายนั้นอยู่เกินที่เราทุกคนจะไขว่คว้าได้.” คริสโตเฟอร์ เดอร์ริก นักประพันธ์ชาวโรมันคาทอลิก ให้เหตุผลอย่างหนึ่งสำหรับทัศนะในแง่ลบดังกล่าวเกี่ยวกับการพบความจริงว่า “การกล่าวถึง ‘ความจริง’ ด้านศาสนาอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นบอกเป็นนัยถึงการอวดอ้างอยู่บ้างว่ารู้ . . . คุณหมายความว่า คนอื่นอาจเป็นฝ่ายผิด และนั่นไม่สมควรเลย.”
อย่างไรก็ดี ในฐานะบุคคลที่ช่างคิด คุณสมควรจะพิจารณาคำถามที่เหมาะสมบางประการ. หากความจริงเป็นสิ่งที่บรรลุไม่ได้แล้ว ทำไมพระเยซูคริสต์จึงตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจะรู้จักความจริง, และความจริงนั้นจะกระทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไทย [อิสระ, ล.ม.]”? และทำไมอัครสาวกคนหนึ่งของพระเยซูจึงกล่าวว่า พระทัยประสงค์ของพระเจ้าคือว่า “ให้คนทุกชนิดรับความรอดและบรรลุความรู้อันถ่องแท้เรื่องความจริง”? ทำไมคำว่า “ความจริง” จึงปรากฏมากกว่าหนึ่งร้อยครั้งในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ? ถูกแล้ว ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น หากความจริงเป็นสิ่งที่บรรลุไม่ได้?—โยฮัน 8:32; 1 ติโมเธียว 2:3, 4, ล.ม.
ที่จริง พระเยซูไม่เพียงแต่ชี้แจงว่าความจริงเป็นสิ่งที่บรรลุได้เท่านั้น แต่ทรงแสดงให้เห็นว่า จำต้องเสาะหาความจริงหากจะให้การนมัสการของเราเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า. เมื่อหญิงชาวซะมาเรียอยากรู้ว่า รูปแบบของการนมัสการแท้เป็นอย่างไร เป็นการนมัสการที่ชาวยิวปฏิบัติกันในกรุงยะรูซาเลม หรือว่าที่ชาวซะมาเรียปฏิบัติกันบนภูเขาฆะรีซิม พระเยซูมิได้ตอบว่าความจริงเป็นสิ่งที่บรรลุไม่ได้. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ตรัสว่า “ผู้นมัสการแท้ทั้งหลายจะนมัสการพระบิดาด้วยวิญญาณและความจริง เพราะแท้จริง พระบิดาทรงแสวงหาคนอย่างนั้นนมัสการพระองค์. พระเจ้าทรงเป็นองค์วิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยวิญญาณและความจริง.”—โยฮัน 4:23, 24, ล.ม.
หลายคนอ้างว่า ‘คัมภีร์ไบเบิลอาจตีความได้หลาย ๆ แบบ ดังนั้น คนเราจึงไม่มีทางแน่ใจได้ว่าความจริงคืออะไร.’ แต่จริง ๆ แล้วคัมภีร์ไบเบิลเขียนขึ้นในแบบที่คลุมเครือจนคุณไม่สามารถมั่นใจว่าจะเข้าใจพระคัมภีร์อย่างไรไหม? จริงอยู่ ภาษาเชิงพยากรณ์และที่เป็นนัยบางอย่างอาจเข้าใจได้ยาก. ตัวอย่างเช่น พระเจ้าทรงแจ้งให้ผู้พยากรณ์ดานิเอลทราบว่าหนังสือที่ท่านเขียนซึ่งมีภาษาเชิงพยากรณ์มากมายนั้น จะไม่เป็นที่เข้าใจอย่างครบถ้วนจนกระทั่ง “เวลาอวสาน.” (ดานิเอล 12:9, ล.ม.) และปรากฏชัดว่า คำอุปมาและสัญลักษณ์บางเรื่องจำเป็นต้องได้รับการตีความ.
