ได้รับการเสริมกำลังให้ปฏิเสธการกระทำผิด
ทิโมทีเล่าว่า “ตอนที่ผมยังอยู่ในวัยรุ่นและทำงานที่ร้านขายของชำ เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งชวนผมไปที่บ้านของเขา. เขาบอกว่าพ่อแม่จะไม่อยู่ พวกเด็กสาวจะมาที่บ้าน แล้วจะมีโอกาสมีเพศสัมพันธ์กัน.” หนุ่มสาวหลายคนในทุกวันนี้คงจะตอบรับคำเชิญชวนนั้นทันที. แต่ทิโมทีตอบอย่างไร? “ผมบอกเขาทันทีว่าผมจะไม่ไปเนื่องด้วยสติรู้สึกผิดชอบแบบคริสเตียนของผม ผมไม่ต้องการมีเพศสัมพันธ์กับใครที่ผมไม่ได้แต่งงานด้วย.”
ขณะชี้แจงคำปฏิเสธของเขา ทิโมทีไม่รู้ว่าลูกจ้างที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งฟังอยู่. การที่เขาไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องเพศมาก่อนเร้าความสนใจของเธอ และไม่ช้าเขาก็ได้เผชิญกับการที่ต้องบอกปฏิเสธกับเธอด้วย—ในหลายโอกาส ดังที่เราจะได้เห็นภายหลัง.
แน่นอน การถูกจู่โจมด้วยการล่อใจใช่ว่ามีเฉพาะสมัยของเราเท่านั้น. ประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว กษัตริย์ซะโลโมทรงเขียนว่า “บุตรชายของเราเอ๋ย ถ้าคนบาปล่อชวนเจ้า อย่าได้ยอมตาม. . . . จงยับยั้งเท้าของเจ้าจากวิถีของเขา.” (สุภาษิต 1:10, 15, ฉบับแปลใหม่) พระยะโฮวาเองทรงบัญชาชาติยิศราเอลว่า “เจ้าอย่าได้กระทำการชั่วตามอย่างคนส่วนมากที่เขากระทำกันนั้นเลย.” (เอ็กโซโด 23:2) ถูกแล้ว บางครั้งเราต้องปฏิเสธ ต้านทานการล่อใจให้ทำผิด ถึงแม้การทำเช่นนั้นอาจไม่เป็นแนวทางที่คนทั่วไปนิยมกันก็ตาม.
การปฏิเสธนับว่าสำคัญโดยเฉพาะในทุกวันนี้
การปฏิเสธการกระทำผิดไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และปัจจุบันอาจยากเป็นพิเศษ เพราะเรามีชีวิตอยู่ในยุคที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกว่า “สมัยสุดท้าย” ของระบบนี้. จริงตามคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิล ผู้คนโดยทั่วไปกลายเป็นคนรักความสนุกสนานและความรุนแรง ไม่มีทั้งความสนใจในสิ่งฝ่ายวิญญาณและศีลธรรม. (2 ติโมเธียว 3:1-5, ล.ม.) อธิการบดีมหาวิทยาลัยเยสุอิตคนหนึ่งได้กล่าวว่า “เราเคยมีชุดมาตรฐานที่สืบทอดกันมาซึ่งถูกคัดค้านและปรากฏว่าขาดความนิยมหรือไม่ทันสมัยอีกต่อไป. ปัจจุบัน ดูเหมือนจะไม่มีแนวชี้นำด้านศีลธรรมใด ๆ เลย.” ด้วยแนวคิดคล้ายกัน ผู้พิพากษาศาลฎีกาคนหนึ่งกล่าวว่า “สิ่งต่าง ๆ ไม่ใช่ขาวและดำอีกต่อไป. ทุกสิ่งเป็นสีเทา. . . . มีน้อยคนที่มองออกถึงความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ถูกกับสิ่งที่ผิด. ขณะนี้บาปถูกจับตัวอยู่ หาใช่การละเมิดไม่.”
