ความเชื่อและอนาคตของคุณ
“ความเชื่อคือความคาดหมายที่แน่นอนในสิ่งซึ่งหวังไว้.”—เฮ็บราย 11:1, ล.ม.
1. คนส่วนใหญ่ต้องการอนาคตแบบไหน?
คุณสนใจอนาคตไหม? คนส่วนใหญ่สนใจ. สิ่งที่พวกเขาหวังคืออนาคตที่สงบสุข, เป็นอิสระพ้นจากความกลัว, สภาพความเป็นอยู่ที่ดี, งานที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าและน่าเพลิดเพลิน, สุขภาพดี, และชีวิตที่ยืนยาว. ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คนทุกชั่วอายุในประวัติศาสตร์ต้องการมีชีวิตอย่างนี้. และในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความยุ่งยาก สภาพดังกล่าวจึงน่าปรารถนายิ่งกว่าที่เคยเป็นมา.
2. รัฐบุรุษผู้หนึ่งกล่าวถึงทัศนะในเรื่องอนาคตอย่างไร?
2 ขณะที่มนุษยชาติกำลังจะก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 มีวิธีใดไหมที่จะบอกได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร? เมื่อ 200 กว่าปีมาแล้ว แพทริก เฮนรี รัฐบุรุษชาวอเมริกันได้กล่าวถึงวิธีหนึ่ง. เขากล่าวว่า “ผมไม่รู้จักวิธีอื่นที่จะตัดสินเรื่องอนาคต นอกจากโดยพิจารณาอดีต.” ตามทัศนะดังกล่าว เราอาจรู้ถึงอนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้มากทีเดียวจากสิ่งที่มนุษย์ทำในอดีต. หลายคนเห็นด้วยกับความคิดนี้.
อดีตเป็นเช่นไร?
3. บันทึกทางประวัติศาสตร์บ่งชี้เช่นไรเกี่ยวกับความหวังในเรื่องอนาคต?
3 หากอนาคตจะเป็นภาพสะท้อนของอดีต คุณคิดว่าความคิดเช่นนั้นให้กำลังใจไหม? อนาคตดีขึ้นเรื่อย ๆ ไหมตลอดชั่วอายุในยุคต่าง ๆ ก่อนหน้านี้? จริง ๆ แล้ว ไม่ได้ดีขึ้น. แม้ว่าผู้คนตั้งความหวังมาหลายพันปีและแม้มีความก้าวหน้าด้านวัตถุในบางแห่ง ประวัติศาสตร์กลับเต็มไปด้วยการกดขี่, อาชญากรรม, ความรุนแรง, สงคราม, และความยากจน. โลกนี้ประสบภัยพิบัติครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการปกครองของมนุษย์ที่ไม่เป็นที่น่าพอใจ. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้อย่างถูกต้องว่า “มนุษย์ครอบงำมนุษย์ด้วยกันเป็นผลเสียหายแก่เขา.”—ท่านผู้ประกาศ 8:9, ล.ม.
4, 5. (ก) เหตุใดผู้คนจึงเปี่ยมด้วยความหวังในตอนต้นศตวรรษที่ 20? (ข) เกิดอะไรขึ้นกับความหวังของพวกเขาในเรื่องอนาคต?
