ความเกลียดชังสิ้นสุดลงทั่วโลก
ราว ๆ สองพันปีมาแล้ว ชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งตกเป็นเป้าของความเกลียดชัง. เทอร์ทูลเลียนพรรณนาเจตคติที่แพร่หลายของชาวโรมันต่อคริสเตียนยุคแรกว่า “หากฟ้าไม่มีฝน หากมีแผ่นดินไหว, หากมีการกันดารอาหารหรือโรคระบาด เสียงร้องตะโกนในทันทีก็คือ ‘เอาพวกคริสเตียนไปให้สิงโตกินเสีย!’”
ถึงแม้เป็นเป้าของความเกลียดชังก็ตาม คริสเตียนยุคแรกต้านทานแรงกระตุ้นให้แก้แค้นความอยุติธรรม. ในคำเทศน์บนภูเขาอันเลื่องชื่อ พระเยซูได้ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘ท่านต้องรักเพื่อนบ้านของท่านและต้องเกลียดชังศัตรูของท่าน.’ แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงรักศัตรูของท่านทั้งหลายต่อ ๆ ไป และอธิษฐานเผื่อผู้ที่ประทุษร้ายท่านทั้งหลาย.”—มัดธาย 5:43, 44, ล.ม.
เป็นคำสอนที่เล่าสืบปากของพวกยิวที่ถือว่า ‘การเกลียดชังศัตรู’ เป็นสิ่งถูกต้องที่พึงกระทำ. อย่างไรก็ดี พระเยซูตรัสว่า เราต้องรักศัตรูของเรา ไม่ใช่รักเพียงเพื่อนของเราเท่านั้น. เรื่องนี้ยาก แต่ก็ใช่ว่าไม่มีทางเป็นไปได้. การรักศัตรูมิได้หมายถึงการชอบแนวทางหรือการกระทำทุกอย่างของเขา. คำภาษากรีกที่ปรากฏในเรื่องราวของมัดธายนั้นได้มาจากคำอะกาʹเป ซึ่งพรรณนาถึงความรักที่ปฏิบัติประสานกับหลักการ. บุคคลที่สำแดงอะกาʹเป ความรักที่อาศัยหลักการ ทำดีแม้แต่กับศัตรูซึ่งเกลียดชังและปฏิบัติอย่างเลวร้ายต่อเขา. เพราะเหตุใด? เพราะนั่นเป็นวิธีเลียนแบบพระคริสต์ และเป็นวิธีที่จะเอาชนะความเกลียดชัง. ผู้คงแก่เรียนด้านภาษากรีกเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลอรรถาธิบายไว้ว่า “[อะกาʹเป] ทำให้เราสามารถเอาชนะแนวโน้มตามธรรมชาติที่จะโกรธและขุ่นเคือง.” แต่หลักการนี้จะใช้ได้ผลหรือในโลกทุกวันนี้ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง?
เป็นที่ยอมรับว่า ไม่ใช่ทุกคนซึ่งอ้างว่าเป็นคริสเตียนปลงใจจะติดตามตัวอย่างของพระคริสต์. ทารุณกรรมในรวันดาเมื่อเร็ว ๆ นี้ดำเนินการโดยกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งสมาชิกเป็นจำนวนมากของกลุ่มเหล่านั้นประกาศตัวว่าเป็นคริสเตียน. พีลาร์ ดีเอส เอสเพโลซีน แม่ชีโรมันคาทอลิกซึ่งได้ทำงานในรวันดามาเป็นเวลา 20 ปีได้เล่าถึงเหตุการณ์หนึ่งที่สะเทือนใจ. ชายคนหนึ่งเข้ามาใกล้โบสถ์พร้อมถือหอกยาวที่เห็นได้ชัดว่าเขาใช้มาแล้ว. แม่ชีถามเขาว่า “ทำอะไรกันนี่ เที่ยวฆ่าคนไปทั่วหรือ? คุณไม่คิดถึงพระคริสต์บ้างเลยหรือ?” เขาอ้างว่าคิดถึง แล้วก็เข้าไปในโบสถ์ คุกเข่าลงและสวดนับลูกประคำอย่างกระตือรือร้น. แต่พอเขาสวดเสร็จ เขาก็ออกไปฆ่าคนต่อ. แม่ชียอมรับว่า “นั่นแสดงว่าเราไม่ได้สอนกิตติคุณอย่างถูกต้อง.” อย่างไรก็ดี ความล้มเหลวดังกล่าวมิได้หมายความว่า ข่าวสารของพระเยซูขาดตกบกพร่อง. คนเหล่านั้นซึ่งปฏิบัติศาสนาคริสเตียนแท้สามารถเอาชนะความเกลียดชังได้.
