ขอบพระคุณที่ได้รับหลักการคริสเตียนอันทรงพลังเป็นมรดก
เล่าโดย เกว็น กูช
ที่โรงเรียนดิฉันร้องเพลงสวดมีเนื้อร้องว่า ‘พระยะโฮวาองค์ใหญ่ยิ่งประทับบัลลังก์อันรุ่งโรจน์ด้วยสง่าราศี.’ บ่อยครั้ง ดิฉันอยากรู้ ‘ยะโฮวาผู้นี้คือใคร?’
คุณปู่คุณย่าของดิฉันเป็นคนเกรงกลัวพระเจ้า. เมื่อต้นศตวรรษนี้เอง ท่านได้คบหากับกลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นชื่อเรียกพยานพระยะโฮวาสมัยนั้น. คุณพ่อเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่ทีแรกไม่ได้สืบทอดหลักการคริสเตียนที่ท่านได้รับมอบเป็นมรดกแก่ลูกสามคนของท่าน.
ต่อเมื่อคุณพ่อให้หนังสือเล่มเล็กชื่อราชกิจของพระองค์ และใครเป็นพระเจ้า? (ภาษาอังกฤษ) แก่พี่ชายของดิฉัน ดักลาส, ให้น้องสาว แอนน์, และดิฉันด้วย ดิฉันจึงได้มารู้จักว่ายะโฮวาเป็นพระนามของพระเจ้าองค์เที่ยงแท้. (บทเพลงสรรเสริญ 83:18) ดิฉันตื่นเต้นเสียนี่กระไร! แต่อะไรหรือที่กระตุ้นคุณพ่อให้นึกสนใจขึ้นมาอีก?
ปี 1938 เมื่อคุณพ่อรู้ว่าชาติต่าง ๆ เตรียมพร้อมเข้าสู่สงคราม ท่านตระหนักว่าแค่ความพยายามของมนุษย์จะแก้สารพัดปัญหาของโลกย่อมไม่ได้. คุณย่ามอบหนังสือที่จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวาชื่อศัตรู (ภาษาอังกฤษ) ให้คุณพ่ออ่าน. จากการอ่านเล่มนี้ คุณพ่อเรียนรู้ว่าศัตรูแท้ของมนุษยชาติคือซาตานพญามาร และเรียนรู้ว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าเท่านั้นสามารถนำสันติภาพมาสู่โลก.a—ดานิเอล 2:44; 2 โกรินโธ 4:4.
ขณะที่สงครามคืบใกล้เข้ามา ครอบครัวของเราก็เริ่มเข้าร่วมการประชุม ณ หอประชุมราชอาณาจักรแห่งพยานพระยะโฮวาในวูดกรีน นอร์ทลอนดอน. เดือนมิถุนายน 1939 เราไปฟังการบรรยายสาธารณะเรื่อง “การปกครองกับสันติภาพ” โดย โจเซฟ เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ด นายกสมาคมว็อชเทาเวอร์เวลานั้นที่อะเล็กซานดรา พาเลซซึ่งอยู่ไม่ไกล. คำบรรยายของรัทเทอร์ฟอร์ดที่แมดิสัน สแควร์ การ์เดนในนครนิวยอร์กถูกถ่ายทอดทางวิทยุไปถึงลอนดอนและนครใหญ่อื่น ๆ หลายแห่ง. เราสามารถรับฟังการบรรยายได้ชัดทีเดียว ซึ่งเมื่อกลุ่มก่อกวนในนิวยอร์กส่งเสียงเอะอะโวยวาย ดิฉันยังเหลียวมองรอบตัวเลย ราวกับว่าเสียงเอะอะนั้นเกิดขึ้นในห้องประชุมของเรา!
