40 กว่าปีภายใต้การสั่งห้ามของพวกคอมมิวนิสต์
เล่าโดยมิคาอิล วาซิเลวิช ซาวิตสกี
วารสารหอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 1 เมษายน 1956 ได้รายงานว่าพยานพระยะโฮวาถูก “กวาดล้างครั้งใหญ่” เมื่อวันที่ 1, 7, และ 8 เมษายน 1951. หอสังเกตการณ์ อธิบายว่า “พยานพระยะโฮวาในรัสเซียจะลืมวันเหล่านี้ไม่ได้เลย. ในสามวันดังกล่าวนี้ พยานพระยะโฮวาเท่าที่พบได้ในภาคตะวันตกของยูเครน, รัสเซียขาว [เบลารุส], เบสซาราเบีย, มอลดาเวีย, ลัตเวีย, ลิทัวเนีย, และเอสโตเนีย—ทั้งผู้ชายผู้หญิงมากกว่าเจ็ดพันคน . . . ถูกลำเลียงขึ้นรถบรรทุกไปที่สถานีรถไฟ และจากที่นั่นพวกเขาถูกนำตัวขึ้นตู้รถไฟขนปศุสัตว์ส่งไปแดนไกล.”
วันที่ 8 เมษายน 1951 ภรรยาของผมกับลูกชายวัยแปดเดือน พ่อกับแม่พร้อมทั้งน้องชายของผม และพยานพระยะโฮวาหลายคนถูกพาตัวออกจากบ้านที่อยู่ในและรอบชานเมืองเตอร์โนปอล รัฐยูเครน. หลังจากถูกลำเลียงใส่ตู้รถขนปศุสัตว์ พวกเขาเดินทางเป็นเวลาราวสองสัปดาห์. ในที่สุดก็ถูกปล่อยลงไว้ที่ไทกาของไซบีเรีย (ป่าสนในบริเวณป่าไม้เขตหนาวเหนือ) ทางทิศตะวันตกของทะเลสาบไบคัล.
เพราะอะไรผมจึงไม่ได้ร่วมอยู่ในกลุ่มที่ถูกกวาดล้างครั้งนี้? ก่อนจะเล่าถึงตอนนั้นว่าผมอยู่ที่ไหนและเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราหลังจากนั้น ผมขอเล่าว่าผมเข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวาอย่างไร.
ความจริงของคัมภีร์ไบเบิลมาถึงพวกเรา
เดือนกันยายน 1947 ตอนนั้นผมอายุ 15 ปี พยานพระยะโฮวาสองคนได้มาที่บ้านเราซึ่งอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อสลาเวียทิน ห่างจากเมืองเตอร์โนปอลราว ๆ 50 กิโลเมตร. ขณะที่แม่กับผมนั่งฟังพยานฯ สาวสองคนนี้—คนหนึ่งชื่อมาเรีย—ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่เป็นแค่อีกศาสนาหนึ่ง. คนทั้งสองชี้แจงความเชื่อศรัทธาของเขาและได้ตอบคำถามของเราหลายข้อเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลอย่างแจ่มแจ้ง.
ผมเชื่ออยู่แล้วว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นพระคำของพระเจ้า แต่รู้สึกผิดหวังกับคริสตจักร. คุณตาเคยพูดว่า “บาทหลวงเทศนาขู่ผู้คนให้หวาดกลัวการทรมานในไฟนรก แต่บาทหลวงเองกลับไม่กลัวอะไรเลย. พวกเขาเอาแต่ปล้นและหลอกลวงคนจน.” ผมจำพฤติกรรมใช้กำลังรุนแรงและการวางเพลิงชาวโปแลนด์ที่อาศัยในหมู่บ้านของเราได้เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้น. การจู่โจมทำร้ายครั้งนั้นที่กระทำโดยบาทหลวงคาทอลิกชาวกรีกเป็นเรื่องน่าตระหนกตกใจอย่างยิ่ง. หลังจากนั้นผมได้เห็นหลายสิบคนที่เป็นเหยื่อถูกสังหาร และผมอยากรู้เหลือเกินถึงมูลเหตุการทารุณโหดร้ายเช่นนั้น.