การเอาชนะความเกลียดชังในค่ายกักกัน
มากซ์ ลีบสเตอร์เป็นชาวยิวโดยกำเนิดซึ่งมีชีวิตรอดผ่านการสังหารหมู่โดยพวกนาซี. ถึงแม้นามสกุลของเขาหมายความว่า “เป็นที่รัก” ก็ตาม เขาได้พบเห็นความเกลียดชังมากผิดปกติ. เขาพรรณนาสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาในเยอรมนีสมัยนาซีเกี่ยวกับความรักและความเกลียดชัง.
“ผมได้รับการเลี้ยงดูใกล้เมืองมานน์ไฮม์ เยอรมนี ระหว่างทศวรรษปี 1930. ฮิตเลอร์ได้อ้างว่า ชาวยิวทั้งหมดเป็นคนค้ากำไรที่ร่ำรวยซึ่งขูดรีดคนเยอรมัน. แต่ความจริงก็คือ คุณพ่อของผมเป็นเพียงช่างทำรองเท้าที่ต่ำต้อย. ถึงอย่างไรก็ตาม เนื่องจากอิทธิพลของการโฆษณาชวนเชื่อโดยพวกนาซี เพื่อนบ้านเริ่มแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อเรา. เมื่อผมเป็นเด็กวัยรุ่น ชาวบ้านคนหนึ่งได้ใช้กำลังเอาเลือดหมูทาหน้าผากผม. การสบประมาทอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้เป็นเพียงการลิ้มรสสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต. ในปี 1939 หน่วยตำรวจลับเกสตาโปได้จับกุมผมและยึดทรัพย์สมบัติทั้งหมดของผม.
“ตั้งแต่เดือนมกราคม 1940 จนถึงเดือนพฤษภาคม 1945 ผมต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตรอดในค่ายกักกันต่าง ๆ ห้าแห่งคือ ซัคเซนเฮาเซน, นอยเอนกามเม, เอาชวิทซ์, บูนา, และบูเคนวาลด์. คุณพ่อของผมซึ่งถูกส่งไปยังค่ายซัคเซนเฮาเซนได้เสียชีวิตระหว่างฤดูหนาวอันหนาวเหน็บในปี 1940. ผมแบกศพของท่านด้วยตัวเองไปยังเมรุที่มีศพกองสุมรอการเผาอยู่. รวมทั้งหมดแปดคนในครอบครัวผมที่เสียชีวิตในค่ายต่าง ๆ.
“พวกคาโพ เป็นที่เกลียดชังในหมู่นักโทษยิ่งกว่าทหารรักษาการณ์หน่วยเอสเอสเสียอีก. พวกคาโพ เป็นนักโทษซึ่งร่วมมือกับหน่วยเอสเอสและดังนั้นจึงได้รับความชอบพออยู่บ้าง. พวกเขาถูกมอบให้ดูแลการแจกจ่ายอาหาร และยังให้ตีนักโทษคนอื่น ๆ. บ่อยครั้งพวกเขาปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมและตามอำเภอใจ. ผมคิดว่า ผมมีเหตุผลเต็มที่ที่จะเกลียดชังทั้งทหารหน่วยเอสเอสและพวกคาโพ แต่ระหว่างถูกจำคุกผมได้เรียนรู้ว่า ความรักมีพลังยิ่งกว่าความเกลียดชัง.
