ความเชื่อของคริสเตียนจะถูกทดสอบ
“ที่เชื่อนั้นไม่ใช่ทุกคน.”—2 เธซะโลนิเก 3:2.
1. ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นอย่างไรว่า ไม่ใช่ทุกคนมีความเชื่อแท้?
ตลอดประวัติศาสตร์ ไม่เคยขาดชาย, หญิง, และเด็กซึ่งมีความเชื่อแท้. คำว่า “แท้” เป็นคำขยายที่เหมาะทีเดียว เพราะมีคนอื่นอีกหลายล้านคนแสดงความเชื่อแบบงมงาย พร้อมจะเชื่อโดยปราศจากพื้นฐานหรือเหตุผลที่ถูกต้อง. ความเชื่อเช่นนั้นมักเกี่ยวข้องกับพระเท็จหรือรูปแบบการนมัสการที่ไม่ประสานกับพระยะโฮวาองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการและพระคำของพระองค์ซึ่งทรงเปิดเผยไว้. ด้วยเหตุนี้ อัครสาวกเปาโลจึงเขียนว่า “ที่เชื่อนั้นไม่ใช่ทุกคน.”—2 เธซะโลนิเก 3:2.
2. เหตุใดจึงสำคัญที่เราต้องตรวจสอบความเชื่อของเราเอง?
2 แต่จากถ้อยคำของเปาโล แสดงว่าในตอนนั้นมีบางคนที่มีความเชื่อแท้ และเป็นที่เข้าใจกันโดยปริยายว่ามีบางคนที่มีความเชื่อแท้ด้วยเช่นเดียวกันในทุกวันนี้. ส่วนใหญ่ของผู้อ่านวารสารนี้ปรารถนาจะมีและเพิ่มพูนความเชื่อแท้เช่นนั้น กล่าวคือความเชื่อที่ประสานกับความรู้ถ่องแท้แห่งความจริงของพระเจ้า. (โยฮัน 18:37; เฮ็บราย 11:6) เป็นอย่างนั้นไหมสำหรับคุณ? ถ้าอย่างนั้น คุณต้องยอมรับและเตรียมพร้อมสำหรับข้อเท็จจริงที่ว่าความเชื่อของคุณจะถูกทดสอบ. เหตุใดจึงกล่าวได้อย่างนั้น?
3, 4. เหตุใดเราควรหมายเอาพระเยซูเป็นแบบอย่างในเรื่องเกี่ยวกับการทดสอบความเชื่อ?
3 เราต้องยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศูนย์กลางความเชื่อของเรา. ที่จริง คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงพระองค์ว่าทรงเป็นผู้ปรับปรุงความเชื่อของเราให้สมบูรณ์ขึ้น. นั่นเป็นเพราะสิ่งที่พระเยซูตรัสและทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีที่พระองค์ทรงทำให้คำพยากรณ์สำเร็จเป็นจริง. พระองค์ทรงเสริมรากฐานให้คนเราสามารถสร้างความเชื่อแท้ขึ้นบนรากฐานนี้. (เฮ็บราย 12:2, ล.ม.; วิวรณ์ 1:1, 2) ถึงกระนั้น เราอ่านว่าพระเยซูทรง “ผ่านการชันสูตรทดลองมาแล้วทุกประการเหมือนพวกเราเอง เว้นแต่ปราศจากบาป.” (เฮ็บราย 4:15, ล.ม.) ใช่ ความเชื่อของพระเยซูถูกทดสอบ. แทนที่จะทำให้เราท้อใจหรือหวั่นกลัว เรื่องนี้ควรทำให้เรารู้สึกสบายใจ.
4 โดยการฟันฝ่าผ่านการทดลองแสนสาหัสจนกระทั่งวายพระชนม์บนหลักทรมาน พระเยซู “ทรงเรียนรู้การเชื่อฟัง.” (เฮ็บราย 5:8, ล.ม.) พระองค์ทรงพิสูจน์ให้เห็นว่า มนุษย์สามารถดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อแท้แม้จะประสบการทดสอบเช่นใดก็ตาม. เรื่องนี้มีความหมายเป็นพิเศษเมื่อเราคิดถึงถ้อยคำที่พระเยซูตรัสถึงสาวกของพระองค์ที่ว่า “จงระลึกถึงคำที่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายแล้วว่า บ่าวจะเป็นใหญ่กว่านายหามิได้.” (โยฮัน 15:20) ที่จริง พระเยซูทรงบอกล่วงหน้าถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสาวกของพระองค์ในสมัยของเราดังนี้: “ท่านจะตกเป็นเป้าแห่งความเกลียดชังจากบรรดาชาติเพราะนามของเรา.”—มัดธาย 24:9, ล.ม.