เมื่อได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา ผมจึงเริ่มเข้าใจ. ผมได้เรียนความจริงพื้นฐานของคัมภีร์ไบเบิล รวมทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าไม่มีไฟนรก และซาตานพญามารใช้ศาสนาเท็จส่งเสริมสงครามและทำให้เกิดการนองเลือด. ในระหว่างที่ผมเองศึกษาเป็นส่วนตัว ผมจะหยุดเป็นพัก ๆ และกล่าวคำอธิษฐานจากส่วนลึกของหัวใจขอบคุณพระยะโฮวาสำหรับสิ่งที่ผมได้เรียนรู้. ผมเริ่มบอกเล่าความจริงของคัมภีร์ไบเบิลแก่สตาคห์น้องชาย และผมเป็นสุขมากเมื่อเขาตอบรับความจริง.
ปฏิบัติตามที่ผมได้เรียนรู้
ผมตระหนักถึงความจำเป็นที่ตนเองจะต้องเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง และโดยฉับพลันทันทีผมเลิกสูบบุหรี่. ผมได้มาเข้าใจด้วยว่าการเข้าร่วมประชุมกับคนอื่น ๆ อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างเป็นระเบียบ. ที่จะทำเช่นนี้ ผมเดินลัดเลาะป่าไม้เป็นระยะทางประมาณสิบกิโลเมตรกว่าจะถึงที่นัดประชุมในที่ลับตาคน. บางครั้งมีเฉพาะผู้หญิงเพียงไม่กี่คนได้ไปยังการประชุม และถึงแม้ผมยังไม่ได้รับบัพติสมา ผมก็ได้รับการขอร้องให้นำการประชุม.
การมีสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลถือว่าเสี่ยงอันตราย และหากถูกจับได้ก็อาจต้องโทษติดคุกถึง 25 ปีทีเดียว. กระนั้น ผมปรารถนาจะมีห้องสมุดของตัวเอง. เพื่อนบ้านของเราคนหนึ่งได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา แต่เนื่องจากกลัว เขาจึงเลิกศึกษาและฝังกลบหนังสือต่าง ๆ ไว้ในสวน. ผมรู้สึกขอบคุณพระยะโฮวามากเพียงไรเมื่อชายคนนั้นขุดเอาหนังสือและวารสารทุกเล่มขึ้นมาและตกลงยกให้ผมทั้งหมด! ผมซุกซ่อนหนังสือเหล่านั้นไว้ตามกล่องเลี้ยงผึ้งของพ่อ ซึ่งที่นั่นคงไม่มีใครอยากเข้าไปค้นหา.
เดือนกรกฎาคม 1949 ผมได้อุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวาและได้รับบัพติสมาเป็นสัญลักษณ์การอุทิศตัวของผม. วันนั้นผมมีความสุขที่สุดในชีวิต. พยานฯ ผู้ให้บัพติสมาอย่างลับ ๆ ได้ย้ำเตือนว่าการเป็นคริสเตียนแท้ไม่ง่ายและมีการทดสอบหลายอย่างรออยู่เบื้องหน้า. จากนั้นไม่นานผมเรียนรู้ว่าคำพูดของเขาเป็นความจริงเพียงไร! ถึงกระนั้น ชีวิตของผมในฐานะพยานฯ ที่รับบัพติสมาแล้วก็เริ่มขึ้นอย่างน่าชื่นชมยินดี. หลังรับบัพติสมาสองเดือน ผมได้แต่งงานกับมาเรีย หนึ่งในสองคนที่ได้แนะนำความจริงแก่ผมและแม่.
