พระเจ้าทรงใฝ่พระทัยคุณ
แมรี สตรีคริสเตียนวัยเกือบห้าสิบปีประสบทุกข์มากมายในชีวิต. การเล่นชู้ของสามีเธอนำไปสู่การหย่าร้างสิบกว่าปีมาแล้ว. ตั้งแต่นั้น แมรีเพียรพยายามปฏิบัติหน้าที่ฐานะมารดาไร้คู่ของลูกสี่คน. แต่เธอก็ยังเดียวดายอยู่ และบางครั้งความอ้างว้างดูเหมือนสุดจะทนได้. แมรีสงสัยว่า ‘นี่หมายความว่าพระเจ้าไม่ใฝ่พระทัยฉันหรือลูกของฉันที่กำพร้าพ่อไหม?’
ไม่ว่าคุณเคยประสบความทุกข์ยากคล้ายกันหรือไม่ก็ตาม คุณคงร่วมความรู้สึกกับแมรีได้แน่นอน. เราทุกคนเคยอดทนกับสภาพการณ์ที่ลำบาก และเราอาจเคยสงสัยว่า พระยะโฮวาจะทรงจัดการเพื่อเห็นแก่เราเมื่อไรและโดยวิธีใด. ประสบการณ์เหล่านั้นบางเรื่องเป็นผลโดยตรงจากการที่เรายึดมั่นกับกฎหมายของพระเจ้า. (มัดธาย 10:16-18; กิจการ 5:29) ประสบการณ์อื่นเป็นผลจากการที่เราเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์มีชีวิตอยู่ในโลกที่ซาตานปกครอง. (1 โยฮัน 5:19) อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “สิ่งทรงสร้างทั้งปวงนั้นเฝ้าแต่คร่ำครวญด้วยกันและตกอยู่ในความเจ็บปวดด้วยกัน.”—โรม 8:22, ล.ม.
อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงที่ว่า คุณเผชิญการทดลองสาหัสมิได้หมายความว่า พระยะโฮวาทรงละทิ้งคุณ หรือไม่สนพระทัยในสวัสดิภาพของคุณ. คุณจะแน่ใจในเรื่องนี้ได้อย่างไร? อะไรแสดงว่าพระเจ้าทรงใฝ่พระทัยคุณ?
ตัวอย่างสมัยโบราณ
คัมภีร์ไบเบิลจัดเตรียมหลักฐานชัดแจ้งเรื่องความใฝ่พระทัยของพระยะโฮวาต่อผู้คนฐานะปัจเจกบุคคล. จงพิจารณาดาวิด. พระยะโฮวามีความสนพระทัยเฉพาะตัวในชายหนุ่มเลี้ยงแกะคนนี้ ทรงวินิจฉัยออกว่าท่านเป็น “บุรุษผู้หนึ่งตามชอบพระทัยของพระองค์.” (1 ซามูเอล 13:14) ภายหลัง เมื่อดาวิดปกครองฐานะเป็นกษัตริย์แล้ว พระยะโฮวาทรงสัญญากับท่านว่า “เจ้าไปแห่งใด ๆ เราก็สถิตอยู่ด้วย.”—2 ซามูเอล 7:9.
นี่หมายความว่าดาวิดมีชีวิตที่ได้รับการคุ้มครองไว้จากความยากลำบากใด ๆ ไหม? ไม่ ดาวิดได้เผชิญการทดลองสาหัสทั้งก่อนและระหว่างการปกครองของท่าน. เป็นเวลาหลายปีก่อนเป็นกษัตริย์ ท่านได้ถูกตามล่าอย่างไม่เลิกราโดยกษัตริย์ซาอูลผู้ไร้ปรานี. ระหว่างช่วงเวลานี้ในชีวิตของท่าน ดาวิดเขียนว่า “ชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ท่ามกลางหมู่สิงโต . . . คือมนุษย์ที่มีฟันดุจทวนและลูกธนู.”—บทเพลงสรรเสริญ 57:4.