“ความทรหดของนักโทษที่เป็นพยานพระยะโฮวาทำให้ผมมั่นใจว่า ความเชื่อของพวกเขาอาศัยพระคัมภีร์ และตัวผมเองได้เข้ามาเป็นพยานฯ. เอิร์นสต์ เวาเออร์ พยานฯที่ผมพบในค่ายกักกันนอยเอนกามเม กระตุ้นผมให้ปลูกฝังเจตคติของพระคริสต์. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “เมื่อพระองค์ถูกด่า พระองค์ก็ไม่ทรงด่าตอบ. เมื่อพระองค์ทรงทนทุกข์ทรมาน พระองค์มิได้ขู่เข็ญ แต่ทรงมอบตัวไว้กับพระองค์ผู้ทรงพิพากษาด้วยความชอบธรรมนั้นต่อ ๆ ไป.” (1 เปโตร 2:23, ล.ม.) ผมพยายามทำอย่างเดียวกัน ฝากการแก้แค้นไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ซึ่งเป็นผู้พิพากษาคนทั้งปวง.
“หลายปีที่ผมอยู่ในค่ายสอนผมว่า บ่อยครั้งผู้คนทำสิ่งชั่วร้ายเนื่องจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์. ไม่ใช่ทหารรักษาการณ์หน่วยเอสเอสทุกคนเป็นคนเลว มีคนหนึ่งช่วยชีวิตผมไว้. ครั้งหนึ่งผมเป็นโรคท้องร่วงอย่างเฉียบพลัน และอ่อนแรงเกินกว่าที่จะเดินทางจากที่ทำงานไปยังค่ายพัก. ผมน่าจะถูกส่งไปยังห้องแก๊สพิษของค่ายเอาชวิทซ์ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น แต่ทหารรักษาการณ์หน่วยเอสเอสคนหนึ่งซึ่งมาจากภูมิภาคเดียวกับผมในเยอรมนีได้เข้าช่วยเหลือผม. เขาจัดการให้ผมทำงานในโรงอาหารของหน่วยเอสเอส ที่ซึ่งผมสามารถพักผ่อนได้บ้างจนกว่าจะหายดี. วันหนึ่งเขาสารภาพกับผมว่า ‘มากซ์ ผมรู้สึกว่าตัวผมอยู่บนรถไฟที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงและควบคุมไม่ได้. หากผมกระโดดออก ผมก็จะตาย. หากผมอยู่ต่อไป ผมก็จะพังยับเยิน!’
“ผู้คนเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับความรักเช่นเดียวกับผม. ที่จริง ความรักและความเมตตาสงสาร พร้อมกับความเชื่อในพระเจ้านั่นเองที่ทำให้ผมสามารถรับมือกับสภาพที่น่าสมเพชและการข่มขู่เรื่องการประหารชีวิตอยู่ทุกวัน. ผมพูดไม่ได้ว่า ผมรอดชีวิตมาโดยไม่ได้รับความเสียหาย แต่ความบอบช้ำด้านความรู้สึกของผมมีน้อยมาก.”
ความอบอุ่นและความกรุณาที่มากซ์ยังคงถ่ายทอดออกมา 50 ปีภายหลัง ให้หลักฐานที่ชัดแจ้งว่า ถ้อยคำของเขาเป็นความจริง. กรณีของมากซ์ใช่ว่าเป็นกรณีเดียวเท่านั้น. เขามีเหตุผลหนักแน่นที่จะเอาชนะความเกลียดชัง—เขาต้องการเลียนแบบพระคริสต์. คนอื่น ๆ ซึ่งชีวิตของเขาได้รับการชี้นำจากพระคัมภีร์ก็ได้ปฏิบัติในทำนองคล้ายกัน. ซีโมน พยานพระยะโฮวาคนหนึ่งจากฝรั่งเศส อธิบายวิธีที่เธอเรียนรู้ว่า ความรักแบบไม่เห็นแก่ตัวหมายถึงอะไรจริง ๆ.
“เอ็มมา คุณแม่ของดิฉันซึ่งเข้ามาเป็นพยานฯก่อนสงครามโลกครั้งที่สองไม่นาน สอนดิฉันว่า บ่อยครั้งผู้คนทำสิ่งไม่ดีเพราะเขารู้เท่าไม่ถึงการณ์. ท่านอธิบายว่า หากเราเกลียดชังเขาเป็นการตอบแทนแล้ว เราก็ไม่ใช่คริสเตียนแท้ เนื่องจากพระเยซูตรัสว่า เราควรรักศัตรูของเราและอธิษฐานเผื่อคนเหล่านั้นที่ข่มเหงเรา.—มัดธาย 5:44.