การทดลองครั้งแรกเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
วันที่ 16 เมษายน 1950 ขณะเดินทางกลับบ้านจากพอดกิตซี เมืองเล็ก ๆ ทันใดนั้นเองก็เผชิญหน้าพวกทหารและพวกเขาค้นพบหนังสืออธิบายคัมภีร์ไบเบิลบางเล่มที่ผมเอาติดตัวไปที่กลุ่มการศึกษา. ผมถูกจับ. ช่วงสองสามวันแรกที่ถูกคุมตัว ผมถูกตีด้วยตะบองทั้งไม่อนุญาตให้ผมกินหรือนอนหลับ. นอกจากนั้น เขาออกคำสั่งให้นั่งยอง ๆ แล้วลุกขึ้นยืนสลับกันร้อยครั้ง พร้อมกับให้เอามือวางบนศีรษะ ซึ่งผมทำได้ไม่ครบเพราะเหนื่อยเกินไป. หลังจากนั้น เขาโยนผมเข้าไปอยู่ห้องใต้ดินที่หนาวเย็นและชื้นนานถึง 24 ชั่วโมง.
เขาปฏิบัติการเลวร้ายเช่นนั้นด้วยมีจุดมุ่งหมายจะลดแรงต้านทานของผม และเพื่อจะได้ข้อมูลจากผมง่ายขึ้น. เขาเค้นเอาคำตอบจากผมโดยถามว่า “แกไปได้หนังสือเหล่านี้จากที่ไหน และจะเอาไปให้ใคร?” ผมไม่ยอมเปิดเผยอะไรเลย. แล้วเขาได้อ่านกฎหมายบางมาตราเกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีกับผม. กฎหมายนั้นระบุว่าการเผยแพร่ก็ดี การมีสรรพหนังสือในแนวต่อต้านโซเวียตก็ดีมีโทษถึงประหารหรือติดคุก 25 ปี.
ทหารเหล่านั้นถามว่า “แกพอใจอยากให้ลงโทษสถานใด?”
ผมตอบเขาว่า “ไม่ต้องการวิธีใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ผมวางใจพระยะโฮวา และด้วยการช่วยเหลือของพระองค์ ผมรับได้ทั้งนั้นตามที่พระองค์ยอมให้เป็นไป.”
ผมแปลกใจมาก เพราะเจ็ดวันหลังจากนั้นเขาได้ปล่อยผมเป็นอิสระ. ประสบการณ์ครั้งนั้นช่วยผมให้หยั่งรู้ค่าความสัตย์จริงแห่งคำสัญญาของพระยะโฮวาที่ว่า “เราจะไม่ละท่านไว้เลยและจะไม่ทิ้งท่านเสียเลย.”—เฮ็บราย 13:5, ล.ม.
เมื่อผมกลับถึงบ้าน ผมป่วยหนัก แต่พ่อก็พาผมไปหาหมอและไม่นานผมก็หายเป็นปกติ. แม้พ่อไม่แสดงความเชื่อมั่นทางศาสนาเหมือนคนอื่น ๆ ในครอบครัว แต่ท่านสนับสนุนพวกเราในการนมัสการของเรา.
การจำคุกและเนรเทศ
ไม่กี่เดือนต่อมาผมถูกเรียกเข้าประจำการในกองทัพโซเวียต. ผมได้ชี้แจงเหตุผลที่ปฏิเสธเนื่องจากสติรู้สึกผิดชอบของผม. (ยะซายา 2:4) กระนั้นก็ดี ในเดือนกุมภาพันธ์ 1951 ผมถูกตัดสินให้ต้องโทษจำคุกสี่ปีในเมืองเตอร์โนปอล. ต่อมา เขาย้ายผมไปอยู่ที่ลวิฟ เมืองใหญ่กว่าอยู่ห่างออกไปประมาณ 120 กิโลเมตร. ระหว่างติดคุกที่นั่น ผมได้ทราบมาว่าพยานพระยะโฮวาจำนวนมากถูกเนรเทศไปยังไซบีเรีย.
