ควรส่งบุตรเข้าโรงเรียนประจำไหม?
ลองจินตนาการว่าคุณอยู่ที่เมืองเล็ก ๆ ในประเทศกำลังพัฒนา. คุณมีบุตรเรียนอยู่ชั้นประถมหลายคน แต่พออายุ 12 ปี เด็ก ๆ ก็จะเรียนต่อชั้นมัธยม. โรงเรียนมัธยมในท้องถิ่นที่คุณอยู่นั้นมีนักเรียนล้นชั้น ไม่มีอุปกรณ์การเรียนการสอนครบอย่างที่จะพึงมี มิหนำมีครูไม่พอหรือเป็นครูขาดคุณวุฒิ. บางครั้งเกิดการก่อเหตุประท้วงทำให้โรงเรียนต้องปิดแต่ละครั้งนานหลายสัปดาห์หรือนานเป็นเดือน ๆ.
มีคนยื่นแผ่นพับสีสวยสะดุดตาให้คุณซึ่งแสดงแผนภาพโรงเรียนประจำในเมือง. คุณมองภาพนักเรียนร่าเริงแจ่มใส แต่งตัวเรียบร้อย ตั้งอกตั้งใจเล่าเรียนในห้องซึ่งมีอุปกรณ์การเรียนการสอนครบ มีห้องทดลองทำวิจัยและห้องสมุด. นักเรียนใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และผ่อนคลายภายในหอพักที่สะอาดสะอ้านน่าติดใจ. แผ่นพับนั้นบอกว่าเป้าหมายประการหนึ่งของโรงเรียนคือจะมุ่งส่งเสริมนักเรียนให้ “บรรลุมาตรฐานการศึกษาขั้นสูงสุดซึ่งนักเรียนสามารถบรรลุได้.” คุณอ่านต่อไปอีกว่า “ข้อเรียกร้องสำหรับนักเรียนทุกคนคือต้องปฏิบัติตามหลักความประพฤติอันเหมาะสมอย่างที่พึงกระทำเป็นปกติภายในครอบครัวซึ่งเน้นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่, ความสุภาพเรียบร้อย, การเคารพนับถือบิดามารดาและผู้สูงอายุ, การร่วมมือร่วมใจ, ความอดกลั้นอดทน, ความกรุณา, ซื่อสัตย์สุจริตและจงรักภักดี.”
มีการยกคำพูดของเด็กชายหน้าตายิ้มแย้มในแผ่นพับนั้นที่ว่า “คุณพ่อคุณแม่ให้ผมรับสิทธิพิเศษที่หาไม่ได้อีกแล้วที่จะเรียนในโรงเรียนที่ดีเยี่ยม.” ส่วนเด็กหญิงพูดว่า “โรงเรียนนี้ท้าทายและน่าตื่นเต้น. การเรียนที่นี่เป็นแบบธรรมชาติ.” คุณจะส่งบุตรธิดาเข้าโรงเรียนประจำอย่างนี้ไหม?
การศึกษาเล่าเรียนและสภาพฝ่ายวิญญาณ
พ่อแม่ทุกคนที่ใส่ใจย่อมต้องการวางพื้นฐานชีวิตที่มั่นคงให้แก่ลูก และเพื่อจะบรรลุเป้าหมายเช่นนั้นได้ การศึกษาอย่างถี่ถ้วนและอยู่ในดุลภาคเป็นสิ่งสำคัญ. บ่อยครั้งการศึกษาทางโลกเปิดช่องทางให้มีงานในอนาคต และช่วยหนุ่มสาวพัฒนาตัวเองเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถดูแลตัวเอง และครอบครัวของตนในอนาคตได้.
คุณอาจถามทำนองนี้: ‘ถ้าโรงเรียนประจำให้การศึกษาที่ดีควบไปกับการชี้นำทางศีลธรรมบ้าง ทำไมไม่ฉวยเอาประโยชน์จากโรงเรียนแบบนี้ล่ะ?’ ในการตอบคำถามนี้ บิดามารดาที่เป็นคริสเตียนควรไตร่ตรององค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญยิ่งด้วยการอธิษฐาน นั่นคือสวัสดิภาพฝ่ายวิญญาณของบุตรธิดา. พระเยซูคริสต์ตรัสถามดังนี้: “ถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก, แต่ต้องเสียชีวิตของตน, ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร?” (มาระโก 8:36, ล.ม.) แน่นอน ไม่ได้ประโยชน์แต่อย่างใด. ดังนั้น ก่อนตัดสินใจส่งบุตรเข้าโรงเรียนประจำ บิดามารดาที่เป็นคริสเตียนควรใคร่ครวญถึงผลกระทบซึ่งอาจมีต่อโอกาสที่บุตรจะได้ชีวิตนิรันดร์.
