ความบากบั่นนำไปสู่ความก้าวหน้า
เล่าโดย โฮเซ แมกล็อฟสกี
เมื่อตำรวจคว้าแขนผม ผมมองหาคุณพ่อ. อย่างไรก็ตาม โดยที่ผมไม่รู้ ท่านถูกพาตัวไปที่สถานีตำรวจแล้ว. เมื่อผมไปถึงที่นั่น ตำรวจได้ยึดหนังสือของเราทั้งหมด รวมทั้งคัมภีร์ไบเบิล และกองไว้บนพื้น. เมื่อเห็นเช่นนั้น คุณพ่อจึงถามว่า “คุณเอาแม้กระทั่งคัมภีร์ไบเบิลกองไว้บนพื้นเชียวหรือ?” ผู้บังคับการตำรวจขอโทษแล้วหยิบคัมภีร์ไบเบิลขึ้นมาไว้บนโต๊ะ.
เรามาลงเอยที่สถานีตำรวจได้อย่างไร? เราได้ทำอะไร? เราอยู่ในรัฐอเทวนิยมที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการโดยตำรวจหรือ จนแม้แต่คัมภีร์ไบเบิลก็ถูกยึดไป? เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ เราจะต้องย้อนไปในปี 1925 ก่อนผมเกิดเสียอีก.
ในปีนั้น คุณพ่อของผม เอสเตฟาโน แมกล็อฟสกี และคุณแม่ของผม จูเลียนา ออกจากประเทศซึ่งเวลานั้นคือยูโกสลาเวีย และย้ายไปตั้งถิ่นฐานในเมืองเซาเปาโลที่บราซิล. แม้คุณพ่อเป็นโปรเตสแตนต์และคุณแม่เป็นคาทอลิก แต่ศาสนาก็ไม่ใช่ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการแตกแยกระหว่างท่านทั้งสอง. ที่จริง สิบปีต่อมามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งทำให้ท่านทั้งสองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางศาสนา. น้าเขยเอาหนังสือเล่มเล็กสี่สีภาษาฮังการีซึ่งพูดถึงสภาพของคนตายมาให้คุณพ่อ. เขาได้รับหนังสือเล่มเล็กนั้นเป็นของขวัญ และขอให้คุณพ่ออ่านและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาของหนังสือ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับ “นรก.” คุณพ่อใช้เวลาทั้งคืนอ่านหนังสือเล่มเล็กนั้นแล้วก็อ่านซ้ำอีก และวันรุ่งขึ้นเมื่อคุณลุงมาถามความคิดเห็น คุณพ่อประกาศออกมาอย่างแน่ชัดว่า “นี่คือความจริง!”
เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ
เนื่องจากสิ่งพิมพ์นั้นมาจากพยานพระยะโฮวา ทั้งสองคนจึงเสาะหาพวกพยานฯเพื่อจะเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับความเชื่อและคำสอนของพวกเขา. ในที่สุดเมื่อติดต่อได้ สมาชิกหลายคนในครอบครัวของเราก็เริ่มพิจารณาคัมภีร์ไบเบิลกับพวกพยานฯ. ในปีเดียวกันนั้นคือปี 1935 การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาฮังการีเป็นประจำได้เริ่มขึ้น มีผู้เข้าร่วมประชุมโดยเฉลี่ยแปดคน และนับแต่นั้นมาเราศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำในบ้านของเรา.
หลังจากศึกษาคัมภีร์ไบเบิลสองปี คุณพ่อก็รับบัพติสมาปี 1937 และได้มาเป็นพยานที่กระตือรือร้นของพระยะโฮวา มีส่วนในงานประกาศตามบ้านและยังทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ที่รับการแต่งตั้งและผู้นำการศึกษา. ท่านช่วยในการก่อตั้งประชาคมแรกในเมืองเซาเปาโล แถบวีลา มาเรียนา. ต่อมา ประชาคมนี้ย้ายไปที่ใจกลางเมืองและกลายเป็นที่รู้จักกันว่าประชาคมกลาง. สิบปีต่อมาก็มีการตั้งประชาคมที่สอง ในบริเวณอีพิแรงกา และคุณพ่อได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รับใช้ประชาคมที่นั่น. ปี 1954 ก็ตั้งประชาคมที่สาม ในแถบโมอินโย เวลโย ที่ซึ่งท่านรับใช้เป็นผู้รับใช้ประชาคมเช่นกัน.