อัครสาวกเปาโลเขียนเกี่ยวกับคนที่มีเจตคติเช่นนั้นว่า “เขาอยู่ในความมืดทางจิตใจและเหินห่างไปจากชีวิตซึ่งเป็นของพระเจ้า เนื่องด้วยความเขลาที่อยู่ในเขาทั้งหลาย เนื่องด้วยหัวใจเขาทั้งหลายไร้ความรู้สึก. เมื่อเขามาถึงขั้นปราศจากความสำนึกด้านศีลธรรม เขาปล่อยตัวประพฤติหละหลวม กระทำกิจอันไม่สะอาดทุกอย่างด้วยความละโมบ.” (เอเฟโซ 4:18, 19, ล.ม.) แต่ความยุ่งยากรอพวกเขาอยู่. ยะซายาประกาศว่า “วิบัติแก่คนที่เห็นชั่วเป็นดี, และเห็นดีเป็นชั่ว; และถือเอาว่ามืดเป็นสว่าง, และสว่างเป็นมืด.” (ยะซายา 5:20) คนเหล่านี้ไม่เพียงแต่เก็บเกี่ยวสิ่งที่เขาหว่านในขณะนี้เท่านั้น แต่ในไม่ช้าเขาจะประสบ “วิบัติ” รุนแรงที่สุด—การพิพากษาลงโทษจากพระยะโฮวา.—ฆะลาเตีย 6:7.
บทเพลงสรรเสริญ 92:7 กล่าวว่า “เมื่อคนชั่วจำเริญดุจต้นหญ้าและเมื่อบรรดาคนที่กระทำการอสัตย์อธรรมรุ่งเรือง; ก็เป็นไปเพื่อเขาทั้งหลายจะพินาศเสียไปเป็นนิตย์.” กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความชั่วที่มีดาษดื่นเช่นนี้จะไม่ดำเนินต่อไปโดยไม่มีเวลากำหนด แล้วก็ทำให้ชีวิตอยู่ในสภาพเหลือทนสำหรับทุกคน. ที่จริง พระเยซูตรัสว่า “คนชั่วอายุ” ที่สนับสนุนความชั่วนี้จะเป็นคนชั่วอายุนั้นแหละที่พระเจ้าจะกำจัดใน “ความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง.” (มัดธาย 24:3, 21, 34) ดังนั้น ถ้าเราต้องการได้รับการช่วยให้รอดผ่านความทุกข์ลำบากนั้น เราต้องรู้ผิดรู้ถูกตามมาตรฐานของพระเจ้า แน่นอน เราต้องมีกำลังด้านศีลธรรมที่จะปฏิเสธการกระทำผิดทุกรูปแบบด้วย. ถึงแม้การทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายก็ตาม พระยะโฮวาได้ทรงจัดให้เรามีตัวอย่างบางเรื่องที่หนุนกำลังใจในสมัยคัมภีร์ไบเบิลและในทุกวันนี้.
การเรียนจากชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งได้ปฏิเสธ
การปฏิเสธการผิดประเวณีและการเล่นชู้ดูเหมือนยากเป็นพิเศษ แม้แต่สำหรับบางคนในประชาคมคริสเตียน. ทิโมทีที่กล่าวถึงในวรรคแรกคิดถึงตัวอย่างของหนุ่มโยเซฟซึ่งบันทึกในพระคัมภีร์ที่เยเนซิศ 39:1-12. โยเซฟได้แสดงกำลังด้านศีลธรรมออกมาเมื่อภรรยาของโพติฟาข้าราชสำนักอียิปต์ได้ชวนท่านหลายครั้งให้มีเพศสัมพันธ์กับนาง. เรื่องราวบอกว่า โยเซฟ “ไม่ยอม; จึงตอบ . . . ว่า ‘ข้าพเจ้าจะทำผิดดังนี้อย่างไรได้, เป็นบาปใหญ่หลวงนักต่อพระเจ้า.’”
โยเซฟได้รับกำลังด้านศีลธรรมที่จะปฏิเสธภรรยาของโพติฟาวันแล้ววันเล่าได้อย่างไร? อันดับแรก ท่านถือว่าสัมพันธภาพกับพระยะโฮวาสำคัญยิ่งกว่าความเพลิดเพลินชั่วครู่นั้นมากนัก. นอกจากนี้ ถึงแม้ท่านมิได้อยู่ภายใต้ประมวลกฎหมายของพระเจ้า (พระบัญญัติของโมเซจะมีมาภายหลัง) โยเซฟมีความเข้าใจชัดเจนเรื่องหลักศีลธรรม; ท่านทราบว่าการทำผิดประเวณีกับภรรยาโพติฟาที่หลงใหลในตัวท่านนั้นจะเป็นบาปไม่เพียงแต่ต่อสามีนางเท่านั้น แต่เป็นบาปต่อพระเจ้าด้วย.—เยเนซิศ 39:8-9.
