ความสว่างยุติยุคมืด
โลกในสมัยของพระเยซูคริสต์และอัครสาวกแตกต่างมากจากโลกในสมัยพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู. ผู้ที่อ่านคัมภีร์ไบเบิลซึ่งไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้อาจวาดมโนภาพว่า มีความต่อเนื่องกันด้านสังคมและศาสนาจากสมัยผู้พยากรณ์มาลาคีถึงท่านมัดธายผู้เขียนกิตติคุณ โดยเข้าใจเพียงราง ๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 400 ปีระหว่างพระธรรมทั้งสองนี้.
มาลาคี พระธรรมเล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูในคัมภีร์ไบเบิลส่วนใหญ่ในปัจจุบัน จบลงด้วยชนที่เหลือแห่งชาติยิศราเอลตั้งรกรากในปิตุภูมิอีกครั้งหนึ่งหลังจากถูกปลดปล่อยจากการเป็นเชลยในบาบูโลน. (ยิระมะยา 23:3) ชาวยิวที่เลื่อมใสได้รับการหนุนใจให้คอยวันพิพากษาของพระเจ้าเพื่อขจัดโลกแห่งความชั่วและนำยุคพระมาซีฮาเข้ามา. (มาลาคี 4:1, 2) ในระหว่างนั้น เปอร์เซียปกครอง. กองทหารเปอร์เซียซึ่งตั้งอยู่ในยูดาเป็นผู้รักษาความสงบและสนับสนุนราชกฤษฎีกาโดยกำลังทางทหาร.—เทียบกับเอษรา 4:23.
อย่างไรก็ตาม ดินแดนในคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้อยู่ในสภาพเดิมตลอดสี่ศตวรรษต่อมา. ความมืดและความสับสนฝ่ายวิญญาณเริ่มย่างกรายเข้ามา. ตะวันออกใกล้สั่นคลอนด้วยความรุนแรง, การก่อการร้าย, การกดขี่, แนวความคิดที่รุนแรงทางศาสนา, ปรัชญาแบบคาดเดา, และความตระหนกทางวัฒนธรรม.
มัดธาย พระธรรมเล่มแรกของพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก เขียนขึ้นในยุคที่ต่างออกไป. กองทหารของโรมบังคับให้มีพักซ์ โรมานา หรือสันติภาพในจักรวรรดิโรม. ผู้ที่เลื่อมใสรอคอยอย่างใจจดจ่อถึงการเสด็จมาของพระมาซีฮา เพื่อยุติความทุกข์ยาก, การปกครองที่กดขี่, และความยากจน และเพื่อให้ความสว่างชี้นำชีวิต, นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง, และความสุขสงบ. (เทียบกับลูกา 1:67-79; 24:21; 2 ติโมเธียว 1:10.) ขอให้เราพิจารณาอย่างใกล้ชิดถึงพลังที่เปลี่ยนแปลงลักษณะสังคมชาวยิวเสียใหม่ในช่วงศตวรรษต่าง ๆ ก่อนพระเยซูคริสต์มาประสูติ.
ชีวิตชาวยิวในยุคเปอร์เซีย
หลังจากไซรัสประกาศปลดปล่อยชาวยิวจากการเป็นเชลยในบาบูโลน ชาวยิวและผู้สมทบที่ไม่ใช่ชาวยิวกลุ่มหนึ่งก็ออกจากดินแดนบาบิโลเนียในปี 539 ก.ส.ศ. ชนที่เหลือที่ตอบรับฝ่ายวิญญาณนี้ได้กลับไปยังดินแดนที่เมืองต่าง ๆ ถูกทำลายจนพินาศและที่ดินร้างเปล่า. ชาวอะโดม, ชาวฟีนิเซีย, ชาวซะมาเรีย, อาหรับเผ่าต่าง ๆ, และพวกอื่น ๆ ได้ยึดเอาดินแดนบางส่วนของยิศราเอลที่เคยกว้างใหญ่. ดินแดนที่ยังเหลืออยู่ของตระกูลยูดาและเบนยามินกลายเป็นมณฑลยูดาในเขตปกครองของเปอร์เซีย ซึ่งมีชื่อเรียกว่า อาบาร์ นาฮารา (เลยแม่น้ำออกไป).—เอษรา 1:1-4; 2:64, 65.
