หวงแหนการนมัสการอันบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา
“เพราะพระยะโฮวาผู้ทรงนามว่าหวงแหน, เป็นพระเจ้าผู้หวงแหน.”—เอ็กโซโด 34:14.
1. อะไรเป็นคุณลักษณะเด่นของพระเจ้า และคุณลักษณะนี้เกี่ยวโยงกับความหวงแหนของพระองค์อย่างไร?
พระยะโฮวาทรงพรรณนาพระองค์เองว่าเป็น “พระเจ้าผู้หวงแหน.” คำในคัมภีร์ไบเบิลที่หมายถึง “ความอิจฉาริษยาหวงแหน” มีความหมายในทางลบแฝงอยู่. อย่างไรก็ดี คุณลักษณะเด่นของพระเจ้าคือความรัก. (1 โยฮัน 4:8) ดังนั้น ความรู้สึกหวงแหนใด ๆ ของพระองค์ย่อมต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของมนุษย์. ที่จริง เราจะได้เห็นว่า ความหวงแหนของพระเจ้าเป็นสิ่งจำเป็นต่อความสงบสุขของเอกภพ.
2. มีการแปลคำภาษาฮีบรูสำหรับคำ “ความอิจฉาริษยาหวงแหน” ในทางใดบ้าง?
2 คำภาษาฮีบรูที่เกี่ยวข้องกับ “ความอิจฉาริษยาหวงแหน” ปรากฏมากกว่า 80 ครั้งในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู. เกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนดังกล่าวเกี่ยวโยงกับพระเจ้ายะโฮวา. จี. เอช. ลิฟวิงสตัน ชี้แจงว่า “เมื่อใช้คำนี้กับพระเจ้า แง่คิดเกี่ยวด้วยความหวงแหนไม่ได้แฝงด้วยอารมณ์ที่ผิดเพี้ยน แต่เป็นแง่คิดที่เรียกร้องการนมัสการพระยะโฮวาแต่พระองค์เดียว.” (สภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมในคัมภีร์เพนทาทุก, ภาษาอังกฤษ). ด้วยเหตุนี้ บางครั้งคัมภีร์ฉบับแปลโลกใหม่ จึงแปลคำนามภาษาฮีบรูนี้ว่า “การยืนหยัดเพื่อความเลื่อมใสโดยเฉพาะ.” (ยะเอศเคล 5:13) คำแปลอื่น ๆ ที่เหมาะสมได้แก่ “ความกระตือรือร้น.”—บทเพลงสรรเสริญ 79:5; ยะซายา 9:7.
3. บางครั้ง ความหวงแหนอาจเป็นพลังเพื่อวัตถุประสงค์ที่ดีในทางใดบ้าง?
3 มนุษย์ถูกสร้างให้สามารถรู้สึกหวงแหน แต่การที่มนุษยชาติตกเข้าสู่บาปมีผลทำให้ความหวงแหนถูกบิดเบือนไป. ถึงกระนั้น ความหวงแหนของมนุษย์เป็นพลังในทางดีได้. ความหวงแหนเช่นนี้อาจกระตุ้นคนเราให้ปกป้องผู้เป็นที่รักให้พ้นจากแรงชักจูงที่ไม่ดี. ยิ่งกว่านั้น มนุษย์เราสามารถแสดงความหวงแหนอย่างเหมาะสมเพื่อพระยะโฮวาและการนมัสการของพระองค์ได้. (1 กษัตริย์ 19:10) เพื่อถ่ายทอดความเข้าใจอย่างถูกต้องเรื่องความหวงแหนดังกล่าวที่มีต่อพระยะโฮวา จึงอาจแปลคำนามภาษาฮีบรูนี้ว่า “ไม่ยอมให้มีคู่แข่ง” กับพระองค์.—2 กษัตริย์ 10:16, ล.ม.
รูปโคทองคำ
4. คำสั่งอะไรซึ่งเกี่ยวข้องกับความหวงแหนในทางชอบธรรมปรากฏเด่นชัดในพระบัญญัติที่พระเจ้าประทานแก่ชาติยิศราเอล?