ดูเหมือนโยเซฟเข้าใจความสำคัญของการไม่แม้แต่จะเร้าความปรารถนาซึ่งอาจจุดตัณหาอันเร่าร้อนที่ควบคุมไม่ได้ให้ลุกกระพือขึ้น. คริสเตียนเป็นคนฉลาดถ้าติดตามตัวอย่างของโยเซฟ. หอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 กรกฎาคม 1957 กล่าวว่า “ท่านคงต้องสำนึกถึงความอ่อนแอทางเนื้อหนังของตัวเอง และไม่ได้คิดว่าจะทำตามความปรารถนาในทางราคะไปจนถึงเส้นแบ่งที่กำหนดว่าเป็นการผิดตามหลักพระคัมภีร์แล้วหยุดตรงนั้น. ถึงแม้ท่านอาจประสบผลสำเร็จในการทำเช่นนั้นชั่วระยะหนึ่งก็ตาม ในที่สุดท่านคงจะถูกชักจูงให้ล้ำเส้นแบ่งนั้นเข้าสู่บาป. เหตุการณ์นี้คงจะเกิดขึ้นแน่ เนื่องจากราคะตัณหาที่ถูกฟูมฟักไว้นั้นรุนแรงมากขึ้นและครอบงำเหนียวแน่นยิ่งขึ้น. ครั้นแล้ว คงจะเป็นเรื่องยากขึ้นที่ท่านจะขจัดความรู้สึกนั้นออกจากจิตใจ. การป้องกันดีที่สุดสำหรับท่านคือต่อต้านความรู้สึกนั้นตั้งแต่ตอนต้น.”
การต่อต้านตั้งแต่ตอนต้นจะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นขณะที่เราพัฒนาความรักต่อสิ่งที่ถูกต้องและความเกลียดต่อสิ่งที่ผิด. (บทเพลงสรรเสริญ 37:27) แต่เราต้องพยายามทำเช่นนั้นเรื่อย ๆ ยืนหยัดต่อไป. หากเราทำเช่นนั้น พร้อมด้วยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา ความรักของเราต่อสิ่งที่ถูกและความรังเกียจต่อสิ่งที่ผิดจะเข้มแข็งขึ้น. แน่นอน ในระหว่างนี้ เราต้องระวังระไวอยู่ต่อไป ดังที่พระเยซูทรงแนะนำ อธิษฐานเสมอเพื่อได้รับการคุ้มครองไว้จากการล่อใจและได้รับการช่วยให้พ้นจากตัวชั่วร้าย.—มัดธาย 6:13, ล.ม.; 1 เธซะโลนิเก 5:17.
การปฏิเสธความกดดันจากคนรุ่นเดียวกัน
อิทธิพลอีกอย่างหนึ่งที่นำไปสู่การกระทำผิดก็คือความกดดันจากคนรุ่นเดียวกัน. เด็กสาวคนหนึ่งยอมรับว่า “ดิฉันดำเนินชีวิตแบบตีสองหน้า—แบบหนึ่งที่โรงเรียนและอีกแบบหนึ่งที่บ้าน. ที่โรงเรียนดิฉันใช้เวลาคบหากับเพื่อนที่ใช้ภาษาหยาบคายแทบทุกครั้งที่พวกเขาอ้าปากพูด. และดิฉันก็กลายเป็นเหมือนพวกเขาทีเดียว. ดิฉันจะทำอย่างไรดี?” สิ่งที่จำเป็นคือความกล้าที่จะเป็นคนต่างออกไป และวิธีหนึ่งที่จะได้มาซึ่งความกล้าคือ โดยการอ่านและคิดรำพึงถึงเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลที่บอกให้เราทราบเกี่ยวกับผู้รับใช้ที่ภักดีของพระเจ้าเช่นเดียวกับโยเซฟ. ตัวอย่างที่ดีอื่น ๆ ได้แก่ ดานิเอล, ซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโค—ชายหนุ่มสี่คนซึ่งมีความกล้าที่จะต่างออกไปจากคนรุ่นเดียวกับพวกเขา.
