ให้เราเกลียดชังสิ่งที่ชั่ว
พระยะโฮวาพระเจ้าเป็นองค์บริสุทธิ์. ในกาลโบราณพระองค์ทรงเป็น “ผู้บริสุทธิ์แห่งชนชาติยิศราเอล” และเมื่อเป็นเช่นนั้น พระองค์ต้องการให้ชาวยิศราเอลเป็นคนสะอาด ปราศจากด่างพร้อย. (บทเพลงสรรเสริญ 89:18) พระองค์ทรงบัญชาชนชาติที่สรรไว้เฉพาะดังนี้: “เราเป็นพระเจ้าของท่านทั้งหลาย; เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนบริสุทธิ์.” (เลวีติโก 11:45) คนใดที่ประสงค์จะ “ขึ้นไปยังภูเขาของพระยะโฮวา” ก็ต้องเป็น “ผู้ที่มีมือสะอาดหมดจด, และมีใจบริสุทธิ์.” (บทเพลงสรรเสริญ 24:3, 4) ข้อนี้ไม่ใช่เพียงแต่พึงละเว้นการประพฤติชั่ว แต่หมายถึง “การเกลียดชังความชั่ว.”—สุภาษิต 8:13, ล.ม.
พระยะโฮวาผู้เปี่ยมล้นด้วยความรักได้ทรงบัญญัติกฎหมายในรายละเอียด เพื่อว่าชาติยิศราเอลจะสามารถวินิจฉัยออกและละเว้นการกระทำผิด. (โรม 7:7, 12) บัญญัติเหล่านี้รวมเอาการชี้นำอันเข้มงวดทางด้านศีลธรรม. การเล่นชู้, พฤติกรรมรักร่วมเพศ, การร่วมประเวณีระหว่างญาติใกล้ชิด, และการสังวาสกับสัตว์ ทั้งหมดนี้ถูกระบุว่าไม่บริสุทธิ์ ก่อมลพิษฝ่ายวิญญาณ. (เลวีติโก 18:23; 20:10-17) พวกที่กระทำความผิดอันต่ำทรามเช่นนั้นถูกกวาดล้างให้สิ้นจากแผ่นดินยิศราเอล.
เมื่อประชาคมคริสเตียนที่รับการเจิมได้กลายเป็น “ยิศราเอลของพระเจ้า” จึงได้มีการวางมาตรฐานทางศีลธรรมหลาย ๆ ด้านที่คล้ายกันสำหรับพวกเขา. (ฆะลาเตีย 6:16) คริสเตียนก็เช่นเดียวกันพึงต้อง “เกลียดชังสิ่งที่ชั่ว.” (โรม 12:9) คำแถลงของพระยะโฮวาต่อชาติยิศราเอลย่อมใช้ได้กับพวกเขาเช่นกัน ที่ว่า “ท่านทั้งหลายต้องเป็นคนบริสุทธิ์เพราะเราเป็นผู้บริสุทธิ์.” (1 เปโตร 1:15, 16, ล.ม.) กิจปฏิบัติใด ๆ ที่ไม่บริสุทธิ์ เช่น การผิดประเวณีหรือการลักลอบได้เสียกัน, การเล่นชู้, พฤติกรรมรักร่วมเพศ, การร่วมเพศกับสัตว์, และการร่วมประเวณีระหว่างญาติใกล้ชิดไม่ควรบ่อนทำลายประชาคมคริสเตียนให้เสียหาย. บรรดาผู้ไม่ยอมละเลิกการต่าง ๆ ดังกล่าวจะไม่ได้เข้าในราชอาณาจักรของพระเจ้า. (โรม 1:26, 27; 2:22; 1 โกรินโธ 6:9, 10; เฮ็บราย 13:4) ใน “สมัยสุดท้าย” นี้ “แกะอื่น” ต้องประพฤติตามมาตรฐานอย่างเดียวกัน. (2 ติโมเธียว 3:1, ล.ม.; โยฮัน 10:16) ผลที่เกิดขึ้นคือ คริสเตียนผู้ถูกเจิมและแกะอื่นประกอบกันเป็นไพร่พลที่สะอาด, มีคุณค่า, สามารถมีพระนามของพระเจ้าของตนติดตัวอยู่ในฐานะเป็นพยานพระยะโฮวา.—ยะซายา 43:10.