ความกระตือรือร้นของคุณพ่อเพื่อความจริงแห่งคัมภีร์ไบเบิล
คุณพ่อยืนกรานให้ทุกคนในครอบครัวของเราร่วมศึกษาคัมภีร์ไบเบิลด้วยกันทุกเย็นวันเสาร์. การศึกษาของเรามุ่งไปที่หัวเรื่องที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลในวารสารหอสังเกตการณ์ ตามกำหนดการที่จะมีการพิจารณาในวันถัดไป. เพื่อให้เห็นถึงผลกระทบของการศึกษาเหล่านั้น เรื่องยะโฮซูอะและการเข้าตีเมืองฮายตามที่ได้พิจารณากันในวารสารหอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 1 พฤษภาคม 1939 ยังคงเป็นภาพแจ่มชัดอยู่ในใจดิฉันจนถึงทุกวันนี้. เรื่องราวนั้นกระตุ้นความสนใจของดิฉันมากจนทำให้ดิฉันตรวจสอบข้ออ้างอิงทุกข้อในคัมภีร์เล่มส่วนตัวของดิฉัน. ดิฉันพบว่าการค้นคว้าดังกล่าวน่าสนใจมาก—และยังเป็นเช่นนั้นอยู่.
การบอกสิ่งที่เราได้เรียนรู้แก่ผู้อื่นทำให้หลักคำสอนต่าง ๆ ของคัมภีร์ไบเบิลตราตรึงแนบแน่นอยู่ในหัวใจดิฉัน. วันหนึ่งคุณพ่อมอบหีบเสียงพร้อมกับแผ่นเสียงบันทึกคำเทศน์ของคัมภีร์ไบเบิล และหนังสือเล่มเล็กที่เราใช้สำหรับศึกษาพระคัมภีร์ และที่อยู่ของสตรีสูงอายุคนหนึ่งให้ดิฉัน. แล้วคุณพ่อขอให้ดิฉันไปเยี่ยมเธอ.
ดิฉันถามคุณพ่อว่า “ฉันควรจะพูดอย่างไรและต้องทำอะไรบ้างคะ?”
คุณพ่อตอบว่า “ในนั้นมีทุกอย่างครบ. เพียงแต่เปิดแผ่นเสียง, อ่านคำถาม, ขอให้เจ้าของบ้านอ่านคำตอบ แล้วก็อ่านข้อคัมภีร์ต่าง ๆ.”
ดิฉันทำตามที่คุณพ่อบอก และด้วยวิธีนี้ดิฉันได้เรียนรู้วิธีนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. เมื่อใช้ข้อพระคัมภีร์ขณะทำงานเผยแพร่ ดิฉันมีความเข้าใจข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น.
ข้อท้าทายในช่วงหลายปีที่มีสงคราม
สงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้นในปี 1939 ปีถัดมาดิฉันได้รับบัพติสมาเป็นสัญลักษณ์แสดงการอุทิศตัวรับใช้พระยะโฮวา. ตอนนั้นดิฉันมีอายุแค่ 13 ปี. แล้วดิฉันก็ได้ตัดสินใจเป็นไพโอเนียร์ ชื่อที่ใช้เรียกผู้เผยแพร่เต็มเวลา. ดิฉันออกจากโรงเรียนปี 1941 และ ณ การประชุมใหญ่ที่เมืองเลสเตอร์ ดิฉันสมทบกับดักลาสทำงานเผยแพร่เต็มเวลาด้วยกัน.
ปีต่อมา คุณพ่อถูกจำคุกเพราะไม่ยอมร่วมทำสงครามเนื่องจากขัดกับสติรู้สึกผิดชอบของท่าน. พวกเราลูก ๆ ต่างก็มาร่วมกำลังกันช่วยเหลือคุณแม่ ช่วยท่านดูแลบ้านช่องของเราในช่วงสงครามซึ่งประสบความยากลำบาก. ทันทีที่คุณพ่อถูกปล่อยตัวจากเรือนจำ ดักลาสได้รับหมายเกณฑ์เป็นทหาร. หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นพาดหัวข่าว “เหตุผลที่บุตรชายยอมติดคุกเช่นเดียวกับบิดา.” ผลคือเป็นคำพยานอย่างดี เพราะเปิดโอกาสให้ได้ชี้แจงเหตุผลที่คริสเตียนแท้ไม่เข้าส่วนร่วมประหัตประหารเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน.—โยฮัน 13:35; 1 โยฮัน 3:10-12.