5. พระคัมภีร์บอกไว้อย่างไรว่าเราจะเผชิญกับการทดสอบ?
5 ในตอนต้นศตวรรษนี้ การพิพากษาเริ่มต้นกับราชนิเวศของพระเจ้า. พระคัมภีร์บอกล่วงหน้าดังนี้: “ถึงเวลากำหนดแล้วที่การพิพากษาจะเริ่มต้นกับราชนิเวศของพระเจ้า. บัดนี้ถ้าการพิพากษาเริ่มต้นกับพวกเราก่อน ปลายทางของคนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อฟังข่าวดีของพระเจ้าจะเป็นอย่างไร? ‘และถ้าคนชอบธรรมจะรอดด้วยความยากลำบาก คนที่ดูหมิ่นพระเจ้าและคนบาปจะปรากฏที่ไหนกัน?’”—1 เปโตร 4:17, 18, ล.ม.
ความเชื่อถูกทดสอบ—เพราะเหตุใด?
6. เหตุใดความเชื่อที่ผ่านการทดสอบแล้วจึงมีค่ามาก?
6 ในแง่หนึ่ง ความเชื่อที่ไม่ได้ถูกทดสอบยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีคุณค่า และยังไม่ทราบว่าคุณภาพของความเชื่อนั้นเป็นอย่างไร. คุณอาจเปรียบความเชื่อแบบนั้นเหมือนกับเช็คที่ยังไม่ได้ขึ้นเงิน. คุณอาจได้รับเช็คใบหนึ่งสำหรับงานที่คุณทำ, สำหรับสินค้าที่คุณจำหน่าย, หรือแม้แต่ได้รับเป็นของขวัญ. เช็คนั้นอาจดูดี แต่ว่าดีจริง ๆ ไหม? เช็คนั้นมีค่าจริง ๆ ตามจำนวนที่เขียนไว้ไหม? ในทำนองเดียวกัน ความเชื่อของเราต้องมีอะไรมากกว่าการปรากฏภายนอกหรือเพียงคำกล่าวอ้าง. ความเชื่อต้องผ่านการทดสอบ หากเราต้องการจะพิสูจน์ว่าความเชื่อนั้นมีคุณค่าและมีคุณภาพแท้จริง. เมื่อความเชื่อของเราถูกทดสอบ เราอาจพบว่าความเชื่อนั้นเข้มแข็งและมีคุณค่า. แต่การทดสอบก็อาจเผยให้เห็นบางส่วนในความเชื่อของเราที่จำเป็นต้องได้รับการขัดเกลาหรือเสริมให้แข็งแกร่งด้วย.
7, 8. การทดสอบความเชื่อของเรามาจากแหล่งไหน?
7 พระเจ้าทรงยอมให้มีการกดขี่และการทดสอบความเชื่อแบบอื่น ๆ เกิดขึ้นกับเรา. เราอ่านดังนี้: “เมื่อถูกทดลอง อย่าให้ผู้ใดว่า ‘พระเจ้าทดลองข้าพเจ้า.’ เพราะพระเจ้าจะถูกทดลองด้วยสิ่งที่ชั่วไม่ได้ หรือพระองค์เองก็ไม่ทดลองผู้ใดเลย.” (ยาโกโบ 1:13, ล.ม.) ใครหรือสิ่งใดเป็นสาเหตุทำให้เกิดการทดลองเช่นนั้น? ซาตาน, โลก, และเนื้อหนังที่ไม่สมบูรณ์ของเราเอง.