“ดิฉันจำสถานการณ์ที่ยากอย่างสุดแสนซึ่งทดสอบสิ่งที่เรายึดมั่นนี้. ระหว่างที่พวกนาซียึดครองฝรั่งเศส คุณแม่ทนทุกข์มากเนื่องจากเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่อยู่ในอาคารเดียวกับเรา. เธอรายงานเรื่องคุณแม่ให้พวกเกสตาโปทราบ และผลก็คือ คุณแม่ต้องอยู่ในค่ายกักกันของเยอรมันสองปี ซึ่งท่านเกือบจะตายที่นั่น. ภายหลังสงคราม ตำรวจฝรั่งเศสต้องการให้คุณแม่เซ็นชื่อในเอกสารฟ้องดำเนินคดีผู้หญิงคนนี้ฐานเป็นผู้สมคบกับพวกเยอรมัน. แต่คุณแม่ปฏิเสธ โดยบอกว่า ‘พระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาและผู้ประทานบำเหน็จแก่คนดีและคนชั่ว.’ ไม่กี่ปีต่อมา เพื่อนบ้านคนเดียวกันนี้ป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย. แทนที่จะมองดูสภาพย่ำแย่ของเธออย่างสมน้ำหน้า คุณแม่ใช้เวลาหลายชั่วโมงทำให้ช่วงชีวิตในเดือนท้าย ๆ ของเธอได้รับการปลอบประโลมเท่าที่เป็นไปได้. ดิฉันจะไม่ลืมเรื่องที่ความรักมีชัยเหนือความเกลียดชังนี้เลย.”
ตัวอย่างสองเรื่องนี้แสดงให้เห็นพลังของความรักที่ใช้หลักการเมื่อเผชิญกับความอยุติธรรม. อย่างไรก็ตาม คัมภีร์ไบเบิลเองกล่าวว่า มี “วารสำหรับรัก, และมีวารสำหรับชัง.” (ท่านผู้ประกาศ 3:1, 8) เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?
วาระสำหรับชัง
พระเจ้ามิได้ตำหนิความเกลียดชังทุกอย่าง. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงพระเยซูคริสต์ว่า “พระองค์ได้ทรงรักความชอบธรรม, และได้ทรงเกลียดชังการอธรรม.” (เฮ็บราย 1:9) อย่างไรก็ดี มีความแตกต่างระหว่างการเกลียดชังความผิดกับการเกลียดบุคคลที่ทำผิด.
พระเยซูทรงแสดงให้เห็นเป็นแบบอย่างความสมดุลที่เหมาะสมระหว่างความรักและความเกลียดชัง. พระองค์ทรงเกลียดความหน้าซื่อใจคด แต่พระองค์พยายามช่วยคนหน้าซื่อใจคดให้เปลี่ยนแนวการคิดของเขา. (มัดธาย 23:27, 28; ลูกา 7:36-50) พระองค์ตำหนิความรุนแรง แต่พระองค์อธิษฐานเผื่อคนเหล่านั้นที่ประหารชีวิตพระองค์. (มัดธาย 26:52; ลูกา 23:34) และถึงแม้โลกเกลียดชังพระองค์โดยไม่มีสาเหตุ พระองค์ได้สละชีวิตของพระองค์เองเพื่อจะประทานชีวิตให้แก่โลก. (โยฮัน 6:33, 51; 15:18, 25) พระองค์ทรงวางตัวอย่างที่สมบูรณ์พร้อมไว้ให้เราเกี่ยวกับความรักที่อาศัยหลักการและความเกลียดชังเยี่ยงพระเจ้า.
ความอยุติธรรมอาจปลุกเร้าให้เราขุ่นเคืองทางด้านศีลธรรม เช่นเดียวกับพระเยซู. (ลูกา 19:45, 46) อย่างไรก็ดี คริสเตียนไม่ได้รับอนุญาตให้แก้แค้น. เปาโลแนะนำคริสเตียนในกรุงโรมว่า “อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย. . . . หากเป็นไปได้ ตราบเท่าที่ขึ้นอยู่กับท่านทั้งหลาย จงรักษาสันติสุขกับคนทั้งปวง. . . . อย่าทำการแก้แค้นเสียเอง . . . อย่าให้ความชั่วมีชัยแก่ตัว, แต่จงเอาชนะความชั่วด้วยความดีต่อ ๆ ไป.” (โรม 12:17-21, ล.ม.) เมื่อตัวเราเองไม่ครุ่นคิดเรื่องการเกลียดชังหรือแก้แค้นการกระทำผิด ความรักก็มีชัยชนะ.