4 ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า ประวัติศาสตร์ที่เลวร้ายของมนุษยชาติมักซ้ำรอยเดิม มิหนำซ้ำในขอบเขตที่ใหญ่กว่าและก่อความเสียหายมากกว่าด้วย. ศตวรรษที่ 20 นี้เป็นข้อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้. มนุษยชาติได้บทเรียนและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดในอดีตไหม? เอาละ เมื่อต้นศตวรรษนี้ หลายคนเชื่อว่าจะมีอนาคตที่ดีกว่าเพราะมีช่วงเวลาที่มีความสงบสุขค่อนข้างนาน และเนื่องจากมีความก้าวหน้าด้านอุตสาหกรรม, วิทยาศาสตร์, และการศึกษา. ในช่วงทศวรรษแรกของศตวรรษนี้ ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยผู้หนึ่งกล่าวว่า เชื่อกันว่าสงครามคงไม่มีทางเกิดขึ้นอีก ทั้งนี้เพราะ “ผู้คนมีอารยธรรมเกินกว่าจะทำเช่นนั้น.” อดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งของบริเตนกล่าวถึงทัศนะของผู้คนในเวลานั้นดังนี้: “ทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อย ๆ. โลกที่ผมเกิดมาเป็นอย่างนี้แหละ.” แต่ต่อจากนั้นเขาบอกว่า “ทันใดนั้นเอง อย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ทุกอย่างก็จบสิ้นลงในเช้าวันหนึ่งของปี 1914.”
5 แม้ว่ามีความเชื่อในอนาคตที่ดีกว่าโดยทั่วไปในเวลานั้น ศตวรรษใหม่เริ่มมาได้ไม่ทันไรโลกก็ตกอยู่ใต้ความหายนะที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมาซึ่งเกิดจากมนุษย์ นั่นคือสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง. เพื่อให้เห็นภาพของลักษณะสงครามนี้ ขอพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 1916 ในยุทธการหนึ่ง เมื่อครั้งที่ทหารบริเตนโจมตีแนวรบของฝ่ายเยอรมันใกล้ ๆ แม่น้ำซอมม์ในประเทศฝรั่งเศส. ภายในไม่กี่ชั่วโมง บริเตนสูญเสียทหาร 20,000 นาย และฝ่ายเยอรมันก็ถูกฆ่าเป็นจำนวนมาก. สี่ปีแห่งการฆ่าฟันได้ผลาญชีวิตทหารไปเกือบสิบล้านคนและพลเรือนอีกมากมาย. ประชากรของฝรั่งเศสลดลงอยู่พักหนึ่งเนื่องจากผู้ชายจำนวนมากได้เสียชีวิตไป. เศรษฐกิจเสียหายยับเยิน นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในช่วงทศวรรษ 1930. ไม่แปลกที่บางคนกล่าวว่า วันที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเริ่มต้น นั่นคือวันที่โลกบ้าคลั่ง!
6. ชีวิตดีขึ้นไหมหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง?
6 นี่คืออนาคตที่คนในรุ่นนั้นหวังจะเห็นไหม? ตรงกันข้ามเลยทีเดียว. ความหวังของพวกเขาพังไม่เป็นชิ้นดี; อีกทั้งสงครามนั้นก็ไม่ได้นำไปสู่สิ่งที่ดีกว่าแต่อย่างใดด้วย. เพียง 21 ปีต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง คือในปี 1939 ความหายนะที่เลวร้ายยิ่งกว่ามากซึ่งเกิดจากมนุษย์ก็เริ่มขึ้น นั่นคือสงครามโลกครั้งที่สอง. สงครามนี้คร่าชีวิตของชาย, หญิง, และเด็กประมาณ 50 ล้านคน. การทิ้งระเบิดอย่างหนักถล่มเมืองใหญ่ ๆ ย่อยยับ. ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งทหารหลายหมื่นนายถูกฆ่าในการสู้รบครั้งหนึ่งภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่ในสงครามโลกครั้งที่สองระเบิดปรมาณูเพียงสองลูกฆ่าประชาชนมากกว่า 100,000 คนภายในไม่กี่วินาที. หลายคนถือว่าที่เลวยิ่งกว่านั้นอีกก็คือ การฆ่าหลายล้านคนอย่างเป็นแบบแผนในค่ายกักกันของนาซี.
7. ความเป็นจริงของทั้งศตวรรษนี้เป็นเช่นไร?