หนังสือประวัติศาสตร์ลัทธิยูดายของเคมบริดจ์ (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า ภายใต้การปกครองของเปอร์เซีย ยูดาเริ่มประสบกับ “ช่วงเวลาของการขยายตัวและการเพิ่มของประชากร” หนังสือนี้ยังกล่าวต่อไปเกี่ยวกับกรุงยะรูซาเลมว่า “ชาวชนบทและผู้แสวงบุญนำของกำนัลมา พระวิหารและกรุงนั้นเริ่มร่ำรวย และความมั่งคั่งของที่นั่นดึงดูดพ่อค้าและช่างฝีมือชาวต่างประเทศ.” แม้พวกเปอร์เซียโอนอ่อนมากในเรื่องการปกครองท้องถิ่นและศาสนา แต่การเก็บภาษีนั้นเข้มงวดและให้จ่ายเป็นโลหะมีค่าเท่านั้น.—เทียบกับนะเฮมยา 5:1-5, 15; 9:36, 37; 13:15, 16, 20.
ช่วงปีท้าย ๆ ของจักรวรรดิเปอร์เซียเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายมาก เนื่องจากมีการกบฏของเจ้านครรัฐต่าง ๆ. ชาวยิวเป็นจำนวนมากเข้าไปพัวพันในการจลาจลตามชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน และถูกเนรเทศไปทางเหนือที่ห่างไกล ไปที่เฮอร์เคเนียใกล้ทะเลสาบแคสเปียน. อย่างไรก็ตาม มณฑลยูดาส่วนใหญ่ดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากการลงโทษของเปอร์เซีย.
ยุคกรีก
อะเล็กซานเดอร์มหาราชผงาดขึ้นดุจเสือดาวทางตะวันออกกลางปี 332 ก.ส.ศ. แต่ความนิยมสินค้าเข้าของกรีกมีมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว. (ดานิเอล 7:6) ด้วยตระหนักว่าวัฒนธรรมกรีกมีคุณค่าทางการเมือง เขาจึงเริ่มวางแผนอย่างรอบคอบที่จะทำให้จักรวรรดิที่เขาแผ่ขยายออกไปมีวัฒนธรรมแบบกรีก. ภาษากรีกกลายเป็นภาษาสากล. การปกครองช่วงสั้น ๆ ของอะเล็กซานเดอร์ส่งเสริมให้ชอบการโต้วาทีด้วยการหาเหตุผลแบบหลอกลวง, คลั่งไคล้กีฬา, และชื่นชอบสุนทรียภาพ. ทีละเล็กทีละน้อย แม้แต่ประเพณีที่สืบต่อกันมาของชาวยิวยังเปิดทางให้คตินิยมกรีก.
ภายหลังการเสียชีวิตของอะเล็กซานเดอร์ในปี 323 ก.ส.ศ. ผู้สืบตำแหน่งต่อจากเขาในซีเรียและอียิปต์เป็นผู้แรกที่รับบทบาทที่ผู้พยากรณ์ดานิเอลเรียกว่า “กษัตริย์ทิศอุดร” และ “กษัตริย์ทิศทักษิณ.” (ดานิเอล 11:1-19) ระหว่างการปกครองของ ปโตเลมีที่สอง ฟิลาเดลฟุส (285-246 ก.ส.ศ.) “กษัตริย์ทิศทักษิณ” ของอียิปต์ เริ่มมีการแปลพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูเป็นภาษาคอยเนคือ ภาษากรีกที่ใช้กันทั่วไป. ต่อมามีการเรียกฉบับแปลนี้ว่าเซปตัวจินต์. มีการยกข้อพระคัมภีร์หลายข้อในผลงานชิ้นนี้มากล่าวในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก. ภาษากรีกปรากฏว่าเป็นภาษาที่ดียิ่งในการถ่ายทอดระดับของความหมายที่ให้ความสว่างแก่โลกที่สับสนและมืดมนฝ่ายวิญญาณ.
