การปลอบโยนจาก “พระเจ้าผู้ทรงชูใจทุกอย่าง”
“จงสรรเสริญพระเจ้า, พระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา, คือพระบิดาผู้ทรงความเมตตาและพระเจ้าผู้ทรงชูใจทุกอย่าง, พระองค์ผู้ทรงโปรดให้เราได้รับความชูใจในการทุกข์ยากทั้งสิ้นของเรา.”—2 โกรินโธ 1:3, 4.
1, 2. ผู้คนที่โศกเศร้าต้องการความชูใจแบบไหน?
ผู้ที่มีความทุกข์โศกเศร้าต้องการการชูใจที่แท้จริง—ไม่ใช่ถ้อยคำที่พูดกันจำเจและสำนวนซ้ำซาก. พวกเราทุกคนเคยได้ยินภาษิตที่ว่า ‘เวลาช่วยเยียวยาบาดแผล’ แต่ในช่วงแรกหลังจากผู้เป็นที่รักได้เสียชีวิต คนที่โศกเศร้าไม่ได้รับการชูใจด้วยแนวคิดนั้น คริสเตียนรู้ว่าพระเจ้าทรงสัญญาเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่ปวดร้าวอยู่ในส่วนลึกและมีความตึงเครียดทางอารมณ์เนื่องจากการสูญเสียอย่างกะทันหัน. และแน่นอน ถ้าลูกน้อยคนหนึ่งของคุณเสียชีวิตไป ลูกคนอื่น ๆ ที่เหลืออยู่ก็ไม่อาจจะทดแทนลูกที่เสียชีวิต.
2 เมื่อคนที่เรารักเสียชีวิต เราได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการปลอบโยนที่แท้จริง การปลอบโยนซึ่งมีพื้นฐานมั่นคงในคำสัญญาของพระเจ้า. นอกจากนั้น เราต้องการความร่วมรู้สึก. เรื่องนี้เป็นความจริงแน่นอนสำหรับประชาชนในประเทศรวันดา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวพยานพระยะโฮวาหลายร้อยครอบครัวที่นั่น ซึ่งประสบการสูญเสียคนที่เขารักเนื่องจากถูกสังหารหมู่ล้างชาติพันธุ์อย่างโหดร้าย. ทุกคนที่โศกเศร้าจะได้การปลอบประโลมจากผู้ใด?
พระยะโฮวา—พระเจ้าแห่งการชูใจ
3. พระยะโฮวาได้ทรงวางแบบอย่างในการชูใจอย่างไร?
3 พระยะโฮวาทรงวางแบบอย่างการให้ความชูใจแก่พวกเราทุกคน. พระองค์ได้ส่งพระเยซูคริสต์พระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวเข้ามาในโลกเพื่อให้การชูใจและความหวังนิรันดร์แก่พวกเรา. พระเยซูทรงสอนว่า “พระเจ้าทรงรักโลกมากจนถึงกับได้ประทานพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่แสดงความเชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์.” (โยฮัน 3:16, ล.ม.) อนึ่ง พระองค์ได้ตรัสแก่สาวกของพระองค์ดังนี้: “ไม่มีผู้ใดมีความรักใหญ่ยิ่งกว่านี้ คือที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละจิตวิญญาณของตัวเพื่อมิตรของตน.” (โยฮัน 15:13, ล.ม.) อีกโอกาสหนึ่ง พระองค์ตรัสว่า “บุตรมนุษย์ก็ดีมิได้มาเพื่อให้เขาปรนนิบัติ. แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา, และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก.” (มัดธาย 20:28) และเปาโลได้กล่าวว่า “พระเจ้าได้ทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะเมื่อเราทั้งหลายยังเป็นคนบาป พระคริสต์ได้ทรงยอมตายแทนเรา.” (โรม 5:8) โดยแนวทางเหล่านี้และข้อคัมภีร์อื่น ๆ อีกหลายข้อ เราจึงได้มาเข้าใจความรักของพระเจ้าและของพระเยซู.
4. เพราะเหตุใดอัครสาวกเปาโลเป็นหนี้บุญคุณพระยะโฮวาเป็นพิเศษ?