โลกที่ปราศจากความเกลียดชัง
เพื่อให้ความเกลียดชังอันตรธานไปจากโลก เจตคติที่ฝังรากลึกของหลายล้านคนต้องเปลี่ยน. การเปลี่ยนนี้จะสัมฤทธิผลได้อย่างไร? ศาสตราจารย์เออร์วิน สเตาบ์ให้ข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้ “เราลดความสำคัญของคนเหล่านั้นที่เราทำร้ายและให้ความสำคัญแก่คนเหล่านั้นที่เราช่วยเหลือ. ขณะที่เราให้ความสำคัญอย่างสูงส่งมากขึ้นต่อคนที่เราช่วยและประสบความพอใจที่มีอยู่ในการช่วยเหลือนั้น เราก็พบว่าตัวเองเป็นคนมีความห่วงใยและมีประโยชน์มากขึ้นด้วย. เป้าหมายอย่างหนึ่งของเราก็คือต้องสร้างสังคมซึ่งมีการเข้าร่วมอย่างกว้างขวางที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในการช่วยเหลือคนอื่น.”—รากของความชั่ว (ภาษาอังกฤษ).
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การกำจัดความเกลียดชังเรียกร้องการสร้างสังคมซึ่งมีผู้คนเรียนรู้ที่จะรักกันโดยช่วยเหลือกันและกัน สังคมที่คนลืมความชิงชังทั้งสิ้นที่เกิดขึ้นเนื่องจากอคติ, ลัทธิชาตินิยม, การเหยียดผิว, และการถือเผ่า. สังคมเช่นนั้นมีอยู่ไหม? ขอพิจารณาประสบการณ์ของชายคนหนึ่งซึ่งได้เผชิญความเกลียดชังมาด้วยตัวเองระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรมในประเทศจีน.
“เมื่อการปฏิวัติวัฒนธรรมเริ่มต้น เราถูกสอนว่า ไม่มีช่องว่างสำหรับการประนีประนอมใน ‘การต่อสู้ของชนชั้น.’ ความเกลียดชังเป็นแนวโน้มที่แพร่หลาย. ผมเข้าเป็นกลุ่มเยาวชนเรดการ์ด แล้วเริ่มสืบหา ‘ศัตรูของชนชั้น’ ทุกแห่งหน—แม้แต่ในครอบครัวของผมเองด้วยซ้ำ. ถึงแม้เป็นเพียงวัยรุ่นในตอนนั้น ผมได้เข้าร่วมในการตรวจค้นบ้าน เพื่อหาหลักฐานของ ‘ความโน้มเอียงในการต่อต้าน.’ ผมยังได้นำการชุมนุมในที่สาธารณะซึ่งประณาม ‘บุคคลที่ต่อต้านการปฏิวัติ’ ด้วย. แน่นอน ข้อกล่าวหาเหล่านี้บางครั้งอาศัยความเกลียดชังเป็นส่วนตัวยิ่งกว่าการคำนึงถึงด้านการเมือง.
“ผมเห็นหลายคน ทั้งคนหนุ่มและคนแก่, ชายและหญิงถูกโบยตีซึ่งนับวันจะทารุณยิ่งขึ้น. ครูของผมคนหนึ่งซึ่งเป็นคนดีถูกพาแห่ไปตามถนนเสมือนอาชญากร. สองเดือนต่อมา ครูอีกคนหนึ่งที่ได้รับความนับถือมากในโรงเรียนของผมมีผู้พบว่าตายอยู่ในแม่น้ำซูเชา และครูสอนภาษาอังกฤษของผมถูกบังคับให้แขวนคอตัวเอง. ผมรู้สึกตกตะลึงและงงงัน. คนเหล่านี้มีใจกรุณา. การปฏิบัติกับพวกเขาแบบนี้เป็นสิ่งที่ผิด! ดังนั้น ผมจึงตัดขาดความเกี่ยวพันทุกอย่างของผมกับกลุ่มเยาวชนเรดการ์ด.