หลังจากแอนติโอคุสที่สี่ เอพิฟาเนสได้เป็นกษัตริย์แห่งซีเรียและผู้ปกครองปาเลสไตน์ (175-164 ก.ส.ศ.) ลัทธิยูดายเกือบจะถูกทำลายล้างโดยการกดขี่ข่มเหงซึ่งมีรัฐบาลสนับสนุน. โดยการขู่จะฆ่า ชาวยิวถูกบังคับให้ละทิ้งพระเจ้ายะโฮวา และให้บูชาเทพเจ้าของกรีกเท่านั้น. เดือนธันวาคม ปี 168 ก.ส.ศ. แท่นบูชานอกรีตถูกสร้างขึ้นคร่อมแท่นบูชาใหญ่ของพระยะโฮวาที่พระวิหารในกรุงยะรูซาเลม และมีการถวายเครื่องบูชาบนแท่นนั้นแก่พระเซอุสแห่งภูเขาโอลิมปุส. พวกผู้ชายที่ตกตะลึงแต่ก็กล้าหาญแถบนอกเมืองรวมกำลังกันภายใต้การนำของยูดัส แมกคาเบอุส และก่อสงครามร้ายแรงจนกระทั่งพวกเขาได้ยึดครองกรุงยะรูซาเลม. มีการอุทิศพระวิหารแด่พระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง และสามปีพอดีหลังจากที่พระวิหารถูกเหยียบย่ำ การถวายเครื่องบูชาประจำวันจึงมีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง.
ในช่วงที่เหลืออยู่ของยุคกรีก ผู้ที่อยู่ในชุมชนแถบแคว้นยูเดียพยายามขยายดินแดนของตนให้เท่ากับอาณาเขตโบราณโดยการรุกราน. มีการใช้อำนาจทางทหารที่เพิ่งมีไปในวิธีที่ขัดกับแนวทางของพระเจ้า ใช้ดาบขู่บังคับให้เพื่อนบ้านนอกรีตเปลี่ยนศาสนา. ถึงกระนั้น ทฤษฎีทางการเมืองของกรีกยังคงครอบงำเมืองใหญ่น้อยอยู่.
ในช่วงนี้ ผู้ที่ช่วงชิงตำแหน่งมหาปุโรหิตมักจะไร้ศีลธรรม. แผนการร้าย, การลอบสังหาร, และการใช้เล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองทำให้ตำแหน่งของพวกเขาด่างพร้อย. ยิ่งมีน้ำใจขัดกับแนวทางของพระเจ้าท่ามกลางพวกยิวมากเท่าใด กีฬาของกรีกก็ยิ่งกลายเป็นที่นิยมมากเท่านั้น. น่าตกตะลึงเพียงใดที่เห็นปุโรหิตหนุ่ม ๆ ละเลยหน้าที่เพื่อจะเข้าร่วมในการเล่นกีฬา! นักกีฬาชาวยิวถึงกับยอมรับการผ่าตัดที่เจ็บปวดเพื่อจะ ‘กลับเป็นเหมือนคนที่ไม่ได้รับสุหนัต’ เพื่อหลีกเลี่ยงความอับอายเมื่อลงแข่งขันแบบเปลือยเปล่ากับคนต่างชาติ.—เทียบกับ 1 โกรินโธ 7:18.
การเปลี่ยนแปลงทางศาสนา
ในช่วงต้น ๆ หลังจากการเป็นเชลยในบาบูโลน ชาวยิวที่ซื่อสัตย์ต้านทานการผสมผสานแนวคิดและปรัชญานอกรีตเข้ากับศาสนาแท้ที่มีเผยอยู่ในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู. พระธรรมเอศเธระซึ่งเขียนขึ้น 60 กว่าปีหลังจากที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเปอร์เซียไม่มีร่องรอยของศาสนาโซโรแอสเตอร์เลย. ยิ่งกว่านั้น ไม่พบอิทธิพลของศาสนาเปอร์เซียนี้ในพระธรรมเอษรา, นะเฮมยา, หรือมาลาคีในคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งทั้งหมดนี้เขียนในช่วงต้น ๆ ของยุคเปอร์เซีย (537-443 ก.ส.ศ.).