ระหว่างหลายปีที่สงครามดำเนินอยู่ พยานฯ ซึ่งรับใช้เต็มเวลาหลายคนเป็นแขกประจำที่บ้านของเรา และการพูดจาสนทนาของพวกเขาในแนวที่เสริมสร้างบนพื้นฐานของคัมภีร์ไบเบิลเช่นนั้นเป็นความประทับใจที่ยั่งยืน. ในบรรดาพี่น้องคริสเตียนผู้ซื่อสัตย์เหล่านั้นก็มีจอห์น บารร์, และอัลเบิร์ต ชโรเดอร์ ซึ่งขณะนี้เป็นสมาชิกคณะกรรมการปกครองของพยานพระยะโฮวา. คุณพ่อคุณแม่ของดิฉันเป็นคนโอบอ้อมอารีอย่างแท้จริง และท่านสั่งสอนดิฉันให้เป็นอย่างนั้นด้วย.—เฮ็บราย 13:2.
พร้อมให้คำตอบ
หลังจากดิฉันเริ่มงานไพโอเนียร์ได้ไม่นาน ดิฉันพบฮิลดา ระหว่างการเผยแพร่ตามบ้าน. เธอพูดอย่างโกรธจัดว่า “สามีดิฉันออกไปรบซึ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้คนเหมือน ๆ พวกคุณนี่แหละ! ทำไมคุณไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อสนับสนุนสงคราม?”
“คุณรู้มากน้อยแค่ไหนเกี่ยวกับงานที่ดิฉันทำขณะนี้?” ดิฉันถามเธอ. “คุณรู้ไหมว่าทำไม ดิฉันมาเยี่ยมคุณ?”
เธอตอบว่า “ดีแล้ว คุณเข้ามาในบ้านก่อนและช่วยชี้แจงให้ดิฉันเข้าใจหน่อย.”
ดิฉันสามารถชี้แจงว่าพวกเราให้ความหวังแท้แก่ประชาชนที่ทนทุกข์สืบเนื่องจากการกระทำที่เลวร้ายต่าง ๆ ที่ดำเนินอยู่เวลานี้—และบ่อยครั้งกระทำในนามพระเจ้า. ฮิลดาฟังด้วยความชื่นชอบ และเธอกลายมาเป็นนักศึกษาพระคัมภีร์ของดิฉันคนแรกที่เรียนเป็นประจำ. เธอเป็นพยานฯ ที่ขยันขันแข็งมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบันก็มากกว่า 55 ปี.
เมื่อสงครามสงบ ดิฉันได้รับมอบหมายงานไพโอเนียร์เขตใหม่ในเมืองดอร์เชสเตอร์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ. นี่เป็นครั้งแรกที่ดิฉันอยู่ไกลบ้าน. ประชาคมเล็ก ๆ ของเราประชุมกันในภัตตาคารแห่งหนึ่ง เป็นอาคารเก่าสมัยศตวรรษที่ 16 เรียกกันว่า “ร้านน้ำชาเก่าแก่.” เมื่อถึงวาระการประชุม ทุกครั้งเราต้องจัดโต๊ะเก้าอี้กันใหม่. มันแตกต่างกันมากเมื่อเทียบกับหอประชุมเดิมที่ดิฉันเคยร่วม. กระนั้นก็ดี ยังคงมีอาหารฝ่ายวิญญาณและการคบหาสมาคมแบบเดียวกันระหว่างพี่น้องคริสเตียนชายหญิงที่แสดงความรักต่อกัน.