4 อัครสาวกเปาโลได้เข้าใจเป็นพิเศษถึงพระกรุณาอันไม่พึงได้รับของพระเจ้า. ท่านเคยได้รับการช่วยให้พ้นจากสภาพที่ตายแล้วฝ่ายวิญญาณ พ้นจากการเป็นคนข่มเหงเหล่าสาวกของพระคริสต์อย่างโหดร้าย มาเป็นคริสเตียนที่ได้รับการข่มเหงเสียเอง. (เอเฟโซ 2:1-5) ท่านพรรณนาประสบการณ์ของตัวเองดังนี้: “ด้วยว่าข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยที่สุดในพวกอัครสาวก, และไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นอัครสาวก, เพราะว่าข้าพเจ้าได้เคี่ยวเข็ญคริสตจักรของพระเจ้า. แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นอยู่อย่างนี้, เนื่องด้วยพระคุณของพระเจ้าและพระคุณของพระองค์ซึ่งได้ประทานแก่ข้าพเจ้านั้นมิได้ไร้ประโยชน์, เพราะข้าพเจ้าได้ทำการมากกว่าเขาทั้งหลายอีก แต่ความจริงมิใช่จะเป็นตัวข้าพเจ้าเอง, แต่เป็นด้วยพระคุณของพระเจ้าซึ่งดำรงอยู่กับข้าพเจ้า.”—1 โกรินโธ 15:9, 10.
5. เปาโลเขียนไว้อย่างไรเกี่ยวกับการชูใจจากพระเจ้า?
5 ครั้นแล้วเปาโลเขียนอย่างเหมาะเสียจริง ๆ ที่ว่า “จงสรรเสริญพระเจ้า, พระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา, คือพระบิดาผู้ทรงความเมตตาและพระเจ้าผู้ทรงชูใจทุกอย่าง, พระองค์ผู้ทรงโปรดให้เราได้รับความชูใจในการทุกข์ยากทั้งสิ้นของเรา, เพื่อเราจะได้ชูใจคนเหล่านั้นที่มีความทุกข์ยากอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยความชูใจซึ่งตัวเราเองได้รับจากพระเจ้า. ด้วยเราได้มีส่วนทนทุกข์ด้วยกันกับพระคริสต์มากเท่าใด, ความชูใจของเราเนื่องจากพระคริสต์ก็มากเท่านั้น. ที่เราทนความทุกข์ยากนั้นก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ความชูใจและความรอด หรือที่เราได้รับความชูใจนั้นก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้รับความชูใจด้วย, ซึ่งทำให้ท่านทั้งหลายเพียรสู้ทนความทุกข์เหมือนอย่างเราได้ทนนั้น เราจึงมีความหวังแน่นอนในท่านทั้งหลาย เพราะเรารู้ว่าท่านทั้งหลายได้มีส่วนในความทุกข์ยากฉันใด, ท่านทั้งหลายจะได้มีส่วนในความชูใจฉันนั้น.”—2 โกรินโธ 1:3-7.
6. คำภาษากรีกที่ได้รับการแปลว่า “การชูใจ” บอกเป็นนัยถึงสิ่งใด?
6 ถ้อยคำเหล่านี้ช่างก่อความยินดีเสียนี่กระไร! คำกรีกที่ได้รับการแปลว่า “การชูใจ” ณ ที่นี้เกี่ยวข้องกับ “การเรียกเข้ามาอยู่ข้าง ๆ.” ดังนั้น จึงหมายความว่า “การยืนอยู่ข้าง ๆ ผู้หนึ่งเพื่อให้กำลังใจเขา เมื่อเขาประสบการทดลองอย่างรุนแรง.” (กุญแจด้านภาษาศาสตร์สำหรับพันธสัญญาใหม่ภาคภาษากรีก, ภาษาอังกฤษ) ผู้คงแก่เรียนด้านคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งเขียนว่า “คำนี้ . . . มีความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่าความเห็นอกเห็นใจที่ช่วยคลายความเศร้า. . . . การชูใจสำหรับคริสเตียนเป็นการชูใจที่ก่อให้เกิดความกล้าหาญ เป็นการชูใจซึ่งช่วยคนเราให้รับมือกับความยากลำบากทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเขา.” ทั้งยังรวมไปถึงถ้อยคำประโลมใจซึ่งยึดเอาคำทรงสัญญาและความหวังที่มั่นคงเป็นหลักอีกด้วย—นั่นคือการปลุกคนตายขึ้นมาสู่ชีวิต.