8 เราอาจยอมรับว่าซาตานใช้อิทธิพลที่มีพลังมากเหนือโลก, วิธีคิดของโลก, และแนวทางของโลกนี้. (1 โยฮัน 5:19) และเราคงทราบว่ามันยุยงส่งเสริมให้มีการข่มเหงคริสเตียน. (วิวรณ์ 12:17) แต่เราเชื่อมั่นเช่นเดียวกันไหมว่า ซาตานพยายามชักนำเราให้หลงโดยการล่อลวงเนื้อหนังที่ไม่สมบูรณ์ของเรา ล่อใจเราด้วยสิ่งชวนตาชวนใจของโลก โดยหวังว่าเราจะยอมแพ้ต่อการล่อใจนั้น, ไม่เชื่อฟังพระเจ้า, และลงท้ายก็กลายเป็นคนที่พระยะโฮวาไม่ทรงพอพระทัย? แน่นอน วิธีที่ซาตานใช้ไม่น่าจะทำให้เราประหลาดใจ เพราะมันใช้กลเม็ดอย่างเดียวกันนี้เมื่อพยายามล่อลวงพระเยซู.—มัดธาย 4:1-11.
9. เราจะได้รับประโยชน์จากตัวอย่างต่าง ๆ ด้านความเชื่อโดยวิธีใด?
9 โดยทางพระคำและประชาคมคริสเตียน พระยะโฮวาทรงจัดให้มีตัวอย่างที่ดีด้านความเชื่อที่เราจะเลียนแบบได้. เปาโลกระตุ้นเตือนดังนี้: “ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย, ท่านจงประพฤติตามแบบข้าพเจ้า, และคอยดูคนทั้งหลายเหล่านั้นที่ประพฤติตามแบบเดียวกัน, เหมือนท่านทั้งหลายได้พวกเราเป็นตัวอย่าง.” (ฟิลิปปอย 3:17) ในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้าซึ่งได้รับการเจิมในศตวรรษแรก เปาโลนำหน้าในการทำงานแห่งความเชื่อแม้ประสบการทดลองอย่างสาหัสหลายประการ. ในตอนสิ้นศตวรรษที่ 20 นี้ เราไม่ได้ขาดตัวอย่างด้านความเชื่อที่คล้าย ๆ กัน. ถ้อยคำที่เฮ็บราย 13:7 ใช้ได้อย่างมีน้ำหนักในเวลานี้เหมือนกับตอนที่เปาโลเขียน ที่ว่า “จงระลึกถึงคนเหล่านั้นที่ได้เคยปกครองท่าน, คือคนที่ได้ประกาศพระคำของพระเจ้าแก่ท่าน. และจงพิจารณาดูผลแห่งปลายทางแห่งประวัติของเขา, แล้วจงเอาอย่างความเชื่อของเขา.”
10. ในสมัยหลัง ๆ นี้เรามีตัวอย่างด้านความเชื่ออะไรโดยเฉพาะ?
10 คำกระตุ้นเตือนนั้นมีพลังเป็นพิเศษเมื่อเราพิจารณาดูว่าผลของการประพฤติปฏิบัติของชนที่เหลือผู้ถูกเจิม นั้นเป็นอย่างไร. เราอาจจะใคร่ครวญถึงตัวอย่างของพวกเขาและเอาอย่างความเชื่อของพวกเขาได้. ความเชื่อของพวกเขาเป็นความเชื่อแท้ที่ได้รับการขัดเกลาแล้วโดยการทดลอง. โดยมีจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในทศวรรษ 1870 ภราดรภาพแบบคริสเตียนซึ่งมีอยู่ทั่วโลกได้พัฒนาขึ้นมา. โดยเป็นผลจากความเชื่อและความอดทนของผู้ถูกเจิมตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา พยานพระยะโฮวามากกว่าห้าล้านห้าแสนคนกำลังประกาศและสั่งสอนเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในเวลานี้. ประชาคมแห่งผู้นมัสการแท้ที่มีใจแรงกล้าทั่วโลกในปัจจุบันเป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยันถึงความเชื่อที่ผ่านการทดสอบแล้ว.—ติโต 2:14.
ความเชื่อถูกทดสอบเกี่ยวข้องกับปี 1914
11. ปี 1914 สำคัญสำหรับ ซี.ที. รัสเซลล์และเพื่อนร่วมงานอย่างไร?