ช่วงนั้นคุณพ่อคุณแม่ของดิฉันย้ายไปอยู่ที่ทันบริดจ์ เวลส์ ทางใต้ของลอนดอน. ดิฉันกลับบ้านเพื่อว่าคุณพ่อ, แอนน์, และดิฉันจะสามารถทำงานไพโอเนียร์ด้วยกัน. ประชาคมของเราขยายตัวจากจำนวนพยานฯ 12 คนเป็น 70 คนในเวลาไม่นานนัก เมื่อเป็นอย่างนี้ จึงมีการขอร้องให้ครอบครัวของเราย้ายไปที่ไบรตัน เมืองชายฝั่งทางใต้ อันเป็นเขตงานที่มีความต้องการมากกว่าในด้านผู้ประกาศ. หลายคนร่วมสมทบกับพวกเราครอบครัวไพโอเนียร์ทำงานเผยแพร่ด้วยใจแรงกล้า และเรามองเห็นว่างานของเราได้รับพระพรอย่างอุดมจากพระยะโฮวา. ประชาคมเดียวกลายเป็นสามประชาคมในเวลาอันรวดเร็ว!
การเชิญที่เราคาดไม่ถึง
ฤดูร้อนปี 1950 ครอบครัวของเราอยู่ในกลุ่มตัวแทนการประชุม 850 คนที่เดินทางจากบริเตนไปร่วมการประชุมนานาชาติ การเพิ่มพูนแห่งระบอบของพระเจ้า ณ สนามกีฬาแยงกี ในนครนิวยอร์ก. ไพโอเนียร์หลายคนจากประเทศต่าง ๆ ที่ไปร่วมการประชุมใหญ่ครั้งนี้ได้รับใบสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียด ใกล้เมืองเซาท์แลนซิง มลรัฐนิวยอร์ก. ดักลาส, แอนน์, และดิฉันอยู่ในจำนวนนั้น! ดิฉันจำได้ว่าตอนที่หย่อนใบสมัครที่กรอกเสร็จเรียบร้อยแล้วลงในตู้ไปรษณีย์ ดิฉันรำพึงว่า ‘ในที่สุดดิฉันก็ตกลงเอาจริง! วิถีชีวิตของดิฉันจะมุ่งไปทิศทางใดหนอ?’ แต่ความตั้งใจแน่วแน่ของดิฉันคือ “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่; ทรงใช้ข้าพเจ้าเถิด!” (ยะซายา 6:8) ดิฉันตื่นเต้นมากเมื่อได้รับจดหมายเชิญให้อยู่ต่อภายหลังการประชุมใหญ่สิ้นสุด เพื่อเข้าเรียนในรุ่นที่ 16 ของโรงเรียนกิเลียด พร้อม ๆ กับดักลาสและแอนน์. เราต่างก็รู้กันดีว่าเราฐานะมิชชันนารีอาจถูกส่งไปยังส่วนใดส่วนหนึ่งของแผ่นดินโลกก็ได้.
หลังจากได้เข้าร่วมการประชุมนานาชาติในฐานะครอบครัว แล้วก็ถึงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ต้องกลับประเทศอังกฤษกันตามลำพัง. พวกเราสามคนได้แต่โบกมือลาขณะที่ท่านลงเรือมอริทาเนีย กลับบ้าน. การอำลากันครั้งนั้นสะเทือนใจมากมายเพียงใด!