พลังโน้มน้าวจากนักเรียนด้วยกัน
โรงเรียนประจำบางแห่งอาจมีมาตรฐานสูงด้านวิชาการ. แต่จะว่าอย่างไรในเรื่องมาตรฐานทางศีลธรรมของคนเข้าเรียนที่นั่น หรือบางทีแม้แต่ตัวบุคคลที่บริหารโรงเรียนดังกล่าว? เกี่ยวด้วยคนประเภทซึ่งมีอยู่มากมายใน “สมัยสุดท้าย” อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “ในสมัยสุดท้ายจะมีวิกฤตกาลซึ่งยากที่จะรับมือได้. เพราะว่าคนจะรักตัวเอง, รักเงินทอง, อวดตัว, จองหอง, เป็นคนหมิ่นประมาท, ไม่เชื่อฟังบิดามารดา, อกตัญญู, ไม่ภักดี, ไม่มีความรักใคร่ตามธรรมชาติ, ไม่ยอมตกลงกัน, เป็นคนใส่ร้าย, ไม่มีการรู้จักบังคับตน, ดุร้าย, ไม่รักความดี, เป็นคนทรยศ, หัวดื้อ, พองตัวด้วยความหยิ่ง, เป็นคนรักการสนุกสนานแทนที่จะรักพระเจ้า, มีความเลื่อมใสต่อพระเจ้าในรูปแบบหนึ่ง แต่ปฏิเสธพลังแห่งความเลื่อมใสนั้น; และจงผินหลังให้คนเหล่านี้.”—2 ติโมเธียว 3:1-5, ล.ม.
การเสื่อมถอยทางศีลธรรมและทางด้านวิญญาณเช่นนี้มีแพร่หลายไปทั่วโลก ก่อให้เกิดการท้าทายสำหรับพยานพระยะโฮวาที่จะดำเนินชีวิตตามหลักการของคัมภีร์ไบเบิล. นักเรียนที่เรียนในโรงเรียนแบบเดินทางไปกลับทุกวันพบว่า แม้แต่การสังคมคบหากับเพื่อนนักเรียนชาวโลกในวงจำกัดสามารถส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อสภาพฝ่ายวิญญาณของเขาได้มาก. การต้านทานอิทธิพลที่ไม่ดีนั้นคงต้องต่อสู้ฟันฝ่ามากทีเดียวสำหรับเด็กพยานฯ แม้ว่าพวกเขาได้รับการเกื้อหนุน, คำแนะนำ, และการหนุนกำลังใจทุก ๆ วันจากบิดามารดา.
เช่นนั้นแล้ว สภาพการณ์ของเด็กในโรงเรียนประจำซึ่งอยู่ห่างไกลบ้านล่ะเป็นเช่นไร? พวกเขาถูกแยกไปอยู่ต่างหาก จากการเกื้อหนุนฝ่ายวิญญาณด้วยความรักใคร่อย่างสม่ำเสมอของบิดามารดา. เนื่องจากวันหนึ่ง ๆ พวกเขาคลุกคลีกับเพื่อนร่วมชั้น 24 ชั่วโมง แรงกดดันเพื่อให้ยอมตามคนหมู่ใหญ่มีผลกระทบความคิดจิตใจและหัวใจที่ยังอ่อนเยาว์ของเขามากยิ่งกว่ามีต่อนักเรียนซึ่งอาศัยอยู่ที่บ้าน. นักเรียนคนหนึ่งพูดว่า “นักเรียนประจำตกอยู่ในอันตรายทางศีลธรรมตั้งแต่เช้าจรดค่ำ.”
เปาโลเขียนว่า “อย่าให้ผู้ใดลวงท่าน. การคบหาสมาคมที่ไม่ดีย่อมทำให้นิสัยดีเสียไป.” (1 โกรินโธ 15:33, ล.ม.) บิดามารดาที่เป็นคริสเตียนไม่ควรถูกชักพาให้เขวไปสู่ความคิดที่ว่าบุตรของตนจะไม่ประสบความเสียหายฝ่ายวิญญาณถ้าหากเขาคบหาเป็นประจำกับคนที่ไม่ปฏิบัติพระเจ้า. เมื่อเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง เด็กซึ่งเลื่อมใสพระเจ้าอาจกลายเป็นคนเย็นชาต่อค่านิยมของคริสเตียนและอาจไม่หยั่งรู้ค่าสิ่งต่าง ๆ ฝ่ายวิญญาณอีกต่อไป. บางครั้งสิ่งเหล่านี้ไม่ส่อวี่แววให้บิดามารดารู้จนกระทั่งบุตรของเขาออกจากโรงเรียนประจำไปแล้ว. ตอนนั้นแหละที่มักจะสายเกินแก้.