พระเยซูและเปาโล—ผู้ชูใจที่มีจิตเมตตาสงสาร
7. เปาโลได้ให้การชูใจแก่พี่น้องคริสเตียนของท่านอย่างไร?
7 นับว่าเปาโลเป็นตัวอย่างที่ดีเลิศจริง ๆ ในเรื่องการชูใจ! ท่านสามารถเขียนถึงพวกพี่น้องที่เมืองเธซะโลนิเกดังนี้: “เราได้ปฏิบัติอย่างนิ่มนวลท่ามกลางท่านทั้งหลาย เหมือนแม่ลูกอ่อนที่กำลังให้ลูกกินนมทะนุถนอมลูกของตน. ดังนั้น เนื่องจากเรามีความรักใคร่อันอ่อนละมุนต่อท่าน เราจึงยินดีจะให้ท่านทั้งหลายไม่เพียงแต่ข่าวดีของพระเจ้าเท่านั้น แต่ให้ทั้งจิตวิญญาณของเราแก่ท่านด้วย เพราะว่าท่านเป็นที่รักของเรา. สอดคล้องกับเรื่องนี้ท่านทั้งหลายทราบดีแล้วว่า เหมือนบิดาได้ปฏิบัติต่อลูกของตนฉันใด เราก็คอยตักเตือนทุกคนในพวกท่าน ทั้งปลอบใจและให้คำพยานแก่ท่านฉันนั้น.” เช่นเดียวกับบิดามารดาที่ดูแลเอาใจใส่ด้วยความรัก พวกเราทุกคนก็จะเผื่อแผ่ความอารีอารอบและความเข้าใจกับผู้อื่นในยามที่เขามีความจำเป็น.—1 เธซะโลนิเก 2:7, 8, 11.
8. เหตุใดการสอนของพระเยซูจึงเป็นการปลอบประโลมสำหรับคนที่มีความทุกข์โศกเศร้า?
8 เมื่อท่านแสดงความเอาใจใส่และความกรุณาเช่นนั้น เปาโลก็เพียงแต่เลียนแบบพระเยซู ผู้ทรงเป็นแบบอย่างอันดีเลิศสำหรับท่าน. นึกถึงการเชิญชวนซึ่งเปี่ยมด้วยความเมตตาสงสารที่พระเยซูเผื่อแผ่ไปยังทุกคนตามการบันทึกในมัดธาย 11:28-30 (ล.ม.) ดังนี้: “บรรดาผู้ที่ทำงานหนักและมีภาระมาก จงมาหาเรา และเราจะทำให้เจ้าทั้งหลายสดชื่น. จงรับแอกของเราไว้บนเจ้าทั้งหลายและเรียนจากเรา เพราะเรามีจิตใจอ่อนโยนและหัวใจถ่อม และเจ้าจะได้ความสดชื่นสำหรับจิตวิญญาณของเจ้า. เพราะแอกของเราก็พอเหมาะและภาระของเราก็เบา.” ใช่แล้ว คำสอนของพระเยซูให้ความสดชื่นเพราะเสนอความหวังและคำสัญญา—คำสัญญาเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย. นี้แหละคือความหวังและคำสัญญาซึ่งเราเสนอแก่ประชาชน อย่างเช่น เมื่อเราจำหน่ายจุลสารเมื่อคนที่คุณรักเสียชีวิต ให้กับเขา. ความหวังนี้ช่วยพวกเราทุกคนได้ ถึงแม้เราเคยรู้สึกเป็นทุกข์โศกเศร้ามานานแล้ว.
จะปลอบประโลมผู้เป็นทุกข์โศกเศร้าอย่างไร
9. เหตุใดเราไม่ควรหมดความอดทนกับผู้คนที่โศกเศร้า?