การมอบหมายงานมิชชันนารี
นักเรียนกิเลียดรุ่นที่ 16 มีจำนวน 120 คนจากทุกส่วนแห่งแผ่นดินโลก นับรวมบางคนซึ่งเคยถูกทรมานในค่ายกักกันนาซี. เนื่องจากมีการสอนภาษาสเปนในชั้นเรียน เราจึงคาดเดาว่าจะถูกส่งไปอยู่ประเทศใดก็ได้ในทวีปอเมริกาใต้ที่พูดภาษาสเปน. ลองนึกภาพความประหลาดใจของเราในวันจบหลักสูตรนั้นซิ เมื่อรู้ว่าดักลาสถูกมอบหมายไปญี่ปุ่น ส่วนดิฉันกับแอนน์ถูกส่งไปซีเรีย. ดังนั้น เราเด็กสาวสองคนต้องเรียนภาษาอาหรับ และยังเป็นเช่นนั้นอยู่ทั้ง ๆ ที่เขตงานมอบหมายของเราเปลี่ยนไปที่เลบานอน. ระหว่างคอยวีซ่าอยู่นั้น เราเรียนภาษาอาหรับสัปดาห์ละสองครั้ง โดยมีจอร์จ ชากาชีรีเป็นคนสอน เขาเป็นช่างเรียงพิมพ์ของสมาคมว็อชเทาเวอร์แผนกหอสังเกตการณ์ ภาษาอาหรับ.
ช่างเป็นความรู้สึกตื่นเต้นเสียนี่กระไรเมื่อจะเดินทางไปยังแผ่นดินที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเราได้ศึกษากันในห้องเรียน! คีทกับจอยซ์ ชู, เอดนา สตากเฮาส์, โอลิฟ เทอร์เนอร์, ดอรีน วอร์เบอร์ทัน, และดอริส วูด ได้เดินทางไปพร้อมกับเรา. เราจึงกลายเป็นครอบครัวมิชชันนารีที่มีความสุขอะไรเช่นนั้น! พยานฯ ในท้องถิ่นคนหนึ่งมาที่บ้านมิชชันนารีเพื่อช่วยสอนภาษาเพิ่มเติมให้พวกเรา. ระหว่างชั่วโมงเรียนประจำวันของเรา เราจะฝึกการเสนอสั้น ๆ เป็นภาษาอาหรับ หลังจากนั้น เราจะออกไปทำการเผยแพร่และใช้วิธีพูดเสนอตามที่เราได้ฝึกฝน.
เราใช้เวลาสองปีแรกในกรุงตริโปลี ซึ่งมีประชาคมอยู่แล้ว. จอยซ์, เอดนา, โอลิฟ, ดอรีน, ดอริส, แอนน์, และดิฉัน ต่างก็ช่วยบรรดาภรรยาอีกทั้งบุตรสาวเหล่าพยานฯ ท้องถิ่นให้มีส่วนในการประชุมวาระต่าง ๆ และงานประกาศในที่สาธารณะเช่นกัน. จวบจนถึงเวลานั้น พี่น้องคริสเตียนชายหญิงของเรายังคงปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่น คือนั่งแยกกันในที่ประชุม และพี่น้องหญิงคริสเตียนเหล่านี้แทบไม่เคยออกไปประกาศเผยแพร่ตามบ้านเรือน. เราจำเป็นต้องได้ความช่วยเหลือจากพวกเขาในด้านภาษาเมื่อทำงานเผยแพร่ในที่สาธารณะ และเราจึงสนับสนุนให้พวกเขาเข้าร่วมทำงานนี้ด้วย.
ต่อมา แอนน์กับดิฉันได้รับมอบหมายให้ไปช่วยพยานฯ กลุ่มเล็ก ๆ ที่ไซดอนเมืองเก่า. หลังจากนั้นไม่นาน เราถูกเรียกให้กลับมาอยู่ที่เบรุต เมืองหลวง. เมล็ดความจริงของคัมภีร์ไบเบิลได้หว่านไปแล้วท่ามกลางชุมชนที่พูดภาษาอาร์เมเนีย ดังนั้นเราได้เรียนภาษานั้นก็เพื่อช่วยเขา.