ฤดูร้อนปี 1951 กลุ่มพวกเราถูกส่งเลยไซบีเรียไปอีกถึงตะวันออกไกล. เราเดินทางระยะ 11,000 กว่ากิโลเมตรเป็นเวลาหนึ่งเดือน ข้ามหลายเขตที่ใช้เวลาต่างกันถึง 11 เขตทีเดียว! หลังจากอยู่บนรถไฟนานกว่าสองสัปดาห์ เราได้หยุดพักแค่ครั้งเดียวซึ่งเขาอนุญาตให้เราอาบน้ำ. นั่นคือที่โรงอาบน้ำสาธารณะในเมืองโนโวซิเบียสก์ ไซบีเรีย.
ณ ที่แห่งนั้น ท่ามกลางหมู่นักโทษกลุ่มใหญ่ ผมได้ยินชายผู้หนึ่งพูดเสียงดังว่า “ที่นี่มีใครบ้างเป็นครอบครัวโยนาดาบ?” เวลานั้นเราใช้ศัพท์ “โยนาดาบ” หมายถึงคนเหล่านั้นผู้ซึ่งมีความหวังจะได้รับชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลก. (2 กษัตริย์ 10:15-17; บทเพลงสรรเสริญ 37:11, 29) ในทันใดนั้นเอง นักโทษหลายคนได้แสดงตัวเป็นพยานฯ. พวกเราจึงต่างทักทายต้อนรับกันด้วยความดีอกดีใจ!
กิจกรรมฝ่ายวิญญาณในค่ายคุมขัง
ขณะอยู่ในเมืองโนโวซิเบียสก์ พวกเราตกลงใช้ศัพท์เฉพาะเพื่อจะชี้ตัวได้เมื่อถึงปลายทาง. ลงท้ายพวกเราทั้งหมดก็เข้าอยู่ในค่ายคุมขังเดียวกันใกล้ชายทะเลญี่ปุ่นไม่ไกลจากวลาดีวอสตอค. ที่นั่นเราได้จัดกลุ่มประชุมเพื่อการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ. การอยู่ร่วมกับพี่น้องอาวุโสแถมเป็นผู้สูงอายุซึ่งถูกตัดสินให้ติดคุกเป็นเวลานานเช่นนั้นได้เสริมความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณแก่ผมอย่างแท้จริง. พวกเขาผลัดกันนำการประชุมของเรา โดยการใช้ข้อพระคัมภีร์และจุดสำคัญที่เกี่ยวข้องกันซึ่งพี่น้องอาวุโสเหล่านั้นจำได้จากวารสารหอสังเกตการณ์.
มีการตั้งคำถามและพี่น้องให้คำตอบ. พวกเราหลายคนได้ตัดกระดาษจากถุงปูนซีเมนต์เปล่าและจดคำตอบลงบนกระดาษ. เราเก็บคำตอบเหล่านั้นแล้วเย็บเป็นเล่มใช้เป็นข้ออ้างอิงส่วนตัว. หลังจากนั้นสองเดือน คนที่ต้องโทษจำคุกนานถูกส่งตัวเข้าค่ายซึ่งอยู่ค่อนไปทางเหนือของไซบีเรีย. พวกเราบราเดอร์หนุ่มสามคนโดนย้ายไปที่เมืองนาฮอดคา ห่างจากประเทศญี่ปุ่นไม่ถึง 650 กิโลเมตร. ผมติดคุกที่นั่นสองปี.
บางครั้งเราได้รับวารสารหอสังเกตการณ์ เป็นรูปเล่ม. วารสารนี้เป็นอาหารฝ่ายวิญญาณสำหรับพวกเรานับเป็นเดือน ๆ ทีเดียว. ต่อมา เราก็ได้รับจดหมายด้วยเช่นกัน. ผมร้องไห้เมื่อได้จดหมายฉบับแรกจากครอบครัว (ตอนนั้นอยู่ในสภาพถูกเนรเทศ). จดหมายนั้นเล่าเหตุการณ์เหมือนคำพรรณนาในวารสารหอสังเกตการณ์ ที่ยกมากล่าวข้างต้น บ้านเรือนของพยานฯ ถูกบุกรุกและหลายครอบครัวมีเวลาเพียงสองชั่วโมงก่อนละทิ้งบ้านช่อง.