9 ความทุกข์โศกเศร้าไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะเวลาที่กำหนดไว้ทันทีหลังจากการตายของคนที่เรารัก. บางคนแบกความทุกข์โศกนานตลอดชีวิตของเขาทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนเหล่านั้นที่สูญเสียบุตร. คู่สมรสคริสเตียนที่ซื่อสัตย์ในประเทศสเปนสูญเสียบุตรชายวัย 11 ขวบเมื่อปี 1963 ด้วยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ. จวบจนเดี๋ยวนี้คนทั้งสองยังหลั่งน้ำตาเมื่อพูดถึงปากีโตลูกชาย. วันครบรอบการตาย, รูปภาพ, ของที่ระลึก อาจเรียกความทรงจำอันแสนเศร้าได้. ฉะนั้น เราไม่ควรหมดความอดทนและคิดว่าป่านนี้แล้วคนอื่นก็น่าจะคลายความโศกเศร้าจากการสูญเสีย. ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์คนหนึ่งยอมรับว่า “ความซึมเศร้าและความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาจยืดเยื้อนานหลายปี.” เหตุฉะนั้น จำไว้ว่า รอยแผลเป็นอาจติดตัวเราไปจนตายฉันใด รอยแผลทางใจหลายอย่างก็เป็นฉันนั้น.
10. เราต้องทำประการใดเพื่อช่วยคนโศกเศร้า?
10 เราอาจทำอะไรบ้างในภาคปฏิบัติที่ใช้ได้ผลอันจะช่วยปลอบโยนผู้เป็นทุกข์โศกเศร้าในประชาคมคริสเตียน? ด้วยความจริงใจทุกประการ เราอาจพูดกับพี่น้องชายหรือหญิงที่ต้องการคำปลอบโยนทำนองนี้: “ถ้ามีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ บอกมาเถอะ.” แต่มีสักกี่ครั้งที่คนซึ่งสูญเสียผู้เป็นที่รักจะเรียกหาเราจริง ๆ เพื่อจะบอกว่า “ฉันคิดถึงบางสิ่งที่คุณจะช่วยฉันได้”? ปรากฏชัดว่า เราจะต้องเป็นฝ่ายริเริ่มอย่างเหมาะสม หากเราจะปลอบประโลมผู้ที่โศกเศร้า. ฉะนั้น เราสามารถทำประการใดได้อันเป็นแนวทางที่ยังประโยชน์? ต่อไปนี้คือข้อแนะบางประการที่ใช้ได้ผล.
11. การฟังของเราจะเป็นการปลอบประโลมผู้อื่นได้อย่างไร?
11 ฟัง: สิ่งหนึ่งซึ่งช่วยได้มากที่สุดคือ ร่วมความเจ็บปวดกับผู้ที่สูญเสียโดยการฟัง. คุณอาจถามว่า “คุณอยากคุยเรื่องนี้ไหม?” ปล่อยเขาตัดสินใจเอง. คริสเตียนคนหนึ่งนึกถึงคราวที่บิดาของเขาเสียชีวิต และบอกว่า “เป็นการช่วยผมจริง ๆ เมื่อมีคนถามเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วเขาตั้งใจฟังจริง ๆ.” ดังที่ยาโกโบแนะนำ จงว่องไวในการฟัง. (ยาโกโบ 1:19) ฟังด้วยความอดทนและอย่างเห็นอกเห็นใจ. พระคัมภีร์แนะนำไว้ที่โรม 12:15 ดังนี้: “จงร้องไห้ด้วยกันกับผู้ที่ร้องไห้” พึงระลึกว่าพระเยซูทรงกันแสงด้วยกันกับมาธาและมาเรีย.—โยฮัน 11:35.
12. เราอาจให้ความมั่นใจอะไรแก่คนเหล่านั้นที่เป็นทุกข์โศกเศร้า?