การเปลี่ยนหน้าที่มอบหมาย
ดิฉันเคยพบวิลเฟรด กูช ตั้งแต่ก่อนดิฉันจากประเทศอังกฤษ. เขาเป็นบราเดอร์ที่กระตือรือร้น เป็นคนเอื้ออาทร เขาทำงานอยู่ที่สำนักเบเธลลอนดอน. วิลฟ์เป็นสมาชิกรุ่นที่ 15 ของโรงเรียนกิเลียด ซึ่งวันจบหลักสูตรรุ่นนี้จัดขึ้นในคราวการประชุมใหญ่ปี 1950 ณ สนามกีฬาแยงกี. เขารับมอบหมายงานมิชชันนารีที่สำนักงานสาขาสมาคมว็อชเทาเวอร์ ประเทศไนจีเรีย และเราติดต่อกันทางจดหมายนานพอสมควร. ปี 1955 เราทั้งสองได้เข้าร่วมการประชุมใหญ่ “ราชอาณาจักรมีชัย” ในลอนดอน และไม่นานหลังจากนั้นก็หมั้นกัน. ปีถัดมา เราแต่งงานที่ประเทศกานา และดิฉันสมทบกับวิลฟ์ในงานมอบหมายฐานะมิชชันนารีในเมืองลากอส ประเทศไนจีเรีย.
หลังจากดิฉันละแอนน์ไว้ที่ประเทศเลบานอน เธอก็แต่งงานกับหนุ่มคริสเตียนที่ดีซึ่งเรียนรู้ความจริงของคัมภีร์ไบเบิลที่เมืองเยรูซาเลม. คุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถไปงานแต่งงานของพวกเรา เพราะดักลาส, แอนน์, และดิฉันแต่ละคนแต่งงานในซีกต่าง ๆ ของโลก. กระนั้น ท่านก็อิ่มอกอิ่มใจที่รู้ว่าลูกทุกคนรับใช้พระยะโฮวาพระเจ้าของเราอย่างมีความสุข.
งานในประเทศไนจีเรีย
ที่สำนักงานสาขาในลากอส ดิฉันได้รับมอบหมายให้ทำความสะอาดห้องพัก ทำอาหารและซักรีดเสื้อผ้าของสมาชิกครอบครัวแปดคน. ดูเหมือนว่าพอแต่งงานเสร็จ ดิฉันไม่เพียงแต่ได้สามี แต่ยังได้ครอบครัวในทันทีทันใดอีกด้วย!
วิลฟ์กับดิฉันเรียนวิธีเสนอความรู้อย่างรวบรัดจากคัมภีร์ไบเบิลในภาษาโยรูบา และเราได้ผลตอบแทนคุ้มกับความมานะพยายาม. นักศึกษาหนุ่มที่เราเคยติดต่อ ตอนนี้บุตรของเขาคือชายหนึ่งหญิงหนึ่งได้เข้าทำงานรับใช้ที่ครอบครัวเบเธล ประเทศไนจีเรีย ซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่มีจำนวนสมาชิกประมาณ 400 คน.
ปี 1963 วิลฟ์ได้รับเชิญเข้าเรียนหลักสูตรพิเศษสิบเดือนที่บรุกลิน นิวยอร์ก. ครั้นจบหลักสูตรแล้ว โดยไม่คาดฝัน เขาถูกมอบหมายให้กลับประเทศอังกฤษ. ตอนนั้นดิฉันยังอยู่ที่ไนจีเรีย และได้รับแจ้งให้เตรียมตัวไปพบวิลฟ์ที่ลอนดอนภายใน 14 วัน. ดิฉันจากไนจีเรียไปด้วยความรู้สึกดีใจระคนกับความเสียใจ เพราะที่นี่เคยเป็นเขตงานมอบหมายที่เราอยู่อย่างสบายใจ. หลังจากทำงานรับใช้ในต่างประเทศมานานถึง 14 ปี การจะปรับตัวใหม่ให้เข้ากับชีวิตในอังกฤษย่อมต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง. อย่างไรก็ดี เรารู้สึกขอบคุณที่มีโอกาสจะอยู่ใกล้คุณพ่อคุณแม่ที่ชราภาพอีกครั้งหนึ่ง และสามารถช่วยดูแลท่านได้.