11 หลายปีก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจะระเบิดขึ้น ชนที่เหลือผู้ถูกเจิมได้ประกาศว่าปี 1914 จะเป็นปีสำคัญตามคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิล. อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์บางอย่างของพวกเขาเร็วเกินไป และทัศนะของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นยังไม่ถูกต้องเสียทั้งหมด. ตัวอย่างเช่น ซี.ที. รัสเซลล์ นายกสมาคมคนแรกของสมาคมว็อชเทาเวอร์และเพื่อนร่วมงานของท่านสามารถมองเห็นได้ว่า งานประกาศอย่างกว้างขวางเป็นเรื่องจำเป็น. พวกเขาอ่านพบในพระคัมภีร์ดังนี้: “กิตติศัพท์อันประเสริฐแห่งแผ่นดินนี้จะได้ประกาศไปทั่วโลกให้เป็นพยานแก่บรรดาชาติมนุษย์ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง.” (มัดธาย 24:14) ทว่า กลุ่มที่ค่อนข้างจะเล็กของพวกเขาจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร?
12. เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของรัสเซลล์ตอบสนองต่อความจริงของคัมภีร์ไบเบิลอย่างไร?
12 ขอให้พิจารณาว่าเรื่องนี้มีผลต่อ เอ.เอช. แมกมิลลัน เพื่อนร่วมงานของรัสเซลล์อย่างไร. แมกมิลลันเกิดที่แคนาดา อายุยังไม่ถึง 20 ปีเมื่อท่านได้รับหนังสือที่ รัสเซลล์เขียน ซึ่งมีชื่อว่าแผนการแห่งยุคต่าง ๆ (1886). (หนังสือนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่าแผนการของพระเจ้าเกี่ยวกับยุคต่าง ๆ ได้กลายมาเป็นเล่ม 1 ของหนังสือชุดคู่มือการศึกษาพระคัมภีร์ ซึ่งได้มีการจำหน่ายจ่ายแจกไปอย่างกว้างขวาง. เล่ม 2 เวลาใกล้จะถึงแล้ว [1889] ชี้ไปยังปี 1914 ว่าเป็นจุดสิ้นสุดของ “เวลากำหนดของคนต่างประเทศ.” [ลูกา 21:24]) คืนนั้นเองที่แมกมิลลันเริ่มอ่าน เขารำพึงว่า “อืมม์ ดูเหมือนว่านี่แหละคือความจริง!” ในฤดูร้อนปี 1900 ท่านพบกับรัสเซลล์ที่การประชุมภาคของกลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ชื่อที่เรียกพยานพระยะโฮวาในเวลานั้น. ไม่ช้า แมกมิลลันก็รับบัพติสมาและเริ่มทำงานกับบราเดอร์รัสเซลล์ที่สำนักงานใหญ่ของสมาคมในนิวยอร์ก.
13. แมกมิลลันและคนอื่น ๆ มองเห็นปัญหาอะไรในเรื่องความสำเร็จเป็นจริงของมัดธาย 24:14?
13 โดยอาศัยพื้นฐานจากการอ่านคัมภีร์ไบเบิล เหล่าคริสเตียนผู้ถูกเจิมชี้ไปที่ปี 1914 ว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในพระประสงค์ของพระเจ้า. แต่แมกมิลลันและคนอื่น ๆ ยังนึกสงสัยอยู่ว่า การประกาศไปถึงชาติต่าง ๆ ตามที่มีบอกล่วงหน้าที่มัดธาย 24:14 จะทำให้สำเร็จในชั่วเวลาสั้น ๆ ที่ยังเหลืออยู่ได้อย่างไร. ต่อมา ท่านกล่าวดังนี้: “ผมจำได้ว่าได้ถกกับบราเดอร์รัสเซลล์บ่อยครั้ง และท่านก็พูดว่า ‘เอาละ น้องของข้าพเจ้า ในนิวยอร์กนี่เรามีคนยิวมากกว่าในกรุงเยรูซาเลม. เรามีชาวไอร์แลนด์อยู่ที่นี่มากกว่าในกรุงดับลิน. และเรามีชาวอิตาลีมากกว่าในกรุงโรม. ทีนี้ ถ้าเราไปประกาศแก่คนเหล่านี้ นั่นก็คือการประกาศข่าวสารไปทั่วโลก.’ แต่ดูเหมือนนั่นไม่ได้ทำให้เราพอใจอยู่ดี. ดังนั้น ต่อมาจึงได้มีการคิดทำ ‘ภาพยนตร์’ กันขึ้น.”
14. ก่อนจะถึงปี 1914 มีการดำเนินโครงการที่โดดเด่นอะไร?