อย่างไรก็ตาม ผู้คงแก่เรียนเชื่อว่าในช่วงหลังของยุคเปอร์เซีย ชาวยิวเป็นจำนวนมากเริ่มรับเอาทัศนะบางอย่างของผู้นมัสการอะฮูรา มาสดา เทพบดีของชาวเปอร์เซีย. สิ่งนี้ปรากฏให้เห็นในการเชื่อโชคลางต่าง ๆ ที่นิยมกันและความเชื่อของพวกเอสซีน. ในจิตใจของชาวยิว คำสามัญภาษาฮีบรูที่ใช้เรียกหมาไน, สัตว์อื่น ๆ ในทะเลทราย, และนกที่ออกหากินตอนกลางคืน กลายเป็นคำที่เกี่ยวพันกับวิญญาณชั่วและผีปิศาจตามนิยายของบาบูโลนและเปอร์เซีย.
ชาวยิวเริ่มมองความคิดแบบนอกรีตในแง่มุมที่ต่างออกไป. แนวคิดเรื่องสวรรค์, นรก, จิตวิญญาณ, พระวาทะ (ลอกอส), และสติปัญญาล้วนมีความหมายอย่างใหม่. และตามที่สอนกันในเวลานั้น หากพระเจ้าทรงอยู่ห่างไกลจนพระองค์ไม่ติดต่อกับมนุษย์อีกต่อไป พระองค์จำต้องมีผู้กลาง. ชาวกรีกเรียกวิญญาณที่ทำหน้าที่เป็นผู้กลางและเทพารักษ์เหล่านี้ว่า ไดโมน. เนื่องจากรับเอาความคิดที่ว่า ไดโมนอาจดีหรือชั่วก็ได้ ชาวยิวจึงกลายเป็นเหยื่ออย่างง่ายดายต่อการควบคุมของพวกผีปิศาจ.
การเปลี่ยนแปลงในเชิงก่อมีอยู่ในการนมัสการท้องถิ่น. ธรรมศาลาผุดขึ้นเป็นสถานที่ที่กลุ่มชาวยิวซึ่งอยู่ในละแวกนั้นพบปะกันเพื่อศึกษาและทำพิธีทางศาสนา. ธรรมศาลาของชาวยิวเริ่มมีขึ้นเมื่อไร, ที่ไหน, และอย่างไรนั้นไม่ทราบแน่ชัด. เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวสนองความต้องการของชาวยิวในดินแดนที่ห่างไกลในเรื่องการนมัสการเมื่อพวกเขาไม่สามารถไปที่พระวิหาร จึงเชื่อกันโดยทั่วไปว่า ธรรมศาลาถูกก่อตั้งขึ้นในสมัยที่ชาวยิวเป็นเชลยในบาบูโลนหรือหลังจากนั้น. นับว่าน่าสนใจ ธรรมศาลากลายเป็นที่ชุมนุมอย่างดีสำหรับพระเยซูและสาวกของพระองค์ที่จะ ‘ประกาศเผยแพร่พระบารมีคุณของพระเจ้าผู้ได้ทรงเรียกผู้คนให้ออกจากความมืดเข้าสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์.’—1 เปโตร 2:9, ล.ม.
ลัทธิยูดายรับเอากลุ่มนักคิดต่าง ๆ
ในศตวรรษที่สองก่อนสากลศักราช กลุ่มนักคิดต่าง ๆ เริ่มปรากฏ. กลุ่มนักคิดเหล่านี้ไม่ใช่องค์กรทางศาสนาที่แยกออกไปต่างหาก. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลุ่มนักคิดเหล่านี้เป็นกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีนักเทศน์นักบวช, นักปรัชญา, และนักปฏิบัติการหัวรุนแรงทางการเมืองชาวยิวซึ่งพยายามโน้มนำประชาชนและควบคุมทั้งชาติ โดยให้ทั้งหมดดำเนินไปภายใต้ลัทธิยูดาย.