12 ให้ความมั่นใจ: พึงระลึกเสมอว่าคนสูญเสียผู้เป็นที่รักอาจรู้สึกผิดในตอนแรก คิดว่าบางทีเขาน่าจะได้ทำอะไรมากกว่านี้. จงให้เขามั่นใจว่าทุกสิ่งที่พอทำได้ดูเหมือนเขาก็ทำไปแล้ว (หรืออะไรก็ตามที่คุณรู้ว่าเป็นความจริงและเป็นในเชิงก่อ). ให้เขามั่นใจว่า การที่เขามีความรู้สึกเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด. เล่าเรื่องคนที่คุณรู้จักซึ่งได้ฟื้นคืนสู่สภาพปกติ หลังจากการสูญเสียคล้าย ๆ กัน. หรือพูดอีกนัยหนึ่ง จงเป็นคนมีความรู้สึกไวและมีความเห็นอกเห็นใจ. การช่วยเหลืออย่างกรุณาของเราย่อมได้ผลดีมากมาย! ซะโลโมจารึกไว้ดังนี้: “คำพูดที่เหมาะกับกาลเทศะเปรียบเหมือนผลแอปเปิลทำด้วยทองคำใส่ไว้ในกระเช้าเงิน.”—สุภาษิต 16:24; 25:11; 1 เธซะโลนิเก 5:11, 14.
13. ถ้าเราทำตัวพร้อมที่จะช่วย นั่นช่วยได้อย่างไร?
13 อยู่พร้อมจะช่วย: จงทำตัวให้พร้อมที่จะช่วย ไม่เพียงระยะสองสามวันแรกเมื่อเพื่อนและญาติอยู่พร้อมหน้า แต่อีกหลายเดือนต่อจากนั้นหากจำเป็น เมื่อญาติมิตรต่างก็กลับคืนสู่กิจวัตรประจำวันของตน. ช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้าอาจสั้นยาวต่างกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละคน. ความสนใจและการเห็นอกเห็นใจของเราแบบคริสเตียนมีความสำคัญมากในยามใด ๆ ที่มีความต้องการ. พระคัมภีร์กล่าวว่า “มิตรสหายที่สนิทยิ่งกว่าพี่น้องก็มี.” ด้วยเหตุนั้น คำกล่าวที่ว่า “เพื่อนในยามยากคือเพื่อนแท้” จึงเป็นคำพูดที่เป็นความจริงซึ่งเราควรปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น.—สุภาษิต 18:24; เทียบกับกิจการ 28:15.
14. เราอาจจะพูดเรื่องอะไรเพื่อชูใจคนโศกเศร้า?
14 พูดคุยถึงคุณความดีของผู้ตาย: นี่เป็นสิ่งที่ช่วยได้มากอีกอย่างหนึ่งเมื่อพูดอย่างถูกกาละ. เล่าเรื่องราวในเชิงก่อซึ่งคุณจำได้เกี่ยวกับผู้ตาย. อย่าลังเลใจที่จะเอ่ยถึงชื่อผู้ตาย. อย่าทำทีประหนึ่งว่า ผู้เป็นที่รักซึ่งตายไปไม่เคยมีตัวตนอยู่ในโลกหรือไม่มีความสำคัญอะไร. นับว่าเป็นการปลอบประโลมที่รู้ถึงสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดที่ว่า “มีการฟื้นตัวสู่สภาพปกติ เมื่อคนที่โศกเศร้าสามารถคิดถึงคนที่ล่วงลับไปโดยปราศจากความเศร้าเสียใจอย่างท่วมท้น . . . ขณะมีการยอมรับและซึมซับความเป็นจริงใหม่ ความโศกเศร้าเลือนหายกลายเป็นความทรงจำอันมีค่า.” “ความทรงจำอันมีค่า”—เป็นการประโลมใจเพียงใดที่จะรำลึกถึงช่วงเวลาอันมีค่ายิ่งเหล่านั้นที่เคยอยู่ร่วมกับผู้เป็นที่รัก! พยานฯคนหนึ่งซึ่งบิดาของเขาเสียชีวิตหลายปีมาแล้วพูดว่า “สิ่งที่อยู่ในความทรงจำของผมเป็นพิเศษก็คือการได้อ่านพระคัมภีร์กับคุณพ่อหลังจากท่านเริ่มเรียนความจริงไม่นาน. กับตอนที่เราได้นอนคุยกันริมฝั่งแม่น้ำเกี่ยวกับปัญหาบางอย่างของผม. ผมมีโอกาสเห็นหน้าท่านทุก ๆ สามหรือสี่ปีที่ผมกลับบ้านเท่านั้น ดังนั้น โอกาสเหล่านั้นจึงมีค่ายิ่ง.”