กระนั้น ตลอดช่วงความทุกข์ยากนี้ดาวิดมั่นใจในความใฝ่พระทัยเป็นส่วนตัวของพระยะโฮวา. ท่านแถลงในคำอธิษฐานถึงพระยะโฮวาว่า “พระองค์ทรงนับการซัดเซพเนจรของข้าพเจ้า.” ถูกแล้ว สำหรับดาวิดแล้ว นั่นเป็นประหนึ่งว่า พระยะโฮวาทรงจดบันทึกความยากลำบากแสนสาหัสทั้งสิ้น. ครั้นแล้ว ดาวิดได้กล่าวเสริมอีกว่า “พระองค์ทรงเก็บน้ำตาของข้าพเจ้าไว้ในขวด [“ขวดหนัง,” ล.ม.] ของพระองค์; น้ำตานั้นก็จดไว้ในบัญชีของพระองค์แล้วไม่ใช่หรือ?”a (บทเพลงสรรเสริญ 56:8) โดยการเปรียบเทียบเช่นนี้ ดาวิดแสดงความมั่นใจว่า พระยะโฮวาทรงทราบไม่เพียงแต่สถานการณ์เท่านั้น แต่ผลกระทบด้านความรู้สึกจากสภาพนั้นด้วย.
ช่วงท้ายของชีวิต ดาวิดสามารถเขียนได้จากประสบการณ์เฉพาะตัวว่า “พระยะโฮวาทรงบำรุงกิจการของคนใด; ก็ทรงพอพระทัยในทางของคนนั้น. ส่วนผู้นั้นแม้ว่าพลาดลง, ก็จะไม่ถึงแก่ล้มทีเดียว; เพราะพระยะโฮวาทรงพยุงเขาไว้ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์.” (บทเพลงสรรเสริญ 37:23, 24) คุณก็มั่นใจได้ด้วยเช่นกันว่า ถึงแม้การทดลองที่คุณประสบอยู่เรื่อยไปไม่หยุดหย่อนก็ตาม พระยะโฮวาทรงสังเกตและเห็นคุณค่าความอดทนของคุณ. เปาโลเขียนว่า “พระเจ้าไม่ใช่อธรรมที่จะทรงลืมการงานของท่านและความรักที่ท่านได้สำแดงต่อพระนามของพระองค์, ในการที่ท่านได้ปรนนิบัติสิทธชนนั้น, และยังกำลังปรนนิบัติอยู่.”—เฮ็บราย 6:10.
นอกจากนี้ พระยะโฮวาทรงสามารถปฏิบัติ เพื่อผลประโยชน์ของคุณโดยประทานกำลังให้คุณเพื่อจะอดทนกับอุปสรรคใดก็ตามในวิถีชีวิตของคุณ. ดาวิดเขียนว่า “เหตุอันตรายมากหลายย่อมเกิดแก่ผู้สัตย์ธรรม; แต่พระยะโฮวาทรงช่วยเขาให้พ้นจากเหตุทั้งปวงเหล่านั้น.” (บทเพลงสรรเสริญ 34:19) ที่จริง คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่า พระเนตรของพระยะโฮวา “ไปมาอยู่เหนือแผ่นดินโลกทั้งสิ้นเพื่อสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์โดยเห็นแก่ผู้เหล่านั้นที่มีใจจริง [“หัวใจครบถ้วน,” ล.ม.] ต่อพระองค์.”—2 โครนิกา 16:9, ฉบับแปลใหม่.
พระยะโฮวาทรงชักนำคุณ
หลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับความใฝ่พระทัยของพระยะโฮวาเองจะพบได้ในคำตรัสของพระเยซู. พระองค์ตรัสว่า “ไม่มีผู้ใดจะมาถึงเราได้เว้นแต่พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาจะชักนำเขา.” (โยฮัน 6:44, ล.ม.) ถูกแล้ว พระยะโฮวาทรงช่วยผู้คนเป็นรายบุคคลให้รับผลประโยชน์จากเครื่องบูชาของพระคริสต์. โดยวิธีใด? ส่วนใหญ่ เป็นไปโดยงานประกาศราชอาณาจักร. จริงอยู่ งานนี้เป็นการให้ “คำพยานแก่ทุกชาติ” กระนั้น ก็ไปถึงประชาชนเป็นรายบุคคล. ข้อเท็จจริงที่ว่า คุณรับฟังและตอบรับข่าวสารที่เป็นข่าวดีนั้นเป็นหลักฐานแสดงความห่วงใยของพระยะโฮวาเองที่มีต่อคุณ.—มัดธาย 24:14, ล.ม.
โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระยะโฮวาทรงชักนำปัจเจกบุคคลมายังพระบุตรของพระองค์และความหวังเกี่ยวกับชีวิตถาวร. ทั้งนี้ทำให้แต่ละคนสามารถเข้าใจและนำความจริงฝ่ายวิญญาณมาใช้ทั้ง ๆ ที่มีขีดจำกัดและความไม่สมบูรณ์ใด ๆ ซึ่งมีมาแต่กำเนิด. ที่จริง คนเราไม่สามารถเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าได้โดยปราศจากความช่วยเหลือเป็นส่วนตัวจากพระวิญญาณของพระเจ้า. (1 โกรินโธ 2:11, 12) ดังที่เปาโลเขียนถึงชาวเธซะโลนิเก “ที่เชื่อนั้นไม่ใช่ทุกคน.” (2 เธซะโลนิเก 3:2) พระยะโฮวาทรงจัดเตรียมพระวิญญาณของพระองค์ไว้ให้เฉพาะแก่คนเหล่านั้นซึ่งแสดงความเต็มใจที่จะให้พระองค์ชักนำเขา.
พระยะโฮวาทรงชักนำประชาชนเพราะพระองค์ทรงรักพวกเขาฐานะปัจเจกบุคคลและทรงประสงค์ให้พวกเขาได้รับความรอด. ช่างเป็นหลักฐานแน่นหนาเสียจริง ๆ เกี่ยวกับความใฝ่พระทัยของพระยะโฮวาเอง! พระเยซูตรัสว่า “พระบิดาของท่านผู้อยู่ในสวรรค์ไม่ปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย.” (มัดธาย 18:14) ถูกแล้ว ในสายพระเนตรของพระเจ้าทุกคนสำคัญในฐานะเป็นปัจเจกบุคคลพิเศษจำเพาะ. เพราะเหตุนั้นเปาโลจึงเขียนได้ว่า “[พระองค์] จะทรงประทานบำเหน็จแก่ทุกคนตามการประพฤติของตน.” (โรม 2:6) และอัครสาวกเปโตรได้บอกว่า “พระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด แต่ชาวชน [เป็นรายบุคคล] ในประเทศใด ๆ ที่เกรงกลัวพระองค์และประพฤติในทางชอบธรรมก็เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์.”—กิจการ 10:34, 35.
การอัศจรรย์ของพระเยซู
การที่พระเจ้าใฝ่พระทัยในมนุษย์ด้วยพระองค์เองนั้นได้แสดงออกมาอย่างน่าซาบซึ้งใจในการอัศจรรย์ที่พระเยซูพระบุตรของพระองค์กระทำ. การรักษาโรคเหล่านี้ดำเนินไปพร้อมกับความรู้สึกอันลึกซึ้ง. (มาระโก 1:40, 41) เนื่องจากพระเยซู “จะกระทำสิ่งใดตามความริเริ่มของตนเองไม่ได้เลย เว้นแต่ที่ได้เห็นพระบิดาทรงกระทำ” ความเมตตาสงสารของพระองค์จึงเป็นตัวอย่างแสดงถึงความใฝ่พระทัยของพระยะโฮวาอย่างน่าซาบซึ้งใจต่อผู้รับใช้แต่ละคนของพระองค์.—โยฮัน 5:19, ล.ม.
จงพิจารณาเรื่องราวเกี่ยวกับการอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงกระทำ ดังที่บันทึกในมาระโก 7:31-37. ตามบันทึกนั้น พระเยซูทรงรักษาชายคนหนึ่งซึ่งหูหนวกและมีอุปสรรคในการพูด. คัมภีร์ไบเบิลพรรณนาว่า พระองค์ “นำคนนั้นออกจากประชาชนไปอยู่ต่างหาก.” ครั้นแล้ว “พระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ดูฟ้าทรงถอนพระทัยตรัสแก่คนนั้นว่า, ‘เอฟาธา’ แปลว่า ‘จงเปิดออก.’”