ส่วนใหญ่ พวกซาดูกายที่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเป็นขุนนางที่มั่งคั่ง ซึ่งที่เป็นรู้จักในเรื่องความสามารถทางการทูตตั้งแต่ที่มีการจลาจลซึ่งก่อโดยแฮสโมเนียนกลางศตวรรษที่สองก่อนสากลศักราช. พวกนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นปุโรหิต แม้บางคนเป็นนักธุรกิจและเจ้าของที่ดิน. พอถึงสมัยที่พระเยซูประสูติ พวกซาดูกายส่วนใหญ่สนับสนุนการที่โรมปกครองปาเลสไตน์ เพราะพวกเขาคิดว่ามีเสถียรภาพกว่าและคงจะรักษาสถานภาพเดิมของตนไว้ได้. (เทียบกับโยฮัน 11:47, 48.) ชนกลุ่มน้อย (พวกเฮโรเดียน) เชื่อว่าการปกครองโดยราชวงศ์ของกษัตริย์เฮโรดน่าจะเหมาะกับแนวคิดของชาติมากกว่า. ถึงอย่างไร พวกซาดูกายไม่ต้องการให้ชาติตกอยู่ในมือของพวกคลั่งศาสนาชาวยิว หรือให้ใครอื่นนอกเหนือจากพวกปุโรหิตมาควบคุมพระวิหาร. ความเชื่อของพวกซาดูกายเป็นแบบอนุรักษ์นิยม ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยการตีความข้อเขียนของโมเซ และสะท้อนให้เห็นการต่อต้านนิกายที่มีอำนาจของพวกฟาริซาย. (กิจการ 23:6-8) พวกซาดูกายปฏิเสธคำพยากรณ์ต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูว่าเป็นการคาดเดา. พวกเขาสอนว่า พระธรรมที่เป็นประวัติศาสตร์, บทกวี, และสุภาษิตในคัมภีร์ไบเบิลนั้นไม่ได้มีขึ้นโดยการดลใจและไม่จำเป็น.
พวกฟาริซายปรากฏขึ้นระหว่างยุคกรีก เป็นปฏิกิริยาที่แข็งกร้าวต่อคตินิยมกรีกที่ขัดกับคตินิยมยิว. อย่างไรก็ตาม พอถึงสมัยของพระเยซู พวกฟาริซายเป็นผู้ที่พยายามโน้มน้าวให้เปลี่ยนศาสนาและเป็นครูสอนที่เข้มงวด, ยึดกับประเพณี, เคร่งครัดในข้อกฎหมาย, หยิ่งยโส, ถือว่าตัวเองชอบธรรม ซึ่งพยายามควบคุมประเทศชาติโดยผ่านทางการสอนในธรรมศาลา. พวกฟาริซายส่วนใหญ่แล้วมาจากชนชั้นกลาง และเหยียดพวกสามัญชน. พระเยซูทรงมองดูพวกฟาริซายส่วนใหญ่ว่าเป็นคนรักเงินที่แสวงหาแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว ไร้ความเมตตา ซึ่งมีแต่ความหน้าซื่อใจคด. (มัดธายบท 23) พวกฟาริซายยอมรับพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูทั้งหมดตามคำอธิบายของพวกเขาเอง แต่ให้ความสำคัญพอ ๆ กันหรือมากกว่ากับคำสอนสืบปากของพวกเขา. พวกฟาริซายบอกว่า คำสอนสืบปากของพวกเขาเป็นเหมือน “รั้วล้อมพระบัญญัติ.” อย่างไรก็ตาม แทนที่จะเป็นรั้ว คำสอนสืบปากของพวกเขาทำให้พระคำของพระเจ้าเป็นโมฆะและทำให้สาธารณชนสับสน.—มัดธาย 23:2-4; มาระโก 7:1, 9-13.
พวกเอสซีนเป็นผู้แสวงหาการเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าและความจริง ซึ่งดูเหมือนอาศัยอยู่ในชุมชนโดดเดี่ยวไม่กี่แห่ง. พวกนี้ถือว่าตนเองเป็นชนที่เหลือที่แท้จริงของชาติยิศราเอล ซึ่งรอคอยด้วยความบริสุทธิ์เพื่อต้อนรับพระมาซีฮาตามที่ทรงสัญญา. พวกเอสซีนดำเนินชีวิตที่เคร่งครัดในศาสนาด้วยการเข้าฌาน และความเชื่อหลายอย่างของพวกเขาสะท้อนให้เห็นแนวคิดแบบเปอร์เซียและกรีก.