7 แหล่งข้อมูลหลายแหล่งรายงานว่า หากเรารวมสงครามระหว่างชาติต่าง ๆ, สงครามกลางเมือง, และการตายซึ่งรัฐบาลต่าง ๆ ก่อให้เกิดขึ้นกับพลเมืองของตนเอง คนที่ถูกฆ่าในศตวรรษนี้คงมีจำนวนทั้งหมดประมาณ 200 ล้านคน. แหล่งหนึ่งถึงกับบอกว่ามีจำนวนถึง 360 ล้านคน. นึกภาพความสยดสยองของเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดูก็แล้วกัน—ความเจ็บปวด, น้ำตา, ความระทมทุกข์, และความเป็นอยู่อย่างอัตคัดขัดสน! นอกจากนี้ โดยเฉลี่ยมีประมาณ 40,000 คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็ก ตายไปในแต่ละวันเนื่องจากสาเหตุต่าง ๆ อันเนื่องมาจากความยากจน. สามเท่าของจำนวนดังกล่าวถูกฆ่าโดยการทำแท้งทุกวัน. นอกจากนี้ ผู้คนประมาณหนึ่งพันล้านคนยังยากจนถึงขนาดที่ไม่สามารถหาอาหารได้เพียงพอเพื่อจะมีแรงทำงานตามปกติในแต่ละวัน. สภาพทั้งหมดนี้เป็นหลักฐานตามที่บอกไว้ล่วงหน้าในคำพยากรณ์ของคัมภีร์ไบเบิลว่า เรามีชีวิตอยู่ใน “สมัยสุดท้าย” แห่งระบบชั่วนี้.—2 ติโมเธียว 3:1-5, 13, ล.ม.; มัดธาย 24:3-12; ลูกา 21:10, 11; วิวรณ์ 6:3-8.
ไม่มีทางแก้จากมนุษย์
8. ทำไมผู้นำที่เป็นมนุษย์ไม่สามารถแก้ปัญหาของโลก?
8 ขณะที่ศตวรรษที่ 20 นี้ใกล้จะสิ้นสุดลง เราสามารถเพิ่มประสบการณ์ของศตวรรษนี้เข้ากับประสบการณ์ของศตวรรษก่อน ๆ. และประวัติศาสตร์บอกอะไร? ประวัติศาสตร์บอกเราว่า พวกผู้นำที่เป็นมนุษย์ไม่เคยแก้ปัญหาหลัก ๆ ของโลกได้, พวกเขายังแก้ไม่ได้ในขณะนี้, และพวกเขาจะไม่มีทางแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ในอนาคต. เป็นเรื่องเกินความสามารถของพวกเขาที่จะจัดให้มีอนาคตแบบที่เราต้องการได้ แม้ว่าพวกเขาอาจมีเจตนาดีเพียงใดก็ตาม. และคนที่มีอำนาจบางคนไม่มีเจตนาดีดังกล่าว; พวกเขาแสวงหาตำแหน่งและอำนาจโดยมีเป้าหมายอันเห็นแก่ตัวและผลประโยชน์ด้านวัตถุ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของผู้อื่น.
9. ทำไมจึงมีเหตุผลที่จะสงสัยว่าวิทยาศาสตร์มีคำตอบสำหรับปัญหาของมนุษย์หรือไม่?
9 วิทยาศาสตร์มีคำตอบไหม? หากพิจารณาอดีต คำตอบคือไม่. นักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานให้รัฐบาลได้ใช้เงิน, เวลา, และความพยายามมากมายในการพัฒนาอาวุธเคมี, อาวุธชีวภาพ, และอาวุธชนิดอื่น ๆ ซึ่งมีอำนาจทำลายอย่างน่าตกใจ. ชาติต่าง ๆ รวมทั้งชาติที่มีกำลังซื้อน้อยที่สุด ใช้จ่ายเงินมากกว่า 700,000 ล้านดอลลาร์สำหรับอาวุธในแต่ละปี! นอกจากนี้ ‘ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์’ มีส่วนอยู่ด้วยในการผลิตสารเคมีต่าง ๆ ที่ก่อภาวะมลพิษในอากาศ, แผ่นดิน, น้ำ, และอาหาร.