อยู่ร่วมกับครอบครัวอีก
ผมได้รับการปล่อยตัวเมื่อเดือนธันวาคม 1952 หลังจากติดคุกอยู่สองปีจากโทษจำขังสี่ปี. ผมไปอยู่กับครอบครัวที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งกาดาเลย์ใกล้เมืองตุลูน ไซบีเรีย ซึ่งพวกเขาถูกเนรเทศไปที่นั่น. แน่นอน การได้อยู่ร่วมกับพวกเขาอีกครั้งเป็นเรื่องน่ายินดี—อีวาน ลูกชายผมเกือบจะสามขวบ และอันนาลูกสาวอายุเกือบสองขวบ. อย่างไรก็ตาม ผมมีอิสระไม่เต็มที่. หนังสือเดินทางของผมถูกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นยึดไว้ ส่วนผมเองอยู่ในสายตาที่ติดตามดูอย่างใกล้ชิด. ผมไม่อาจเดินทางจากบ้านไปได้ไกลกว่า 3 กิโลเมตร. ต่อมา เขายอมให้ผมขี่ม้าไปตลาดที่ตุลูนได้. ด้วยการใช้ความระแวดระวัง ผมไปพบปะเพื่อนพยานฯ ที่นั่น.
ตอนนั้น เรามีลูกสาวสองคนคืออันนาและนัดยา และลูกชายสองคนคืออีวานและคอลยา. ปี 1958 เราได้ลูกชายอีกคนหนึ่งชื่อวอล็อดยา. และต่อมาในปี 1961 เราได้ลูกสาวอีกคนคือกัลยา.
หน่วยเคจีบี (หน่วยรักษาความปลอดภัยแห่งชาติในอดีต) กักขังผมไว้สอบสวนบ่อยครั้ง. วัตถุประสงค์ของพวกเขาไม่เพียงแต่จะให้ผมเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับประชาคม แต่เขายังเล่นละครหลอกให้เข้าใจผิดว่าผมได้ร่วมมือกับพวกเขาด้วย. เพื่อให้เป็นตามความมุ่งหมาย เขาจะพาผมไปภัตตาคารที่มีชื่อและพยายามถ่ายรูปผมตอนที่มีสีหน้ายิ้มระรื่น และสนุกด้วยกันกับเขา. แต่ผมรู้ทันเจตนาของเขา และโดยพยายามครองสติให้มั่น ผมจึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลา. แต่ละครั้งที่ผมถูกกักตัว เหตุการณ์เป็นอย่างไรผมก็เล่าให้พี่น้องฟังอย่างนั้น. ดังนั้น พวกพี่น้องไม่เคยสงสัยความซื่อสัตย์มั่นคงของผม.
ติดต่อกับพี่น้องในค่าย
ตลอดหลายปี เหล่าพยานฯ นับร้อย ๆ ถูกจับเข้าค่ายนักโทษ. ระหว่างนั้น พวกเราติดต่อเป็นประจำกับพี่น้องของเราในค่ายคุมขัง โดยการจัดหาสรรพหนังสือส่งให้เขา. เราทำกันอย่างไร? เมื่อพี่น้องชายหรือหญิงได้รับการปล่อยตัวออกจากค่าย พวกเราเรียนรู้กลวิธีต่าง ๆ จากเขาถึงการลอบนำเอาหนังสือเข้าไปในค่าย ถึงแม้การควบคุมเป็นไปอย่างเข้มงวด. นานนับสิบปีทีเดียวที่พวกเราสามารถจัดส่งวารสารและหนังสือปกแข็งจำนวนมากซึ่งรับมาจากโปแลนด์และประเทศอื่น ๆ ไปให้พี่น้องของเราในค่ายเหล่านี้.