4 ตัวอย่างหนึ่งเกี่ยวกับความหวงแหนในทางชอบธรรมเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังชาวยิศราเอลได้รับพระบัญญัติที่ภูเขาซีนาย. พวกเขาได้รับการเตือนครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ให้บูชาพระทั้งหลายที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น. พระยะโฮวาทรงกำชับพวกเขาดังนี้: “เรา ยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่เรียกร้องความเลื่อมใสโดยเฉพาะ [หรือ “เป็นพระเจ้าผู้หวงแหน (มีความกระตือรือร้นอันแรงกล้า); พระเจ้าที่ไม่ยอมให้มีคู่แข่ง”].” (เอ็กโซโด 20:5, ล.ม., เชิงอรรถ; เทียบกับเอ็กโซโด 20:22, 23; 22:20; 23:13, 24, 32, 33.) พระยะโฮวาทรงทำคำสัญญาไมตรีกับชาติยิศราเอล ทรงสัญญาจะอวยพรพวกเขาและจะทรงนำเขาไปถึงแผ่นดินแห่งคำสัญญา. (เอ็กโซโด 23:22, 31) และไพร่พลเหล่านั้นพากันตอบว่า “สิ่งสารพัตรที่พระยะโฮวาได้ตรัสไว้นั้น, พวกข้าพเจ้าจะเชื่อฟังและทำตาม.”—เอ็กโซโด 24:7
5, 6. (ก) ระหว่างการตั้งค่ายพักที่ภูเขาซีนาย พวกยิศราเอลได้กระทำบาปร้ายแรงอย่างไร? (ข) ณ ภูเขาซีนาย พระยะโฮวาและเหล่าผู้นมัสการที่ซื่อสัตย์ภักดีได้แสดงความหวงแหนในทางชอบธรรมอย่างไร?
5 ถึงกระนั้น ต่อจากนั้นไม่นาน ชาวยิศราเอลได้ทำบาปต่อพระเจ้า. พวกเขายังตั้งค่าย ณ เชิงเขาซีนาย. โมเซอยู่บนภูเขาเป็นเวลาหลายวันเพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติมจากพระเจ้า และประชาชนได้กดดันอาโรนพี่ชายโมเซให้สร้างพระเจ้าองค์หนึ่งสำหรับพวกเขา. อาโรนยอมทำตาม แล้วได้เอาทองคำซึ่งประชาชนมอบให้มาทำเป็นรูปโคทองคำขึ้น. มีการกล่าวอ้างว่ารูปเคารพนั้นเป็นตัวแทนพระยะโฮวา. (บทเพลงสรรเสริญ 106:20) วันรุ่งขึ้นเขาจัดแจงถวายเครื่องบูชาและ “นมัสการบูชายัญแก่รูปนั้น.” แล้วพวกเขาได้ “ลุกขึ้นมีการรื่นเริง.”—เอ็กโซโด 32:1, 4, 6, 8, 17-19.
6 โมเซลงมาจากภูเขาขณะที่ชาวยิศราเอลกำลังเลี้ยงฉลอง. ครั้นได้เห็นการประพฤติอันเสื่อมทรามของเขา ท่านร้องขึ้นว่า “ผู้ใดอยู่ฝ่ายพระยะโฮวา?” (เอ็กโซโด 32:25, 26) บุตรชายทั้งหลายของเลวีได้เข้ามารวมกันอยู่ฝ่ายโมเซ และท่านจึงสั่งพวกเขาเอาดาบสะพายแล่งและสังหารพวกที่กินเลี้ยงสนุกสนานอันเป็นการไหว้รูปเคารพ. เพื่อแสดงความหวงแหนต่อการนมัสการอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า พวกเลวีได้สังหารพี่น้องของเขาที่กระทำผิดประมาณ 3,000 คน. พระยะโฮวาทรงสนับสนุนการกระทำนี้โดยบันดาลให้เกิดภัยพิบัติแก่พวกที่รอดจากคมดาบ. (เอ็กโซโด 32:28, 35) ครั้นแล้วพระเจ้าตรัสซ้ำพระบัญชาดังนี้: “พวกเจ้าอย่าได้นมัสการพระอื่นเลย; เพราะพระยะโฮวาผู้ทรงนามว่าหวงแหน, เป็นพระเจ้าผู้หวงแหน.”—เอ็กโซโด 34:14.
พระบาละแห่งพะโอระ
7, 8. (ก) โดยวิธีใด ชาวยิศราเอลเป็นอันมากได้พลาดเข้าสู่การกราบไหว้รูปเคารพอย่างร้ายแรงเกี่ยวเนื่องกับพระบาละแห่งพะโอระ? (ข) โรคร้ายที่มาจากพระยะโฮวาได้สิ้นสุดลงโดยวิธีใด?
7 สี่สิบปีต่อมา เมื่อชนชาติยิศราเอลจวนจะเข้าไปในแผ่นดินแห่งคำสัญญา หญิงชาวเมืองโมอาบและมิดยานที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจได้ล่อผู้ชายชาวยิศราเอลหลายคนไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับซึ่งพวกเขาจัดขึ้น. ผู้ชายเหล่านั้นน่าจะปฏิเสธการคบหาใกล้ชิดกับผู้นมัสการพระเจ้าเทียม. (เอ็กโซโด 34:12, 15) แทนที่จะทำเช่นนั้น เขากลับเป็นเหมือน ‘วัวที่วิ่งไปหาผู้ฆ่า’ โดยกระทำการล่วงประเวณีกับพวกผู้หญิงและร่วมกับพวกเขากราบไหว้พระบาละแห่งพะโอระ.—สุภาษิต 7:21, 22; อาฤธโม 25:1-3.