14 “ภาพยนตร์เรื่องการทรงสร้าง” นับเป็นสิ่งแปลกใหม่อย่างแท้จริง! ภาพยนตร์นี้ผสมผสานภาพเคลื่อนไหวกับสไลด์กระจกสีเข้าด้วยกัน จัดเสียงคำบรรยายที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลและดนตรีประกอบจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงให้ลงจังหวะพอดีกันกับภาพ. ในปี 1913 วารสารหอสังเกตการณ์ กล่าวถึงการประชุมภาคครั้งหนึ่งในรัฐอาร์คันซอ สหรัฐอเมริกา ดังนี้: “ได้มีการตกลงกันอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า ถึงเวลาแล้วที่จะใช้ภาพเคลื่อนไหวในการสอนความจริงแห่งคัมภีร์ไบเบิล. . . . [รัสเซลล์] อธิบายว่า ท่านได้ทำงานในโครงการนี้มาเป็นเวลาสามปีแล้ว และบัดนี้มีรูปภาพที่สวยงามอยู่หลายร้อยภาพและเกือบครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะดึงดูดฝูงชนและป่าวประกาศกิตติคุณ และช่วยสาธารณชนให้กลับมามีความเชื่อในพระเจ้า.”
15. “ภาพยนตร์เรื่องการทรงสร้าง” ก่อผลแบบไหน?
15 “ภาพยนตร์” นี้ทำหน้าที่ตามที่ได้วางเป้าหมายเอาไว้จริง ๆ หลังจากเปิดฉายรอบปฐมทัศน์ในเดือนมกราคม 1914. ต่อไปนี้เป็นรายงานในหอสังเกตการณ์ ฉบับต่าง ๆ ที่ออกมาในปี 1914:
1 เมษายน: “หลังจากได้ชมสองตอน นักเทศน์คนหนึ่งกล่าวดังนี้: ‘ผมได้ชมเพียงครึ่งเดียวของภาพยนตร์เรื่องการทรงสร้าง แต่ผมได้เรียนรู้เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลมากกว่าที่ผมเรียนในหลักสูตรสามปีของโรงเรียนศาสนศาสตร์เสียอีก.’ เมื่อได้ชมภาพยนตร์นี้แล้ว ชาวยิวผู้หนึ่งออกปากว่า ‘ตอนที่กลับออกไป ผมได้กลายเป็นชาวยิวที่ดีกว่าเดิมเมื่อเทียบกับตอนที่เข้ามาชม.’ นักบวชและนางชีคาทอลิกหลายคนได้มาชมภาพยนตร์นี้และแสดงความหยั่งรู้ค่าอย่างยิ่ง. . . . ภาพยนตร์นี้เสร็จสมบูรณ์เพียงสิบสองชุด . . . อย่างไรก็ดี เราได้เข้าถึงและรับใช้ในเมืองใหญ่ ๆ สามสิบเอ็ดเมืองแล้ว . . . มีมากกว่าสามหมื่นห้าพันคนในแต่ละวันที่ได้เห็น, ได้ยิน, กล่าวชมเชย, คิดตรึกตรองและได้รับพระพร.”
15 มิถุนายน: “ภาพยนตร์นี้ได้ช่วยผมให้มีใจแรงกล้ายิ่งขึ้นที่จะเผยแพร่ความจริง และเพิ่มพูนความรักของผมที่มีต่อพระบิดาฝ่ายสวรรค์และพระเยซูผู้ทรงเป็นพี่น้องอาวุโสที่รักของเรา. ผมอธิษฐานทุกวันขอพระพรอันอุดมอย่างแท้จริงของพระเจ้ามีแก่ภาพยนตร์เรื่องการทรงสร้างและแก่ทุกคนที่มีส่วนในการนำเสนอ . . . ผมเป็นผู้รับใช้ของคุณในพระองค์, เอฟ.ดับเบิลยู. นอช.—ไอโอวา.”
15 กรกฎาคม: “เรารู้สึกยินดีที่สังเกตเห็นถึงความประทับใจอย่างน่าอัศจรรย์ที่ภาพยนตร์ของเราก่อให้เกิดขึ้นในเมืองนี้ และเรารู้สึกแน่ใจว่าจะมีการใช้วิธีให้คำพยานเช่นนี้แก่โลกเพื่อรวบรวมผู้คนมากมายที่แสดงหลักฐานว่าพวกเขาเป็นอัญมณีที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเองทรงเลือกสรร. เรารู้จักนักศึกษาพระคัมภีร์ที่จริงใจหลายคนซึ่งเดี๋ยวนี้ได้เข้ามาสมทบกับประชาคมที่นี่ โดยเป็นผลมาจากการฉายภาพยนตร์นี้. . . . พี่น้องของคุณในองค์พระผู้เป็นเจ้า, เอมมา เอล. บริเคอร์.”