15. โดยวิธีใดคนเราจะเป็นฝ่ายริเริ่มให้การช่วยเหลือ?
15 จงเป็นฝ่ายริเริ่มเมื่อเห็นว่าเหมาะสม: บางคนรับมือกับความโศกเศร้าได้ดีกว่าคนอื่น. ดังนั้น จงลงมือช่วยเหลือตามสภาพการณ์. หญิงคริสเตียนคนหนึ่งซึ่งอยู่ในระหว่างโศกเศร้าได้เล่าว่า “มีหลายคนพูดว่า ‘ถ้ามีอะไรที่ฉันทำได้ บอกมาเถอะ.’ แต่ซิสเตอร์คริสเตียนคนหนึ่งไม่ได้ถาม. เธอตรงไปที่ห้องนอน รื้อผ้าปูที่นอนที่สกปรกออกมาซัก. อีกคนหนึ่งนำถัง, น้ำ, และเครื่องมือทำความสะอาดมา แล้วซักล้างพรมที่เปื้อนอาเจียนของสามีดิฉัน. ซิสเตอร์เหล่านี้เป็นเพื่อนแท้ ดิฉันจะลืมเสียมิได้.” เมื่อเห็นว่าจำต้องช่วยเหลือ จงเป็นฝ่ายริเริ่ม—อาจจะช่วยจัดเตรียมอาหาร, ช่วยทำความสะอาด, หรือวิ่งเต้นทำธุระต่าง ๆ ให้. แน่นอน เราควรระมัดระวังไม่เข้าไปก้าวก่ายเมื่อผู้สูญเสียผู้เป็นที่รักต้องการอยู่อย่างสงบ. ดังนั้น พึงจำถ้อยคำของเปาโลใส่ใจไว้เสมอที่ว่า “เหตุฉะนั้น ในฐานะเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร บริสุทธิ์และเป็นที่รัก จงสวมตัวท่านด้วยความรักใคร่อันอ่อนละมุนแห่งความเมตตา, ความกรุณา, ใจถ่อม, ความอ่อนโยน, และความอดกลั้นไว้นาน.” ความกรุณา, ความเพียร, และความรักไม่เคยไร้ผล.—โกโลซาย 3:12, ล.ม.; 1 โกรินโธ 13:4-8.
16. ทำไมจดหมายหรือบัตรอาจให้การปลอบประโลมได้?
16 เขียนจดหมายหรือส่งบัตรเป็นการปลอบโยน: สิ่งซึ่งถูกมองข้ามบ่อย ๆ คือคุณค่าของจดหมายแสดงความเสียใจ หรือบัตรแสดงความเห็นใจที่สวยงาม. บัตรหรือจดหมายมีส่วนดีอะไรบ้าง? เป็นสิ่งที่อ่านได้หลาย ๆ ครั้ง. จดหมายเช่นนั้นไม่จำเป็นต้องยาวแต่ควรแสดงความเห็นอกเห็นใจ. อีกประการหนึ่ง ควรให้เป็นจดหมายสะท้อนลักษณะทางฝ่ายวิญญาณ แต่อย่าให้เหมือนกับเทศน์. เพียงแต่เป็นถ้อยคำเรียบง่าย อาทิ “พวกเราอยู่พร้อมจะหนุนใจคุณเสมอ” ก็เป็นการปลอบประโลมได้.
17. การอธิษฐานอาจเป็นการชูใจอย่างไร?