8 พระยะโฮวาทรงบันดาลโรคร้ายลงมาผลาญชีวิตคนทั้งปวงที่พัวพันกับการบูชาเพศอันน่าละอายคราวนั้น. อนึ่ง พระเจ้าทรงสั่งชาวยิศราเอลที่ไม่ได้ร่วมทำผิดให้ฆ่าพี่น้องของเขาซึ่งได้ทำผิด. ด้วยการกระทำอันน่าเหยียดหยามไร้ยางอาย ซิมรีชาวยิศราเอลมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าได้นำเจ้าหญิงชาวมิดยานเข้าไปร่วมเพศในกระโจม. ครั้นแลเห็นเช่นนั้น ฟีนะฮาศปุโรหิตผู้เกรงกลัวพระเจ้าจึงสังหารคนทั้งสองผู้ประพฤติผิดศีลธรรม. โรคร้ายก็หยุดลง และพระเจ้าทรงแถลงดังนี้: “ฟีเนหัส [ฟีนะฮาศ] . . . ได้ยับยั้งความกริ้วของเราต่อคนอิสราเอล ในการที่เขาหึงหวง [หวงแหน, ล.ม.] ด้วยความหึงหวง [หวงแหน, ล.ม.] ของเราที่มีต่อประชาชน ดังนั้น เราจึงมิได้เผาผลาญคนอิสราเอลเสียด้วยความหึงหวง [หวงแหน, ล.ม.] ของเรา.” (อาฤธโม 25:11, ฉบับแปลใหม่) ถึงแม้ไม่ถูกทำลายจนสิ้นชาติ แต่อย่างน้อยชาวยิศราเอล 23,000 คนเสียชีวิต. (1 โกรินโธ 10:8) พวกเขาสูญเสียความหวังที่เฝ้ารอมานานว่าจะได้เข้าไปในแผ่นดินแห่งคำสัญญา.
บทเรียนเตือนสติ
9. เกิดอะไรขึ้นแก่ชาวยิศราเอลและยูดาเพราะเหตุที่เขาไม่หวงแหนการนมัสการอันบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา?
9 น่าเศร้า ไม่ช้าไม่นานชาวยิศราเอลก็ลืมบทเรียนเหล่านี้. พวกเขาไม่หวงแหนการนมัสการอันบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา. “เขา . . . ได้กระทำให้พระองค์ทรงหึงหวง [หวงแหน, ล.ม.] ในเรื่องรูปเคารพของเขานั้น.” (บทเพลงสรรเสริญ 78:58) ในที่สุด พระยะโฮวาทรงปล่อยให้ยิศราเอลสิบตระกูลตกเป็นเชลยของอัสซีเรียในปี 740 ก่อนสากลศักราช. ส่วนสองตระกูลที่เหลือแห่งอาณาจักรยูดาก็ได้รับโทษทัณฑ์คล้าย ๆ กัน เมื่อยะรูซาเลมราชธานีของเขาถูกทำลายเมื่อปี 607 ก่อนสากลศักราช. คนจำนวนมากถูกสังหาร และผู้ที่เหลือรอดมาได้ก็ถูกต้อนเป็นเชลยไปยังบาบูโลน. นับว่าเป็นตัวอย่างเตือนสติคริสเตียนสมัยปัจจุบันอย่างแท้จริง!—1 โกรินโธ 10:6, 11.
10. จะเกิดอะไรขึ้นกับคนไหว้รูปเคารพที่ไม่กลับใจ?
10 ปัจจุบันนี้ หนึ่งในสามของจำนวนประชากรโลก—ประมาณ 1,900 ล้านคน—อ้างว่าเป็นคริสเตียน. (1994 บริแทนนิกา หนังสือแห่งปี) คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกคริสตจักรที่ใช้รูปภาพ, รูปปั้น, และไม้กางเขนในการนมัสการของเขา. พระยะโฮวาไม่ได้ไว้ชีวิตไพร่พลของพระองค์เอง ซึ่งทำให้พระองค์หวงแหนโดยการไหว้รูปเคารพ. พระองค์ก็จะไม่ไว้ชีวิตผู้ที่อ้างตัวเป็นคริสเตียนซึ่งนมัสการกราบไหว้โดยอาศัยวัตถุสิ่งของเช่นเดียวกัน. พระเยซูคริสต์ตรัสดังนี้: “พระเจ้าทรงเป็นองค์วิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยวิญญาณและความจริง.” (โยฮัน 4:24, ล.ม.) ยิ่งกว่านั้น คัมภีร์ไบเบิลเตือนคริสเตียนให้ระมัดระวังไม่บูชารูปเคารพ. (1 โยฮัน 5:21) คนไหว้รูปเคารพที่ไม่กลับใจก็อยู่ในจำพวกผู้ที่จะไม่ได้รับราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก.—ฆะลาเตีย 5:20, 21.