ทันทีที่กลุ่มนี้เข้มแข็งดี ท่านก็เริ่มช่วยกลุ่มหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงในเมืองเซา เบอร์นาโด โด คัมโป. เนื่องจากพระยะโฮวาทรงอวยพระพรความพยายามของพยานฯกลุ่มเล็ก ๆ ในช่วงปีเหล่านี้ จึงมีการเติบโตที่น่าทึ่ง จนในปี 1994 มีผู้ประกาศกว่า 70,000 คนใน 760 ประชาคมในเมืองเซาเปาโลและปริมณฑล. น่าเสียดาย คุณพ่อไม่ทันได้เห็นการเติบโตเช่นนี้. ท่านเสียชีวิตปี 1958 ตอนอายุ 57 ปี.
มุ่งมั่นติดตามแบบอย่างของคุณพ่อ
บุคลิกลักษณะที่เด่นอย่างหนึ่งของคุณพ่อ ซึ่งก็เช่นเดียวกับคริสเตียนที่อาวุโสคนอื่น ๆ คือน้ำใจต้อนรับ. (ดู 3 โยฮัน 1, 5-8.) ผลก็คือ เรามีสิทธิพิเศษต้อนรับแขกอย่างอันตอนโย อันดราเด กับภรรยาและลูกชาย ซึ่งจากสหรัฐมาที่บราซิลพร้อมกับบราเดอร์และซิสเตอร์ยูลล์ เมื่อปี 1936. นอกจากนี้ ผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียดสองคนก็เป็นแขกในบ้านของเราด้วยคือ แฮร์รี แบล็ก และ ดิลลาร์ด เล็ทโค ซึ่งเป็นมิชชันนารีสองคนแรกที่ได้รับมอบหมายให้มาที่บราซิลในปี 1945. ยังมีคนอื่น ๆ อีกหลายคนติดตามมา. พี่น้องชายหญิงเหล่านี้เป็นแหล่งแห่งการหนุนกำลังใจเสมอแก่ทุกคนในครอบครัวของเรา. ด้วยหยั่งรู้ค่าในสิ่งนี้และเพื่อประโยชน์ของครอบครัว ผมจึงมุ่งมั่นเลียนแบบอย่างของคุณพ่อในเรื่องคุณลักษณะแบบคริสเตียนเกี่ยวกับการมีน้ำใจต้อนรับ.
แม้ผมอายุเพียงเก้าขวบตอนที่คุณพ่อเรียนรู้ความจริงปี 1935 ในฐานะลูกชายคนโต ผมก็เริ่มติดตามท่านในกิจการงานตามระบอบของพระเจ้า. เราทุกคนเข้าร่วมการประชุมกับท่านที่หอประชุมซึ่งตั้งอยู่ที่สำนักงานกลางของพวกพยานฯในเมืองเซาเปาโล เลขที่ 141 ถนนเอซา เด เครอซ. เนื่องจากได้รับการสอนและอบรมจากคุณพ่อ ผมจึงพัฒนาความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะรับใช้พระยะโฮวา และปี 1940 ผมอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาโดยแสดงสัญลักษณ์ด้วยการจุ่มตัวในน้ำในแม่น้ำเทียเทซึ่งไหลผ่านใจกลางเมืองเซาเปาโล ซึ่งเวลานี้น้ำเน่าเสีย.
ไม่ช้า ผมเรียนรู้ว่าการเป็นผู้เผยแพร่ข่าวดีเป็นประจำ, การปลูกและรดน้ำข่าวสารแห่งความจริงในผู้อื่น, และการนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลตามบ้านหมายความอย่างไร. เวลานี้ เนื่องจากได้เห็นพยานพระยะโฮวานับพันที่อุทิศตัวในบราซิล ผมรู้สึกยินดีอย่างล้ำลึกที่รู้ว่า พระองค์ทรงใช้ผมให้ช่วยผู้คนมากมายให้มารู้ความจริงหรือทำให้พวกเขาเข้าใจความจริงลึกซึ้งยิ่งขึ้น.