การรักษาประชาคมให้สะอาด
ในทางตรงกันข้าม โลกนี้ถือว่าการประพฤติผิดศีลธรรมทุกอย่างไม่เป็นเรื่องสำคัญ. ถึงแม้คริสเตียนแท้ต่างจากโลก พวกเขาไม่ควรลืมว่าหลายคนที่ขณะนี้รับใช้พระยะโฮวาเคยอยู่กับโลกมาก่อน. มีหลายคน ก่อนได้มารู้จักพระเจ้าองค์บริสุทธิ์ของเรา เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจึงไม่สมควรสนองความปรารถนาและความคิดอันเพ้อฝันแห่งเนื้อหนังที่ผิดบาป มัวเมาอยู่ “ในแอ่งโสโครกที่มีแต่ความเสเพล.” (1 เปโตร 4:4, ล.ม.) หลังจากพรรณนาถึงกิจปฏิบัติอันน่ารังเกียจในหมู่ประชาชาติที่เสื่อมทราม อัครสาวกเปาโลกล่าวดังนี้: “แต่ก่อนมีบางคนในพวกท่านเคยเป็นคนอย่างนั้น.” กระนั้น ท่านกล่าวต่อไปว่า “แต่ได้ทรงชำระท่านทั้งหลายให้สะอาดแล้ว แต่ได้ทรงทำให้ท่านทั้งหลายบริสุทธิ์ แต่ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายเป็นผู้ชอบธรรมในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราและด้วยพระวิญญาณแห่งพระเจ้าของเรา.”—1 โกรินโธ 6:11, ล.ม.
ช่างเป็นคำพูดที่ปลอบประโลมใจเสียนี่กระไร! ไม่ว่าในชีวิตเมื่อก่อนคนเราเคยทำอะไรมาแล้วก็ตาม เขาเปลี่ยนแปลงเมื่อข่าวดีอันรุ่งโรจน์เกี่ยวกับพระคริสต์ส่งผลกระทบหัวใจของเขา. เขาสำแดงความเชื่อและอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาพระเจ้า. ตั้งแต่นั้นมา เขาดำรงชีวิตอย่างสะอาดทางศีลธรรม ถูกชำระสะอาดแล้วในสายพระเนตรพระเจ้า. (เฮ็บราย 9:14) บาปต่าง ๆ ที่เขาเคยกระทำเมื่อก่อนได้รับอภัยโทษแล้ว และเขาจะ “น้อมตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า” ได้.a—ฟิลิปปอย 3:13, 14, ล.ม.; โรม 4:7, 8.
พระยะโฮวาโปรดให้อภัยบาปโทษฐานฆ่าคนและผิดประเวณีแก่ดาวิดผู้ซึ่งได้กลับใจ และพระองค์โปรดให้อภัยมะนาเซผู้กลับใจ จากการบูชารูปเคารพและสังหารผู้คนมากมาย. (2 ซามูเอล 12:9, 13; 2 โครนิกา 33:2-6, 10-13) พวกเรารู้สึกขอบพระคุณพระองค์อย่างแท้จริงที่พระองค์พร้อมจะให้อภัยพวกเราเช่นกันหากพวกเรากลับใจและเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยความจริงใจและถ่อมใจ. กระนั้น ทั้ง ๆ ที่พระยะโฮวาทรงอภัยโทษดาวิดและมะนาเซ บุรุษทั้งสอง พร้อมด้วยพลเมืองชาวยิศราเอล ก็ยังต้องอยู่รับผลสืบเนื่องจากการทำบาปของท่านทั้งสอง. (2 ซามูเอล 12:11, 12; ยิระมะยา 15:3-5) ทำนองเดียวกัน แม้พระยะโฮวาทรงอภัยโทษคนบาปที่กลับใจ แต่เขาไม่อาจจะหลีกเลี่ยงผลที่เกิดขึ้นเนื่องจากการกระทำของเขาไปได้.