10. เหตุใดแม้แต่การศึกษาก็ไม่ได้รับประกันว่าจะมีอนาคตที่ดีกว่า?
10 เราจะหวังได้ไหมว่า สถาบันการศึกษาของโลกจะช่วยสร้างอนาคตให้ดีขึ้นโดยสอนมาตรฐานสูงด้านศีลธรรม, สอนให้คิดถึงผู้อื่น, และรักเพื่อนบ้าน? ไม่อาจหวังได้เลย. แทนที่จะทำอย่างนั้น สถาบันการศึกษาเน้นในเรื่องอาชีพและการทำเงิน. สถานศึกษาเหล่านี้เพาะน้ำใจแข่งขันชิงดีชิงเด่น ไม่ใช่น้ำใจในการร่วมมือกัน; และโรงเรียนต่าง ๆ ไม่ค่อยสอนเรื่องศีลธรรม. แทนที่จะทำอย่างนั้น สถานศึกษาหลายแห่งยอมให้มีเสรีภาพทางเพศ ซึ่งได้ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นและโรคติดต่อทางเพศเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย.
11. ประวัติของบริษัทที่ทำธุรกิจทำให้เกิดความสงสัยในเรื่องอนาคตอย่างไร?
11 บริษัทที่ทำธุรกิจรายใหญ่ ๆ ทั้งหลายของโลกจะเกิดมีแรงบันดาลใจขึ้นมาไหมให้เอาใจใส่ดาวเคราะห์ของเรา และแสดงความรักต่อผู้อื่นโดยผลิตสินค้าที่ให้ประโยชน์อย่างแท้จริงและไม่เพียงเพื่อผลกำไร? ไม่มีทีท่าเลย. พวกเขาจะเลิกผลิตรายการโทรทัศน์ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและการผิดศีลธรรม ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดความเสื่อมทางจิตใจของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนหนุ่มสาวไหม? อดีตที่เพิ่งผ่านไปไม่ได้ให้ความหวังเลย เพราะส่วนใหญ่แล้วโทรทัศน์กลายเป็นแหล่งรวมของสิ่งโสโครกแห่งการผิดศีลธรรมและความรุนแรง.
12. สภาพการณ์ของมนุษย์ในเรื่องความเจ็บป่วยและความตายเป็นเช่นไร?
12 นอกจากนี้ แม้ว่าพวกแพทย์จะมีความจริงใจเพียงไรก็ตาม พวกเขาไม่สามารถเอาชนะความเจ็บป่วยและความตาย. ตัวอย่างเช่น ในตอนสิ้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง พวกเขาไม่สามารถควบคุมไข้หวัดใหญ่สเปนได้; โรคนี้คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกประมาณ 20 ล้านคน. ปัจจุบัน โรคหัวใจ, มะเร็ง, และความเจ็บป่วยอื่น ๆ ที่ทำให้ถึงตายมีอยู่ทั่วไป. โลกแห่งการแพทย์ยังไม่อาจพิชิตเอดส์ซึ่งเป็นโรคระบาดสมัยใหม่ได้เช่นกัน. ในทางตรงกันข้าม รายงานของสหประชาชาติซึ่งตีพิมพ์ในเดือนพฤศจิกายน 1997 กล่าวลงท้ายว่า อัตราที่ไวรัสเอดส์กำลังระบาดได้เพิ่มเป็นสองเท่าของค่าประมาณในครั้งก่อน. หลายล้านคนได้ตายไปแล้วด้วยโรคนี้. ปีที่ผ่านมา มีอีกสามล้านคนที่ติดเชื้อนี้.
วิธีที่พยานพระยะโฮวามองดูอนาคต
13, 14. (ก) พยานพระยะโฮวามีทัศนะอย่างไรต่ออนาคต? (ข) ทำไมมนุษย์ไม่สามารถนำมาซึ่งอนาคตที่ดีกว่า?