11. คริสเตียนอาจกลายเป็นคนทำผิดเนื่องด้วยรูปเคารพได้อย่างไร ทั้งที่เขาไม่ไหว้รูปเคารพ และอะไรจะช่วยคนเราหลีกพ้นการไหว้รูปเคารพแบบนี้? (เอเฟโซ 5:5)
11 แม้คริสเตียนแท้จะไม่เคยก้มกราบรูปเคารพเลย แต่เขาต้องหลีกเลี่ยงสิ่งใด ๆ ซึ่งพระเจ้าทรงถือว่าเป็นการบูชารูปเคารพ, เป็นสิ่งมีมลทิน, และเป็นบาป. ตัวอย่างเช่น คัมภีร์ไบเบิลเตือนว่า “จงประหารอวัยวะแห่งร่างกายของท่านทั้งหลายซึ่งอยู่บนแผ่นดินโลกนี้ในเรื่องการล่วงประเวณี, การโสโครก, ราคะตัณหา, ความปรารถนาที่เกิดความเสียหาย, และความละโมบ, ซึ่งเป็นการไหว้รูปเคารพ. เนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังมา.” (โกโลซาย 3:5, 6, ล.ม.) การเชื่อฟังถ้อยคำเหล่านี้เรียกร้องการปฏิเสธการประพฤติที่ผิดศีลธรรม. ทั้งนี้จึงเรียกร้องการละเว้นการบันเทิงซึ่งมุ่งจะกระตุ้นราคะตัณหาที่ไม่สะอาด. แทนที่จะสนองตัณหาดังกล่าว คริสเตียนแท้จะหวงแหนการนมัสการอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า.
ตัวอย่างความหวงแหนเยี่ยงพระเจ้าในเวลาต่อมา
12, 13. พระเยซูทรงวางตัวอย่างเด่นในการแสดงความหวงแหนต่อการนมัสการบริสุทธิ์ของพระเจ้านั้นอย่างไร?
12 ผู้หนึ่งซึ่งเป็นตัวอย่างเด่นที่สุดในเรื่องการแสดงความหวงแหนการนมัสการอันบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้แก่พระเยซูคริสต์. ในปีแรกแห่งการรับใช้นั้นทีเดียว พระองค์ทรงมองเห็นพวกพ่อค้าที่มักโลภทำการค้าอยู่ที่ลานพระวิหาร. คนยิวจากที่อื่น ๆ นอกกรุงยะรูซาเลมคงต้องการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินที่จะใช้ชำระภาษีสำหรับพระวิหาร. นอกจากนั้น เขาต้องซื้อสัตว์และนกสำหรับใช้เป็นเครื่องบูชาตามที่พระบัญญัติของพระเจ้าเรียกร้อง. การทำธุรกิจดังกล่าวน่าจะทำกันข้างนอกบริเวณพระวิหาร. ร้ายยิ่งกว่านั้น พวกพ่อค้าดูเหมือนจะถือเอาประโยชน์จากความจำเป็นทางศาสนาของพวกพี่น้องมากเกินไป โดยการโก่งราคา. เพราะความหวงแหนอย่างแรงกล้าต่อการนมัสการอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเยซูทรงใช้แส้ขับไล่แกะและฝูงสัตว์ออกไปจากที่นั่น. นอกจากนั้น พระองค์ยังได้คว่ำโต๊ะของพวกแลกเงิน และทรงกล่าวว่า “จงเลิกทำให้ราชนิเวศแห่งพระบิดาของเราเป็นร้านค้า!” (โยฮัน 2:14-16, ล.ม.) โดยวิธีนี้ พระเยซูจึงทำให้สำเร็จตามถ้อยคำในบทเพลงสรรเสริญ 69:9 ที่ว่า “ใจเร่าร้อน [ความหวงแหน, ล.ม.] รักพระวิหารของพระองค์นั้นเผาข้าพเจ้าจนเกรียมไป.”
13 สามปีหลังจากนั้น พระเยซูสังเกตพวกพ่อค้าที่มักโลภทำการค้าที่พระวิหารของพระยะโฮวาอีก. พระองค์จะทรงชำระพระวิหารเป็นครั้งที่สองหรือเปล่า? ความหวงแหนของพระองค์ที่มีต่อการนมัสการอันบริสุทธิ์ของพระเจ้าก็ยังคงแรงกล้าเหมือนเมื่อตอนแรกที่พระองค์เริ่มต้นทำงานรับใช้. พระองค์ได้ขับไล่ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ. และพระองค์ให้เหตุผลที่หนักแน่นยิ่งขึ้นต่อการกระทำของพระองค์ ดังนี้: “มีคำเขียนไว้มิใช่หรือว่า, โบสถ์ของเราเขาจะเรียกว่าเป็นที่อธิษฐานสำหรับคนทุกประเทศ, แต่เจ้าทั้งหลายมากระทำให้เป็นถ้ำของพวกโจร.” (มาระโก 11:17) นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมจริง ๆ ของการยืนหยัดในการแสดงความหวงแหนเยี่ยงพระเจ้า!
