หนังสือแห่งสติปัญญาที่มีข่าวสารสำหรับปัจจุบัน
“ปัญญานั้นล้ำค่าเหนือแก้วมุกดา” โยบปฐมบรรพบุรุษโบราณซึ่งคงเป็นหนึ่งในบรรดาคนร่ำรวยที่สุดในสมัยนั้นแน่ ๆ ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ดังกล่าว. (โยบ 1:3; 28:18; 42:12) ที่จริง สติปัญญามีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติด้านวัตถุเนื่องจากสติปัญญาช่วยคนเราให้ประสบผลสำเร็จในชีวิต. กษัตริย์ซะโลโมผู้ชาญฉลาดตรัสว่า “สติปัญญาเป็นเครื่องปกป้องกันฉันใด, เงินก็เป็นเครื่องปกป้องกันฉันนั้น; แต่ความประเสริฐซึ่งมีอยู่ในความรู้นั้นคือมีปัญญารู้รักษาชีวิตของเจ้าของความรู้นั้นให้รอด.”—ท่านผู้ประกาศ 7:12.
แต่จะพบสติปัญญาเช่นว่านั้นได้ที่ไหนในทุกวันนี้? ผู้คนหันไปหานักเขียนคอลัมน์ให้คำปรึกษา, นักจิตวิทยา, จิตแพทย์, กระทั่งช่างแต่งผมและคนขับแท็กซี่ด้วยซ้ำ พร้อมกับปัญหาส่วนตัวของเขา. และผู้เชี่ยวชาญจำนวนนับไม่ถ้วนพร้อมที่จะให้คำแนะนำในแทบทุกเรื่อง—โดยคิดค่าบริการพอสมควร. แต่บ่อยครั้ง ถ้อยคำแห่ง “ปัญญา” ดังกล่าวมีแต่นำไปสู่ความผิดหวัง กระทั่งความหายนะด้วยซ้ำ. ถ้าเช่นนั้น เราสามารถพบสติปัญญาแท้ได้อย่างไร?
พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงไว้ซึ่งความหยั่งเห็นเข้าใจมากมายในเรื่องของมนุษย์ เคยตรัสครั้งหนึ่งว่า “สติปัญญาได้รับการพิสูจน์ว่าชอบธรรม ก็โดยผลแห่งสติปัญญานั้น.” (มัดธาย 11:19, ล.ม.) ขอให้เราพิจารณาปัญหาธรรมดาบางเรื่องในชีวิตผู้คนแล้วดูว่าถ้อยคำแห่งสติปัญญาอะไรบ้างได้ช่วยเขาอย่างแท้จริงและได้พิสูจน์ว่ามีค่าสำหรับเขายิ่งกว่า “แก้วมุกดา.” คุณอาจสามารถพบ “ปัญญา” นั้นและได้รับประโยชน์จากปัญญานั้นด้วยเช่นกัน.
คุณทนทุกข์จากความซึมเศร้าไหม?
หนังสือพิมพ์อินเตอร์แนชันแนล เฮรัลด์ ทริบูน แห่งลอนดอนตั้งข้อสังเกตว่า “หากศตวรรษที่ 20 นำยุคแห่งความกระวนกระวายเข้ามา เมื่อศตวรรษนี้ผ่านไปก็เห็นหลักฐานถึงการเริ่มต้นของยุคแห่งความสลดหดหู่ใจ.” หนังสือพิมพ์นี้กล่าวเสริมอีกว่า “การศึกษาวิจัยระดับนานาชาติเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับความซึมเศร้าอย่างรุนแรงเผยให้เห็นการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ของสภาพผิดปกตินี้ทั่วโลก. ในชาติที่แตกต่างกัน เช่น ไต้หวัน, เลบานอนและนิวซีแลนด์ คนรุ่นที่ต่อเนื่องกันแต่ละรุ่นเปราะบางมากขึ้นทุกทีต่อโรคนี้.” กล่าวกันว่าคนเหล่านั้นที่เกิดหลังปี 1955 มีท่าว่าจะประสบความซึมเศร้าอย่างรุนแรงมากกว่าปู่ย่าตายายของเขาถึงสามเท่า.