หนึ่งในบรรดาคนที่ผมช่วยก็คือโฌอาคิม เมโล ซึ่งผมพบในงานเผยแพร่ตามบ้าน. ผมกำลังพูดกับผู้ชายอีกสามคนซึ่งฟังแต่ไม่สนใจนัก. แล้วผมก็สังเกตเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเข้ามาร่วมวงกับเราและตั้งใจฟัง. เมื่อเห็นเขาสนใจ ผมจึงเบนความสนใจมาที่เขาและหลังจากให้คำพยานเป็นอย่างดี ก็เชิญเขามายังการศึกษาหนังสือประจำประชาคม. เขาไม่ได้มาร่วมการศึกษา แต่เขาโผล่มาในการประชุมโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า และจากนั้นก็เข้าร่วมประชุมอย่างสม่ำเสมอ. เขาก้าวหน้าเป็นอย่างดี, รับบัพติสมา, และรับใช้เป็นผู้ดูแลเดินทางอยู่หลายปีพร้อมด้วยภรรยา.
จากนั้นก็เป็นอาร์นัลโด ออร์ซี ซึ่งผมพบในที่ทำงาน. ผมให้คำพยานเป็นประจำกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งแต่สังเกตว่า ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไว้เครามักจะแอบฟังเสมอ ดังนั้นผมจึงเริ่มพูดกับเขาโดยตรง. เขามาจากครอบครัวคาทอลิกที่เคร่ง แต่มีคำถามมากมายเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เช่น การสูบบุหรี่, การดูภาพยนตร์ลามก, และการฝึกศิลปะป้องกันตัวยูโด. ผมแสดงให้เขาเห็นว่าคัมภีร์ไบเบิลพูดอย่างไร และสิ่งที่ยังความประหลาดที่น่ายินดีแก่ผมก็คือ วันรุ่งขึ้นเขาเรียกผมไปดูเขาทำลายกล้องยาสูบและไฟแช็กของเขา พร้อมกับไม้กางเขน, ทำลายฟิล์มภาพยนตร์ลามก, และโกนเคราของเขาออก. ช่างเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงในชั่วเวลาอันสั้นจริง ๆ! เขายังเลิกฝึกยูโดและขอศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับผมทุกวัน. แม้ได้รับการต่อต้านจากภรรยาและบิดา เขาก็ก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างดีโดยได้รับความช่วยเหลือจากพี่น้องที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ. ในเวลาอันสั้น เขารับบัพติสมาและทุกวันนี้รับใช้เป็นผู้ปกครองในประชาคม. ภรรยาและลูก ๆ ของเขาก็รับเอาความจริงเช่นกัน.
มีส่วนในงานรับใช้ราชอาณาจักร
ตอนผมอายุประมาณ 14 ปี ผมเริ่มทำงานในบริษัทโฆษณา ที่ซึ่งผมเรียนรู้วิธีเขียนป้าย. สิ่งนี้ปรากฏว่ามีประโยชน์มาก และเป็นเวลาหลายปีผมเป็นพี่น้องเพียงคนเดียวในเซาเปาโลที่ถูกใช้ให้เขียนแผ่นป้ายโฆษณาและแผ่นผ้าติดตามถนนโฆษณาคำบรรยายสาธารณะและการประชุมใหญ่ของพยานพระยะโฮวา. เกือบ 30 ปี ผมมีสิทธิพิเศษรับใช้เป็นหัวหน้าแผนกป้ายการประชุมใหญ่. ผมเก็บวันพักร้อนไว้เสมอ เพื่อทำงานในช่วงการประชุมใหญ่ ถึงกับนอนในห้องประชุมเพื่อเขียนป้ายให้เสร็จทันเวลา.
ผมยังมีโอกาสทำงานกับรถกระจายเสียงของสมาคมฯ ซึ่งเป็นสิ่งแปลกใหม่จริง ๆ ในเวลานั้น. เราจะวางสรรพหนังสือของเราเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลบนแผง และขณะที่รถกระจายเสียงข่าวสารจากจานเสียง เราจะคุยกับผู้คนซึ่งออกมานอกบ้านเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น. อีกวิธีหนึ่งที่เราใช้เพื่อประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรก็คือเครื่องเล่นจานเสียงกระเป๋าหิ้ว และผมยังมีแผ่นเสียงที่ใช้เสนอสรรพหนังสือของสมาคมฯ. ผลก็คือเราได้จำหน่ายหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลได้มากมาย.