“ผมไม่คิดว่าเวลาแห่งความเกลียดชังที่ครอบคลุมจีนช่วงสั้น ๆ เป็นเพียงเหตุการณ์เดียวเท่านั้น. ในศตวรรษนี้ความเกลียดชังปะทุขึ้นมากมายทีเดียว. อย่างไรก็ดี ผมมั่นใจว่า ความรักสามารถเอาชนะความเกลียดชัง. นั่นเป็นสิ่งที่ผมได้ประสบด้วยตัวเอง. เมื่อผมเริ่มคบหากับพยานพระยะโฮวา ผมรู้สึกประทับใจในความรักแท้ที่พวกเขาแสดงต่อผู้คนต่างเชื้อชาติและภูมิหลัง. ผมคอยท่าเวลาซึ่งทุกคนจะได้เรียนรู้ที่จะรักกันและกัน ตามที่คัมภีร์ไบเบิลสัญญาไว้.”
ถูกแล้ว สังคมนานาชาติของพยานพระยะโฮวาเป็นหลักฐานชัดแจ้งว่า ความเกลียดชังจะลบล้างไปได้. ไม่ว่าภูมิหลังของพวกเขาเป็นเช่นไร พยานฯพยายามเอาความนับถือต่อกันและกันเข้ามาแทนที่อคติ และกำจัดร่องรอยใด ๆ ของการถือเผ่า, การเหยียดผิว, หรือลัทธิชาตินิยม. พื้นฐานอย่างหนึ่งสำหรับความสำเร็จของพวกเขาคือ ความตั้งใจที่จะเลียนแบบพระเยซูคริสต์ในการแสดงความรักที่ได้รับการชี้นำโดยหลักการ. พื้นฐานอีกอย่างหนึ่งคือ การที่พวกเขาคอยท่าราชอาณาจักรของพระเจ้าที่จะนำอวสานมาสู่ความอยุติธรรมใด ๆ ที่เขาอาจประสบอยู่.
ราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นวิธีแก้ที่แน่นอนที่จะได้มาซึ่งโลกที่ปราศจากความเกลียดชัง โลกซึ่งจะไม่มีแม้แต่สิ่งชั่วร้ายให้เกลียดชัง. โดยได้รับการพรรณนาไว้ในคัมภีร์ไบเบิลว่าเป็น “ฟ้าสวรรค์ใหม่” รัฐบาลทางภาคสวรรค์นี้จะรับประกันโลกที่ปลอดจากความอยุติธรรม. รัฐบาลนั้นจะปกครองเหนือ “แผ่นดินโลกใหม่” หรือสังคมใหม่ที่ประกอบด้วยผู้คนซึ่งจะได้รับการสอนให้รักกันและกัน. (2 เปโตร 3:13; ยะซายา 54:13) การสอนเช่นนี้กำลังดำเนินการอยู่แล้ว ดังประสบการณ์ของมากซ์, ซีโมน, และคนอื่น ๆ อีกหลายคนพิสูจน์ให้เห็น. นั่นเป็นการลิ้มรสล่วงหน้าถึงโครงการทั่วโลกที่จะกำจัดความเกลียดชังและสาเหตุของความเกลียดชัง.
พระยะโฮวาทรงพรรณนาผลไว้โดยผู้พยากรณ์ยะซายาว่า “สัตว์เหล่านั้นจะไม่ทำอันตราย, หรือทำความพินาศทั่วไปบนภูเขาอันบริสุทธิ์ของเรา; เพราะแผ่นดินโลกจะเต็มไปด้วยความรู้ฝ่ายพระยะโฮวาดุจน้ำท่วมเต็มมหาสมุทร.” (ยะซายา 11:9) พระเจ้าเองจะทรงยุติความเกลียดชัง. นั่นจะเป็นวาระที่จะรักอย่างแท้จริง.
[รูปภาพหน้า 7]
พวกนาซีสักหมายเลขคุกไว้บนแขนซ้ายของมากซ์ ลีบสเตอร์
[รูปภาพหน้า 8]
ไม่ช้าความเกลียดชังจะเป็นเรื่องของอดีต