13 อย่างไรก็ตาม พยานพระยะโฮวาเชื่อว่ามนุษยชาติมีอนาคตที่สดใส อนาคตที่วิเศษสุดเลยทีเดียว! แต่พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าอนาคตที่ดีเช่นนี้จะเป็นผลจากความพยายามของมนุษย์. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พวกเขาหมายพึ่งพระผู้สร้าง พระยะโฮวาพระเจ้า. พระองค์ทรงทราบว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร กล่าวคือจะเป็นอนาคตที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ! พระองค์ทรงทราบด้วยว่า มนุษย์ไม่สามารถนำมาซึ่งอนาคตเช่นนั้น. เนื่องจากพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงทราบข้อจำกัดของพวกเขาดีกว่าใคร ๆ. ในพระคำของพระองค์ พระองค์ทรงบอกเราอย่างชัดเจนว่า พระองค์ไม่ได้สร้างมนุษย์ให้มีความสามารถที่จะปกครองอย่างประสบผลสำเร็จโดยไม่ได้รับการชี้นำจากพระองค์. การที่พระเจ้าอนุญาตให้มนุษย์ปกครองอย่างอิสระจากพระองค์เป็นเวลาช้านานทำให้เห็นได้ชัดอย่างไม่มีข้อสงสัยเลยว่ามนุษย์เรามีความสามารถไม่พอ. ผู้ประพันธ์คนหนึ่งยอมรับดังนี้: “จิตของมนุษย์ได้ทดลองรัฏฐาธิปัตย์ทุกแบบเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล.”
14 ที่ยิระมะยา 10:23 เราอ่านถ้อยคำของผู้พยากรณ์ซึ่งได้รับการดลใจดังนี้: “โอ้พระยะโฮวา, ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าทางที่มนุษย์จะไปนั้นไม่ได้อยู่ในตัวของตัว, ไม่ใช่ที่มนุษย์ซึ่งดำเนินนั้นจะได้กำหนดก้าวของตัวได้.” บทเพลงสรรเสริญ 146:3 ยังบอกด้วยว่า “อย่าวางใจในพวกเจ้านาย, หรือในเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ช่วยให้รอดไม่ได้.” ที่จริง เนื่องจากเราเกิดมาเป็นคนไม่สมบูรณ์ ดังที่บอกไว้ในโรม 5:12 พระคำของพระเจ้าจึงเตือนเราไม่ให้ไว้ใจตัวเองด้วย. ยิระมะยา 17:9 (ล.ม.) กล่าวว่า “หัวใจทรยศยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด.” ฉะนั้น สุภาษิต 28:26 (ล.ม.) แถลงว่า “ผู้ที่วางใจหัวใจของตนเองก็เป็นคนโฉดเขลา แต่ผู้ซึ่งดำเนินด้วยปัญญาคือผู้ที่จะหนีพ้น.”
15. เราจะหาสติปัญญาเพื่อช่วยชี้นำเราได้จากที่ไหน?
15 เราจะพบสติปัญญาดังกล่าวได้จากที่ไหน? “ความยำเกรงพระยะโฮวาเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา; และการรู้ถึงขององค์บริสุทธิ์นั้นคือความเข้าใจ.” (สุภาษิต 9:10) เฉพาะพระยะโฮวาเท่านั้นที่มีสติปัญญาซึ่งสามารถนำทางเราผ่านยุคสมัยอันน่ากลัวนี้. และพระองค์ได้ให้โอกาสเราเข้าถึงสติปัญญาของพระองค์โดยทางพระคัมภีร์บริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ทรงดลใจให้เขียนขึ้นเพื่อชี้นำเรา.—สุภาษิต 2:1-9; 3:1-6; 2 ติโมเธียว 3:16, 17.
อนาคตแห่งการปกครองของมนุษย์
16. ใครที่ได้ตัดสินอนาคตไว้แล้ว?