ในสมัยนั้น คริสตจักรคาทอลิกมีขบวนแห่ยาวเหยียดไปตามถนนสายต่าง ๆ ในเซาเปาโล มักมีผู้ชายนำหน้าเพื่อกรุยทาง. วันอาทิตย์วันหนึ่ง เมื่อคุณพ่อกับผมกำลังเสนอวารสารหอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด! ตามถนน ก็มีขบวนแห่ยาวเหยียดผ่านมา. คุณพ่อสวมหมวกตามปกติวิสัยของท่าน. ผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่หน้าขบวนแห่ตะโกนว่า “ถอดหมวกซิคุณ! ไม่เห็นหรือไงว่า ขบวนแห่กำลังมา?” เมื่อคุณพ่อไม่ถอดหมวก ผู้ชายหลายคนจึงกรูเข้ามา ดันเราไปจนชิดหน้าต่างร้านค้าและก่อเหตุวุ่นวาย. เหตุการณ์นี้จับความสนใจของตำรวจ จึงเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น. ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นจับแขนของตำรวจหมายจะคุยด้วย. ตำรวจคนนั้นสั่งพร้อมกับปัดมือชายคนนั้น “เอามือของคุณออกจากเครื่องแบบของผม!” แล้วเขาก็ถามว่ามีอะไรกัน. ชายคนนั้นอธิบายว่า คุณพ่อไม่ยอมถอดหมวกให้ขบวนแห่ โดยกล่าวเสริมว่า “ผมเป็นโรมันคาทอลิก.” คำตอบที่สวนขึ้นมาอย่างไม่คาดคิดก็คือ “คุณบอกว่าคุณเป็นโรมันหรือ? ก็กลับไปโรมเสียสิ! นี่คือบราซิล.” แล้วเขาก็หันมาทางเรา ถามว่า “ใครอยู่ที่นี่ก่อน?” เมื่อคุณพ่อตอบว่าเราอยู่ก่อน ตำรวจคนนั้นจึงไล่ผู้ชายพวกนั้นไปและบอกเราให้ทำงานของเราต่อ. เขายืนข้าง ๆ เราจนกระทั่งขบวนแห่ทั้งหมดเดินผ่านไป—และหมวกของคุณพ่อก็ยังอยู่ที่เดิม!
เหตุการณ์เช่นนี้มีไม่บ่อยนัก. แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เป็นการหนุนกำลังใจที่รู้ว่ามีผู้คนที่เชื่อในความยุติธรรมสำหรับชนส่วนน้อยและผู้คนที่ไม่ก้มหัวให้กับคริสตจักรคาทอลิก.
ในอีกโอกาสหนึ่ง ผมพบวัยรุ่นคนหนึ่งซึ่งแสดงความสนใจ และขอให้ผมกลับไปอีกสัปดาห์ถัดไป. เมื่อกลับไปเยี่ยม เขาต้อนรับผมเป็นอย่างดีและขอให้ผมเข้าไปในบ้าน. ผมตกใจเพียงไรที่พบตนเองถูกรุมล้อมด้วยแก๊งวัยรุ่นที่หัวเราะเยาะและพยายามยั่วผมให้โมโห! สถานการณ์เลวร้ายลง และผมรู้สึกว่า ไม่ช้าพวกเขาจะทำร้ายผม. ผมบอกคนที่เชิญผมเข้าไปในบ้านว่า หากเกิดอะไรขึ้นกับผม เขาจะต้องรับผิดชอบแต่ผู้เดียวและครอบครัวของผมทราบว่าผมอยู่ที่ไหน. ผมขอให้พวกเขาปล่อยผมไป และพวกเขาก็ยอม. อย่างไรก็ตาม ก่อนจากไป ผมบอกว่า ถ้าคนใดในพวกเขาอยากคุยกับผมเป็นการส่วนตัว ผมพร้อมเสมอ. ต่อมา ผมทราบว่าพวกนั้นเป็นกลุ่มคลั่งศาสนา เป็นเพื่อนกับบาทหลวงในท้องถิ่น ซึ่งยุยงให้พวกเขาจัดการนัดพบนี้ขึ้น. ผมดีใจที่หลุดออกมาได้.