15 พฤศจิกายน: “เราแน่ใจว่าคุณคงยินดีที่จะได้ทราบเกี่ยวกับการให้คำพยานที่วิเศษจริง ๆ ที่ได้มีการทำกันที่นี่โดยใช้ภาพยนตร์เรื่องการทรงสร้างที่เดอะ ลอนดอน โอเปรา เฮาส์ คิงส์เวย์. พระหัตถ์ที่ชี้นำขององค์พระ ผู้ เป็น เจ้า ปรา กฏชัดอย่างมหัศจรรย์ในทุก ๆ รายละเอียดของการแสดงนี้ ทำให้พวกพี่น้องรู้สึกปีติยินดีอย่างใหญ่หลวง . . . ผู้ชมของเราประกอบด้วยคนจากทุกระดับชั้นและคนทุกชนิด; เราได้สังเกตเห็นนักบวชหลายคนเข้ามาร่วมชมด้วย. นักบวชของคริสตจักรแห่งอังกฤษผู้หนึ่ง . . . ขอตั๋วสำหรับเขาและภรรยาจะได้มาชมอีกรอบหนึ่ง. ผู้ปกครองแขวงของคริสตจักรแห่งอังกฤษผู้หนึ่งได้เข้าชมภาพยนตร์นี้หลายรอบ และ . . . ได้พาเพื่อนหลายคนมาชม. บิชอปสองคนก็มาชมด้วย รวมทั้งผู้มีบรรดาศักดิ์อีกหลายคน.”
1 ธันวาคม: “ผมกับภรรยารู้สึกขอบคุณอย่างแท้จริงต่อพระบิดาฝ่ายสวรรค์ของเราสำหรับพระพรที่ยิ่งใหญ่และสูงค่านี้ ซึ่งมาถึงเราโดยผ่านทางพวกคุณ. ภาพยนตร์ที่สวยงามของคุณทำให้เรามองเห็นและยอมรับความจริง . . . เรามีคู่มือการศึกษาพระคัมภีร์ ของคุณหกเล่ม. คู่มือเหล่านี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง.”
การตอบสนองต่อการทดสอบในตอนนั้น
16. เหตุใดปี 1914 นำมาซึ่งการทดสอบความเชื่อ?
16 กระนั้น จะว่าอย่างไรเมื่อคริสเตียนที่จริงใจและทุ่มเทตัวเช่นนั้นพบว่าความคาดหมายของพวกเขาในการเข้าร่วมกับองค์พระผู้เป็นเจ้าในปี 1914 ไม่เป็นจริง? ผู้ถูกเจิมเหล่านั้นผ่านช่วงเวลาแห่งการทดลองที่ยากลำบากอย่างยิ่ง. หอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 พฤศจิกายน 1914 ชี้แจงดังนี้: “ให้เราจำไว้ว่า เราอยู่ในฤดูแห่งการทดสอบ.” ในเรื่องนี้ หนังสือพยานพระยะโฮวา—ผู้ประกาศราชอาณาจักรของพระเจ้า (ภาษาอังกฤษ, 1993) รายงานดังนี้: “ช่วงเวลาตั้งแต่ปี 1914 จนถึงปี 1918 ปรากฏว่าเป็น ‘ฤดูแห่งการทดสอบ’ อย่างแท้จริงสำหรับนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล.” พวกเขาจะยอมให้ความเชื่อของตนได้รับการขัดเกลาและปรับทัศนะของตนไหมเพื่อสามารถรับเอางานอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ข้างหน้า?
17. ผู้ถูกเจิมที่ซื่อสัตย์มีปฏิกิริยาอย่างไรต่อการที่พวกเขายังคงอยู่ต่อไปบนแผ่นดินโลกหลังจากผ่านปี 1914 ไปแล้ว?