14. ความหวงแหนของพระเยซูต่อการนมัสการบริสุทธิ์เช่นนั้นน่าจะมีผลกระทบพวกเราอย่างไร?
14 บุคลิกภาพของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเวลานี้ได้รับสง่าราศีในสวรรค์นั้นไม่เปลี่ยนแปลง. (เฮ็บราย 13:8) ในศตวรรษที่ 20 นี้ พระองค์ยังทรงหวงแหนการนมัสการอันบริสุทธิ์ของพระบิดาเหมือนกับสมัยที่พระองค์อยู่บนแผ่นดินโลก. ทั้งนี้เห็นได้จากข่าวสารของพระเยซูที่มีไปถึงประชาคมทั้งเจ็ด ดังบันทึกอยู่ในพระธรรมวิวรณ์. ข่าวสารเหล่านี้มีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ ใน “วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า.” (วิวรณ์ 1:10; 2:1–3:22) ในนิมิตนั้น อัครสาวกโยฮันแลเห็นพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสง่าราศี “พระเนตรของพระองค์ดุจเปลวไฟ.” (วิวรณ์ 1:14, ล.ม.) ข้อนี้แสดงว่าไม่มีสิ่งใดพ้นไปจากการเฝ้าสังเกตของพระคริสต์ไปได้ขณะที่พระองค์ทรงตรวจตราประชาคมต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่า แต่ละประชาคมยังอยู่ในฐานะที่สะอาดและเหมาะสมสำหรับงานรับใช้พระยะโฮวา. คริสเตียนสมัยปัจจุบันจำต้องระลึกอยู่เสมอถึงคำเตือนของพระเยซูที่มิให้ปฏิบัตินายสองนาย—พระเจ้าและเงินทอง. (มัดธาย 6:24) พระเยซูทรงกำชับสมาชิกที่ฝักใฝ่ด้านวัตถุแห่งประชาคมลาโอดิเคียว่า “เพราะเหตุที่เจ้าเป็นแต่อุ่น ๆ และทั้งไม่ร้อนและไม่เย็น เราจะสำรอกเจ้าออกจากปากของเรา . . . จงกระตือรือร้นและกลับใจ.” (วิวรณ์ 3:14-19, ล.ม.) บรรดาผู้ปกครองที่รับการแต่งตั้งในประชาคมควรช่วยเหลือเพื่อนร่วมความเชื่อ ทั้งโดยทางวาจาและการวางตัวอย่าง เพื่อที่จะช่วยเขาหลีกเลี่ยงกับดักแห่งลัทธิวัตถุนิยม. อนึ่ง ผู้ปกครองพึงป้องกันประชาคมให้พ้นจากความเสื่อมทรามทางศีลธรรมของโลกซึ่งมุ่งเน้นด้านกามารมณ์. ยิ่งกว่านั้น ไพร่พลของพระเจ้าไม่ยอมทนต่ออิทธิพลแบบนางอีซาเบลในประชาคมไม่ว่ารูปแบบใด.—เฮ็บราย 12:14, 15; วิวรณ์ 2:20.
15. อัครสาวกเปาโลได้เลียนแบบพระเยซูอย่างไรในการแสดงความหวงแหนต่อการนมัสการพระยะโฮวา?
15 อัครสาวกเปาโลเป็นผู้เลียนแบบพระคริสต์. เพื่อป้องกันคริสเตียนซึ่งเพิ่งรับบัพติสมาไว้จากอิทธิพลต่าง ๆ ซึ่งเป็นภัยต่อฝ่ายวิญญาณ ท่านพูดว่า “เพราะว่าข้าพเจ้าหวงแหนท่านทั้งหลายตามอย่างความหวงแหนของพระเจ้า.” (2 โกรินโธ 11:2) ก่อนหน้านี้ ความหวงแหนของเปาโลต่อการนมัสการบริสุทธิ์ได้กระตุ้นท่านให้แนะนำประชาคมเดียวกันนี้ตัดสัมพันธ์คนผิดประเวณีที่ไม่กลับใจ ซึ่งเป็นอิทธิพลที่เสื่อมเสีย. คำแนะนำโดยการดลใจในครั้งนั้นเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงสำหรับพวกผู้ปกครองสมัยนี้ขณะที่เขาบากบั่นจะรักษาประชาคมพยานพระยะโฮวาในที่ต่าง ๆ มากกว่า 75,500 ประชาคมให้สะอาด.—1 โกรินโธ 5:1, 9-13.