แน่นอน ในตอนเริ่มต้น ความก้าวหน้าในบราซิลเป็นไปอย่างช้า ๆ จนแทบไม่สังเกตเห็น. เราอยู่ในขั้นแรกของการ “ปลูก” โดยมีเวลาน้อยสำหรับการ “บำรุง” และ “เก็บเกี่ยว” ผลที่เราลงแรง. เราจดจำได้เสมอถึงสิ่งที่อัครสาวกเปาโลเขียน: “ข้าพเจ้าได้ปลูกไว้, อะโปโลได้รดน้ำ แต่พระเจ้าได้ทรงบันดาลให้เกิดผล. เพราะฉะนั้นคนที่ปลูกก็ดี, คนที่รดน้ำก็ดี, ไม่เป็นคนสำคัญอะไร แต่พระเจ้าต่างหากซึ่งทรงโปรดให้เกิดผล.” (1 โกรินโธ 3:6, 7) ด้วยการมาถึงของผู้สำเร็จการศึกษาสองคนแรกจากโรงเรียนกิเลียดในปี 1945 เรารู้สึกว่าเวลามาถึงแล้วสำหรับความเจริญเติบโตที่รอคอยกันมานาน.
ความกล้าเมื่อเผชิญการต่อต้าน
อย่างไรก็ตาม ความเจริญเติบโตไม่ได้มาโดยปราศจากการต่อต้าน โดยเฉพาะหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มขึ้นในยุโรป. มีการกดขี่ข่มเหงอย่างโจ่งแจ้งเพราะประชาชนโดยทั่วไปและเจ้าหน้าที่บางคนไม่เข้าใจฐานะความเป็นกลางของเรา. คราวหนึ่งในปี 1940 ขณะที่เรากำลังประกาศตามท้องถนนโดยสวมแผ่นป้ายโฆษณาที่ใจกลางเมืองเซาเปาโล ตำรวจคนหนึ่งเข้าหาผมทางด้านหลัง ดึงแผ่นป้ายออก และคว้าแขนผมพาไปสถานีตำรวจ. ผมมองหาคุณพ่อ ก็ไม่เห็นท่าน. โดยที่ผมไม่รู้ ท่านและพี่น้องชายหญิงคนอื่น ๆ หลายคน รวมทั้งบราเดอร์ยูลล์ซึ่งดูแลงานในบราซิล ถูกพาตัวไปที่สถานีตำรวจแล้ว. ดังที่แสดงไว้ในตอนเริ่มเรื่อง ผมพบคุณพ่อที่นั่นอีกครั้งหนึ่ง.
เนื่องจากผมเป็นผู้เยาว์ ผมจะถูกกักตัวไว้ไม่ได้และไม่ช้าก็ถูกนำตัวกลับบ้านโดยตำรวจคนหนึ่งและมอบให้กับคุณแม่. เย็นวันเดียวกันนั้น พี่น้องหญิงก็ถูกปล่อยตัวเช่นกัน. ต่อมา ตำรวจตัดสินใจจะปล่อยพี่น้องชายทั้งหมด ประมาณสิบคน ยกเว้นบราเดอร์ยูลล์. อย่างไรก็ตาม พวกพี่น้องยืนกรานว่า “ปล่อยหมด หรือไม่ก็ไม่ต้องปล่อยเลย.” ตำรวจยังคงยืนคำ ดังนั้น ทุกคนจึงนอนด้วยกันในห้องอันหนาวเย็นบนพื้นซีเมนต์. วันรุ่งขึ้น ทุกคนถูกปล่อยตัวอย่างไม่มีเงื่อนไข. หลายครั้ง พี่น้องถูกจับเนื่องจากให้คำพยานโดยใช้แผ่นป้ายโฆษณา. ป้ายต่าง ๆ โฆษณาคำบรรยายสาธารณะและหนังสือเล่มเล็กที่ชื่อว่าลัทธิฟัสซิสต์หรืออิสรภาพ และเจ้าหน้าที่บางคนเข้าใจว่า เราเข้าข้างลัทธิฟัสซิสต์ ซึ่งทำให้เข้าใจผิดอย่างไม่มีทางเลี่ยงได้.