ประสบการณ์ของครีเมนต์ถือว่าเป็นตัวอย่างได้. เขาเล่าว่า “ก่อนถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ ผมรักความจริง และได้ออกไปทำงานรับใช้เผยแพร่กับพวกพี่น้อง. ผมชอบเป็นพิเศษที่ได้เข้าร่วมการศึกษาพระคัมภีร์ประจำครอบครัว และการศึกษาหนังสือประจำประชาคม. อย่างไรก็ดี ครั้นผมเข้าไปอยู่โรงเรียนประจำเมื่ออายุ 14 ปี ผมสลัดทิ้งความจริงโดยสิ้นเชิง. ตลอดเวลาห้าปีที่ผมอยู่โรงเรียนประจำ ผมไม่เคยเข้าร่วมการประชุม. สืบเนื่องจากการคบเพื่อนไม่ดี ผมยังเคยเข้าไปพัวพันกับยาเสพย์ติด, การสูบบุหรี่, และการดื่มจัด.”
อิทธิพลของครู
ไม่ว่าโรงเรียนใด อาจจะมีครูที่เสื่อมทางศีลธรรมซึ่งใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนอย่างผิด ๆ. บ้างก็ดุร้ายและทารุณ ส่วนคนอื่นทำร้ายทางเพศกับเด็กนักเรียน. พฤติกรรมต่าง ๆ ของครูประเภทนี้ในโรงเรียนประจำมักจะไม่ค่อยถูกเปิดโปง.
อย่างไรก็ดี ครูส่วนใหญ่พยายามอย่างจริงใจจะฝึกอบรมเด็กให้เป็นสมาชิกที่มีคุณภาพของสังคม ให้เป็นคนที่เข้าได้กับโลกรอบ ๆ ตัว ทำตามคนส่วนมาก. แต่เรื่องนี้ก่อให้เกิดปัญหาอย่างอื่นสำหรับเด็กพยานฯ. ค่านิยมของโลกไม่สอดคล้องเสมอไปกับหลักการคริสเตียน. ขณะที่พวกครูสนับสนุนนักเรียนให้ปรับตัวเข้ากับโลกนี้ พระเยซูตรัสไว้ว่าสาวกของพระองค์ “ไม่เป็นส่วนของโลก.”—โยฮัน 17:16, ล.ม.
หากเกิดปัญหาขึ้นมาเมื่อเด็กปฏิบัติตามหลักการของคัมภีร์ไบเบิลล่ะจะว่าอย่างไร? ถ้าเด็กเรียนในโรงเรียนท้องถิ่นและอาศัยอยู่ที่บ้าน เด็ก ๆ สามารถพูดคุยกับบิดามารดาถึงปัญหานั้น ๆ ได้. ฝ่ายบิดามารดาก็สามารถชี้นำบุตรและมีทางเป็นไปได้ที่จะไปพูดกับครู. ผลที่ตามมาคือ ปัญหาหรือความเข้าใจอย่างผิด ๆ นั้นปกติแล้วมักจะได้รับการแก้ไขโดยเร็ว.
แต่จะแตกต่างไปถ้าเป็นโรงเรียนประจำ. นักเรียนประจำอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของครูตลอดเวลา. ถ้าเด็กจะยึดมั่นกับหลักการคริสเตียน เด็กก็ต้องทำเช่นนั้นวันต่อวันโดยปราศจากการช่วยเหลือจากบิดามารดาของเขา. บางครั้ง เด็ก ๆ สามารถรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระเจ้าภายใต้สภาพการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าว. อย่างไรก็ตาม มีอยู่บ่อย ๆ ที่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น. เด็กมักจะคล้อยตามความประสงค์ของครู.