ความหวงแหนของพระเจ้ามีประโยชน์ต่อไพร่พลของพระองค์
16, 17. (ก) เมื่อพระเจ้าทรงลงโทษแผ่นดินยูดาโบราณ ชนชาติอื่น ๆ แสดงท่าทีอย่างไร? (ข) หลังจากชาวยูดาตกเป็นเชลยนาน 70 ปี พระยะโฮวาได้ทรงสำแดงความหวงแหนต่อกรุงยะรูซาเลมอย่างไร?
16 เมื่อพระเจ้าทรงลงโทษพลเมืองแห่งแผ่นดินยูดาโดยการปล่อยให้เขาถูกต้อนเป็นเชลยในบาบูโลนนั้น พวกเขาถูกเย้ยหยัน. (บทเพลงสรรเสริญ 137:3) ด้วยความเกลียดชังซึ่งเกิดจากความอิจฉา ชาวอะโดมถึงกับช่วยชาวบาบูโลนนำเอาความทุกข์ยากมาสู่ไพร่พลของพระเจ้า และพระยะโฮวาทรงสังเกตเห็นการกระทำนั้น. (ยะเอศเคล 35:11; 36:15) ขณะที่เป็นเชลย พวกที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ได้กลับใจ และหลังจาก 70 ปีแล้ว พระยะโฮวาทรงนำพวกเขากลับมายังแผ่นดินของเขา.
17 ทีแรก ผู้คนแห่งแผ่นดินยูดาอยู่ในสภาพลำบากอย่างสิ้นหวัง. กรุงยะรูซาเลมกับพระวิหารอยู่ในสภาพปรักหักพัง. มิหนำชาติต่าง ๆ ที่อยู่ล้อมรอบได้ขัดขวางความพยายามทุกอย่างที่จะบูรณะซ่อมแซมพระวิหาร. (เอษรา 4:4, 23, 24) พระยะโฮวาทรงรู้สึกอย่างไรต่อสภาพดังกล่าว? บันทึกที่เขียนโดยการดลใจแจ้งว่า “ยะโฮวาแห่งพลโยธาตรัสดังนี้ว่า, เรามีความหวงแหนต่อเมืองยะรูซาเลม, แลเมืองซีโอนด้วยความหวงแหนเป็นอันมาก. แลเรามีความกริ้วต่อเหล่าเมืองที่นั่งอยู่เย่อหยิ่งด้วยความกริ้วเป็นอันมาก, เพราะว่าเราได้มีความกริ้วน้อย, แต่เมืองเหล่านั้นประชดเอาความกริ้วให้มากขึ้น. เหตุฉะนี้ ยะโฮวาจึงตรัสดังนี้ว่า, เราได้กลับพระทัยมายังเมืองยะรูซาเลมด้วยความกรุณา.’ พระยะโฮวาแห่งพลโยธาทั้งหลายตรัสว่า, วิหารของเราจะต้องสร้างขึ้น ณ ที่นั่น.’” (ซะคาระยา 1:14-16) จริงตามคำสัญญานี้ พระวิหารและเมืองยะรูซาเลมได้รับการบูรณะขึ้นใหม่จนแล้วเสร็จ.
18. คริสเตียนแท้ได้ประสบอะไรระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง?
18 ประชาคมคริสเตียนแท้เคยมีประสบการณ์ทำนองคล้ายกันในศตวรรษที่ 20. ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง พระยะโฮวาทรงตีสอนไพร่พลของพระองค์ เนื่องจากพวกเขาไม่วางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัดในคราวการสู้รบระหว่างชาติต่าง ๆ. (โยฮัน 17:16) พระเจ้าทรงปล่อยให้อำนาจทางการเมืองกดขี่เขา และนักเทศน์นักบวชแห่งคริสต์ศาสนจักรก็ยินดีปรีดาเมื่อเห็นเขาได้รับความทุกข์ลำบากครั้งนั้น. ที่จริง นักเทศน์นักบวชเป็นตัวการที่ได้ชักนำนักการเมืองสั่งระงับกิจการของนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นชื่อเรียกพยานพระยะโฮวาในตอนนั้น.—วิวรณ์ 11:7, 10.
19. พระยะโฮวาทรงสำแดงความหวงแหนต่อการนมัสการของพระองค์อย่างไรตั้งแต่ปี 1919?