การเกณฑ์ทหารก่อปัญหาให้กับพี่น้องหนุ่ม ๆ. ปี 1948 ผมเป็นคนแรกที่ถูกขังในบราซิลเนื่องจากประเด็นนี้. เจ้าหน้าที่ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรกับผม. ผมถูกย้ายไปที่โรงทหารในเมืองคาซาปาวา และถูกจับให้ไปทำงานปลูกและดูแลผักต่าง ๆ ในสวน และทำความสะอาดห้องที่พวกเจ้าหน้าที่ฝึกฟันดาบกัน. ผมมีโอกาสมากมายที่จะให้คำพยานและจำหน่ายสรรพหนังสือกับเจ้าหน้าที่เหล่านี้. เจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมดูแลเป็นคนแรกที่รับหนังสือที่ชื่อว่าบุตร (ภาษาอังกฤษ) ของสมาคมฯ. ต่อมา ผมถึงกับได้รับมอบหมายให้สอนวิชาศาสนาแก่ทหาร 30 หรือ 40 คนซึ่งไม่สามารถออกกำลังและต้องอยู่แต่ในห้อง. ในที่สุด หลังจากประมาณสิบเดือนในคุก ผมถูกนำตัวขึ้นพิจารณาคดีและปล่อยตัว. ผมรู้สึกขอบคุณพระยะโฮวาผู้ทรงประทานกำลังแก่ผมให้กล้าเผชิญการข่มขู่, คำสบประมาท, และการเยาะเย้ยที่ผมได้รับจากบางคน.
ผู้ช่วยที่ซื่อสัตย์และภักดี
วันที่ 2 มิถุนายน 1951 ผมแต่งงานกับบาร์บารา และนับแต่นั้นมาเธอเป็นคู่เคียงที่ภักดีและซื่อสัตย์ในการสอนลูก ๆ ของเราและอบรมเลี้ยงดูพวกเขาด้วย “การตีสอนและการปรับความคิดจิตใจตามหลักการของพระยะโฮวา.” (เอเฟโซ 6:4, ล.ม.) ในบรรดาลูกห้าคน สี่คนกำลังรับใช้พระยะโฮวาด้วยความยินดีตามวิสัยสามารถที่ต่างกัน. เราหวังว่า พวกเขาจะบากบั่นด้วยกันกับเราต่อไปในความจริง และส่งเสริมความก้าวหน้าขององค์การและงานที่กำลังทำอยู่. สมาชิกครอบครัวในภาพถ่ายที่นำมาลงเป็นผู้รับใช้ที่อุทิศตัวของพระยะโฮวาทุกคน ยกเว้นคนที่เด็กที่สุด คือทารกที่อุ้มอยู่. สี่คนเป็นผู้ปกครองซึ่งสองในสี่คนนี้เป็นไพโอเนียร์ประจำด้วย แสดงให้เห็นความเป็นจริงของสุภาษิต 17:6 ที่ว่า “หลานเหลนเป็นมงกุฎของผู้เฒ่าและสง่าราศีของพวกลูก ๆ ก็เนื่องมาจากบิดาของเขา.”
เวลานี้ ขณะที่อายุ 68 ปี สุขภาพของผมไม่สู้ดี. ปี 1991 ผมเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนทางเดินหลอดเลือดหัวใจสามแห่ง และต่อมารับการผ่าตัดซ่อมแซมหลอดเลือด. อย่างไรก็ตาม ผมดีใจที่สามารถรับใช้ต่อไปในฐานะผู้ดูแลผู้เป็นประธานในประชาคมหนึ่งที่เมืองเซา เบอร์นาโด โด คัมโป โดยเจริญรอยตามคุณพ่อซึ่งเป็นคนแรก ๆ ที่ริเริ่มการงานที่นี่. ไม่มีคนชั่วอายุใดเหมือนคนชั่วอายุของเรา ซึ่งมีโอกาสร่วมในสิทธิพิเศษที่ไม่มีวันจะมีอีกในการประกาศการสถาปนาราชอาณาจักรมาซีฮาของพระยะโฮวา. ดังนั้น เราต้องไม่ลืมถ้อยคำที่เปาโลกล่าวกับติโมเธียวที่ว่า “ฝ่ายท่าน . . . จงกระทำการงานของผู้เผยแพร่กิตติคุณ จงทำงานรับใช้ของท่านให้ครบถ้วน.”—2 ติโมเธียว 4:5, ล.ม.
[รูปภาพหน้า 23]
คุณพ่อคุณแม่ เอสเตฟาโน และ จูเลียนา แมกล็อฟสกี
[รูปภาพหน้า 26]
โฮเซ กับ บาร์บารา และสมาชิกครอบครัวซึ่งเป็นผู้รับใช้ที่อุทิศตัวของพระยะโฮวา