กิจกรรมที่ถูกจำกัด
ต่างกันกับคนเรียนระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งปกติแล้ว นักศึกษามีอิสระจะไปไหนมาไหนตามความพอใจ แต่โรงเรียนประจำจำกัดกิจกรรมของนักเรียน. มีโรงเรียนประจำไม่น้อยที่ไม่อนุญาตนักเรียนออกนอกบริเวณโรงเรียน ยกเว้นวันอาทิตย์ และบางโรงเรียนไม่อนุญาตเลยด้วยซ้ำ. เด็กนักเรียนหญิงโรงเรียนประจำวัย 11 ขวบชื่อเอรู พูดว่า “บรรดาครูอาจารย์ในโรงเรียนนี้ไม่เคยอนุญาตพวกเราออกไปร่วมประชุมเลย โดยไม่ต้องพูดถึงการออกไปเผยแพร่ตามบ้าน. ภายในโรงเรียน มีวาระประชุมทางศาสนาที่จัดให้เฉพาะชาวคาทอลิกและมุสลิมเท่านั้น. นักเรียนทุกคนต้องเลือกร่วมกับหนึ่งในสองลัทธินี้ หรือไม่ก็เผชิญการเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงทั้งจากครูและนักเรียน. นอกจากนั้น นักเรียนถูกบังคับให้ร้องเพลงชาติและเพลงสวดของคริสตจักรด้วย.”
เมื่อบิดามารดาส่งเด็กเข้าโรงเรียนประจำ เขาได้ฝากรอยประทับใจอะไรไว้กับบุตร? อาจจะเป็นเรื่องที่ว่าการศึกษาฝ่ายโลกสำคัญมากกว่าการประชุมกันเพื่อการนมัสการและการเข้าส่วนร่วมงานทำให้คนเป็นสาวก—สำคัญยิ่งเสียกว่าการคงความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระเจ้าด้วยซ้ำ.—มัดธาย 24:14; 28:19, 20; 2 โกรินโธ 6:14-18; เฮ็บราย 10:24, 25.
ในโรงเรียนประจำบางแห่งเด็กพยานฯ พยายามจะศึกษาคัมภีร์ไบเบิลด้วยกัน แต่ถึงจะทำเช่นนี้บ่อยครั้งก็ยังประสบความยุ่งยาก. เด็กสาววัย 16 ปีชื่อเบลสซิงพูดถึงโรงเรียนประจำที่เธอเรียนอยู่ว่า “พวกที่อ้างตัวเป็นคริสเตียนรวมตัวกันอธิษฐานทุกวัน. พวกเราที่เป็นพยานฯ พยายามขอร้องและชี้แจงว่าพวกเราต้องการจะศึกษาพระคัมภีร์ในกลุ่มของเรา แต่นักเรียนรุ่นพี่บอกว่าศาสนาของเราไม่เป็นที่ยอมรับ. แล้วเขาก็พยายามบังคับพวกเราให้ร่วมอธิษฐานกับเขา. ถ้าเราปฏิเสธ เราก็ถูกลงโทษ. การร้องเรียนต่อพวกครูก็ยิ่งไปกันใหญ่. ครูจะตั้งสมญาพวกเราต่าง ๆ นานาและสั่งนักเรียนรุ่นพี่ทำโทษพวกเรา.”
การยืนหยัดแสดงตัวต่างจากคนอื่น
เมื่อนักเรียนประจำเป็นที่รู้จักชัดเจนว่าเป็นพยานพระยะโฮวา เรื่องนี้อาจทำให้พวกเขามีข้อได้เปรียบ. บรรดาครูอาจารย์ในโรงเรียนอาจยกเว้นเขาไม่ต้องเข้าร่วมในกิจกรรมทางศาสนาเท็จอันเป็นการขัดต่อความเชื่อของพยานพระยะโฮวา. เพื่อนนักเรียนก็อาจไม่พยายามชักชวนพยานฯ เข้าไปร่วมกิจกรรมและร่วมวงสนทนาที่ไม่เหมาะสม. อาจมีช่องทางจะให้คำพยานแก่คุณครูและเพื่อนนักเรียนด้วย. ยิ่งกว่านั้น คนเหล่านั้นที่ดำเนินชีวิตตามหลักการคริสเตียนมักจะไม่อยู่ในข่ายต้องสงสัยในเรื่องการกระทำผิดร้ายแรง และบางครั้งพวกเขาได้รับความนับถือจากบรรดาครูและเพื่อนนักเรียนด้วยกัน.