ผลที่เกิดขึ้นซึ่งจะหลีกเลี่ยงไม่ได้
ยกตัวอย่าง ชายผู้หนึ่งใช้ชีวิตเสเพลประพฤติผิดศีลธรรมและติดเชื้อโรคเอดส์ เขาอาจรับเอาความจริงแล้วเปลี่ยนวิถีชีวิตของเขาถึงขั้นอุทิศตัวและรับบัพติสมา. ตอนนี้เขาเป็นคริสเตียนที่สะอาดฝ่ายวิญญาณ มีสัมพันธภาพกับพระเจ้าและมีความหวังอันดียอดเยี่ยมอยู่เบื้องหน้า; ทว่า เขายังคงป่วยด้วยโรคเอดส์. ท้ายที่สุด เขาอาจตายด้วยโรคนี้ ผลที่เกิดขึ้นจากความประพฤติในอดีตอันน่าเศร้าแต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้. สำหรับคริสเตียนบางคน ผลกระทบอันเนื่องมาจากการประพฤติผิดศีลธรรมอย่างร้ายแรงแต่ครั้งก่อนอาจยังคงมีอยู่ในวิธีอื่นอีก. หลายปีหลังการรับบัพติสมา หรืออาจตลอดชีวิตของเขาในระบบโลกเก่านี้ เขาอาจจะต้องต่อสู้กับแรงกระตุ้นแห่งเนื้อหนังที่จะหวนกลับไปดำเนินชีวิตอย่างผิดศีลธรรมเหมือนแต่ก่อน. ด้วยความช่วยเหลือแห่งพระวิญญาณของพระยะโฮวา หลายคนยืนหยัดได้สำเร็จ. แต่เขาต้องต่อสู้ไม่หยุดหย่อน.—ฆะลาเตีย 5:16, 17;
คนเหล่านั้นย่อมไม่ทำบาปตราบที่เขาควบคุมแรงกระตุ้นของตน. แต่ถ้าเป็นผู้ชาย เขาอาจตัดสินใจอย่างฉลาดที่จะไม่ “เอื้อมแขนออกไป” เพื่อรับเอาหน้าที่รับผิดชอบในประชาคมขณะที่ยังต้องต่อสู้กับแรงกระตุ้นของเนื้อหนัง. (1 ติโมเธียว 3:1, ล.ม.) ทำไม? เพราะเขารู้ว่าประชาคมให้ความไว้วางใจแก่พวกผู้ปกครอง. (ยะซายา 32:1, 2; เฮ็บราย 13:17) พวกเขาตระหนักว่า ผู้ปกครองต้องให้คำปรึกษาในเรื่องส่วนตัวและจัดการกับสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่ล่อแหลม. คงไม่ใช่การแสดงความรัก, ความสุขุม, หรือความมีเหตุผลหากคนหนึ่งคนใดจะเอื้อมเอาหน้าที่การงานเช่นนั้นซึ่งต้องรับผิดชอบขณะที่ตนยังคงต่อสู้กับความปรารถนาของเนื้อหนังที่ไม่สะอาด.—สุภาษิต 14:16; โยฮัน 15:12, 13; โรม 12:1.