17 อธิษฐานกับเขา: อย่าได้ประเมินค่าการอธิษฐานของคุณกับเพื่อนคริสเตียนที่สูญเสียผู้เป็นที่รัก หรือการอธิษฐานเผื่อเขาต่ำเกินไป. พระคัมภีร์บอกไว้ที่ยาโกโบ 5:16 (ล.ม.) ว่า “คำวิงวอนของคนชอบธรรม . . . มีพลังมาก.” ยกตัวอย่าง เมื่อคนโศกเศร้าได้ยินเราอธิษฐานเผื่อเขา ความรู้สึกในแง่ลบของเขา เช่น ความรู้สึกผิดจะผ่อนคลายไปได้. ในช่วงที่เรารู้สึกอ่อนแอ, หมดกำลังใจ ซาตานจะพยายามบ่อนทำลายเราด้วย “ยุทธอุบาย” หรือ “การกระทำอันมีเล่ห์เหลี่ยม” ของมัน. ยามนี้แหละเราต้องการการปลอบโยนและการสนับสนุนด้วยการอธิษฐาน ดังเปาโลได้กล่าวว่า “โดยคำอธิษฐานวิงวอนทุกอย่างจงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา จงระวังตัวด้วยความเพียรทุกอย่างและอธิษฐานเพื่อสิทธชนทั้งหมด.”—เอเฟโซ 6:11, 18; เทียบกับยาโกโบ 5:13-15.
สิ่งที่พึงหลีกเลี่ยง
18, 19. เราจะแสดงการรู้กาลเทศะในการสนทนาได้อย่างไร?
18 เมื่อผู้คนกำลังโศกเศร้า มีหลายอย่างเช่นกันที่ไม่ควรทำหรือพูด. สุภาษิต 12:18 เตือนอย่างนี้: “คำพูดพล่อย ๆ ของคนบางจำพวกเหมือนการแทงของกระบี่; แต่ลิ้นของคนมีปัญญาย่อมรักษาแผลให้หาย.” บางครั้ง โดยไม่ทันรู้ตัว เราไม่ได้แสดงการรู้กาลเทศะ. อย่างเช่น เราอาจพูดว่า “ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณ.” แต่คุณเข้าใจจริง ๆ ไหม? คุณเคยประสบการสูญเสียอย่างเดียวกันนั้นจริง ๆ ไหม? อีกอย่างหนึ่ง คนเรามีปฏิกิริยาแตกต่างกัน. ปฏิกิริยาของคุณอาจไม่เหมือนกับปฏิกิริยาของคนที่เป็นทุกข์โศกเศร้า. อาจจะเป็นการแสดงความเข้าใจได้มากกว่าที่จะพูดว่า “ฉันเห็นใจคุณจริง ๆ เพราะฉันเองเคยสูญเสีย . . . อย่างคุณมาแล้ว.”
19 อนึ่ง คงเป็นการแสดงการคำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่นเช่นกันที่จะหลีกเลี่ยงการพูดถึงคนที่ตายนั้นว่าจะถูกปลุกหรือไม่ถูกปลุกขึ้นจากตาย. พี่น้องชายหรือหญิงบางคนชอกช้ำใจมากจริง ๆ เมื่อมีการพูดให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในภายภาคหน้าสำหรับคู่สมรสที่ตายไปที่ไม่มีความเชื่อ. เราไม่ใช่ผู้ตัดสินว่าใครจะถูกปลุกหรือไม่ถูกปลุกขึ้นจากตาย. พวกเราเบาใจได้ว่าพระยะโฮวา ผู้ทรงทอดพระเนตรหัวใจ จะทรงมีความเมตตามากยิ่งกว่าที่พวกเราส่วนใหญ่จะมี.—บทเพลงสรรเสริญ 86:15; ลูกา 6:35-37.
ข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ที่ให้การปลอบโยน
20, 21. ข้อคัมภีร์อะไรบ้างซึ่งให้การปลอบใจคนโศกเศร้าได้?
20 แหล่งหนึ่งที่ช่วยได้มากที่สุดสำหรับคนที่สูญเสียผู้เป็นที่รักเมื่อให้ในเวลาอันเหมาะก็คือการพิจารณาคำสัญญาต่าง ๆ ของพระยะโฮวาสำหรับคนตาย. แนวคิดจากพระคัมภีร์จะเป็นประโยชน์ ไม่ว่าคนที่สูญเสียผู้เป็นที่รักเป็นพยานพระยะโฮวาอยู่แล้วหรือเป็นผู้ที่เราพบขณะที่เราทำการเผยแพร่. ข้อคัมภีร์เหล่านี้มีข้อใดบ้าง? พวกเรารู้ว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าแห่งการชูใจทั้งสิ้น เพราะพระองค์ตรัสว่า “เรา, เราเองนะ, เป็นผู้เล้าโลมของเจ้า.” และพระองค์ตรัสอีกว่า “มารดาปลอบโยนบุตรฉันใด, เราก็จะปลอบโยนเจ้าฉันนั้น.”—ยะซายา 51:12; 66:13.