ระหว่างที่ได้รับการศึกษาอบรมร่วมกับชายหนุ่มคนอื่น ๆ ในราชสำนักของบาบูโลน ชายหนุ่มยิศราเอลสี่คนนี้ต้องรับประทาน “อาหารสูง [“อันโอชะ,” ล.ม.] ซึ่งพระราชาเสวย . . . ตามกำหนดทุกวัน.” แต่เนื่องจากไม่ต้องการละเมิดแง่มุมว่าด้วยอาหารตามพระบัญญัติของโมเซ พวกเขาจึงปฏิเสธอาหารนี้. ที่จะทำเช่นนั้นได้ต้องมีความเข้มแข็ง—และยิ่งต้องมีมากขึ้นเพราะสิ่งที่จัดให้รับประทานซึ่งเป็น “อาหารอันโอชะของกษัตริย์” นั้นอาจล่อใจทีเดียว. ชายหนุ่มเหล่านี้วางตัวอย่างที่ดีเสียจริง ๆ สำหรับคริสเตียนในทุกวันนี้ซึ่งอาจถูกล่อใจ กระทั่งถูกกดดันด้วยซ้ำให้ปล่อยตัวอย่างเลยเถิดในเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือใช้ยาเสพย์ติดและสูบบุหรี่!—ดานิเอล 1:3-17, ฉบับแปลใหม่.
นอกจากนี้ ซัดรัค, เมเซ็ค, และอะเบ็ดนะโคได้พิสูจน์ให้เห็นความจริงของสิ่งที่พระเยซูตรัสในภายหลังที่ว่า “คนที่สัตย์ซื่อในของเล็กที่สุดจะสัตย์ซื่อในของมากด้วย.” (ลูกา 16:10) จุดยืนที่กล้าหาญของพวกเขาในเรื่องที่ค่อนข้างจะเล็กน้อยเกี่ยวกับอาหารและผลดีในที่สุดซึ่งพระยะโฮวาประทานให้นั้น เสริมกำลังให้พวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัยสำหรับการทดสอบภายหลังที่หนักกว่า. (ดานิเอล 1:18-20) การทดสอบนี้เกิดขึ้นเมื่อพวกเขาได้รับคำสั่งให้เข้าร่วมในการไหว้รูปเคารพ โดยที่ผู้ฝ่าฝืนจะถูกประหารชีวิตในเตาไฟ. ด้วยความกล้าหาญ ชายหนุ่มสามคนยังคงตั้งใจแน่วแน่ที่จะนมัสการพระยะโฮวาองค์เดียว โดยไว้วางใจเต็มเปี่ยมในพระองค์ไม่ว่าผลอาจเป็นเช่นไรก็ตาม. อีกครั้งหนึ่งพระยะโฮวาอวยพระพรพวกเขาเนื่องด้วยความเชื่อและความกล้าหาญของพวกเขา—ครั้งนี้โดยการคุ้มครองพวกเขาไว้อย่างอัศจรรย์จากเปลวไฟเมื่อพวกเขาถูกโยนเข้าในเตาไฟที่ร้อนกว่าธรรมดา.—ดานิเอล 3:1-30.
พระคำของพระเจ้ามีตัวอย่างอื่น ๆ อีกหลายเรื่องเกี่ยวกับคนเหล่านั้นที่ได้ปฏิเสธการกระทำผิด. โมเซปฏิเสธการถูก “เรียกว่าเป็นบุตรของธิดากษัตริย์ฟาโร” ถึงแม้นั่นจะทำให้ท่านมีโอกาสมากพอที่จะปล่อยตัวใน “การชั่วสักเวลาหนึ่ง” ในอียิปต์. (เฮ็บราย 11:24-26) ผู้พยากรณ์ซามูเอลปฏิเสธการใช้อำนาจผิด ๆ โดยการรับสินบน. (1 ซามูเอล 12:3, 4) อัครสาวกของพระเยซูคริสต์ปฏิเสธอย่างกล้าหาญเมื่อถูกสั่งให้เลิกประกาศ. (กิจการ 5:27-29) พระเยซูเองปฏิเสธอย่างหนักแน่นต่อการกระทำผิดทุกอย่าง—จนกระทั่งนาทีสุดท้ายของชีวิตพระองค์เมื่อทหารถวาย “น้ำองุ่นระคนกับมดยอบ” ให้พระองค์. การยอมรับเอาสิ่งที่ถวายให้นั้นอาจทำให้ความตั้งใจของพระองค์อ่อนลงในยามวิกฤติเช่นนั้น.—มาระโก 15:23; มัดธาย 4:1-10.