เป็นเช่นนั้นกับโทโมเอะซึ่งทนทุกข์จากความซึมเศร้าอย่างรุนแรงและต้องนอนพักเสียเป็นส่วนใหญ่. เนื่องจากเธอไม่สามารถเอาใจใส่ดูแลลูกชายวัยสองขวบ เธอจึงย้ายกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ของเธอ. ไม่ช้าเพื่อนบ้านซึ่งมีลูกสาววัยเดียวกันกับลูกชายของโทโมเอะก็ทำตัวเป็นมิตรกับเธอ. เมื่อโทโมเอะบอกเพื่อนบ้านคนนี้ว่า เธอรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าสักเพียงไร เพื่อนบ้านได้ให้เธอดูข้อความจากหนังสือเล่มหนึ่ง. ข้อความนั้นอ่านว่า “ตาจะว่าแก่มือว่า, ‘ข้าพเจ้าไม่ต้องการเจ้า’ ก็ไม่ได้ หรือศีรษะจะว่าแก่เท้าว่า, ‘ข้าพเจ้าไม่ต้องการเจ้า’ ก็ไม่ได้. ที่จริงอวัยวะที่เราเห็นว่าอ่อน, เรากลับต้องการมากที่สุด.”a โทโมเอะน้ำตาไหลขณะเธอสำนึกว่าทุกคนมีตำแหน่งที่เหมาะสมในวงสังคมและเป็นที่ต้องการ.
เพื่อนบ้านแนะให้เธอพิจารณาดูหนังสือที่มีถ้อยคำเหล่านั้น. โทโมเอะพยักหน้าแสดงความเห็นด้วย ถึงแม้จนกระทั่งเวลานั้นเธอไม่สามารถทำอะไรได้ แม้แต่จะสัญญาในเรื่องง่าย ๆ ด้วยซ้ำ. เพื่อนบ้านได้ช่วยเธอซื้อของด้วย และทำอาหารกับโทโมเอะทุกวัน. หนึ่งเดือนต่อมาโทโมเอะลุกขึ้นทุกเช้า, ซักรีดเสื้อผ้า, ทำความสะอาดบ้าน, ไปซื้อของ, และเตรียมอาหารเย็น อย่างที่แม่บ้านไม่ว่าคนใดคงจะทำกัน. เธอต้องเอาชนะอุปสรรคหลายอย่าง แต่เธอบอกว่า “ดิฉันมั่นใจว่าถ้าดิฉันเพียงแค่ปฏิบัติตามถ้อยคำแห่งสติปัญญาที่ดิฉันได้พบเท่านั้น ดิฉันก็จะสามารถทำอะไร ๆ ได้.”
โดยการใช้สติปัญญาที่เธอได้พบนั้น โทโมเอะเอาชนะช่วงเวลาที่หม่นหมองจากความซึมเศร้า. ปัจจุบันโทโมเอะทำงานเต็มเวลาในการช่วยคนอื่นให้ทำตามถ้อยคำเดียวกันซึ่งทำให้เธอสามารถรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ได้. ถ้อยคำแห่งสติปัญญาเหล่านั้นมีอยู่ในหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งซึ่งมีข่าวสารสำหรับทุกคนในปัจจุบัน.
คุณเผชิญปัญหาเกี่ยวกับครอบครัวไหม?
ตลอดทั่วโลกอัตราการหย่าร้างกำลังเพิ่มขึ้น. ปัญหาด้านครอบครัวกำลังเพิ่มขึ้นแม้แต่ในประเทศทางตะวันออก ที่ครั้งหนึ่งผู้คนเคยภูมิใจในครอบครัวของตนซึ่งผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น. เราสามารถพบการชี้นำที่ฉลาดสุขุมเรื่องชีวิตสมรสซึ่งใช้ได้ผลจากที่ไหน?
ขอพิจารณากรณีของชูโกะกับมิโฮโกะ คู่สมรสซึ่งมีปัญหาในชีวิตสมรสไม่รู้จักจบ. เขาทั้งสองทะเลาะกันในเรื่องหยุมหยิมทุกเรื่อง. ชูโกะเป็นคนอารมณ์ร้อน และมิโฮโกะโต้กลับทุกครั้งที่เขาจ้องจับผิดเธอ. มิโฮโกะถึงกับคิดว่า ‘เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเห็นพ้องกันไม่ว่าในเรื่องใด.’
วันหนึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งมาเยี่ยมมิโฮโกะแล้วอ่านถ้อยคำเหล่านี้จากหนังสือเล่มหนึ่งให้เธอฟัง: “เหตุฉะนั้นสิ่งสารพัตรซึ่งท่านปรารถนาให้มนุษย์ทำแก่ท่าน, จงกระทำอย่างนั้นแก่เขาเหมือนกัน.”b ถึงแม้ไม่สนใจในเรื่องศาสนา มิโฮโกะตกลงที่จะศึกษาหนังสือที่มีถ้อยคำเหล่านี้. เธอมีความสนใจในการปรับปรุงชีวิตครอบครัวให้ดีขึ้น. ดังนั้น เมื่อเธอได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมที่มีการพิจารณาหนังสือชื่อการทำให้ชีวิตครอบครัวของท่านมีความสุข มิโฮโกะ—และสามี—ตกลงทันที.c
ณ การประชุมนั้น ชูโกะสังเกตว่าคนเหล่านั้นที่เข้าร่วมประชุมนำสิ่งที่เขาเรียนรู้นั้นมาใช้อย่างแท้จริงและพวกเขาดูเหมือนว่ามีความสุข. เขาจึงตัดสินใจจะพิจารณาดูหนังสือที่ภรรยาศึกษาอยู่. ไม่นานข้อความหนึ่งทำให้เขาสนใจที่ว่า “บุคคลผู้ไม่โกรธเร็วเป็นคนประกอบด้วยความเข้าใจดียิ่ง; แต่บุคคลผู้มีใจฉุนเฉียวส่งเสริมความโฉดเขลาให้ยิ่งขึ้น.”d ถึงแม้ต้องใช้เวลาสำหรับเขาที่จะนำหลักการนี้มาใช้ในชีวิตก็ตาม การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปในตัวเขาได้ปรากฏแก่คนเหล่านั้นที่อยู่รอบข้าง รวมทั้งภรรยาของเขาด้วย.
ครั้นเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวสามีของเธอ มิโฮโกะจึงเริ่มนำสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นมาใช้ด้วย. หลักการข้อหนึ่งที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นประโยชน์โดยเฉพาะคือข้อนี้ “อย่ากล่าวโทษเขา, เพื่อเขาจะไม่กล่าวโทษท่าน. เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร, เขาจะกล่าวโทษท่านอย่างนั้น.”e ดังนั้น มิโฮโกะกับสามีของเธอจึงตัดสินใจว่า เขาจะพูดคุยกันเรื่องจุดดีของกันและกันและจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นได้อย่างไรแทนที่จะจ้องจับผิดกัน. ผลเป็นอย่างไร? มิโฮโกะเล่าว่า “การทำเช่นนั้นทำให้ดิฉันมีความสุขอย่างแท้จริง. เราพูดคุยกันตอนรับประทานอาหารเย็นในแต่ละวัน. แม้แต่ลูกชายวัยสามขวบของเราก็เข้าร่วมในการสนทนาด้วย. นั่นทำให้เราสดชื่นเสียจริง ๆ!”
เมื่อครอบครัวนี้ปฏิบัติตามคำแนะนำที่เต็มด้วยความหมายซึ่งเขาได้รับนั้น เขาสามารถเอาชนะปัญหาที่ทำให้ความสัมพันธ์ตึงเครียดถึงขั้นแตกหัก. นั่นมีค่าสำหรับเขามากกว่าแก้วมุกดามิใช่หรือ?
คุณต้องการประสบผลสำเร็จในชีวิตไหม?
สำหรับหลายคนในทุกวันนี้ การสั่งสมทรัพย์สมบัติเป็นเป้าหมายในชีวิต. กระนั้น นักธุรกิจที่ร่ำรวยคนหนึ่งในสหรัฐซึ่งได้อุทิศเงินหลายร้อยล้านเหรียญให้แก่องค์การการกุศลเคยพูดครั้งหนึ่งว่า “เงินมีเสน่ห์ดึงดูดใจสำหรับคนบางกลุ่ม แต่ไม่มีใครสามารถสวมรองเท้าสองคู่ในเวลาเดียวกันได้.” มีน้อยคนที่ยอมรับความเป็นจริงข้อนี้ และยิ่งมีน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำที่เลิกแสวงหาความมั่งคั่ง.