พวกเซล็อตหลายพวกซึ่งได้รับแรงกระตุ้นจากศาสนา, รักชาติอย่างบ้าคลั่ง มองดูทุกคนที่เข้ามาขวางฐานะอิสระของชาติยิวว่าเป็นศัตรูราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ. พวกเขาถูกเปรียบกับพวกแฮสโมเนียน และส่วนใหญ่แล้วเป็นที่ดึงดูดใจพวกหนุ่ม ๆ ที่ถืออุดมการณ์ ชอบผจญภัย. พวกนี้ซึ่งถูกมองว่าเป็นโจรลอบสังหารหรือเป็นนักต่อสู้ที่มีหัวต่อต้าน พวกเขาใช้กลยุทธ์แบบผู้ก่อการร้ายซึ่งทำให้ถนนในชนบทและจัตุรัสสาธารณะเป็นอันตรายและทำให้ความตึงเครียดซึ่งมีอยู่แล้วยิ่งหนักเข้าไปอีก.
ในอียิปต์ ปรัชญากรีกเฟื่องฟูท่ามกลางชาวยิวในเมืองอะเล็กซานเดรีย. จากที่นั่น ปรัชญากรีกแพร่ไปที่ปาเลสไตน์และไปยังชาวยิวที่อยู่กระจัดกระจายในต่างแดน. นักคิดชาวยิวซึ่งเขียนอธิกธรรมและข้อเขียนทางศาสนาซึ่งใช้นามแฝง ตีความข้อเขียนของโมเซว่าเป็นนิทานเปรียบเทียบที่คลุมเครือ ไม่น่าสนใจ.
พอถึงยุคโรม การครอบงำของกรีกก็เปลี่ยนดินแดนปาเลสไตน์อย่างถาวรทั้งทางสังคม, ทางการเมือง, และทางปรัชญา. ศาสนาในคัมภีร์ไบเบิลของพวกยิวถูกแทนที่ด้วยลัทธิยูดาย การผสมผสานระหว่างแนวคิดแบบบาบูโลน, เปอร์เซีย, และกรีกซึ่งปนเปไปกับความจริงบางส่วนในพระคัมภีร์. อย่างไรก็ตาม พวกซาดูกาย, พวกฟาริซาย, และพวกเอสซีนรวมกันแล้วเป็นส่วนประกอบไม่ถึง 7 เปอร์เซ็นต์ของพลเมืองในชาติ. ที่ติดอยู่ในวังวนของกลุ่มต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกันเหล่านี้ก็คือสามัญชนชาวยิว ซึ่ง “อิดโรยกระจัดกระจายไปดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง.”—มัดธาย 9:36.
แล้วพระเยซูคริสต์ก็ก้าวเข้ามาในโลกมืดนั้น. สิ่งที่ปลอบประโลมก็คือคำเชื้อเชิญของพระองค์ซึ่งให้ความมั่นใจ ที่ว่า “บรรดาผู้ที่ทำงานหนักและมีภาระมาก จงมาหาเรา และเราจะทำให้เจ้าทั้งหลายสดชื่น.” (มัดธาย 11:28, ล.ม.) ช่างน่าตื่นเต้นเร้าใจเพียงไรที่ได้ยินพระองค์กล่าวว่า “เราเป็นความสว่างของโลก”! (โยฮัน 8:12) และจริงทีเดียว ที่น่ายินดีก็คือคำสัญญาของพระองค์ที่ทำให้หัวใจเบิกบาน ที่ว่า “ผู้ที่ตามเรามาจะมิได้เดินในความมืด, แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต.”—โยฮัน 8:12.
[รูปหน้า 26]
พระเยซูทรงแสดงให้เห็นว่า ผู้นำทางศาสนาชาวยิวอยู่ในความมืดฝ่ายวิญญาณ
[รูปหน้า 28]
เหรียญที่มีรูปแอนติโอคุสที่สี่ (เอพิฟาเนส)
[ที่มาของภาพ]
Pictorial Archive (Near Eastern History) Est.