16 ถ้าอย่างนั้น พระคำของพระเจ้าบอกเราอย่างไรเกี่ยวกับอนาคต? คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่าอนาคตจะไม่ใช่ภาพสะท้อนของสิ่งที่มนุษย์ได้ทำกันมาในอดีตอย่างแน่นอน. ดังนั้น ทัศนะของแพทริก เฮนรีนั้นไม่ถูกต้อง. อนาคตของแผ่นดินโลกนี้และผู้คนที่อยู่บนแผ่นดินโลกไม่ได้ถูกกำหนดโดยมนุษย์ แต่โดยพระยะโฮวาพระเจ้า. พระทัยประสงค์ของพระองค์จะสำเร็จบนแผ่นดินโลก หาใช่ความมุ่งหมายของมนุษย์คนใดหรือชาติไหนในโลกนี้ไม่. “มนุษย์มีโครงการมากมายในหัวใจ แต่คำแนะนำจากพระยะโฮวานั่นแหละจะยั่งยืน.”—สุภาษิต 19:21, ล.ม.
17, 18. พระทัยประสงค์ของพระเจ้าสำหรับสมัยของเราคืออะไร?
17 พระทัยประสงค์ของพระเจ้าสำหรับสมัยของเราเป็นเช่นไร? พระองค์ทรงมีพระประสงค์จะนำอวสานมาสู่ระบบปัจจุบันที่รุนแรงและผิดศีลธรรม. อีกไม่ช้า การปกครองที่พระเจ้าทรงจัดตั้งจะเข้ามาแทนที่การปกครองอันเลวร้ายตลอดหลายศตวรรษของมนุษย์. คำพยากรณ์ที่พบได้ในดานิเอล 2:44 (ล.ม.) บอกดังนี้: “ในสมัยของกษัตริย์เหล่านั้น [ซึ่งมีชีวิตอยู่ในทุกวันนี้] พระเจ้าแห่งสรวงสวรรค์จะทรงตั้งราชอาณาจักรขึ้น [ในสวรรค์] ซึ่งจะไม่มีวันถูกทำลาย. และราชอาณาจักรนี้จะไม่ถูกยกให้แก่ชาติอื่นใด. ราชอาณาจักรนี้จะบดขยี้และทำให้อาณาจักรเหล่านั้นทั้งหมดสิ้นสุดลง และราชอาณาจักรนี้เองจะดำรงอยู่จนถึงเวลาไม่กำหนด.” ราชอาณาจักรจะขจัดอิทธิพลชั่วของพญามารซาตานด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่มนุษย์ทำไม่ได้. การครอบครองของมันเหนือโลกนี้จะถึงกาลอวสานตลอดไป.—โรม 16:20; 2 โกรินโธ 4:4; 1 โยฮัน 5:19.
18 โปรดสังเกตว่า รัฐบาลฝ่ายสวรรค์จะบดขยี้การปกครองของมนุษย์ทุกรูปแบบจนไม่มีเหลือ. การปกครองแผ่นดินโลกนี้จะไม่ถูกละไว้ให้มนุษย์ปกครอง. ในสวรรค์ ผู้ที่ประกอบกันเป็นราชอาณาจักรของพระเจ้าจะควบคุมกิจการทั้งสิ้นบนแผ่นดินโลกเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ. (วิวรณ์ 5:10; 20:4-6) บนแผ่นดินโลก มนุษย์ที่ซื่อสัตย์จะทำงานประสานกับคำชี้นำจากราชอาณาจักรของพระเจ้า. นี่แหละคือการปกครองที่พระเยซูทรงสอนเราให้อธิษฐานขอเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์มาเถิด. พระทัยประสงค์ของพระองค์สำเร็จแล้วในสวรรค์อย่างไร ก็ขอให้สำเร็จบนแผ่นดินโลกอย่างนั้น.”—มัดธาย 6:10, ล.ม.