อย่างไรก็ดี เห็นได้ชัดว่า เกี่ยวกับคำสอนคริสเตียนขั้นพื้นฐานและค่านิยมทางศีลธรรมที่สำคัญสำหรับการนมัสการพระเจ้าแห่งความจริงแล้ว คัมภีร์ไบเบิลกล่าวตรงไปตรงมาทีเดียว. พระคัมภีร์ไม่เปิดช่องให้กับการตีความที่ขัดแย้งกัน. ในจดหมายถึงชาวเอเฟโซนั้น มีการกล่าวถึงความเชื่อแบบคริสเตียนว่าเป็น “อย่างเดียว” ก็แสดงว่าไม่ได้มีความเชื่อหลายอย่าง. (เอเฟโซ 4:4-6) บางทีคุณอาจสงสัยว่า ‘ถ้าไม่สามารถตีความคัมภีร์ไบเบิลอย่างถูกต้องในหลาย ๆ แบบที่ต่างกันได้แล้ว ทำไมจึงมีนิกาย “คริสเตียน” ต่าง ๆ มากมาย?’ เราพบคำตอบ หากเรามองย้อนไปถึงสมัยหลังจากอัครสาวกของพระเยซูตายไปไม่นาน และการออกหากจากความเชื่อแบบคริสเตียนแท้ได้ขยายตัวขึ้น.
‘ข้าวดีและข้าวละมาน’
พระเยซูทรงบอกล่วงหน้าถึงการออกหากนี้ในคำอุปมาเรื่องข้าวดีและข้าวละมาน. พระเยซูเองทรงอธิบายว่า “ข้าวดี” เป็นภาพแสดงถึงคริสเตียนแท้ “ข้าวละมาน” หมายถึงคริสเตียนปลอมหรือออกหาก. พระเยซูตรัสว่า “เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่, ศัตรู” จะหว่านข้าวละมานในนาข้าวดี. การหว่านนี้เริ่มภายหลังเหล่าอัครสาวกหลับไปในความตาย. คำอุปมานั้นแสดงว่า การปนเปของคริสเตียนแท้กับคริสเตียนปลอมนี้จะดำเนินต่อไปจนกระทั่ง “สิ้นโลกนี้ [“ช่วงอวสานของระบบนี้”, ล.ม.].” ด้วยเหตุนี้ ตลอดหลายศตวรรษ เอกลักษณ์ของคริสเตียนแท้ไม่ชัดแจ้งเพราะคนเหล่านั้นซึ่งเป็นคริสเตียนเพียงในนามได้ครอบงำทุ่งนาทางศาสนา. อย่างไรก็ดี ใน “ช่วงอวสานของระบบนี้” จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น. “บุตรมนุษย์” จะ “ใช้ทูตของท่านออกไป” เพื่อแยกคริสเตียนปลอมออกจากคริสเตียนแท้. นี่หมายความว่า ถึงตอนนั้นจะรู้จักประชาคมคริสเตียนได้โดยง่าย โดยมีฐานะอย่างที่ประชาคมเคยมีในสมัยของอัครสาวก.—มัดธาย 13:24-30, 36-43.
ทั้งคำพยากรณ์ของยะซายาและมีคาได้บอกล่วงหน้าถึงการรวบรวมผู้นมัสการแท้อีก “ในช่วงสุดท้ายของสมัย.” ยะซายากล่าวว่า “และในช่วงสุดท้ายของสมัย การณ์จะต้องเป็นดังนี้ ภูเขาแห่งราชนิเวศของพระยะโฮวาจะถูกสถาปนาอย่างมั่นคงให้เหนือยอดภูเขาทั้งหลาย และจะถูกยกขึ้นเหนือบรรดาเนินเขาเป็นแน่; และประชาชาติทั้งปวงจะต้องหลั่งไหลไปที่นั้น. และชนชาติเป็นอันมากจะไปเป็นแน่และกล่าวว่า, ‘มาเถิดพวกเจ้า, ให้เราขึ้นไปยังภูเขาแห่งพระยะโฮวา, และยังราชนิเวศของพระเจ้าแห่งยาโคบ; และพระองค์จะทรงสอนเราเรื่องวิถีทางของพระองค์, และเราจะดำเนินตามมรคาทั้งหลายของพระองค์.’” การพิจารณาดูข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาแสดงว่าคำพยากรณ์ของยะซายากำลังสำเร็จเป็นจริงอยู่ในสมัยของเรา.—ยะซายา 2:2, 3, ล.ม.; มีคา 4:1-3.