ทำไมพระเยซูจึงพาชายคนนี้ออกไปจากฝูงชน? เป็นไปได้ว่า คนหูหนวกซึ่งแทบจะไม่สามารถพูดได้นั้นคงจะรู้สึกอายตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ดูเหตุการณ์. พระเยซูอาจได้สังเกตความอึดอัดใจของชายคนนี้ และนั่นคือสาเหตุที่พระองค์ทรงเลือกจะรักษาเขาให้หายในที่ลับตาคน. ผู้คงแก่เรียนด้านคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งให้ข้อสังเกตว่า “ตลอดทั้งเรื่องนั้นแสดงให้เราเห็นชัดแจ้งที่สุดว่า พระเยซูมิได้ถือว่าชายคนนั้นเป็นแค่คนไข้ พระองค์ทรงถือว่าเขาเป็นปัจเจกบุคคลคนหนึ่ง. ชายคนนั้นมีความจำเป็นเฉพาะตัวและปัญหาเฉพาะอย่าง และด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างอ่อนโยนที่สุด พระเยซูทรงปฏิบัติกับเขาในวิธีที่ถนอมความรู้สึกของเขาและในวิธีที่เขาจะเข้าใจได้.”
เรื่องนี้แสดงว่า พระเยซูทรงมีความห่วงใยเป็นส่วนตัวต่อผู้คน. คุณแน่ใจได้ว่า พระองค์ทรงใฝ่พระทัยคุณเช่นกัน. จริงอยู่ ความตายอันเป็นการเสียสละของพระองค์เป็นการแสดงความรักต่อโลกทั้งสิ้นแห่งมนุษยชาติที่ไถ่ถอนได้. กระนั้น คุณสามารถถือการปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวได้ เช่นเดียวกับเปาโล ผู้ซึ่งเขียนว่า “พระบุตรของพระเจ้า . . . ได้ทรงรักข้าพเจ้า, และได้ประทานพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า.” (ฆะลาเตีย 2:20) และเนื่องจากพระเยซูทรงชี้ชัดว่า ‘ผู้ที่ได้เห็นพระองค์ก็ได้เห็นพระบิดา’ เราจึงแน่ใจได้ว่า พระยะโฮวาทรงมีความใฝ่พระทัยอย่างเดียวกันในผู้รับใช้ของพระองค์แต่ละคน.—โยฮัน 14:9.
พระยะโฮวาทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จ
การรับเอาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าพาดพิงถึงการรู้จักแต่ละแง่มุมแห่งบุคลิกภาพของพระองค์ดังที่มีเปิดเผยไว้ในคัมภีร์ไบเบิล. พระนามยะโฮวานั่นเองหมายความว่า “พระองค์ผู้ทรงบันดาลให้เป็น” แสดงนัยว่าพระยะโฮวาสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่พระองค์ทรงเลือกจะเป็นเพื่อทำให้พระทัยประสงค์ของพระองค์สำเร็จ. ตลอดประวัติศาสตร์ พระองค์รับบทบาทต่าง ๆ หลายประการ รวมทั้งบทบาทของพระผู้สร้าง, พระบิดา, พระผู้เป็นเจ้าองค์บรมมหิศร, ผู้บำรุงเลี้ยง, พระยะโฮวาแห่งพลโยธา, ผู้สดับคำอธิษฐาน, ผู้พิพากษา, พระครู, และผู้ไถ่.b
เพื่อหยั่งรู้เข้าใจความหมายครบถ้วนแห่งพระนามของพระเจ้า เราต้องรู้จักพระยะโฮวาในบทบาทของผู้ประทานบำเหน็จด้วย. เปาโลเขียนว่า “แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว, จะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าก็หามิได้ เพราะว่าผู้ที่มาหาพระเจ้าต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่, และต้องเชื่อว่าพระองค์เป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่ปลงใจแสวงหาพระองค์.”—เฮ็บราย 11:6.