พี่น้องหญิงคริสเตียนหลายคนขะมักเขม้นใช้เวลาหลายชั่วโมงคัดลอกสรรพหนังสือด้วยลายมือขนาดจิ๋วเพื่อว่าวารสารทั้งเล่มจะซุกซ่อนไว้ในกล่องเล็ก ๆ ขนาดกล่องไม้ขีดได้! ปี 1991 เมื่อเราไม่อยู่ภายใต้คำสั่งห้ามอีกต่อไป และได้รับวารสารพิมพ์สี่สีอย่างสวยงาม พี่น้องหญิงของเราคนหนึ่งพูดว่า “ตอนนี้เขาคงจะลืมพวกเราไปแล้ว.” เธอเข้าใจผิด. ถึงแม้มนุษย์อาจหลงลืม แต่พระยะโฮวาจะไม่ทรงลืมการงานของชนผู้ซื่อสัตย์มั่นคงเหล่านั้นเลย!—เฮ็บราย 6:10.
ถิ่นที่อยู่ใหม่และเรื่องเศร้าสลดใจ
ช่วงปลายปี 1967 บ้านน้องชายผมในอีร์คุตสค์ถูกค้น. และปรากฏว่าได้พบฟิล์มและสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล. น้องชายถูกตัดสินลงโทษให้ติดคุกสามปี. อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเข้าค้นที่บ้านของเรากลับไม่พบสิ่งใด. กระนั้น เจ้าหน้าที่ยังปักใจเชื่อว่าเรามีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้น ครอบครัวของผมจำต้องย้ายจากแถบถิ่นนั้น. เราได้ย้ายไปทางตะวันตกประมาณ 5,000 กิโลเมตรไปยังเมืองเนวินโนมิสค์เขตเทือกเขาคอเคซัส. ที่นั่นพวกเราเอาการเอางานให้คำพยานเมื่อสบโอกาส.
จู่ ๆ ก็มีเรื่องเศร้าสลดใจในวันแรกของการปิดภาคเรียนเดือนมิถุนายน ปี 1969. ขณะคอลยา ลูกชายวัย 12 ขวบพยายามขึ้นไปเอาลูกบอลใกล้หม้อแปลงไฟฟ้าแรงสูง เขาถูกไฟดูดอย่างรุนแรง. ร่างของเขาไหม้มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์. เมื่ออยู่โรงพยาบาล เขาหันมาถามผมว่า “เราจะกลับไปที่เกาะนั้นด้วยกันอีกไหม?” (เขาหมายถึงเกาะแห่งหนึ่งซึ่งเราเคยแวะไปเที่ยว.) ผมบอกลูกว่า “แน่นอนคอลยา เราจะไปที่เกาะนั้นอีก. เมื่อพระเยซูคริสต์ปลุกลูกขึ้นจากตาย แน่นอน เราจะไปที่นั่น.” ขณะมีสติรู้ตัวอยู่บ้าง เขาร้องเพลงราชอาณาจักรบทที่เขาชอบมาก เพลงบทที่เขามักจะเป่าทรัมเปตในวงออร์เคสตราของประชาคม. อีกสามวันต่อมาเขาก็เสียชีวิต มั่นใจในความหวังเรื่องการเป็นขึ้นจากตาย.
ปีถัดมา อีวานลูกชายวัย 20 ปีของเราถูกเกณฑ์ทหาร. ครั้นเขาปฏิเสธการเป็นทหาร เขาถูกจับและติดคุกนานสามปี. ปี 1971 ผมถูกเรียกตัวและถูกขู่อีกว่าจะต้องโทษจำคุกหากไม่ประจำการ. กรณีของผมยืดเยื้ออยู่หลายเดือน. ในช่วงนั้น ภรรยาผมป่วยด้วยโรคมะเร็งและจำเป็นต้องเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างมาก. ด้วยมูลเหตุนี้เอง พวกเขาจึงยกฟ้องคดีของผม. มาเรียเสียชีวิตในปี 1972. เธอเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์มาโดยตลอด ภักดีต่อพระยะโฮวาจนสิ้นชีวิต.