19, 20. (ก) คัมภีร์ไบเบิลอธิบายอย่างไรเกี่ยวกับการจัดเตรียมของราชอาณาจักร? (ข) การปกครองของราชอาณาจักรจะทำอะไรเพื่อมนุษยชาติ?
19 พยานพระยะโฮวามีความเชื่อในราชอาณาจักรของพระเจ้า. ราชอาณาจักรนี้คือ “ฟ้าสวรรค์ใหม่” ที่อัครสาวกเปโตรเขียนถึง ที่ว่า “มีฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ซึ่งเรากำลังรอท่าอยู่ตามคำสัญญาของพระองค์ และซึ่งความชอบธรรมจะดำรงอยู่ที่นั่น.” (2 เปโตร 3:13, ล.ม.) “แผ่นดินโลกใหม่” ได้แก่สังคมมนุษย์ใหม่ที่จะอยู่ใต้การปกครองของฟ้าสวรรค์ใหม่หรือราชอาณาจักรของพระเจ้า. นี่คือการจัดเตรียมที่พระเจ้าทรงเปิดเผยในนิมิตที่ประทานแก่อัครสาวกโยฮัน ผู้ได้เขียนไว้ดังนี้: “ข้าพเจ้าได้เห็นฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่; ด้วยว่าฟ้าสวรรค์เดิมและแผ่นดินโลกเดิมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว . . . และ [พระเจ้า] จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของพวกเขา และความตายจะไม่มีอีกต่อไป ทั้งความทุกข์โศกหรือเสียงร้องหรือความเจ็บปวดจะไม่มีอีกเลย. สิ่งที่เคยมีอยู่เดิมนั้นผ่านพ้นไปแล้ว.”—วิวรณ์ 21:1, 4, ล.ม.
20 โปรดสังเกตว่า แผ่นดินโลกใหม่จะเป็นที่ซึ่งมีความชอบธรรม. ส่วนประกอบที่ไม่ชอบธรรมทั้งหมดจะถูกขจัดออกไปโดยการจัดการของพระเจ้า ในสงครามอาร์มาเก็ดดอน. (วิวรณ์ 16:14, 16) คำพยากรณ์ที่สุภาษิต 2:21, 22 บอกอย่างนี้: “คนตรงจะได้พำนักอยู่ในแผ่นดิน, และคนดีรอบคอบจะได้ดำรงอยู่บนแผ่นดินนั้น. แต่คนบาปหยาบช้าจะถูกตัดให้สิ้นศูนย์จากแผ่นดิน.” และบทเพลงสรรเสริญ 37:9 สัญญาดังนี้: “คนที่กระทำชั่วจะต้องถูกตัดขาด; แต่ว่าเหล่าคนที่คอยท่าพระยะโฮวาอยู่ เขาจะได้แผ่นดินเป็นมฤดก.” คุณอยากอยู่ในโลกใหม่เช่นนั้นมิใช่หรือ?
จงเชื่อในคำสัญญาของพระยะโฮวา
21. เหตุใดเราสามารถวางใจในคำสัญญาของพระยะโฮวา?
21 เราสามารถวางใจในคำสัญญาของพระยะโฮวาได้ไหม? ขอให้ฟังถ้อยคำที่พระองค์ทรงแจ้งผ่านยะซายาผู้พยากรณ์ของพระองค์ ที่ว่า “จงระลึกถึงเหตุการณ์ที่ล่วงไปแล้วในกาลก่อน, เราเป็นพระเจ้า, และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนเรา, เราเป็นผู้บอกเล่าตั้งแต่ต้นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นตอนปลาย, และบอกเล่าสิ่งซึ่งยังไม่เกิดขึ้นไว้ตั้งแต่เวลาโบราณ. เราเป็นผู้กล่าวว่า, ‘โครงการของเราจะยั่งยืน, และเราจะทำตามความประสงค์ของเราทุกประการ.’” ส่วนหลังของข้อ 11 กล่าวว่า “เราได้พูดไว้แล้ว, และเราจะทำให้เกิดขึ้น, เราได้วางโครงการไว้แล้ว, และเราจะทำให้สำเร็จ.” (ยะซายา 46:9-11) ใช่แล้ว เราเชื่อในพระยะโฮวาและคำสัญญาของพระองค์ได้อย่างแน่นอนประหนึ่งว่าคำสัญญาเหล่านั้นได้สำเร็จเป็นจริงไปแล้ว. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างนี้: “ความเชื่อคือความคาดหมายที่แน่นอนในสิ่งซึ่งหวังไว้ เป็นการแสดงออกเด่นชัดถึงสิ่งที่เป็นจริง ถึงแม้ไม่ได้เห็นสิ่งนั้นก็ตาม.”—เฮ็บราย 11:1, ล.ม.