ฮิโตชิเติบโตขึ้นเป็นคนยากจน ดังนั้น เขาจึงมีความปรารถนาแรงกล้าจะเป็นคนร่ำรวย. หลังจากเห็นวิธีที่เจ้าหนี้บีบลูกหนี้เหมือนลูกไก่อยู่ในกำมือแล้ว เขาตัดสินใจว่า “คนที่หาเงินมาได้มากที่สุดย่อมเป็นผู้ประสบผลสำเร็จ.” ฮิโตชิเชื่อในอำนาจของเงินมากเสียจนเขาคิดว่าแม้แต่ชีวิตมนุษย์ก็อาจซื้อได้ด้วยเงิน. เพื่อจะสั่งสมความมั่งคั่ง เขาทุ่มเทตัวเองในธุรกิจติดตั้งซ่อมท่อและทำงานตลอดทั้งปีโดยไม่หยุดสักวันเดียว. แม้ว่าเขาพยายามอย่างแข็งขันเท่าที่ทำได้ ไม่นานฮิโตชิก็ตระหนักว่า ฐานะเป็นผู้รับงานต่อจากผู้รับเหมา เขาคงจะไม่มีทางสู้ผู้รับเหมาซึ่งให้งานแก่เขาได้เลย. เขาต้องเผชิญกับความข้องขัดใจและความกลัวเรื่องการล้มละลายทุกวัน.
ครั้นแล้วชายคนหนึ่งมาที่ประตูบ้านของฮิโตชิแล้วถามเขาว่า ทราบไหมว่าพระเยซูคริสต์ทรงวายพระชนม์แทนเขา. เนื่องจากฮิโตชิรู้สึกว่าไม่มีใครจะตายแทนคนอย่างเขาได้ เขาจึงอยากรู้อยากเห็นและตกลงจะมีการสนทนากันมากขึ้น. สัปดาห์ถัดมา เขาเข้าร่วมฟังคำบรรยายและแปลกใจที่ได้ฟังคำตักเตือนให้ ‘รักษาตาให้ปกติ.’ ผู้บรรยายอธิบายว่า ตา “ปกติ” เป็นตาที่มองการณ์ไกลและเพ่งเล็งในสิ่งฝ่ายวิญญาณ ในอีกด้านหนึ่ง ตาที่ “ชั่ว” หรือ “อิจฉา” เพ่งเล็งเฉพาะแต่ความปรารถนาฝ่ายเนื้อหนังที่ต้องการให้ได้มาทันทีและไม่คำนึงถึงผลในระยะยาว. คำแนะนำที่ว่า “ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน, ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย” กระทบใจเขา.f มีอะไรบางอย่างที่สำคัญยิ่งกว่าการได้มาซึ่งทรัพย์สมบัติ! เขาไม่เคยได้ยินเรื่องทำนองนี้เลย.
ด้วยความประทับใจ เขาเริ่มนำสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นมาใช้. แทนที่จะตรากตรำทำงานเพื่อได้เงิน เขาเริ่มจัดค่านิยมฝ่ายวิญญาณเป็นอันดับแรกในชีวิต. เขายังใช้เวลาเอาใจใส่ดูแลสวัสดิภาพด้านวิญญาณของครอบครัวเขาด้วย. เป็นเรื่องธรรมดาที่การทำเช่นนั้นทำให้เขาต้องใช้เวลาน้อยลงในการทำงาน แต่ธุรกิจของเขากลับเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น. เพราะเหตุใด?
บุคลิกภาพที่ก้าวร้าวของเขาได้เปลี่ยนเป็นบุคลิกภาพที่อ่อนโยนและมีไมตรีขณะที่เขาตอบรับคำแนะนำที่ได้รับนั้น. เขารู้สึกประทับใจโดยเฉพาะจากคำตักเตือนที่ว่า “ท่านทั้งหลายจงเปลื้องการเหล่านี้ทั้งหมดเสียคือ การโกรธแค้น, การมีโทโส, การชั่ว, การพูดหยาบช้า, และการพูดโลนลามกจากปากของท่าน. อย่าพูดมุสาต่อกันและกัน. จงถอดทิ้งบุคลิกภาพเก่ากับกิจปฏิบัติต่าง ๆ ของมันเสีย และสวมบุคลิกภาพใหม่ที่กำลังสร้างขึ้นใหม่ด้วยความรู้ถ่องแท้ตามแบบพระฉายของพระองค์ผู้ได้ทรงสร้างบุคลิกภาพใหม่นั้น.”g การปฏิบัติตามคำแนะนำนี้ไม่ได้ทำให้เขาร่ำรวย แต่ “บุคลิกภาพใหม่” สร้างความประทับใจที่ดีให้กับลูกค้าของเขาและได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากพวกเขา. ถูกแล้ว ถ้อยคำแห่งสติปัญญาที่ได้พบช่วยเขาประสบผลสำเร็จในชีวิต. สำหรับเขาแล้ว ถ้อยคำเหล่านั้นมีค่าอย่างแท้จริงยิ่งกว่ามุกดาหรือเงินมากนัก.