สำหรับผู้ชายซึ่งกระทำทารุณทางเพศกับเด็กก่อนเขารับบัพติสมา ก็อาจเผชิญผลที่เกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่ง. เมื่อเขาเรียนรู้ความจริง เขากลับใจและหันกลับ ไม่นำเอาการผิดที่เหี้ยมโหดนั้นเข้ามาในประชาคม. หลังจากนั้น เขาอาจก้าวหน้าเป็นอย่างดี เอาชนะแรงกระตุ้นในทางผิดได้อย่างสิ้นเชิง กระทั่งมีแนวโน้มจะ ‘เอื้อมเอา’ หน้าที่การงานที่มีความรับผิดชอบในประชาคมด้วยซ้ำ. แต่จะเป็นอย่างไรหากในชุมชนนั้นยังถือว่าเขาเคยมีประวัติฉาวโฉ่ในเรื่องการกระทำทารุณเด็ก? เขาได้ชื่อว่า “เป็นคนที่ไม่มีใครติเตียนได้. . . . มีคำพยานที่ดีจากคนภายนอก . . . ปราศจากข้อกล่าวหา” ไหม? (1 ติโมเธียว 3:1-7, 10; ติโต 1:7, ล.ม.) แน่นอน เขายังไม่พ้นข้อกล่าวหา. ดังนั้น เขาไม่มีคุณสมบัติเหมาะกับสิทธิพิเศษในประชาคม.
เมื่อคริสเตียนที่อุทิศตัวแล้วกระทำผิด
พระยะโฮวาทรงรู้จักเป็นอย่างดีว่าเราเป็นคนอ่อนแอ และถึงแม้รับบัพติสมาแล้วก็อาจพลาดพลั้งทำผิดได้. อัครสาวกโยฮันเขียนถึงบรรดาคริสเตียนสมัยของท่านดังนี้: “ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ฝากมายังท่านทั้งหลาย, เพื่อท่านจะไม่ได้หลงกระทำผิด, และถ้าผู้ใดหลงกระทำผิด. เราก็มีพระองค์ผู้ช่วยเหลือสถิตอยู่กับพระบิดา, คือพระเยซูคริสต์ผู้เที่ยงธรรมนั้น และพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงระงับพระพิโรธเพราะความบาปของพวกเรา, และไม่ใช่ของพวกเราพวกเดียว, แต่ว่าของมนุษย์โลกทั้งสิ้นด้วย.” (1 โยฮัน 2:1, 2) ใช่แล้ว อาศัยพื้นฐานแห่งเครื่องบูชาของพระเยซู พระยะโฮวาทรงโปรดให้อภัยคริสเตียนซึ่งรับบัพติสมาแล้วแต่หลงทำบาป—ถ้าเขากลับใจอย่างแท้จริงและเลิกแนวทางที่ผิดของตน.
ตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ปรากฏในประชาคมที่เมืองโกรินโธสมัยศตวรรษแรก. อัครสาวกเปาโลได้ยินเรื่องการเป็นชู้กับภรรยาของบิดาในประชาคมซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นใหม่ และท่านได้แนะนำให้ตัดสัมพันธ์ชายผู้เป็นต้นเหตุนั้นเสีย. ต่อมา ผู้ทำบาปกลับใจ และเปาโลจึงกระตุ้นเตือนประชาคมให้รับเขาสู่ฐานะเดิม. (1 โกรินโธ 5:1, 13; 2 โกรินโธ 2:5-9) ดังนั้น โดยพลังแห่งความกรุณารักใคร่ของพระยะโฮวาที่สามารถเยียวยารักษาและคุณค่าแห่งเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซู ชายคนนั้นได้รับการชำระให้สะอาดจากบาปของเขา. กรณีคล้ายคลึงกันก็อาจเกิดขึ้นได้ในทุกวันนี้. แต่ถึงแม้คนที่รับบัพติสมาซึ่งทำบาปร้ายแรง ได้กลับใจและรับการยกโทษในสายพระเนตรของพระยะโฮวาแล้วก็ตาม การบาปของเขายังอาจมีผลกระทบอยู่ไม่วาย.—สุภาษิต 10:16, 17; ฆะลาเตีย 6:7.