อย่างไรก็ดี สิ่งต่าง ๆ ไม่ใช่จะเป็นอย่างนั้นเสมอไป. การยืนหยัดแสดงตัวต่างจากคนอื่นบ่อยครั้งทำให้ผู้เยาว์ตกเป็นเป้าให้พวกนักเรียนรวมทั้งครูด้วยข่มเหงและเยาะเย้ย. ยินคา เด็กหนุ่มวัย 15 ปีซึ่งเข้าอยู่โรงเรียนประจำพูดว่า “ที่โรงเรียน ถ้ามีคนรู้จักคุณว่าเป็นพยานพระยะโฮวาละก็ คุณก็กลายเป็นเป้า. เนื่องจากพวกเขารู้จุดยืนฝ่ายวิญญาณและทางศีลธรรมของเรา เขาก็วางกับดักเพื่อจับพวกเราเลย.”
หน้าที่รับผิดชอบของบิดามารดา
ครู, โรงเรียน, หรือวิทยาลัยไม่อาจทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมที่จะนวดปั้นเด็กให้เป็นผู้รับใช้ที่อุทิศตัวของพระยะโฮวา. นั่นไม่ใช่หน้าที่หรือเป็นความรับผิดชอบของเขา. พระคำของพระเจ้าแนะนำว่าบิดามารดาต้องให้ความเอาใจใส่ต่อความต้องการฝ่ายวิญญาณของบุตรด้วยตนเอง. เปาโลเขียนดังนี้: “ท่านทั้งหลายผู้เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของท่านให้ขัดเคืองใจ แต่จงอบรมเขาด้วยการตีสอนและการปรับความคิดจิตใจตามหลักการของพระยะโฮวา.” (เอเฟโซ 6:4, ล.ม.) บิดามารดาจะปฏิบัติตามคำแนะนำข้อนี้ได้อย่างไรถ้าบุตรเข้าไปอยู่ในโรงเรียนประจำ ซึ่งการเยี่ยมบุตรอาจจำกัดไว้เพียงเดือนละครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น?
สภาพการณ์ย่อมแตกต่างกันไป แต่บิดามารดาที่เป็นคริสเตียนบากบั่นพยายามปฏิบัติสอดคล้องกับคำแถลงโดยการดลใจที่ว่า “ถ้าแม้นผู้ใดไม่จัดหามาเลี้ยงคนเหล่านั้นซึ่งเป็นของตนเอง และโดยเฉพาะคนเหล่านั้นซึ่งเป็นสมาชิกแห่งครอบครัวของตน ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธเสียซึ่งความเชื่อและนับว่าเลวร้ายกว่าคนที่ไม่มีความเชื่อเสียด้วยซ้ำ.”—1 ติโมเธียว 5:8, ล.ม.
มีทางเลือกไหม?
บิดามารดาพึงทำประการใดหากดูเหมือนว่ามีแค่สองทางเลือก—โรงเรียนประจำหรือโรงเรียนท้องถิ่นซึ่งด้อยทางด้านอุปกรณ์การเรียนการสอน? บางคนซึ่งอยู่ในสภาพดังกล่าว จึงได้จัดหาครูมาสอนพิเศษเพิ่มเติมการเรียนของลูกที่เรียนในโรงเรียนท้องถิ่น. บิดามารดาคนอื่น ๆ จัดแบ่งเวลาสอนหนังสือลูกด้วยตนเอง.
บางครั้งบิดามารดาหลีกเลี่ยงปัญหาต่าง ๆ โดยที่เขาวางแผนไว้แต่เนิ่น ๆ เผื่อถึงคราวที่ลูกโตพอจะเข้าโรงเรียนมัธยมศึกษา. ถ้าคุณมีลูกที่ยังเล็กอยู่หรือคุณวางแผนจะมีลูก คุณอาจตรวจดูว่าในตำบลที่คุณอยู่มีโรงเรียนมัธยมพอที่จะให้ลูกเข้าเรียนหรือไม่. ถ้าไม่มี อาจเป็นได้ที่คุณจะย้ายไปอยู่ใกล้ ๆ บริเวณที่มีโรงเรียน.
ดังที่บิดามารดาทราบดี การจะปลูกฝังให้เด็กมีความรักต่อพระยะโฮวาจำเป็นต้องใช้ทักษะ, ความเพียรอดทน, และใช้เวลามาก. หากนี่เป็นงานที่ยากขณะเด็กยังอาศัยอยู่ที่บ้าน จะยิ่งยากมากสักเพียงใดถ้าเด็กอยู่ไกลบิดามารดา! เนื่องจากเกี่ยวพันกับชีวิตนิรันดร์ของเด็ก บิดามารดาจำต้องคิดตัดสินใจจริงจังพร้อมด้วยการอธิษฐานว่าการส่งบุตรเข้าโรงเรียนประจำนั้นคุ้มกับการเสี่ยงหรือไม่. ช่างเป็นการมองตื้น ๆ เสียจริง ๆ หากยอมเอาผลประโยชน์ฝ่ายวิญญาณของบุตรแลกกับประโยชน์จากการศึกษาในโรงเรียนประจำ! นั่นพอจะเปรียบได้กับการโถมเข้าไปหยิบของประดับกระจุ๋มกระจิ๋มไม่มีค่าชิ้นหนึ่งในเรือนซึ่งเพลิงลุกไหม้อยู่—แต่แล้วก็ถูกไฟคลอก.