ครอบครัวของเราแพร่ไปนอกประเทศ
ปี 1973 ผมแต่งงานกับนีนา. พ่อของเธอขับไล่ไสส่งเธอออกจากบ้านในปี 1960 เนื่องจากเธอเข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวา. เธอเป็นผู้ประกาศที่กระตือรือร้นและเป็นหนึ่งในหมู่พี่น้องหญิงซึ่งเคยทำการคัดลอกวารสารให้คนเหล่านั้นในค่ายได้อ่านกัน. ลูก ๆ ของผมก็รักเธอเช่นกัน.
พวกเจ้าหน้าที่เริ่มวุ่นวายใจสืบเนื่องจากกิจกรรมของเราในเมืองเนวินโนมิสค์ และกดดันเราให้ไปจากที่นั่น. ดังนั้น ในปี 1975 ผมพร้อมกับภรรยาและลูกสาวจึงย้ายไปอยู่ในเขตเทือกเขาคอเคซัสด้านใต้ในรัฐจอร์เจีย. ในเวลาเดียวกัน อีวานลูกชายกับวอล็อดยาก็ย้ายไปที่จามบุล ชายแดนภาคใต้แห่งรัฐคาซัคสถาน.
ที่รัฐจอร์เจีย กิจกรรมของพยานพระยะโฮวาเพิ่งเริ่มต้น. พวกเราให้คำพยานเมื่อสบโอกาสทั้งในเมืองและรอบกากราและซูกูมี บนฝั่งทะเลดำ และหลังจากหนึ่งปี มีพยานใหม่สิบคนได้รับบัพติสมาในแม่น้ำสายที่ไหลผ่านเทือกเขา. ต่อมาไม่นาน พวกเจ้าหน้าที่ยืนกรานให้เราไปจากท้องที่นั้น และเราได้ย้ายไปทางภาคตะวันออกของรัฐจอร์เจีย. ที่นั่นเราเพิ่มความบากบั่นมากขึ้นเพื่อเสาะหาผู้คนประเภทแกะให้ได้ และพระยะโฮวาทรงอวยพรพวกเรา.
เราจัดประชุมร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ. ภาษาเป็นอุปสรรค เนื่องจากเราไม่รู้ภาษาจอร์เจีย และชาวจอร์เจียบางคนก็พูดภาษารัสเซียไม่คล่อง. ทีแรก พวกเราศึกษากับคนรัสเซียเท่านั้น. แต่ในเวลาต่อมา งานเผยแพร่และการสอนโดยใช้ภาษาจอร์เจียได้ขยายวงกว้าง และเวลานี้รัฐจอร์เจียมีผู้ประกาศข่าวราชอาณาจักรหลายพันคน.
ปี 1979 ภายใต้แรงกดดันจากหน่วยเคจีบี นายจ้างได้พูดกับผมว่าประเทศของเขาไม่ยินดีจะให้ผมอยู่ในประเทศของเขาอีกต่อไป. ปีนั้นทีเดียวที่นัดยาลูกสาวของผมประสบอุบัติเหตุรถยนต์ ซึ่งทำให้เธอและลูกสาววัยเยาว์เสียชีวิต. หนึ่งปีก่อนนั้นแม่ของผมสิ้นชีวิตอย่างคนซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาที่เมืองเนวินโนมิสค์ เหลืออยู่แต่พ่อและน้องชายของผม. ดังนั้น เราจึงตัดสินใจจะกลับไปที่นั่น.