คุณจะเปิดถุงไหม?
คุณสามารถระบุถุงที่เต็มด้วยสติปัญญาซึ่งได้รับการพิสูจน์ว่ามีค่าอย่างยิ่งสำหรับบุคคลต่าง ๆ ในตัวอย่างข้างต้นได้ไหม? นั่นคือสติปัญญาที่ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิล หนังสือที่เผยแพร่อย่างกว้างขวางมากที่สุดและหาอ่านได้ง่ายที่สุดในโลก. บางทีคุณอาจมีเล่มหนึ่งหรือสามารถรับเล่มหนึ่งได้ง่าย ๆ. อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับการมีมุกดาล้ำค่าอยู่เต็มถุงและไม่นำมาใช้จะไม่เกิดประโยชน์เท่าไรนักแก่ผู้เป็นเจ้าของ แค่การเป็นเจ้าของคัมภีร์ไบเบิลก็จะไม่มีคุณประโยชน์เท่าไรนักเช่นกัน. ไฉนไม่เปิดถุงโดยอุปมานั้น แล้วเอาคำแนะนำที่ฉลาดสุขุมและคำตักเตือนที่ทันกาลของคัมภีร์ไบเบิลมาใช้ แล้วดูสิว่านั่นสามารถช่วยคุณรับมือกับปัญหาชีวิตอย่างเป็นผลสำเร็จได้อย่างไร.
หากคุณได้รับมุกดาถุงหนึ่ง คุณจะไม่รู้สึกขอบคุณหรอกหรือและพยายามค้นหาว่าใครเป็นผู้ให้เพื่อคุณจะสามารถขอบคุณเขาได้? ในกรณีของคัมภีร์ไบเบิล คุณทราบไหมว่าใครเป็นผู้ประทานให้?
คัมภีร์ไบเบิลเปิดเผยแหล่งแห่งสติปัญญาที่ปรากฏในคัมภีร์นั้นเมื่อกล่าวว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนมีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้าและเป็นประโยชน์.” (2 ติโมเธียว 3:16, ล.ม.) พระคัมภีร์ยังบอกเราด้วยว่า “พระคำของพระเจ้ามีชีวิตและทรงพลัง.” (เฮ็บราย 4:12, ล.ม.) เพราะเหตุนั้นถ้อยคำที่ฉลาดสุขุมซึ่งปรากฏในคัมภีร์ไบเบิลจึงทันกาล และบังเกิดผลสำหรับเราในทุกวันนี้. พยานพระยะโฮวาจะยินดีช่วยคุณเรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาพระเจ้า ผู้ประทานที่เอื้ออารีองค์นี้ เพื่อคุณจะมีโอกาสเป็นผู้รับประโยชน์จาก “ปัญญา” ที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล—หนังสือแห่งสติปัญญาที่มีข่าวสารสำหรับผู้คนในปัจจุบัน.
[เชิงอรรถ]
a ข้อความนี้ยกมาจาก 1 โกรินโธ 12:21, 22.
c จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.
f มัดธาย 6:21-23, ล.ม. เชิงอรรถ.
g โกโลซาย 3:8-10, ล.ม.
[กรอบ/ภาพหน้า 4]
ถ้อยคำแห่งสติปัญญาเพื่อรักษาไว้ซึ่งความสมดุลด้านอารมณ์
“ข้าแต่พระยะโฮวา, ถ้าหากพระองค์จะทรงจดจำการอสัตย์อธรรมทั้งหมดไว้, ใครจะทนไหว? แต่พระองค์ทรงมีการอภัยโทษ, ประสงค์จะให้เขาทั้งหลายเกรงกลัวพระองค์.”—บทเพลงสรรเสริญ 130:3, 4.