19 อย่างไรก็ตาม พระยะโฮวาทรงสำแดงความหวงแหนต่อการนมัสการของพระองค์และหลังสงคราม คือในปี 1919 พระองค์ก็ทรงฟื้นฟูไพร่พลของพระองค์ที่ได้กลับใจให้คืนสู่ฐานะที่ได้รับความโปรดปรานอีก. (วิวรณ์ 11:11, 12) ผลที่ตามมา จำนวนผู้สรรเสริญพระยะโฮวาเพิ่มขึ้นจากไม่ถึง 4,000 คนเมื่อปี 1918 เป็นประมาณห้าล้านคนเวลานี้. (ยะซายา 60:22) ในไม่ช้า พระยะโฮวาจะทรงแสดงความหวงแหนต่อการนมัสการอันบริสุทธิ์ของพระองค์ด้วยวิธีการอันน่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น.
ปฏิบัติการในอนาคตเกี่ยวเนื่องกับความหวงแหนของพระเจ้า
20. พระเจ้าจะทรงทำอะไรในไม่ช้าเพื่อสำแดงความหวงแหนต่อการนมัสการบริสุทธิ์?
20 คริสตจักรต่าง ๆ แห่งคริสต์ศาสนจักรได้ประพฤติตามแบบพวกยิวที่ออกหากซึ่งได้ปลุกเร้าพระยะโฮวาให้หวงแหน. (ยะเอศเคล 8:3, 17, 18) อีกไม่ช้า พระเจ้ายะโฮวาจะทรงปฏิบัติการโดยใส่ความคิดซึ่งจะก่อผลรุนแรงเข้าไว้ในหัวใจบรรดาสมาชิกองค์การสหประชาชาติ. ทั้งนี้จะกระตุ้นอำนาจทางการเมืองเหล่านี้ให้ล้างผลาญคริสต์ศาสนจักรและศาสนาเทียมทั้งสิ้น. ส่วนผู้นมัสการแท้จะรอดชีวิตผ่านการลงโทษอันน่ากลัวตามการพิพากษาของพระเจ้า. (วิวรณ์ 17:16, 17) พวกเขาจะตอบรับต่อคำแถลงของสิ่งมีชีวิตในสวรรค์ที่ว่า “ท่านทั้งหลาย จงสรรเสริญยาห์! . . . เพราะพระองค์ได้ทรงลงโทษตามคำพิพากษาแก่หญิงแพศยาคนสำคัญ [ศาสนาเทียม] นั้นที่ได้ทำให้แผ่นดินโลกเสื่อมเสียด้วยการผิดประเวณีของนาง [คำสอนเท็จต่าง ๆ และการสนับสนุนทางการเมืองที่เสื่อมทราม] และพระองค์ได้ทรงแก้แค้นแทนเลือดทาสทั้งหลายของพระองค์ที่มือของนาง.”—วิวรณ์ 19:1, 2, ล.ม.
21. (ก) ซาตานและระบบทั้งสิ้นของมันจะทำอะไรหลังจากศาสนาเทียมถูกทำลาย? (ข) พระเจ้าจะทรงมีปฏิกิริยาอย่างไร?
21 จะเกิดอะไรขึ้นภายหลังจักรวรรดิโลกแห่งศาสนาเทียมถูกทำลาย? ซาตานจะปลุกเร้ามหาอำนาจทางการเมืองให้รวมกำลังกันทั่วโลกโจมตีไพร่พลของพระยะโฮวา. พระเจ้าองค์เที่ยงแท้จะทรงมีปฏิกิริยาเช่นไรต่อความพยายามของซาตานที่จะขจัดการนมัสการแท้ให้หมดไปจากแผ่นดินโลก? ยะเอศเคล 38:19-23 (ฉบับแปลใหม่) บอกเราดังนี้: “เพราะเรา [พระยะโฮวา] ขอประกาศด้วยความหวงแหนและด้วยความพิโรธ ดั่งเพลิงพลุ่งของเราว่า . . . เราจะพิพากษาลงโทษเขา [ซาตาน] ด้วยโรคระบาดและโลหิตตก เราจะให้ฝนตกอย่างน้ำไหลเชี่ยว ทั้งลูกเห็บและไฟ และไฟกำมะถันตกใส่เขาและกองทัพของเขา และชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากที่อยู่กับเขา. ดังนั้นเราจะสำแดงความใหญ่ยิ่งและความบริสุทธิ์ของเรา และกระทำตัวให้เป็นที่รู้จักในสายตาของประชาชาติเป็นอันมาก แล้วเขาจะทราบว่าเราคือพระเจ้า [ยะโฮวา, ล.ม.].”—ดูซะฟันยา 1:18; 3:8 ด้วย.
22. เราจะแสดงให้เห็นได้อย่างไรว่าเราหวงแหนการนมัสการบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา?