22. ทำไมเรามั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะทำให้คำสัญญาของพระองค์สำเร็จเป็นจริง?
22 คนถ่อมแสดงความเชื่อเช่นนั้น เพราะพวกเขาทราบว่าพระเจ้าจะทำให้คำสัญญาของพระองค์สำเร็จเป็นจริง. ตัวอย่างเช่น ที่บทเพลงสรรเสริญ 37:29 เราอ่านว่า “คนสัตย์ธรรมจะได้แผ่นดินเป็นมฤดก, และจะอาศัยอยู่ที่นั่นต่อไปเป็นนิตย์.” เราเชื่อข้อนี้ได้ไหม? ได้ เพราะเฮ็บราย 6:18 (ล.ม.) กล่าวดังนี้: “เป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะตรัสมุสา.” พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของแผ่นดินโลกหรือ พระองค์จึงทรงสามารถประทานให้แก่คนถ่อม? วิวรณ์ 4:11 (ล.ม.) แถลงดังนี้: “พระองค์ได้ทรงสร้างสิ่งทั้งปวง และเนื่องด้วยพระทัยประสงค์ของพระองค์สิ่งเหล่านั้นจึงได้ดำรงอยู่และถูกสร้างขึ้น.” ด้วยเหตุนี้ บทเพลงสรรเสริญ 24:1 จึงกล่าวว่า “แผ่นดินโลกกับสรรพสิ่งทั่วโลกนั้นเป็นของพระยะโฮวา.” พระยะโฮวาทรงสร้างแผ่นดินโลก, เป็นเจ้าของ, และประทานแก่คนที่มีความเชื่อในพระองค์. เพื่อเสริมความเชื่อมั่นในเรื่องนี้ บทความถัดไปจะชี้วิธีที่พระยะโฮวาได้ทรงรักษาคำสัญญาที่มีต่อไพร่พลของพระองค์ในกาลโบราณรวมทั้งในสมัยของเราด้วย และเหตุผลที่เรามีความมั่นใจได้อย่างเต็มที่ว่าพระองค์จะทำเช่นนั้นในอนาคต.
จุดต่าง ๆ เพื่อการทบทวน
▫ เกิดอะไรขึ้นกับความหวังของผู้คนตลอดประวัติศาสตร์?
▫ ทำไมเราไม่ควรหมายพึ่งมนุษย์สำหรับอนาคตที่ดีกว่า?
▫ พระทัยประสงค์ของพระเจ้าเกี่ยวกับอนาคตคืออะไร?
▫ ทำไมเรามั่นใจว่าพระเจ้าจะทำให้คำสัญญาของพระองค์สำเร็จเป็นจริง?
[รูปภาพหน้า 10]
คัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้อย่างถูกต้องว่า “ไม่อยู่ที่มนุษย์ . . . ที่จะนำฝีก้าวของตนเอง.”—ยิระมะยา 10:23, ฉบับแปลใหม่
[ที่มาของภาพ]
Bomb: U.S. National Archives photo; famished children: WHO/OXFAM; refugees: UN PHOTO 186763/J. Isaac; Mussolini and Hitler: U.S. National Archives photo