การปฏิเสธ—เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตและความตาย
พระเยซูตรัสว่า “จงเข้าไปทางประตูคับแคบ. เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างนำไปถึงความพินาศ. และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก. เพราะว่าประตูคับและทางแคบซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็มีผู้พบปะน้อย.”—มัดธาย 7:13, 14.
ทางกว้างเป็นที่นิยมเนื่องจากง่ายสำหรับการเดินทาง. ผู้ที่เดินบนทางนั้นเป็นคนปล่อยตามอำเภอใจตนเอง มีแนวโน้มไปทางการคิดและวิถีทางฝ่ายเนื้อหนัง และพวกเขาไม่ต้องการต่างออกไป แต่ต้องการทำตามโลกของซาตาน. พวกเขารู้สึกว่าถูกจำกัดทางด้านศีลธรรมโดยกฎหมายและหลักการของพระเจ้า. (เอเฟโซ 4:17-19) กระนั้น พระเยซูตรัสโดยเฉพาะว่าทางกว้างนำ “ไปถึงความพินาศ.”
แต่ทำไมพระเยซูตรัสว่ามีน้อยคนเท่านั้นเลือกทางแคบ? ประการแรก เนื่องจากคนส่วนน้อยเท่านั้นต้องการให้กฎหมายและหลักการของพระเจ้าควบคุมชีวิตของเขาและช่วยเขาต้านทานการล่อใจหลายอย่างและโอกาสต่าง ๆ ในการกระทำผิดที่มีอยู่รอบตัวเขา. นอกจากนี้ มีคนค่อนข้างน้อยเท่านั้นที่เตรียมพร้อมจะต่อสู้กับความปรารถนาที่ผิดทำนองคลองธรรม, ความกดดันจากคนรอบข้าง, และความกลัวเกี่ยวกับการเยาะเย้ยที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากแนวทางที่เขาได้เลือกนั้น.—1 เปโตร 3:16; 4:4.
คนเหล่านี้เข้าใจอย่างเต็มที่ว่าอัครสาวกเปาโลรู้สึกอย่างไรเมื่อท่านพรรณนาถึงการต่อสู้ของท่านเพื่อปฏิเสธการทำบาป. เช่นเดียวกับโลกทุกวันนี้ สังคมโรมันและกรีกในสมัยของเปาโลเสนอทางกว้างของโอกาสที่จะปล่อยตัวในการกระทำผิด. เปาโลอธิบายว่าจิตใจของท่านซึ่งรู้ว่าอะไรถูกต้องนั้นทำการ “สู้รบ” โดยไม่หยุดยั้งกับเนื้อหนังซึ่งเอนเอียงไปทางการทำผิดนั้น. (โรม 7:21-24) ถูกแล้ว เปาโลรู้ว่าร่างกายของท่านเป็นผู้รับใช้ที่ดีแต่เป็นนายที่เลว ดังนั้น ท่านจึงเรียนรู้ที่จะข่มห้ามร่างกาย. ท่านเขียนว่า “ข้าพเจ้าทุบตีร่างกายของข้าพเจ้า และจูงมันเยี่ยงทาส.” (1 โกรินโธ 9:27, ล.ม.) ท่านบรรลุชัยชนะเช่นนั้นโดยวิธีใด? ไม่ใช่ด้วยกำลังของท่านเอง ซึ่งไม่พอสำหรับการต่อสู้ที่ยากลำบากนั้น แต่ด้วยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณของพระเจ้า.—โรม 8:9-11.