17 หอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 กันยายน 1916 กล่าวอย่างนี้: “เราวาดมโนภาพว่างานเกี่ยวเพื่อรวบรวมคริสตจักร [ผู้ถูกเจิม] คงจะสำเร็จก่อนจุดสิ้นสุดของเวลาแห่งคนต่างประเทศ; แต่ไม่มีที่ใดในคัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้อย่างนั้น. . . . เราเสียใจไหมที่งานเกี่ยวยังคงดำเนินต่อไป? . . . พี่น้องที่รักทั้งหลาย เจตคติของเราในปัจจุบันควรเป็นเจตคติที่หยั่งรู้ค่าอย่างยิ่งต่อพระเจ้า หยั่งรู้ค่ายิ่งขึ้นต่อความจริงอันสวยงามที่พระองค์ได้ทรงประทานให้เรามีสิทธิพิเศษได้เห็นและได้รับการระบุตัวด้วยความจริงนี้ พร้อมด้วยความกระตือรือร้นยิ่งขึ้นที่จะช่วยนำความจริงนั้นไปบอกให้คนอื่นทราบ.” ความเชื่อของพวกเขาถูกทดสอบ แต่พวกเขาเผชิญหน้ากับการทดสอบนั้นและผ่านไปได้ด้วยดี. แต่พวกเราที่เป็นคริสเตียนควรตระหนักว่า การทดสอบความเชื่ออาจมีมากมายและหลายรูปแบบ.
18, 19. มีการทดสอบอะไรอีกเกี่ยวกับไพร่พลของพระเจ้า หลังจากที่บราเดอร์รัสเซลล์เสียชีวิตได้ไม่นานนัก?
18 ตัวอย่างเช่น การทดสอบอีกแบบหนึ่งเกิดขึ้นกับชนที่เหลือหลังจากที่บราเดอร์ชาลส์ ที. รัสเซลล์เสียชีวิตได้ไม่นาน. สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการทดสอบความภักดีและความเชื่อของพวกเขา. ใครคือ “ทาสสัตย์ซื่อ” ตามในมัดธาย 24:45 (ล.ม.)? บางคนคิดว่าเป็นบราเดอร์รัสเซลล์เอง และพวกเขาไม่ยอมให้ความร่วมมือกับการจัดเตรียมในการจัดระเบียบองค์การขึ้นมาใหม่. หากบราเดอร์รัสเซลล์คือทาสสัตย์ซื่อ พวกพี่น้องจะทำอย่างไรในเมื่อตอนนี้ท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว? พวกเขาควรติดตามบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาใหม่ หรือว่าบัดนี้เป็นเวลาที่จะตระหนักว่าพระยะโฮวาไม่ได้ใช้บุคคลเพียงคนเดียว หากแต่ทรงใช้คริสเตียนทั้งกลุ่มในฐานะเป็นเครื่องมือหรือชนจำพวกทาส?
19 มีการทดสอบอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นกับคริสเตียนแท้ในปี 1918 เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายโลกซึ่งถูกยุยงโดยพวกนักเทศน์นักบวชแห่งคริสต์ศาสนจักร “ออกกฎหมายประกอบการชั่วร้าย” โจมตีองค์การของพระยะโฮวา. (บทเพลงสรรเสริญ 94:20) คลื่นแห่งการกดขี่ที่รุนแรงโหมกระหน่ำนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลทั้งในอเมริกาเหนือและในยุโรป. การต่อต้านที่พวกนักเทศน์นักบวชสนับสนุนได้มาถึงจุดสุดยอดในวันที่ 7 พฤษภาคม 1918 เมื่อสหพันธรัฐแห่งสหรัฐออกหมายจับ เจ.เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ดและเพื่อนร่วมงานใกล้ชิดอีกหลายคน รวมทั้ง เอ.เอช. แมกมิลลันด้วย. พวกเขาถูกตั้งข้อหาอย่างผิด ๆ ว่าปลุกปั่นให้ขัดขืนอำนาจปกครอง และเจ้าหน้าที่ไม่ยอมพิจารณาคำแก้ต่างยืนยันความบริสุทธิ์ของพวกเขา.
20, 21. ดังมีบอกล่วงหน้าไว้ที่มาลาคี 3:1-3 งานอะไรจะสำเร็จในท่ามกลางผู้ถูกเจิม?