เพราะเพียรอดทนจึงรับพระพรนานัปการ
ที่เมืองเนวินโนมิสค์ พวกเรายังคงแอบผลิตสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลอย่างต่อเนื่อง. ครั้งหนึ่ง ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เมื่อเจ้าหน้าที่เรียกตัวผมไปพบ ผมได้บอกเขาว่าผมฝันว่าได้แอบซ่อนวารสารของเราไว้. พวกเขาหัวเราะ. ขณะผมกำลังลาจาก คนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ขอคุณอย่าได้ฝันอีกนะว่าจะซ่อนวารสารอย่างไร.” เขาลงท้ายว่า “ไม่นานหรอกหนังสือเหล่านั้นจะปรากฏอยู่บนชั้นหนังสือของคุณ และคุณจะควงแขนภรรยาไปประชุมและจะถือคัมภีร์ไบเบิลไว้ในมือ.”
ปี 1989 เราเศร้าเสียใจเมื่ออันนาลูกสาวตายด้วยเส้นเลือดโป่งพองในสมอง. อายุเธอแค่ 38 ปี. ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน เหล่าพยานฯ ในเมืองเนวินโนมิสค์ได้เช่าเหมารถไฟไปร่วมการประชุมนานาชาติที่กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์. มี 60,366 คนร่วมประชุม รวมทั้งพยานฯ หลายพันคนจากสหภาพโซเวียต. จริง ๆ แล้วเรานึกว่าเราฝันไป! ต่อมาไม่ถึงสองปี ในวันที่ 27 มีนาคม 1991 ผมได้รับสิทธิพิเศษให้เป็นหนึ่งในจำนวนผู้ปกครองห้าคนของประชาคมซึ่งมีประวัติยาวนานในสหภาพโซเวียตให้เซ็นเอกสารประวัติศาสตร์ในกรุงมอสโกเพื่อเป็นการยอมรับพยานพระยะโฮวาฐานะเป็นองค์การศาสนาถูกต้องตามกฎหมาย!
ผมรู้สึกเบิกบานยินดีที่ลูก ๆ ซึ่งยังมีชีวิตอยู่กำลังรับใช้พระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์มั่นคง. ส่วนผมเองกำลังคอยท่าโลกใหม่ของพระเจ้าซึ่งเวลานั้นผมจะพบอันนา, นัดยากับลูกสาวของเธอ, อีกทั้งคอลยาด้วย. เมื่อเขาฟื้นขึ้นจากตาย ผมจะรักษาคำมั่นสัญญาที่ว่าผมจะพาเขาไปที่เกาะนั้นซึ่งเราเคยไปเที่ยวสนุกด้วยกันเมื่อหลายปีมาแล้ว.
ระหว่างนี้ ช่างเป็นความยินดีเสียนี่กระไรที่ได้เห็นความจริงของคัมภีร์ไบเบิลขยายตัวเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศที่กว้างไพศาลนี้! ผมเป็นสุขอย่างแท้จริงกับสิ่งที่ผมได้รับในชีวิต และผมขอบคุณพระยะโฮวาที่ทรงโปรดให้ผมได้มาเป็นคนหนึ่งในเหล่าพยานของพระองค์. ผมเชื่อมั่นในความสัตย์จริงแห่งบทเพลงสรรเสริญ 34:8 ที่ว่า “ท่านทั้งหลายจงชิมดูจึงจะรู้ว่าพระยะโฮวาเป็นผู้ประเสริฐ; ผู้ใดที่พึ่งอาศัยในพระองค์ก็เป็นสุข.”
[รูปภาพหน้า 25]
ปีที่ผมได้อยู่ร่วมกับครอบครัวในเมืองตุลูน
[รูปภาพหน้า 26]
ภาพบน: พ่อผมและลูก ๆ ของผมที่ข้างนอกบ้านของเราในเมืองตุลูน ไซบีเรีย
บนขวา: ลูกสาวของผมนัดยากับลูกสาวของเธอ ทั้งคู่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์
ขวา: ภาพถ่ายครอบครัวปี 1968