21 ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญเขียนดังนี้: “นี่คือการปลอบโยนข้าพเจ้าในความทุกข์ของข้าพเจ้า เพราะพระดำรัสของพระองค์ได้รักษาชีวิตข้าพเจ้าไว้. ข้าพเจ้าระลึกถึงการตัดสินความของพระองค์ตั้งแต่เวลาไม่มีกำหนด โอพระยะโฮวา และข้าพเจ้าได้รับการปลอบโยนสำหรับข้าพเจ้าเอง. ขอโปรดให้ความรักกรุณาของพระองค์เป็นสิ่งปลอบโยนข้าพเจ้า ตามพระดำรัสที่พระองค์ทรงมีแก่ผู้รับใช้ของพระองค์.” โปรดสังเกตคำ “ปลอบโยน” ถูกนำมาใช้หลายครั้งในข้อเหล่านี้. ใช่แล้ว เราย่อมได้รับการปลอบโยนแท้สำหรับตัวเองและสำหรับคนอื่นโดยการมุ่งความสนใจไปที่พระคำของพระยะโฮวาในยามที่เราโศกเศร้า. ข้อนี้ผนวกกับความรักและความเมตตาสงสารของพี่น้องย่อมช่วยเราทนความปวดร้าวอันเนื่องมาจากการสูญเสียคนรักและเติมชีวิตของเราอีกครั้งหนึ่งด้วยกิจกรรมที่ยังความชื่นชมยินดีในงานรับใช้ฝ่ายคริสเตียน.—บทเพลงสรรเสริญ 119:50, 52, 76, ล.ม.
22. อนาคตเช่นไรมีอยู่ตรงหน้าพวกเรา?
22 นอกจากนั้น เราอาจเอาชนะความโศกเศร้าได้มากพอควรด้วยการเอาใจใส่หมกมุ่นช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อเขาประสบความทุกข์ลำบาก. ขณะที่เรามุ่งความสนใจไปยังผู้ที่จำเป็นต้องรับการปลอบโยน เราเองก็ได้รับความสุขแท้จากการให้ฝ่ายวิญญาณ. (กิจการ 20:35) ขอเราช่วยเขาให้มองเห็นภาพการเป็นขึ้นจากตาย เมื่อประชาชนจากทุกประเทศชาติในอดีต ชั่วอายุแล้วชั่วอายุเล่าจะพากันต้อนรับผู้เป็นที่รักซึ่งถูกปลุกขึ้นจากตายเข้าสู่โลกใหม่. ช่างเป็นอนาคตที่น่ารอคอยสักเพียงไร! น้ำตาแห่งความปลาบปลื้มยินดีจะรินไหลในคราวนั้น ขณะที่เราระลึกว่า แท้จริงพระยะโฮวาทรงเป็นพระเจ้า “ผู้ทรงหนุนน้ำใจคนทั้งหลายที่ท้อใจ”!—2 โกรินโธ 7:6.
คุณจำได้ไหม?
▫ พระยะโฮวาทรงเป็น “พระเจ้าแห่งการชูใจ” อย่างไร?
▫ พระเยซูและเปาโลได้ปลอบประโลมผู้โศกเศร้าอย่างไร?
▫ มีอะไรบ้างซึ่งเราสามารถทำได้เพื่อปลอบโยนผู้โศกเศร้า?
▫ เราควรหลีกเลี่ยงอะไรเมื่อติดต่อกับผู้ที่โศกเศร้า?
▫ คุณชอบข้อคัมภีร์อะไรเป็นพิเศษสำหรับการปลอบใจในยามที่เกิดการสูญเสีย?
[รูปภาพหน้า 15]
จงริเริ่มอย่างผ่อนหนักผ่อนเบาเพื่อช่วยเหลือผู้โศกเศร้า