20 แม้ว่าไม่ได้ตระหนักกันในตอนนั้น แต่งานกลั่นกรองกำลังดำเนินอยู่ ดังที่มาลาคี 3:1-3 พรรณนาไว้ดังนี้: “ผู้ใดจะรอหน้าอยู่ได้ในวันที่พระองค์เสด็จมา, และผู้ใดจะเผชิญหน้าอยู่ได้เมื่อพระองค์มาปรากฏพระกาย, เพราะว่า [ทูตแห่งคำสัญญาไมตรี] เป็นประดุจดังไฟถลุงแร่และสบู่ของช่างซักฟอก, และพระองค์จะนั่งลงเหมือนช่างหลอมช่างถลุงเงิน. พระองค์ จะ ถลุงลูกชายทั้งหลายของพวกเลวีดุจดังถลุงทองและเงินเพื่อเขาทั้งหลายจะถวายเครื่องบูชาแก่พระยะโฮวาด้วยน้ำใสใจบริสุทธิ์.”
21 ขณะที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งจวนจะสิ้นสุดลง นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลบางคนเผชิญการทดสอบความเชื่ออีกแบบหนึ่ง กล่าวคือ พวกเขาจะรักษาความเป็นกลางในเรื่องการทหารของโลกนี้อย่างเคร่งครัดหรือไม่. (โยฮัน 17:16; 18:36) บางคนไม่ได้รักษาความเป็นกลางในเรื่องนี้. ดังนั้น ในปี 1918 พระยะโฮวาทรงส่ง ‘ทูตแห่งคำสัญญาไมตรี’ คือพระเยซูคริสต์ มายังการจัดเตรียมเกี่ยวด้วยพระวิหารฝ่ายวิญญาณ เพื่อชำระล้างกลุ่มเล็ก ๆ แห่งผู้นมัสการของพระองค์ให้สะอาดพ้นจากมลทินของโลก. คนที่ได้แสดงความเชื่อแท้เรียนรู้จากประสบการณ์และก้าวรุดหน้า ประกาศต่อไปด้วยใจแรงกล้า.
22. ในเรื่องการทดสอบความเชื่อ มีอะไรอีกที่จะต้องพิจารณากันต่อไป?
22 สิ่งที่เราเพิ่งได้พิจารณาไปไม่ใช่แค่เรื่องน่าสนใจในประวัติศาสตร์ที่ผ่านเลยไป. เรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับสภาพทางฝ่ายวิญญาณในปัจจุบันของประชาคมของพระยะโฮวาทั่วโลก. แต่ในบทความถัดไป ขอให้เราพิจารณาการทดสอบความเชื่อบางอย่างซึ่งไพร่พลของพระเจ้าเผชิญในทุกวันนี้ และดูว่าเราจะเอาชนะการทดสอบเหล่านี้อย่างเป็นผลสำเร็จได้อย่างไร.
คุณจำได้ไหม?
▫ เหตุใดไพร่พลของพระยะโฮวาจึงควรคาดหมายว่าความเชื่อของตนจะถูกทดสอบ?
▫ ได้มีความพยายามแบบใดที่จะเผยแพร่ข่าวสารของพระเจ้าในช่วงก่อนปี 1914?
▫ “ภาพยนตร์” ที่ว่านี้คืออะไร และภาพยนตร์นี้ก่อผลเช่นไร?
▫ เหตุการณ์ต่าง ๆ ในช่วงปี 1914-1918 เป็นการทดสอบอย่างไรสำหรับชนผู้ถูกเจิม?
[รูปภาพหน้า 12]
ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษ ประชาชนในหลายดินแดนได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลโดยอาศัยชุดหนังสือ “รุ่งอรุณแห่งรัชสมัยพันปี” ซึ่งต่อมา เรียกว่า “คู่มือการศึกษาพระคัมภีร์”
[รูปภาพหน้า 13]
จดหมายจากซี.ที. รัสเซลล์พร้อมกับส่วนคำนำสำหรับแผ่นเสียง ซึ่งท่านกล่าวไว้ว่า “‘ภาพยนตร์เรื่องการทรงสร้าง’ จัดทำโดย IBSA—สมาคมนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลนานาชาติ. เป้าหมายของภาพยนตร์นี้คือเพื่อสอนสาธารณชนในเรื่องศาสนาและวิทยาศาสตร์ และเพื่อปกป้องคัมภีร์ไบเบิล”
[รูปภาพหน้า 15]
เดมีเตรียส พาพาจอร์จ เดินทางไปในที่ต่าง ๆ เพื่อฉาย “ภาพยนตร์เรื่องการทรงสร้าง.” ต่อมา เขาถูกจำคุกเนื่องด้วยการรักษาฐานะความเป็นกลางแบบคริสเตียน