ยกตัวอย่าง ถ้าเด็กสาวคนหนึ่งที่ได้อุทิศตัวแล้วทำผิดประเวณี เธออาจรู้สึกขมขื่นเสียใจมากต่อการกระทำของตัวเอง ครั้นแล้วด้วยการช่วยเหลือของประชาคม เธออาจถูกรับคืนสู่ฐานะเดิมและกลับเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณอีก. แต่สมมุติว่าเธอตั้งครรภ์เนื่องจากการทำผิดประเวณีล่ะ? บัดนี้ ผลจากการกระทำที่เธอก่อขึ้น ชีวิตของเธอผันแปรไปอย่างเลี่ยงไม่พ้น. ชายคนหนึ่งทำผิดประเวณีอาจกลับใจและไม่ถูกตัดสัมพันธ์. แต่ภรรยาของเขาซึ่งไม่มีความผิดสามารถหย่าขาดจากเขาได้ตามเหตุผลของคัมภีร์ไบเบิล และเธออาจเลือกที่จะทำเช่นนั้น. (มัดธาย 19:9) ถ้าเธอหย่า ฝ่ายชายแม้ได้รับการอภัยจากพระยะโฮวาแล้วก็ตาม ผลอันร้ายแรงจากบาปของเขาจะยังมีอยู่ต่อไปตลอดชีวิต.—1 โยฮัน 1:9.
และผู้ชายที่หย่าภรรยาอย่างไร้ซึ่งความรักเพื่อไปแต่งงานกับหญิงอื่นล่ะ? บางทีในที่สุดเขาอาจกลับใจและถูกรับคืนสู่ฐานะเดิมในประชาคมอีก. หลายปีผ่านไป เขาอาจทำความก้าวหน้า และ “รุดหน้าสู่ความอาวุโส.” (เฮ็บราย 6:1, ล.ม.) แต่ตราบใดภรรยาคนแรกของเขายังครองตัวอยู่เป็นโสด เขาจะไม่มีคุณวุฒิที่จะทำหน้าที่ซึ่งมีความรับผิดชอบในประชาคม. เขาไม่ใช่ “สามีของหญิงคนเดียว” เพราะว่าเขาไม่มีสิทธิจะหย่าภรรยาคนแรกของเขาได้ตามหลักคัมภีร์ไบเบิล.—1 ติโมเธียว 3:2, 12, ล.ม.
ตามที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นเหตุผลอันหนักแน่นมิใช่หรือที่ว่าคริสเตียนพึงต้องฝึกนิสัยให้เกลียดสิ่งที่ชั่ว?
แล้วผู้กระทำทารุณเด็กล่ะจะว่าอย่างไร?
ถ้าคริสเตียนซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่รับบัพติสมาแล้วทำร้ายทางเพศต่อผู้เยาว์ล่ะ? คนนั้นทำบาปชั่วช้าถึงขนาดที่พระยะโฮวาจะไม่ให้อภัยเขาเชียวหรือ? คงไม่ถึงขนาดนั้น พระเยซูตรัสว่าบาปที่ให้อภัยไม่ได้คือการ “หมิ่นประมาทต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์.” และเปาโลกล่าวว่า ไม่มีเครื่องบูชาแก้บาปสำหรับผู้ที่เจตนาทำผิดเป็นนิจสิน ทั้ง ๆ ที่เขารู้ความจริง. (ลูกา 12:10; เฮ็บราย 10:26, 27) แต่ไม่ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิลเลยที่ว่า คริสเตียนซึ่งเป็นผู้ใหญ่ทำร้ายทางเพศกับผู้เยาว์—ไม่ว่าจะเป็นการทำกับญาติใกล้ชิดหรือกับใครก็ตาม—ไม่อาจได้รับการอภัย. จริง ๆ แล้ว บาปของเขาจะถูกชำระได้ถ้าเขากลับใจด้วยใจจริงและเปลี่ยนความประพฤติอย่างสิ้นเชิง. อย่างไรก็ตาม เขาอาจยังคงต้องต่อสู้กับแรงกระตุ้นอย่างผิด ๆ ทางเนื้อหนังซึ่งเขาได้หว่านไว้. (เอเฟโซ 1:7) และอาจมีผลที่เกิดขึ้นซึ่งเขาไม่สามารถเลี่ยงได้.