พระยะโฮวาได้ทรงสัญญาชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยานสำหรับคนเหล่านั้นในทุกวันนี้ซึ่งตัดสินใจที่จะรับใช้พระองค์อย่างสุดหัวใจ. ไม่ใช่เป็นการเห็นแก่ตัวที่จะคอยท่าความสำเร็จแห่งคำสัญญาอันเยี่ยมยอดนั้น ทั้งไม่ใช่เป็นการทึกทักเอาเองที่จะนึกภาพตัวเองมีชีวิตอยู่ที่นั่น. โมเซ “เห็นแก่ประโยชน์ [“มองด้วยใจจดจ่อไปยัง,” ล.ม.] บำเหน็จนั้น.” (เฮ็บราย 11:26) เปาโลคาดหมายล่วงหน้าอย่างแรงกล้าเช่นกันในความสำเร็จแห่งคำสัญญาของพระเจ้าสำหรับคริสเตียนผู้ถูกเจิมที่ซื่อสัตย์. ท่านเขียนว่า “ข้าพเจ้าบากบั่นมุ่งไปสู่เป้าหมายเพื่อจะได้รางวัลซึ่งพระเจ้าทรงเรียกให้ขึ้นไปโดยทางพระเยซูคริสต์.”—ฟิลิปปอย 3:14, ล.ม.
คุณอาจตั้งตาคอยบำเหน็จที่พระยะโฮวาทรงสัญญาไว้กับคนเหล่านั้นซึ่งอดทนด้วยเช่นกัน. การคาดหมายล่วงหน้าในบำเหน็จนั้นเป็นส่วนสำคัญแห่งความรู้ของคุณเกี่ยวกับพระเจ้าและความอดทนของคุณในการรับใช้พระองค์. ดังนั้น จงไตร่ตรองทุกวันถึงพระพรต่าง ๆ ที่พระยะโฮวาทรงเตรียมไว้สำหรับคุณ. แมรีที่ถูกกล่าวถึงในตอนต้นนั้นได้เพียรพยายามเป็นพิเศษที่จะทำเช่นนี้. เธอบอกว่า “เป็นครั้งแรกในชีวิตของดิฉัน ไม่นานมานี้เองดิฉันยอมรับว่า เครื่องบูชาไถ่ของพระเยซูนั้นใช้กับดิฉัน. ดิฉันเริ่มรู้สึกว่า พระยะโฮวาทรงใฝ่พระทัยดิฉันฐานะเป็นบุคคล. ดิฉันเป็นคริสเตียนมากว่า 20 ปีแล้ว ทว่าเพียงแต่ไม่นานมานี้เอง ดิฉันเริ่มเชื่ออย่างนี้จริง ๆ.”
โดยการศึกษาและการไตร่ตรองดูคัมภีร์ไบเบิลอย่างจริงใจ แมรีพร้อมกับคนอื่นนับล้านกำลังมาเรียนรู้ว่า พระยะโฮวาทรงใฝ่พระทัยไพร่พลของพระองค์ ไม่เฉพาะเป็นกลุ่มเท่านั้น แต่เป็นปัจเจกบุคคลด้วย. อัครสาวกเปโตรมั่นใจในเรื่องนี้ถึงขนาดที่ท่านเขียนว่า “ท่านทั้งหลายมอบความกระวนกระวายทั้งสิ้นของท่านไว้กับ [พระเจ้า] เพราะว่าพระองค์ทรงใฝ่พระทัยในท่านทั้งหลาย.” (1 เปโตร 5:7, ล.ม.) ถูกแล้ว พระเจ้าทรงใฝ่พระทัยคุณ!