ผลก็คือ เปาโลถึงแม้ไม่สมบูรณ์ ก็ยังรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระยะโฮวาจนถึงที่สุด. ไม่นานก่อนสิ้นชีวิต ท่านสามารถเขียนได้ว่า “ข้าพเจ้าเข้าในการปล้ำสู้อย่างดีแล้ว ข้าพเจ้าวิ่งแข่งถึงที่สุดปลายทางแล้ว ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อนั้นไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมีมงกุฎแห่งความชอบธรรมเก็บไว้สำหรับข้าพเจ้า.”—2 ติโมเธียว 4:7, 8.
ขณะที่เราต่อสู้กับความไม่สมบูรณ์ของเรา เรามีตัวอย่างที่หนุนกำลังใจสักเพียงไรไม่เพียงของเปาโลเท่านั้น แต่ของคนเหล่านั้นที่เป็นตัวอย่างสำหรับท่านด้วย คือโยเซฟ, โมเซ, ดานิเอล, ซัดรัค, เมเซ็ค, อะเบ็ดนะโค, และคนอื่นอีกหลายคน. ถึงแม้พวกเขาเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ก็ตาม คนที่มีความเชื่อเหล่านี้แต่ละคนได้ปฏิเสธการกระทำผิด ไม่ใช่เนื่องจากความหัวแข็งหรือความดื้อรั้น แต่เนื่องจากพลังด้านศีลธรรมที่เกิดจากพระวิญญาณของพระยะโฮวา. (ฆะลาเตีย 5:22, 23) พวกเขาเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ. พวกเขาหิวกระหายคำตรัสทุกคำจากพระโอษฐ์ของพระยะโฮวา. (พระบัญญัติ 8:3) พระคำของพระองค์หมายถึงชีวิตสำหรับพวกเขา. (พระบัญญัติ 32:47) ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด พวกเขารักพระยะโฮวาและเกรงกลัวพระองค์ และด้วยความช่วยเหลือของพระองค์ พวกเขาปลูกฝังความเกลียดชังต่อการกระทำผิดด้วยความอดทน.—บทเพลงสรรเสริญ 97:10; สุภาษิต 1:7.
ขอให้เราเป็นเหมือนพวกเขา. ที่จริง เพื่อจะยืนหยัดต่อไปในการปฏิเสธการกระทำผิดทุกรูปแบบ เราต้องมีพระวิญญาณของพระยะโฮวาเช่นเดียวกับพวกเขา. ด้วยความเอื้อเฟื้อพระยะโฮวาทรงประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้เราหากเราทูลขอด้วยน้ำใสใจจริง, ศึกษาพระคำของพระองค์, และเข้าร่วมการประชุมคริสเตียนเป็นประจำ.—บทเพลงสรรเสริญ 119:105; ลูกา 11:13; เฮ็บราย 10:24, 25.
ทิโมทีที่กล่าวถึงในตอนต้นรู้สึกยินดีที่เขาไม่ได้ละเลยความต้องการฝ่ายวิญญาณของตน. ลูกจ้างที่เป็นผู้หญิงคนนั้นซึ่งแอบได้ยินการสนทนาของเขากับเพื่อนร่วมงานและเกิดความดึงดูดใจอย่างผิด ๆ จากการที่ทิโมทีไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องเพศมาก่อน ภายหลังได้แอบชวนทิโมทีไปที่บ้านของเธอตอนสามีไม่อยู่. ทิโมทีปฏิเสธ. ไม่ง่ายเลยที่จะทัดทาน เธอเชิญชวนหลายครั้ง เหมือนกับภรรยาของโพติฟา. ทิโมทีปฏิเสธอย่างหนักแน่นด้วยความกรุณาทุกครั้ง. เขาถึงกับให้คำพยานที่ดีจากพระคำของพระเจ้าแก่ผู้หญิงคนนี้. ทิโมทีรู้สึกขอบพระคุณอย่างสุดซึ้งต่อพระยะโฮวาที่ทรงประทานความแข็งแกร่งด้านศีลธรรมให้เขาที่จะตอบปฏิเสธ ปัจจุบันเขาได้แต่งงานอย่างมีความสุขกับเพื่อนคริสเตียนที่น่ารัก. ที่จริง พระยะโฮวาจะทรงอวยพระพรและเสริมกำลังให้ทุกคนที่ต้องการรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงฝ่ายคริสเตียนของเขาโดยการปฏิเสธการกระทำผิด.—บทเพลงสรรเสริญ 1:1-3.