อย่างไรก็ดี ความเจริญเติบโตของประชาคมคริสเตียนมิได้เกิดขึ้นโดยความพยายามบางอย่างของมนุษย์. พระเยซูตรัสล่วงหน้าว่า พระองค์จะ “ใช้ทูตของท่านออกไป” เพื่อทำการรวบรวม. พระองค์ยังทรงชี้แจงจุดประสงค์พิเศษทีเดียวสำหรับงานนั้นว่า “คราวนั้นผู้ชอบธรรมจะรุ่งเรืองอยู่ในแผ่นดินพระบิดาของเขาดุจแสงดวงอาทิตย์.” (มัดธาย 13:43) นี่แสดงว่า ประชาคมคริสเตียนจะปฏิบัติงานที่ให้ความสว่าง คืองานสั่งสอนตลอดทั่วโลก.
พยานพระยะโฮวาเห็นความสำเร็จเป็นจริงของคำพยากรณ์เหล่านี้ในงานสั่งสอนซึ่งพวกเขาปฏิบัติอยู่ใน 232 ดินแดนในทุกวันนี้. โดยการเปรียบเทียบความเชื่อ, มาตรฐานความประพฤติ, และองค์การของพยานฯกับคัมภีร์ไบเบิลแล้ว คนที่ไม่มีอคติเห็นได้ชัดว่า สิ่งเหล่านี้ประสานกับสิ่งที่มีอยู่ในประชาคมคริสเตียนศตวรรษแรก. พวกพยานฯพูดถึงความเชื่อของเขาว่าเป็น “ความจริง” แต่ไม่ใช่จากการคิดเอาเองว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น. ถ้าจะพูดให้ถูกแล้ว ที่พวกเขาพูดเช่นนั้นเพราะเขาได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิล พระวจนะของพระเจ้าอย่างละเอียด และปฏิบัติตามพระคัมภีร์ฐานะเป็นมาตรฐานอย่างเดียวซึ่งใช้พิสูจน์ดูศาสนาได้อย่างถูกต้อง.
คริสเตียนยุคแรกกล่าวถึงความเชื่อของเขาว่าเป็น “ความจริง.” (1 ติโมเธียว 3:15; 2 เปโตร 2:2; 2 โยฮัน 1) สิ่งที่เป็นความจริงสำหรับพวกเขาก็ต้องเป็นความจริงสำหรับเราในทุกวันนี้ด้วย. พยานพระยะโฮวาเชิญทุกคนพิสูจน์ให้แน่ชัดด้วยตัวเองโดยการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. เราหวังว่า โดยการทำเช่นนั้น คุณจะประสบความยินดีซึ่งเกิดจากไม่เพียงแต่การได้พบศาสนาที่ล้ำเลิศกว่าศาสนาอื่นเท่านั้น แต่จากการได้พบความจริงด้วย!
[กรอบหน้า 5]
ปรัชญาบางอย่างที่ค้านกับความจริง
ปฏิฐานนิยม: เป็นทัศนะที่ว่าแนวคิดทั้งหมดที่มีลักษณะทางด้านศาสนาเป็นเรื่องไร้สาระที่พิสูจน์ไม่ได้ และที่ว่าจุดประสงค์ของปรัชญาก็เพื่อรวบรวมวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้เพื่อทำให้มีความเป็นหนึ่งเดียว.
อัตถิภาวนิยม: ผู้สนับสนุนลัทธินี้ได้รับผลกระทบมากจากความน่าสยดสยองของสงครามโลกครั้งที่สอง และเพราะฉะนั้น จึงมองชีวิตในแง่ร้าย. ลัทธินี้เน้นการพิจารณาความปวดร้าวของมนุษย์เมื่อเผชิญความตายและความว่างเปล่าของชีวิต. ชางปอล ซาร์ต นักประพันธ์ที่สนับสนุนลัทธิอัตถิภาวนิยมได้กล่าวว่า เนื่องจากไม่มีพระเจ้า มนุษย์จึงถูกทอดทิ้งและดำรงอยู่ในเอกภพซึ่งขาดความสนใจไยดีอย่างสิ้นเชิง.
วิมัตินิยม: ยึดหลักที่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุความรู้สากลที่ปราศจากอคติ—นั่นคือความจริงใด ๆ—เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของชีวิตโดยการสังเกตและเหตุผล.
ปฏิบัตินิยม: ประเมินคุณค่าแท้แห่งความเชื่อมั่นของเราโดยที่ความเชื่อมั่นนั้นต้องอำนวยประโยชน์แก่มนุษย์เท่านั้น เช่น ในการจัดรูปแบบใหม่ของการศึกษา, ศีลธรรม, และการเมือง. ปรัชญานี้ไม่ถือว่าความจริงมีคุณค่าแต่อย่างใดในตัวมันเอง.