พระคำของพระเจ้าว่าดังนี้: “คนฉลาดมองเห็นภัยแล้วหนีไปซ่อนตัว; แต่คนโง่เดินเซ่อไปและก็เป็นอันตราย.” (สุภาษิต 22:3) การป้องกันมิให้เกิดสภาพการณ์เลวร้ายย่อมดีกว่าจะแก้ไขภายหลัง. นับว่าสุขุมที่จะคิดเช่นนั้นถ้าคุณถามตัวเองว่า ‘ลูกของฉันควรเข้าโรงเรียนประจำไหม?’
[กรอบหน้า 28]
พยานฯ รุ่นเยาว์เล่าถึงสภาพโรงเรียนประจำ
“เด็ก ๆ พยานฯ ที่อยู่โรงเรียนประจำถูกตัดขาดจากสังคมฝ่ายวิญญาณ. มันเป็นสภาพแวดล้อมที่เป็นปฏิปักษ์ควบกับความกดดันอันหนักหน่วงที่จะทำสิ่งไม่ดี.”—เล่าโดยเด็กชายรอทิมิ ซึ่งอยู่ในโรงเรียนประจำระหว่างอายุ 11 ถึง 14 ปี.
“การเข้าร่วมประชุมคริสเตียนนั้นแสนยากเย็น. ดิฉันจะไปร่วมประชุมได้เฉพาะวันอาทิตย์ และเพื่อจะทำได้ ดิฉันต้องแอบไประหว่างเด็กนักเรียนเรียงแถวเข้าโบสถ์. ดิฉันไม่เคยมีความสุขเลย เพราะเมื่ออยู่ที่บ้าน ดิฉันเคยเข้าร่วมการประชุมประชาคมทุกวาระ และพอถึงวันเสาร์และวันอาทิตย์ดิฉันยังได้ออกไปเผยแพร่ตามบ้าน. โรงเรียนไม่ได้ให้ประสบการณ์เชิงเสริมสร้างเลย. ดิฉันขาดประโยชน์ไปมากทีเดียว.”—เล่าโดยเอสเทอร์ ซึ่งมักจะโดนครูตีเป็นประจำ เพราะไม่ยอมร่วมการนมัสการในโบสถ์ประจำโรงเรียน.
“การให้คำพยานแก่เพื่อนนักเรียนโรงเรียนประจำไม่ง่าย. ไม่ง่ายที่จะยืนหยัดแสดงตัวต่างออกไป. ดิฉันอยากติดตามไปกับกลุ่ม.บางทีดิฉันจะกล้ามากกว่านี้ ถ้าดิฉันสามารถเข้าร่วมการประชุม และออกไปเผยแพร่ตามบ้านได้. แต่จะทำอย่างนั้นได้ก็เฉพาะช่วงปิดเทอม ซึ่งมีเพียงสามครั้งในหนึ่งปี. ถ้าคุณมีตะเกียงที่ไม่ได้เติมน้ำมัน แสงก็ริบหรี่. นั่นเป็นสภาพเดียวกันเมื่อดิฉันอยู่ในโรงเรียน.”—เล่าโดยลารา ซึ่งเข้าเรียนโรงเรียนประจำตั้งแต่อายุ 11 ถึง 16 ปี.
“ตอนนี้ดิฉันไม่ได้อยู่โรงเรียนประจำแล้ว ดิฉันดีใจที่มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมทุก ๆ ครั้ง มีส่วนทำงานเผยแพร่ตามบ้านเรือน และพิจารณาข้อคัมภีร์ประจำวันกับคนในครอบครัว. แม้การอยู่โรงเรียนประจำมีข้อได้เปรียบบางอย่าง แต่ไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าความสัมพันธ์ระหว่างดิฉันกับพระยะโฮวา.”—เล่าโดยนาโอมิ เธอพูดโน้มน้าวจนบิดาให้เธอลาออกจากโรงเรียนประจำได้.