[เชิงอรรถ]
a ขวดหนังเป็นภาชนะทำด้วยหนังสัตว์ ใช้ใส่สิ่งต่าง ๆ เช่น น้ำ, น้ำมัน, นม, เหล้าองุ่น, เนย, และเนยแข็ง. ขวดสมัยโบราณผิดแผกกันมากมายในด้านขนาดและสัณฐาน ขวดเหล่านี้บางอย่างเป็นถุงหนัง และอย่างอื่น ๆ เป็นภาชนะคอแคบมีจุกปิด.
b โปรดดูวินิจฉัย 11:27; บทเพลงสรรเสริญ 23:1; 65:2; 73:28; 89:26; ยะซายา 8:13; 30:20; 40:28; 41:14; ดูพระคัมภีร์บริสุทธิ์ฉบับแปลโลกใหม่—พร้อมด้วยข้ออ้างอิง (ภาษอังกฤษ) ภาคผนวก 1J, หน้า 1568, จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์แห่งนิวยอร์กด้วย.
[กรอบหน้า 6]
การกลับเป็นขึ้นจากตาย—ข้อพิสูจน์ที่ว่าพระเจ้าใฝ่พระทัย
ข้อพิสูจน์ที่ทำให้มั่นใจเรื่องความใฝ่พระทัยของพระเจ้าในปัจเจกบุคคลแต่ละคนนั้นพบได้ในคัมภีร์ไบเบิลที่โยฮัน 5:28, 29 (ล.ม.) ที่ว่า “เวลาจะมาเมื่อบรรดาผู้ซึ่งอยู่ในอุโมงค์รำลึกจะได้ยินสุรเสียงของ [พระเยซู] และจะออกมา.”
เป็นที่น่าสนใจ ในที่นี้มีการใช้คำภาษากรีก มเนเมอิʹออน (อุโมงค์รำลึก) แทนคำ ทาʹฟอส (หลุมฝังศพ). คำ ทาʹฟอส เพียงแต่ถ่ายทอดความคิดเรื่องการฝังศพ. แต่มเนเมอิʹออน บอกเป็นนัยว่ามีการระลึกถึงประวัติบันทึกของบุคคลที่ตายนั้น.
ในแง่นี้ ขอให้คิดดูก็แล้วกันว่าเพื่อจะมีการกลับเป็นขึ้นจากตายจะต้องคาดหมายอะไรจากพระเจ้ายะโฮวา. ที่จะนำใครสักคนกลับคืนสู่ชีวิต พระองค์ต้องทราบทุกสิ่ง เกี่ยวกับคนนั้น รวมทั้งอุปนิสัยที่ติดตัวมาและความทรงจำที่ครบถ้วนของเขา. ต้องรู้เรื่องเหล่านี้ก่อนเท่านั้นจึงจะสามารถนำบุคคลนั้นกลับคืนมามีชีวิตอีกโดยมีบุคลิกลักษณะเดิม.
แน่นอน เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้จากทัศนะของมนุษย์ แต่ “พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง.” (มาระโก 10:27) พระองค์สามารถค้นหาสิ่งที่อยู่ในหัวใจคนด้วยซ้ำ. ถึงแม้คนเราตายเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้วก็ตาม ความทรงจำของพระเจ้าเกี่ยวกับตัวเขามีอยู่เรื่อยไป ความทรงจำนั้นมิได้เลือนหายไป. (โยบ 14:13-15) ด้วยเหตุนี้ เมื่อกล่าวถึงอับราฮาม, ยิศฮาค, และยาโคบ พระเยซูสามารถตรัสหลังจากที่พวกเขาตายไปหลายศตวรรษด้วยซ้ำว่า พระยะโฮวา “มิได้เป็นพระเจ้าของคนตาย, แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น ด้วยว่าจำเพาะพระเจ้าคนทุกคนยังเป็นอยู่.”—ลูกา 20:38.
ด้วยเหตุนี้ หลายพันล้านคนที่ตายแล้วนั้นอยู่ในความทรงจำของพระเจ้ายะโฮวาในรายละเอียดครบถ้วน. ช่างเป็นข้อพิสูจน์อันเยี่ยมยอดเสียจริง ๆ ที่ว่าพระเจ้าทรงใฝ่พระทัยในมนุษย์เป็นรายบุคคล!
[รูปภาพหน้า 7]
พระเยซูเองทรงใฝ่พระทัยคนเหล่านั้นที่พระองค์รักษาโรคให้หาย