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกฎหมายของประเทศที่เขาอาศัยอยู่ ผู้กระทำทารุณทางเพศอาจจะต้องถูกจำคุกหรือรับโทษอื่น ๆ ตามกบิลเมือง. ประชาคมจะไม่ปกป้องเขาให้พ้นจากผลที่เกิดขึ้นนี้. ยิ่งกว่านั้น ชายผู้นี้ได้เผยให้เห็นความอ่อนแออย่างยิ่งซึ่งจากนี้ไปจำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่อย่างจริงจัง. ถ้าดูเหมือนว่าเขากลับใจ เขาจะได้รับการหนุนกำลังใจให้ก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ, ร่วมงานประกาศในเขตงาน, กระทั่งมีส่วนในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า, และส่วนที่ไม่ใช่ส่วนการสอนในการประชุมวิธีปฏิบัติงาน. แต่ทั้งนี้ไม่หมายความว่าเขาจะมีคุณวุฒิพร้อมปฏิบัติงานในตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบในประชาคม. อะไรคือเหตุผลอันเป็นไปตามหลักคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับเรื่องนี้?
เหตุผลข้อหนึ่งคือ ผู้ปกครองต้อง “รู้จักบังคับตน.” (ติโต 1:8, ล.ม.) จริงอยู่ ไม่มีสักคนเดียวในหมู่พวกเราเป็นคนรู้จักบังคับตนได้ครบถ้วน. (โรม 7:21-25) ทว่า คริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่และอุทิศตัวแล้วซึ่งถลำตัวทำบาปทางเพศกับเด็กเช่นนั้นส่อถึงความอ่อนแอด้านเนื้อหนังที่ผิดธรรมชาติ. ประสบการณ์บ่งชี้ว่า ผู้ใหญ่แบบนี้อาจกระทำทารุณเด็กอื่น ๆ เช่นกัน. จริงอยู่ ไม่ใช่ทุกคนที่กระทำผิดทางเพศกับเด็กจะทำบาปนั้นซ้ำอีก แต่หลายคนทำเช่นนั้น. และประชาคมไม่สามารถตรวจสอบสภาพหัวใจเพื่อจะบอกได้ว่าใครมีหรือไม่มีแนวโน้มไปในทางที่จะทำทารุณกรรมกับเด็กอีก. (ยิระมะยา 17:9) ดังนั้น คำแนะนำของเปาโลที่ให้แก่ติโมเธียวจึงใช้ได้เพื่อการตอกย้ำในกรณีผู้ใหญ่ที่รับบัพติสมาแล้วซึ่งได้ทำร้ายทางเพศกับเด็กดังนี้: “อย่าวางมือเจิมผู้ใดโดยเร็ว, และอย่าเข้าส่วนในการผิดของคนอื่นเลย.” (1 ติโมเธียว 5:22) เพื่อเป็นการคุ้มครองป้องกันเด็ก ๆ ของเรา ชายใด ๆ ซึ่งรู้กันว่าเป็นคนทำร้ายทางเพศกับเด็กจึงไม่มีคุณสมบัติจะได้รับมอบตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบในประชาคม. ยิ่งกว่านั้น เขาจะเป็นไพโอเนียร์หรือรับใช้งานเต็มเวลาพิเศษอื่น ๆ ไม่ได้.—เทียบหลักการที่เอ็กโซโด 21:28, 29.