รับการค้ำจุนเนื่องด้วยความหวังของเรา
นับจากปี 1980 ดิฉันมีสิทธิพิเศษได้เดินทางกับวิลฟ์ไปหลายประเทศฐานะผู้ดูแลโซน. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดิฉันตั้งตาคอยเวลากลับไปเยือนประเทศไนจีเรีย. ในเวลาต่อมา เราได้ไปประเทศแถบสแกนดิเนเวีย, เวสต์อินดีส, และตะวันออกกลางเช่นกัน—รวมทั้งเลบานอน. การที่ดิฉันได้ฟื้นความจำอันน่าชื่นใจขึ้นมานั้นคือความตื่นเต้นยินดีเป็นพิเศษ และได้เห็นคนที่ดิฉันเคยรู้จักครั้งยังเป็นหนุ่มวัยรุ่น เวลานี้ทำงานรับใช้ฐานะคริสเตียนผู้ปกครอง.
เป็นเรื่องน่าเศร้าสลดจริง ๆ สามีที่รักของดิฉันถึงแก่ชีวิตเมื่อฤดูใบไม้ผลิปี 1992. อายุเขาแค่ 69 ปี. นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ยังความเศร้าโศกแสนสาหัสเพราะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน. การเป็นม่ายหลังจากเคยร่วมชีวิตคู่มานานถึง 35 ปี จึงต้องใช้เวลาปรับตัวปรับใจสักระยะหนึ่ง. แต่ดิฉันได้รับการช่วยเหลือและความรักเป็นอย่างมากจากครอบครัวคริสเตียนของดิฉันที่อยู่ทั่วโลก. ดิฉันมีประสบการณ์มากมายซึ่งยังความสุขใจเมื่อได้คิดไตร่ตรอง.
ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ได้วางตัวอย่างยอดเยี่ยมในด้านความซื่อสัตย์มั่นคงของคริสเตียน. คุณแม่เสียชีวิตปี 1981 ส่วนคุณพ่อเสียชีวิตปี 1986. ดักลาสและแอนน์ยังคงรับใช้พระยะโฮวาด้วยความซื่อสัตย์เสมอมา. ดักลาสพร้อมด้วยแคม ภรรยาของเขาได้กลับมาอยู่ที่ลอนดอน ตั้งแต่ตอนที่กลับมาดูแลคุณพ่อ. แอนน์กับครอบครัวของเธออยู่ที่ประเทศสหรัฐ. พวกเราทุกคนหยั่งรู้ค่าเป็นอย่างยิ่งที่พระเจ้าทรงมอบความหวังและมรดกให้เรา. เรายังคง “หวังพึ่งพระองค์” ต่อไป โดยการตั้งตารอเวลาเมื่อทั้งคนเป็นและบุคคลผู้เป็นที่รักของเขาได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นจากตายแล้วมาร่วมรับใช้ด้วยกันตลอดกาลฐานะสมาชิกครอบครัวของพระยะโฮวาทางแผ่นดินโลก.—บทเพลงร้องทุกข์ของยิระมะยา 3:24.
[เชิงอรรถ]
a ชีวประวัติของคุณพ่อ, เออร์เนสต์ บีเวอร์ ปรากฏอยู่ในวารสารหอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 15 มีนาคม 1980.
[รูปภาพหน้า 23]
เริ่มจากบนซ้ายไปขวา:
เกว็น วัย 13 ปี สาธิตวิธีนำการศึกษา ณ หอประชุมราชอาณาจักรเอ็นฟิลด์
ครอบครัวมิชชันนารีในเมืองตริโปลี เลบานอน ปี 1951
เกว็นกับวิลฟ์ สามีผู้ล่วงลับ