“ใจที่ชื่นบานทำให้ดวงหน้าสดใส; แต่ความเศร้าใจทำให้จิตต์แตกร้าว.”—สุภาษิต 15:13.
“อย่าเป็นคนชอบธรรมเกินไป ทั้งอย่าสำแดงตนว่าฉลาดเหลือหลาย. เหตุใดเจ้าจะก่อความเริดร้างให้แก่ตนเองเล่า?”—ท่านผู้ประกาศ 7:16, ล.ม.
“การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ.”—กิจการ 20:35.
“โกรธเถิด, แต่อย่าให้เป็นการบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่.”—เอเฟโซ 4:26.
[กรอบ/ภาพหน้า 5]
ถ้อยคำแห่งสติปัญญาเพื่อชีวิตครอบครัวที่มีความสุข
“แผนการล้มเหลวเมื่อไม่มีการพูดคุยแบบไว้เนื้อเชื่อใจกัน แต่เมื่อมีที่ปรึกษาจำนวนมากก็สำเร็จ.”—สุภาษิต 15:22, ล.ม.
“ใจของคนฉลาดได้ความรู้มากขึ้น, และหูของคนที่มีปัญญาก็แสวงหาความรู้.”—สุภาษิต 18:15.
“คำพูดที่เหมาะกับกาลเทศะเปรียบเหมือนผลแอปเปิลทำด้วยทองคำใส่ไว้ในกระเช้าเงิน.”—สุภาษิต 25:11.
“จงทนต่อกันและกันอยู่เรื่อยไปและจงอภัยให้กันและกันอย่างใจกว้างถ้าแม้นผู้ใดมีสาเหตุจะบ่นว่าคนอื่น. พระยะโฮวาทรงให้อภัยท่านอย่างใจกว้างฉันใด ท่านทั้งหลายจงกระทำฉันนั้น. แต่นอกจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด จงสวมตัวท่านด้วยความรัก เพราะความรักเป็นเครื่องเชื่อมสามัคคีที่ดีพร้อม.”—โกโลซาย 3:13, 14, ล.ม.
“ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า, ท่านรู้ข้อนี้แล้ว. แต่จงให้ทุกคนว่องไวในการฟัง, ช้าในการพูด, ช้าในการโกรธ.”—ยาโกโบ 1:19.
[กรอบหน้า 6]
ถ้อยคำแห่งสติปัญญาเพื่อทำให้ชีวิตประสบผลสำเร็จ
“ตราชูขี้ฉ้อนั้นพระยะโฮวาทรงสะอิดสะเอียน; แต่ลูกตุ้มที่ครบถ้วนเป็นที่ชื่นชมแก่พระองค์.”—สุภาษิต 11:1.
“ความเย่อหยิ่งนำไปถึงความพินาศ, และจิตต์ใจที่จองหองนำไปถึงการล้มลง.”—สุภาษิต 16:18.
“คนที่ไม่มีอำนาจบังคับระงับใจของตนเองก็เป็นเหมือนเมืองที่หักพังและไม่มีกำแพงเมือง.”—สุภาษิต 25:28.
“อย่าให้ใจของเจ้าโกรธเร็ว, เพราะความโกรธมีประจำอยู่ในทรวงอกของคนโฉดเขลา.”—ท่านผู้ประกาศ 7:9.
“เจ้าจงโยนขนมปังของเจ้าให้ลอยไว้บนพื้นน้ำ; ถึงอีกหลายวันต่อมาเจ้าจะพบขนมปังนั้นได้.”—ท่านผู้ประกาศ 11:1.
“อย่าให้คำหยาบช้าออกมาจากปากท่านทั้งหลายเลย แต่คำกล่าวใด ๆ ที่ดีเพื่อเสริมสร้างตามความจำเป็น เพื่อจะเกิดคุณประโยชน์แก่คนที่ได้ยินได้ฟัง.”—เอเฟโซ 4:29, ล.ม.
[รูปภาพหน้า 7]
การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นก้าวแรกสู่การเข้ามาเป็นผู้รับประโยชน์จาก “ปัญญา” นั้น