บางคนจะถามว่า ‘บางคนเคยประพฤติผิดลักษณะอื่น ๆ มาก่อน และก็ดูเหมือนว่าได้กลับใจ แต่แล้วก็ประพฤติผิดอีกมิใช่หรือ?’ ใช่ เคยเกิดเรื่องทำนองนี้ แต่มีปัจจัยอื่นที่ต้องคำนึงถึง. ยกตัวอย่าง ถ้าคนใดพยายามล่วงเกินทางเพศกับอีกคนหนึ่งที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่ที่ถูกระรานทางเพศน่าจะสามารถขัดขืนการกระทำของผู้ล่วงเกินได้. ส่วนเด็ก ๆ ถูกหลอก, ทำให้งุนงงสับสน, และถูกทำให้ตกใจกลัวได้ง่ายกว่ามาก. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงการที่เด็กขาดสติปัญญา. (สุภาษิต 22:15; 1 โกรินโธ 13:11) พระเยซูทรงใช้เด็กเป็นตัวอย่างด้านความใจถ่อมอย่างไร้เดียงสา. (มัดธาย 18:4; ลูกา 18:16, 17) การไร้เดียงสาของเด็กรวมไปถึงการไร้ประสบการณ์อย่างสิ้นเชิง. เด็กส่วนใหญ่ไม่มีลับลมคมใน, อยากเป็นที่ถูกใจผู้อื่น, ด้วยเหตุนี้ จึงเปิดโอกาสให้ผู้ใหญ่ซึ่งตนรู้จักและไว้ใจวางอุบายทำร้ายทางเพศได้ง่าย. ฉะนั้น ประชาคมมีความรับผิดชอบจำเพาะพระยะโฮวาที่จะปกป้องคุ้มครองพวกเด็ก ๆ ในประชาคม.
เด็ก ๆ ซึ่งได้รับการฝึกอบรมอย่างดีเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังและนับถือบิดามารดาของตน, พวกผู้ปกครอง, และผู้ใหญ่อื่น ๆ. (เอเฟโซ 6:1, 2; 1 ติโมเธียว 5:1, 2; เฮ็บราย 13:7) คงจะเป็นพฤติกรรมผิดปกติอย่างน่าตระหนกหากใครในบรรดาบุคคลซึ่งมีอำนาจหน้าที่จะฉวยโอกาสจากความไว้วางใจอย่างไร้เดียงสาของเด็ก ด้วยการล่อลวงหรือบังคับเด็กผู้ชายหรือผู้หญิงให้ยอมร่วมประเวณีด้วย. เด็กเหล่านั้นที่ถูกทำร้ายทางเพศโดยวิธีนี้ บ่อยครั้งต้องต่อสู้นานหลายปีกว่าจะเอาชนะความบอบช้ำทางจิตใจได้. ดังนั้น บุคคลที่กระทำทารุณทางเพศกับเด็กย่อมต้องรับการตีสอนอย่างหนักและการจำกัดสิทธิต่าง ๆ จากประชาคม. ไม่ใช่สถานะของเขาโดยหน้าที่รับผิดชอบในประชาคมเป็นเรื่องสำคัญต้องเป็นห่วง แต่ความบริสุทธิ์สะอาดไม่มีที่ตำหนิของประชาคมต่างหากที่ควรคำนึงถึง.—1 โกรินโธ 5:6; 2 เปโตร 3:14.
ถ้าคนที่ทำร้ายทางเพศกับเด็กกลับใจอย่างแท้จริง เขาจะยอมรับว่าการใช้หลักการแห่งคัมภีร์ไบเบิลเป็นแนวทางแห่งสติปัญญา. ถ้าเขาเรียนรู้จริง ๆ ที่จะเกลียดสิ่งชั่ว เขาย่อมรังเกียจการกระทำของเขาที่แล้ว ๆ มา และต่อสู้เพื่อหลีกเลี่ยงการทำบาปซ้ำอีก. (สุภาษิต 8:13; โรม 12:9) ยิ่งกว่านั้น เขาคงจะขอบพระคุณพระยะโฮวาเนื่องด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ยังผลให้คนบาปอย่างเขาซึ่งได้กลับใจแล้วสามารถนมัสการพระเจ้าองค์บริสุทธิ์ของเราได้ต่อไปและมีความหวังจะอยู่ท่ามกลาง “คนตรง” ผู้ซึ่งจะพำนักอยู่ตลอดไปในแผ่นดินโลก.—สุภาษิต 2:21.
[เชิงอรรถ]
a โปรดดู “คำถามจากผู้อ่าน” ในวารสาร หอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 พฤษภาคม 1996.
[จุดเด่นหน้า 28]
แม้ว่าพระยะโฮวาทรงให้อภัยคนบาปที่ได้กลับใจ แต่เขาไม่อาจจะหลีกเลี่ยงผลการกระทำของตนได้