22 เป็นการประโลมใจอย่างแท้จริงที่รู้ว่า องค์บรมมหิศรแห่งเอกภพทรงใฝ่พระทัยอย่างหวงแหนในผู้นมัสการแท้ของพระองค์! ด้วยความหยั่งรู้ค่ายิ่งต่อพระกรุณาอันไม่พึงได้รับนี้ ขอให้พวกเราแสดงความหวงแหนต่อการนมัสการบริสุทธิ์ของพระเจ้ายะโฮวา. ด้วยความกระตือรือร้นอย่างแรงกล้า จงให้เราประกาศเผยแพร่ข่าวดีต่อไปอย่างไม่ลดละ และจงคอยท่าวันสำคัญนั้นอย่างมั่นใจ เมื่อพระยะโฮวาจะกระทำให้พระนามของพระองค์ใหญ่ยิ่ง และทรงทำให้เป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์.—มัดธาย 24:14.
จุดสำคัญเพื่อการไตร่ตรอง
▫ ที่จะหวงแหนเพื่อพระยะโฮวานั้นหมายความอย่างไร?
▫ พวกเราสามารถเรียนรู้อะไรได้จากตัวอย่างของชาติยิศราเอลโบราณ?
▫ เราจะหลีกเลี่ยงอย่างไรเพื่อจะไม่ปลุกเร้าให้พระยะโฮวาทรงหวงแหน?
▫ โดยวิธีใดพระเจ้าและพระคริสต์ได้ทรงสำแดงความหวงแหนต่อการนมัสการบริสุทธิ์?
[กรอบหน้า 12]
ความรักย่อมไม่อิจฉาริษยา
เกี่ยวกับความริษยา อัลเบิร์ต บาร์นส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านคัมภีร์ไบเบิลแห่งศตวรรษที่ 19 เขียนว่า “ความริษยานับว่าเป็นหนึ่งในบรรดาการแสดงความชั่วร้ายที่พบเห็นบ่อยที่สุด และแสดงอย่างชัดแจ้งถึงความเสื่อมเสียที่ฝังลึกของมนุษย์.” เขากล่าวอีกว่า “บุคคลผู้สามารถสืบสาวถึงต้นตอของสงครามทั้งสิ้นและความขัดแย้ง อีกทั้งแผนการต่าง ๆ ทั้งมวลของมนุษย์—คือ แผนพลิกแพลงทั้งปวงและความมุ่งหมายทั้งสิ้นของผู้ที่อ้างตัวเป็นคริสเตียนด้วยซ้ำ ซึ่งได้ทำลายชื่อเสียงศาสนาของเขา แถมทำให้พวกเขาหมกมุ่นในทางโลกียวิสัยได้นั้น—คงรู้สึกประหลาดใจที่ได้พบว่า ความริษยามีส่วนส่งเสริมให้เป็นเช่นนั้นมากเพียงใด. เราเจ็บปวดที่เห็นผู้อื่นเจริญมั่งคั่งเกินหน้าเรา; เราอยากได้ใคร่มีเหมือนที่คนอื่นมี แม้เราไม่มีสิทธิ์จะได้สิ่งนั้น; และทั้งนี้จึงนำไปสู่การใช้วิธีการต่าง ๆ นานา ที่จะบั่นทอนความชื่นชมของผู้อื่นในสิ่งนั้น หรือที่จะเอาสิ่งนั้นมาเป็นของตัวเอง หรือเพื่อแสดงให้เห็นว่า คนที่ตนอิจฉาก็ใช่ว่ามั่งคั่งอย่างที่คนอื่นคิดกัน. . . . ด้วยวิธีนี้ น้ำใจริษยาที่สุมอกอยู่จึงจะเป็นที่หนำใจ.”—โรม 1:29; ยาโกโบ 4:5.
เพื่อเปรียบเทียบ บาร์นส์ได้นำเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับความรักซึ่ง “ไม่อิจฉาริษยา” ขึ้นมา. (1 โกรินโธ 13:4) เขาเขียนว่า “ความรักย่อมไม่อิจฉาริษยาผู้อื่นที่มีความสุขสบาย, ความรักย่อมยินดีเมื่อผู้อื่นอยู่เย็นเป็นสุข และขณะที่ความสุขของคนอื่นเพิ่มทวี . . . บุคคลที่ยอมให้ความรักโน้มนำ . . . ย่อมไม่บั่นทอนความสุขของผู้อื่น, เขาจะไม่ทำให้คนอื่นอึดอัดใจเพราะความร่ำรวย; เขาจะไม่ทำลายความสุขนั้น; เขาจะไม่บ่นคร่ำครวญที่ตัวเองไม่มีสิ่งเอื้ออำนวยให้มีบริบูรณ์เช่นนั้น. . . . หากเรารักคนอื่น—ถ้าเราชื่นชมยินดีเมื่อเขามีความสุข เราไม่ควรอิจฉาริษยาเขา.”
[รูปภาพหน้า 10]
ฟีนะฮาศหวงแหนการนมัสการบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา