เรื่องราวชีวิตจริง
พระยะโฮวาทรงสอนข้าพเจ้าตั้งแต่เด็ก ๆ มา
เล่าโดยริชาร์ด เอบราแฮมสัน
“ข้าแต่พระเจ้า, พระองค์ได้ทรงฝึกสอนข้าพเจ้าตั้งแต่เด็ก ๆ มา; และข้าพเจ้าเคยพรรณนาถึงการอัศจรรย์ของพระองค์จนบัดนี้.” ขอให้ผมอธิบายเหตุผลที่ถ้อยคำดังกล่าวของบทเพลงสรรเสริญ 71:17 มีความหมายเป็นพิเศษสำหรับผม.
ในปี 1924 แฟนนี เอบราแฮมสัน คุณแม่ของผม ได้พบกับนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นชื่อเรียกพยานพระยะโฮวาสมัยนั้น. ผมอายุแค่หนึ่งขวบเท่านั้น. เมื่อคุณแม่ได้รับการสอนความจริงในคัมภีร์ไบเบิล ท่านก็จะวิ่งไปหาเพื่อนบ้านแล้วบอกสิ่งที่ได้เรียนรู้แก่พวกเขา ทั้งยังสอนผมกับพี่ชายและพี่สาวของผมด้วย. ก่อนที่ผมอ่านหนังสือออก ท่านได้ช่วยผมให้ท่องจำข้อคัมภีร์หลายข้อเกี่ยวกับพระพรแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า.
ปลายทศวรรษ 1920 กลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลของเราในเล แกรนด์ รัฐออริกอน สหรัฐอเมริกา เมืองที่ผมเกิดและเติบโตมา ประกอบด้วยผู้หญิงและเด็ก ๆ ไม่กี่คน. ถึงแม้เราอยู่โดดเดี่ยว เราก็ได้รับการเยี่ยมปีละครั้งสองครั้งจากผู้เผยแพร่เดินทางที่รู้จักกันว่าพวกพิลกริม. คนเหล่านี้กล่าวคำบรรยายที่ให้กำลังใจ, ไปกับเราในงานเผยแพร่ตามบ้าน, และแสดงความสนใจด้วยความกรุณาต่อเด็ก ๆ. ในบรรดาคนเหล่านั้นซึ่งเป็นที่รักของเราก็มีชีลด์ ทุตจีอัน, จีน ออร์เรล, และจอห์น บูท.
ในปี 1931 ไม่มีใครจากกลุ่มของเราสามารถเข้าร่วมการประชุมใหญ่ในเมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ ที่พวกนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลรับเอาชื่อพยานพระยะโฮวา. แต่หมู่คณะซึ่งเป็นชื่อเรียกประชาคมสมัยนั้น และกลุ่มโดดเดี่ยวต่าง ๆ ที่ไม่ได้มีตัวแทน ณ การประชุมใหญ่นั้นได้ประชุมกันในท้องถิ่นในเดือนสิงหาคมนั้นเพื่อรับเอามติที่ยอมรับชื่อเรียกพยานพระยะโฮวา. กลุ่มเล็ก ๆ ของเราในเล แกรนด์ได้ทำเช่นนี้. ครั้นแล้ว ในการรณรงค์ปี 1933 เพื่อแจกจ่ายหนังสือเล่มเล็กชื่อวิกฤตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) ผมท่องจำการเสนอเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล และเป็นครั้งแรกที่ผมให้คำพยานตามบ้านโดยลำพัง.
ระหว่างทศวรรษ 1930 มีการต่อต้านงานของเรามากขึ้น. เพื่อรับมือกับเรื่องนี้ ได้มีการแบ่งหมู่คณะออกเป็นกลุ่มที่เรียกว่าหน่วย ซึ่งได้จัดการชุมนุมขนาดเล็ก และมีส่วนร่วมในภารกิจเผยแพร่ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าการรณรงค์ของหน่วยปีละครั้งหรือสองครั้ง. ณ การประชุมเหล่านี้เราได้รับการสั่งสอนวิธีต่าง ๆ ในการเผยแพร่และมีการแสดงให้เห็นว่าจะจัดการด้วยความนับถืออย่างไรกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ขัดขวาง. เนื่องจากพวกพยานฯ ถูกพาตัวไปต่อหน้าผู้พิพากษาของศาลตำรวจหรือศาลธรรมดาบ่อยครั้ง เราจึงซ้อมพูดเรื่องต่าง ๆ จากใบคำแนะนำที่เรียกว่าระเบียบของการพิจารณาคดี. การทำเช่นนี้เตรียมเราไว้พร้อมเพื่อรับมือกับการต่อต้าน.
การเติบโตช่วงต้น ๆ ในความจริงเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล
ผมมีความหยั่งรู้คุณค่ามากขึ้นต่อความจริงในคัมภีร์ไบเบิลและความหวังที่อาศัยพระคัมภีร์เป็นหลักเกี่ยวกับการมีชีวิตตลอดไปบนแผ่นดินโลกภายใต้ราชอาณาจักรของพระเจ้าทางภาคสวรรค์. ในตอนนั้น ไม่มีการเน้นมากนักในเรื่องการรับบัพติสมาสำหรับคนเหล่านั้นที่ไม่มีความหวังได้ร่วมปกครองกับพระคริสต์ในสวรรค์. (วิวรณ์ 5:10; 14:1, 3) ถึงอย่างไร มีการแจ้งให้ผมทราบว่า หากผมตั้งใจแน่วแน่ในหัวใจที่จะทำตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา ก็คงเหมาะสมที่จะรับบัพติสมา. ผมจึงได้รับบัพติสมาในเดือนสิงหาคม 1933.
ตอนที่ผมอายุ 12 ปี ครูของผมรู้สึกว่าผมทำได้ดีในการพูดต่อหน้าสาธารณชน ดังนั้น เธอจึงสนับสนุนคุณแม่ให้จัดเตรียมการฝึกหัดเพิ่มเติมสำหรับผม. แม่คิดว่านี่อาจช่วยผมให้รับใช้พระยะโฮวาดีขึ้น. ฉะนั้น ท่านจึงจ่ายเงินค่าเรียนให้ผมโดยซักรีดเสื้อผ้าให้ครูที่สอนเป็นเวลาหนึ่งปี. การฝึกหัดนั้นปรากฏว่าเป็นประโยชน์ต่องานรับใช้ของผม. ตอนอายุ 14 ปี ผมเป็นไข้รูมาติกซึ่งทำให้ผมต้องออกจากโรงเรียนปีกว่า.
ในปี 1939 ผู้เผยแพร่เต็มเวลาชื่อวอร์เรน เฮนเชลได้มาที่เขตของเรา.a ว่ากันทางฝ่ายวิญญาณแล้ว ท่านเป็นพี่ชายสำหรับผม บางครั้งท่านพาผมออกไปในงานรับใช้ตามบ้านทั้งวัน. ไม่นานท่านได้ช่วยผมให้เริ่มต้นในการรับใช้ประเภทไพโอเนียร์พักงาน ซึ่งเป็นงานเผยแพร่เต็มเวลาชั่วคราวแบบหนึ่ง. ฤดูร้อนนั้น กลุ่มของเราได้รับการจัดเป็นหมู่คณะ. วอร์เรนได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รับใช้หมู่คณะ และผมถูกแต่งตั้งเป็นผู้นำการศึกษาหอสังเกตการณ์. เมื่อวอร์เรนจากไปเพื่อรับใช้ที่เบเธล สำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาในบรุกลิน นิวยอร์ก ผมจึงได้มาเป็นผู้รับใช้หมู่คณะ.
การเริ่มต้นงานรับใช้เต็มเวลา
หน้าที่รับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นฐานะผู้รับใช้หมู่คณะทำให้ผมมีความปรารถนามากขึ้นที่จะเข้าร่วมในงานรับใช้เต็มเวลาเป็นประจำ ซึ่งผมได้ทำตอนอายุ 17 ปีหลังจากจบปีที่สามของโรงเรียนมัธยมปลาย. คุณพ่อไม่ได้มีความเชื่อทางศาสนาเหมือนเรา แต่ท่านก็เป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัวอย่างดีและเป็นคนที่มีหลักการสูงส่ง. ท่านอยากให้ผมเรียนวิทยาลัย. แต่ท่านบอกว่า ตราบใดที่ผมไม่ได้พึ่งอาศัยท่านในเรื่องที่พักและอาหาร ผมก็จะทำสิ่งที่ตัวเองชอบได้. ดังนั้น ผมจึงเริ่มเป็นไพโอเนียร์เมื่อวันที่ 1 กันยายน 1940.
ตอนที่ผมจะออกจากบ้านไป แม่ได้ให้ผมอ่านสุภาษิต 3:5, 6 ที่ว่า “จงวางใจในพระยะโฮวาด้วยสุดใจของเจ้า, อย่าพึ่งในความเข้าใจของตนเอง: จงรับพระองค์ให้เข้าส่วนในทางทั้งหลายของเจ้า, และพระองค์จะชี้ทางเดินของเจ้าให้แจ่มแจ้ง.” ที่จริงแล้ว การฝากชีวิตผมไว้ในพระหัตถ์ของพระยะโฮวาเสมอมาได้ช่วยผมมากทีเดียว.
ไม่นาน ผมได้สมทบกับโจและมาร์กาเรต ฮาร์ตในงานรับใช้ทางภาคกลางตอนเหนือของรัฐวอชิงตัน. เขตงานมีหลากหลาย เช่น ฟาร์มปศุสัตว์, ฟาร์มแกะ, เขตสงวนของพวกอินเดียนแดง รวมทั้งเมืองและหมู่บ้านเล็ก ๆ มากมาย. ในฤดูใบไม้ผลิปี 1941 ผมได้รับมอบหมายเป็นผู้รับใช้หมู่คณะในประชาคมที่เมืองเวนาชี วอชิงตัน.
ณ การประชุมใหญ่แห่งหนึ่งของเราในเมืองวอลลา วอลลา วอชิงตัน ผมอยู่ฝ่ายต้อนรับแขก ต้อนรับคนเหล่านั้นที่เข้ามาในห้องประชุม. ผมได้สังเกตพี่น้องหนุ่มคนหนึ่งพยายามทำให้ระบบเสียงทำงาน แต่ไม่สำเร็จ. ดังนั้น ผมจึงแนะเขาให้ทำงานมอบหมายของผม ส่วนผมก็จะทำงานของเขา. เมื่ออัลเบิร์ต ฮอฟฟ์มัน ผู้รับใช้ภูมิภาค กลับมาเห็นว่าผมได้ทิ้งงานมอบหมาย ด้วยท่าทียิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร เขาได้ชี้แจงให้ผมเห็นคุณค่าของการยึดอยู่กับหน้าที่มอบหมายของตนเองจนกว่าจะได้รับคำสั่งอย่างอื่น. ผมจดจำคำแนะนำของเขานับแต่นั้นมา.
ในเดือนสิงหาคม 1941 พยานพระยะโฮวาวางแผนจัดการประชุมที่ใหญ่โตในเมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี. โจและมาร์กาเรต ฮาร์ตได้ทำหลังคารถกระบะของเขาแล้วติดตั้งม้านั่ง. พวกเราเก้าคนที่เป็นไพโอเนียร์ได้เดินทาง 2,400 กิโลเมตรไปถึงเมืองเซนต์หลุยส์โดยรถกระบะคันนั้น. การเดินทางดังกล่าวใช้เวลาเที่ยวละประมาณหนึ่งสัปดาห์. ณ การประชุมใหญ่ ฝ่ายตำรวจได้กะว่ามียอดผู้เข้าร่วมประชุม 115,000 คน. ถึงแม้ว่าผู้เข้าร่วมประชุมอาจน้อยกว่านั้น เป็นที่แน่นอนว่ามีมากกว่าจำนวนพยานฯ ประมาณ 65,000 คนในสหรัฐในเวลานั้น. การประชุมนั้นเป็นการเสริมสร้างฝ่ายวิญญาณอย่างแท้จริง.
การรับใช้ที่เบเธลบรุกลิน
หลังจากกลับไปเวนาชี ผมได้รับจดหมายที่ขอให้ผมมารับใช้ที่เบเธล บรุกลิน. เมื่อผมมาถึงในวันที่ 27 ตุลาคม 1941 มีคนพาผมไปที่ห้องทำงานของบราเดอร์นาทาน เอช. นอรร์ ผู้ดูแลโรงพิมพ์. ท่านได้ชี้แจงแก่ผมอย่างกรุณาว่าเบเธลเป็นอย่างไร และเน้นว่าการแนบสนิทกับพระยะโฮวาเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อจะประสบผลสำเร็จในชีวิตที่เบเธล. จากนั้นผมถูกพาไปที่แผนกจัดส่งและได้รับมอบหมายให้ทำงานมัดกล่องสรรพหนังสือเพื่อจัดส่ง.
ในวันที่ 8 มกราคม 1942 บราเดอร์โจเซฟ รัทเทอร์ฟอร์ด ซึ่งนำหน้าในท่ามกลางพยานพระยะโฮวาทั่วโลกได้เสียชีวิต. ห้าวันต่อมา คณะกรรมการบริหารของสมาคมฯ ได้เลือกตั้งบราเดอร์นอรร์ให้สืบตำแหน่งต่อจากท่าน. เมื่อ ดับเบิลยู. อี. แวน แอมเบิร์ก ซึ่งเป็นเหรัญญิกของสมาคมฯ มาเป็นเวลานาน ได้ประกาศเรื่องนี้แก่ครอบครัวเบเธล ท่านกล่าวว่า “ผมจำได้ตอนที่ ซี. ที. รัสเซลล์เสียชีวิต [ในปี 1916] และ เจ. เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ดเข้ามาแทน. องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ชี้นำและทำให้งานของพระองค์เจริญรุ่งเรืองอยู่ต่อไป. ตอนนี้ ผมคาดหมายอย่างเต็มที่ว่า งานจะรุดหน้าไปพร้อมกับนาทาน เอช. นอรร์ในฐานะนายกสมาคมฯ เพราะนี่เป็นงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่งานของมนุษย์.”
ในเดือนกุมภาพันธ์ 1942 มีคำประกาศว่า จะมีการเริ่มต้น “หลักสูตรที่ก้าวหน้าในการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า.” หลักสูตรนี้จัดขึ้นเพื่อฝึกผู้คนที่เบเธลให้ปรับปรุงความสามารถของตนในการค้นคว้าเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล, จัดเรื่องราวของเขาอย่างเหมาะสม, และนำเสนอเรื่องนั้นอย่างมีประสิทธิภาพ. การฝึกหัดในการพูดต่อหน้าสาธารณชนที่ผมได้รับก่อนหน้านั้นช่วยให้ผมสามารถก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในหลักสูตรนั้น.
ไม่นานนัก ผมได้รับมอบหมายทำงานที่แผนกการรับใช้ ซึ่งดูแลงานรับใช้ของพยานฯ ในสหรัฐ. ช่วงหลังของปีนั้น มีการตัดสินที่จะตั้งโครงการขึ้นใหม่เพื่อให้ผู้เผยแพร่ไปเยี่ยมหมู่คณะของพยานฯ. ต่อมา ผู้เผยแพร่เดินทางเหล่านี้ซึ่งเรียกว่าผู้รับใช้พวกพี่น้อง ได้ถูกเรียกว่าผู้ดูแลหมวด. ระหว่างฤดูร้อนปี 1942 มีการจัดเตรียมหลักสูตรที่เบเธลเพื่ออบรมพี่น้องชายสำหรับงานรับใช้ประเภทนี้ และผมมีสิทธิพิเศษอยู่ในบรรดาคนเหล่านั้นที่ได้รับการอบรม. ผมจำได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บราเดอร์นอรร์ ซึ่งเป็นผู้สอนคนหนึ่งได้เน้นจุดนี้กับพวกเราที่ว่า “อย่าพยายามที่จะได้รับความพอใจจากมนุษย์. คุณจะลงเอยโดยที่ไม่ได้รับความพอใจจากใคร. จงทำให้พระยะโฮวาพอพระทัย แล้วคุณจะทำให้บรรดาคนเหล่านั้นที่รักพระยะโฮวาพอใจ.”
มีการเริ่มงานเดินทางในเดือนตุลาคม 1942. พวกเราบางคนที่เบเธลได้มีส่วนร่วมในงานนี้บางสุดสัปดาห์ โดยไปเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ ในรัศมีไม่เกิน 400 กิโลเมตรจากนครนิวยอร์ก. เราพิจารณารายงานกิจการงานประกาศของประชาคมและจำนวนผู้เข้าร่วมการประชุม, จัดการประชุมกับคนเหล่านั้นที่เอาใจใส่ดูแลหน้าที่รับผิดชอบต่าง ๆ ในประชาคม, บรรยายหนึ่งหรือสองเรื่อง, และทำงานเผยแพร่ร่วมกับพยานฯ ในท้องถิ่น.
ในปี 1944 ผมอยู่ในบรรดาคนเหล่านั้นจากแผนกการรับใช้ที่ถูกส่งไปในงานเดินทางในช่วงระยะหกเดือน รับใช้ในรัฐเดลาแวร์, แมริแลนด์, เพนซิลเวเนีย, และเวอร์จิเนีย. ต่อมา ผมได้เยี่ยมประชาคมต่าง ๆ ในคอนเนตทิคัต, แมสซาชูเซตส์, และโรดไอแลนด์เป็นเวลาสองสามเดือน. เมื่อกลับมาเบเธล ผมได้ทำงานบางเวลาในสำนักงานร่วมกับบราเดอร์นอรร์และมิลตัน เฮนเชล เลขานุการของท่าน ที่นั่นผมได้มาคุ้นเคยกับงานของเราทั่วโลก. ผมยังได้รับใช้บางเวลาในสำนักงานของเหรัญญิกภายใต้การดูแลของ ดับเบิลยู. อี. แวน แอมเบิร์กและแกรนต์ ซูตเตอร์ ผู้ช่วยของท่าน. ครั้นแล้ว ในปี 1946 ผมได้รับมอบหมายให้ดูแลบางแผนกที่เบเธล.
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตผม
ขณะที่รับใช้ประชาคมต่าง ๆ ในปี 1945 ผมได้มารู้จักกับจูเลีย ชาร์นอสกัส ในเมืองพรอวิเดนซ์ รัฐโรดไอแลนด์. พอถึงกลางปี 1947 เราคิดถึงการแต่งงาน. ผมรักงานรับใช้ที่เบเธลมากทีเดียว แต่ในตอนนั้นยังไม่มีการจัดเตรียมให้พาคู่สมรสเข้ามารับใช้ที่นั่น. ดังนั้น ในเดือนมกราคม 1948 ผมจึงลาออกจากเบเธล แล้วผมกับจูเลีย (จูลี) ก็แต่งงานกัน. ผมได้งานทำแบบไม่เต็มเวลาที่ซูเปอร์มาร์เกตแห่งหนึ่งในพรอวิเดนซ์ และเราเริ่มงานรับใช้เป็นไพโอเนียร์ด้วยกัน.
ในเดือนกันยายน 1949 ผมได้รับเชิญให้ทำงานหมวดในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐวิสคอนซิน. นั่นเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับจูลีกับผมที่จะประกาศในเมืองเล็ก ๆ เสียส่วนใหญ่และแถบชนบทที่มีฟาร์มโคนม. ฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานและหนาวเย็น โดยที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์เป็นเวลาหลายสัปดาห์ และมีหิมะตกมาก. เราไม่มีรถยนต์. อย่างไรก็ดี มีคนให้เรานั่งรถไปประชาคมต่อไปเสมอ.
หลังจากผมเริ่มทำงานหมวดไม่นาน เราก็มีการประชุมหมวด. ผมจำได้ว่าผมตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนเพื่อดูว่ามีการเอาใจใส่ต่อการดำเนินงานทั้งหมด ซึ่งทำให้ผมกังวลใจอยู่บ้าง. ดังนั้น นิโคลาส โควาลัค ผู้ดูแลภาคได้ชี้แจงอย่างกรุณาว่า พี่น้องท้องถิ่นเคยชินที่จะเอาใจใส่สิ่งต่าง ๆ ตามแบบของเขาเองและผมไม่ต้องพยายามที่จะจัดการรายละเอียดทุกอย่าง. คำแนะนำนั้นเป็นประโยชน์ต่อผมในการจัดการกับหน้าที่มอบหมายหลายอย่างนับแต่นั้นมา.
ในปี 1950 ผมได้รับงานมอบหมายชั่วคราว ให้ดูแลการจัดหาที่พักสำหรับตัวแทนที่มาการประชุมใหญ่แห่งแรกในหลายแห่งของเราที่สนามกีฬาแยงกีในนครนิวยอร์ก. การประชุมใหญ่เป็นเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นตั้งแต่ต้นจนจบ โดยมีตัวแทนมาจาก 67 ประเทศและมียอดผู้ร่วมประชุม 123,707 คน! หลังจากการประชุมใหญ่แล้ว ผมกับจูลีทำงานเดินทางของเราต่อไป. เรามีความสุขทีเดียวในงานหมวด. อย่างไรก็ดี เรารู้สึกว่าเราน่าจะเสนอตัวต่อ ๆ ไปในการรับใช้เต็มเวลาแบบใดก็ได้. ดังนั้น ทุกปีเรายื่นใบสมัครสำหรับทั้งการรับใช้ที่เบเธลและการเป็นมิชชันนารี. ในปี 1952 เราดีใจที่ได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมชั้นที่ 20 ของโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียด ที่นั่นเราได้รับการอบรมสำหรับงานมิชชันนารี.
การรับใช้ในต่างประเทศ
ตอนสำเร็จการศึกษาในปี 1953 เราได้รับมอบหมายไปบริเตน ซึ่งผมรับใช้ในงานภาคที่ทางใต้ของอังกฤษ. หลังจากไม่ถึงหนึ่งปีที่ทำงานนี้ซึ่งจูลีกับผมชอบมาก เรารู้สึกแปลกใจเนื่องจากงานมอบหมายที่เราได้รับคือ ย้ายไปเดนมาร์ก. มีความจำเป็นสำหรับการดูแลใหม่ที่สำนักงานสาขาเดนมาร์ก. เนื่องจากผมอยู่ใกล้และเคยได้รับการอบรมในเรื่องงานแบบนั้นที่บรุกลินมาแล้ว ผมจึงถูกส่งตัวไปช่วย. เราลงเรือข้ามไปเนเธอร์แลนด์ และจากที่นั่นเรานั่งรถไฟไปโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก. เราไปถึงในวันที่ 9 สิงหาคม 1954.
ปัญหาอย่างหนึ่งที่ต้องจัดการคือ พี่น้องบางคนซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบไม่ยอมรับการชี้นำจากสำนักงานใหญ่ในบรุกลิน. นอกจากนี้ สามในสี่คนที่แปลสรรพหนังสือของเราเป็นภาษาเดนมาร์กได้ออกจากเบเธลและในที่สุดก็เลิกคบหาสมาคมกับพยานพระยะโฮวา. แต่พระยะโฮวาทรงตอบคำอธิษฐานของเรา. ไพโอเนียร์สองคน คือจอร์เกนกับอันนา ลาร์เซน ซึ่งได้ทำงานแปลแบบไม่เต็มเวลาอยู่บ้างได้ทำตัวพร้อมที่จะทำงานเต็มเวลา. ด้วยเหตุนี้ การแปลวารสารของเราเป็นภาษาเดนมาร์กได้ดำเนินต่อไปโดยไม่ขาดสักฉบับเดียว. ทั้งคู่ยังคงอยู่ที่เบเธลเดนมาร์ก และจอร์เกนเป็นผู้ประสานงานในคณะกรรมการสาขา.
แหล่งที่ให้กำลังใจอย่างแท้จริงในช่วงต้น ๆ นั้นคือการเยี่ยมเป็นประจำโดยบราเดอร์นอรร์. ท่านจะใช้เวลานั่งลงพูดคุย เล่าประสบการณ์ที่ให้ความหยั่งเห็นเข้าใจวิธีจัดการกับปัญหาต่าง ๆ. ระหว่างการเยี่ยมในปี 1955 มีการตัดสินใจว่าเราควรสร้างสาขาใหม่พร้อมกับอาคารโรงพิมพ์เพื่อเราจะสามารถผลิตวารสารสำหรับประเทศเดนมาร์ก. เราได้ที่ดินในเขตชานเมืองทางทิศเหนือของกรุงโคเปนเฮเกน และพอถึงฤดูร้อนปี 1957 เราได้ย้ายเข้าไปในอาคารที่สร้างใหม่. แฮร์รี จอห์นสันพร้อมกับคาร์รีน ภรรยาซึ่งเพิ่งมาถึงเดนมาร์กหลังจากสำเร็จการศึกษาจากชั้นที่ 26 ของโรงเรียนกิเลียด ได้ช่วยติดตั้งแท่นพิมพ์และเดินเครื่อง.
เราได้ปรับปรุงการจัดระบบของเราเพื่อจัดการประชุมขนาดใหญ่ในเดนมาร์ก และประสบการณ์ที่ผมได้รับระหว่างทำงานเกี่ยวกับการประชุมใหญ่ในสหรัฐปรากฏว่าเป็นประโยชน์. ในปี 1961 การประชุมนานาชาติขนาดใหญ่ของเราในโคเปนเฮเกนได้ต้อนรับตัวแทนจาก 30 กว่าประเทศ. ยอดผู้เข้าร่วมประชุมคือ 33,513 คน. ในปี 1969 เราได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมขนาดใหญ่ที่สุดในการประชุมทั้งสิ้นที่เคยจัดมาในแถบสแกนดิเนเวีย โดยมียอดผู้เข้าร่วมประชุม 42,073 คน!
ในปี 1963 ผมได้รับเชิญให้เข้าชั้นเรียนที่ 38 ของโรงเรียนกิเลียด. นี่เป็นหลักสูตรสิบเดือนที่มีการปรับปรุงใหม่ซึ่งจัดขึ้นโดยเฉพาะสำหรับอบรมบุคลากรของสำนักงานสาขา. น่ายินดีที่ได้อยู่ร่วมกับครอบครัวเบเธลบรุกลินอีกครั้งและได้รับประโยชน์จากประสบการณ์ของคนเหล่านั้นที่ได้ทำงานเป็นเวลาหลายปีในการเอาใจใส่ดูแลการดำเนินงานในสำนักงานใหญ่.
หลังจากหลักสูตรการอบรมนี้ ผมได้กลับไปเดนมาร์กเพื่อเอาใจใส่ดูแลหน้าที่รับผิดชอบที่นั่นต่อไป. นอกจากนี้ ผมยังมีสิทธิพิเศษรับใช้ฐานะผู้ดูแลโซน ไปเยี่ยมสำนักงานสาขาต่าง ๆ ในยุโรปตะวันตกและยุโรปทางตอนเหนือเพื่อให้กำลังใจแก่บุคลากรที่นั่นและช่วยพวกเขาให้ปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบของตนให้สำเร็จ. ไม่นานมานี้ ผมได้ทำงานแบบนี้ในแอฟริกาตะวันตกและแถบทะเลแคริบเบียน.
ในปลายทศวรรษ 1970 พวกพี่น้องในเดนมาร์กเริ่มมองหาทำเลเพื่อจะสร้างอาคารที่ใหญ่กว่าสำหรับการแปลและงานพิมพ์ที่เพิ่มขึ้น. เราได้พบที่ดินที่เหมาะผืนหนึ่งอยู่ทางตะวันตกของโคเปนเฮเกนราว ๆ 60 กิโลเมตร. พร้อมกับคนอื่น ผมได้ทำงานในการวางแผนและการออกแบบอาคารใหม่หลังนี้ ทั้งจูลีกับผมต่างก็คอยท่าที่จะอยู่ร่วมกับครอบครัวเบเธลในบ้านหลังใหม่ที่สวยงามนี้. อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น.
กลับมาบรุกลิน
ในเดือนพฤศจิกายน 1980 ผมกับจูลีได้รับเชิญให้มารับใช้ที่เบเธลบรุกลิน ซึ่งเรามาถึงตอนต้นเดือนมกราคม 1981. ตอนนั้นเราอยู่ในวัยเกือบ 60 ปี และหลังจากได้รับใช้ร่วมกับพี่น้องชายหญิงที่รักของเราในเดนมาร์กมาแล้วเกือบครึ่งหนึ่งของชีวิตเรา จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกลับไปสหรัฐ. กระนั้น เรามิได้ครุ่นคิดว่าเราชอบจะอยู่ที่ไหนมากกว่า แต่เราพยายามเพ่งเล็งอยู่ที่งานมอบหมายปัจจุบันและข้อท้าทายใด ๆ ก็ตามที่เกิดจากงานนั้น.
เรามาถึงบรุกลินและปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่. จูลีได้รับมอบหมายอยู่แผนกบัญชี ทำงานคล้ายกับที่เธอทำในเดนมาร์ก. ผมได้รับมอบหมายในแผนกการเขียนเพื่อช่วยจัดกำหนดการขั้นตอนในการผลิตสรรพหนังสือของเรา. ต้นทศวรรษ 1980 เป็นเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงในการดำเนินงานของเราที่บรุกลิน ขณะที่เราเปลี่ยนจากการใช้เครื่องพิมพ์ดีดและการเรียงพิมพ์โดยใช้แม่พิมพ์ตะกั่วหล่อมาใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และพิมพ์ระบบออฟเซ็ต. ผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แต่มีความเข้าใจบ้างเกี่ยวกับวิธีดำเนินงานขององค์การและการทำงานร่วมกับผู้คน.
หลังจากนั้นไม่นาน มีความจำเป็นที่จะปรับปรุงการจัดระเบียบของแผนกศิลป์ให้ดีขึ้นขณะที่เราเปลี่ยนเป็นการพิมพ์ระบบออฟเซ็ตสี่สีและการใช้ภาพประกอบและภาพถ่ายสี. ถึงแม้ผมไม่มีประสบการณ์ฐานะเป็นช่างศิลป์ ผมก็สามารถช่วยในการจัดระเบียบ. ดังนั้น ผมมีสิทธิพิเศษในการดูแลแผนกนั้นเป็นเวลาเก้าปี.
ในปี 1992 ผมได้รับมอบหมายให้ช่วยกรรมการฝ่ายการพิมพ์ของคณะกรรมการปกครองและย้ายไปอยู่สำนักงานของเหรัญญิก. ที่นี่ผมรับใช้ต่อไปเกี่ยวกับกิจการด้านการเงินของพยานพระยะโฮวา.
การรับใช้ตั้งแต่เป็นเด็กมา
ตั้งแต่ช่วงต้นที่ผมเป็นเด็กและระหว่างช่วง 70 ปีแห่งการรับใช้ที่ได้อุทิศตัว พระยะโฮวาได้ทรงสอนผมด้วยความอดทนโดยทางคัมภีร์ไบเบิล พระคำของพระองค์ และโดยพี่น้องที่ให้ความช่วยเหลือในองค์การที่น่าพิศวงของพระองค์. ผมได้เพลิดเพลินกับงานรับใช้เต็มเวลามามากกว่า 63 ปี จากช่วงดังกล่าวได้รับใช้ร่วมกับจูลีภรรยาผู้ภักดีของผมเป็นเวลากว่า 55 ปี. ที่จริง ผมรู้สึกว่าได้รับพระพรอย่างอุดมจากพระยะโฮวา.
ย้อนหลังไปในปี 1940 ตอนที่ผมออกจากบ้านเพื่อเข้าสู่การรับใช้ประเภทไพโอเนียร์ คุณพ่อได้หัวเราะเยาะการตัดสินใจของผมและบอกว่า “ลูกเอ๋ย เมื่อออกจากบ้านไปเพื่อทำงานนี้แล้ว ก็อย่าคิดว่าจะกลับมาหาพ่อเพื่อขอความช่วยเหลือใด ๆ.” ตลอดหลายปี ผมไม่เคยต้องทำแบบนั้นเลย. พระยะโฮวาได้จัดเตรียมสิ่งจำเป็นให้ผมด้วยพระทัยกว้าง บ่อยครั้งโดยทางเพื่อนคริสเตียนที่ให้ความช่วยเหลือ. ภายหลัง คุณพ่อได้แสดงความนับถือต่องานของเรา และท่านถึงกับก้าวหน้าบ้างในการเรียนความจริงของคัมภีร์ไบเบิลก่อนเสียชีวิตในปี 1972. คุณแม่ซึ่งมีความหวังเกี่ยวกับชีวิตทางภาคสวรรค์ ยังคงรับใช้พระยะโฮวาต่อไปอย่างซื่อสัตย์จนกระทั่งสิ้นชีวิตในปี 1985 ตอนอายุ 102 ปี.
ถึงแม้เกิดปัญหาต่าง ๆ ขึ้นในการรับใช้เต็มเวลา ผมกับจูลีไม่เคยคิดที่จะลาออกจากงานมอบหมายของเรา. พระยะโฮวาทรงค้ำจุนเราในความตั้งใจเช่นนี้เสมอมา. แม้แต่เมื่อพ่อแม่ของผมอายุมากและจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ วิกตอเรีย มาร์ลิน พี่สาวของผมได้เสนอความช่วยเหลือและเอาใจใส่ดูแลท่านด้วยความกรุณา. เรารู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งสำหรับการช่วยเหลือด้วยความรักของเธอ ซึ่งได้ช่วยเราให้ดำเนินต่อไปในการรับใช้เต็มเวลา.
จูลีได้เกื้อหนุนผมอย่างภักดีในงานมอบหมายทุกอย่างของเรา โดยมองว่านี่เป็นส่วนหนึ่งแห่งการอุทิศตัวเธอเองแด่พระยะโฮวา. และถึงแม้ตอนนี้ผมอายุ 80 ปีแล้วและมีปัญหาสุขภาพบางอย่าง ผมก็รู้สึกว่าได้รับพระพรอย่างอุดมจากพระยะโฮวา. ผมได้รับการหนุนใจมากจากผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญ ซึ่งหลังจากประกาศว่าพระเจ้าได้ทรงสอนท่านตั้งแต่เด็ก ๆ มา ได้วิงวอนว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า แม้ว่าข้าพเจ้าชราแล้ว, ขออย่าทรงละทิ้งข้าพเจ้าจนกว่าข้าพเจ้าจะได้พรรณนาแก่คนที่จะบังเกิดมานั้นให้รู้ถึงฤทธานุภาพของพระองค์.’—บทเพลงสรรเสริญ 71:17, 18.
[เชิงอรรถ]
a วอร์เรนเป็นพี่ชายของมิลตัน เฮนเชล ผู้ซึ่งรับใช้เป็นเวลาหลายปีฐานะสมาชิกคณะกรรมการปกครองแห่งพยานพระยะโฮวา.
[ภาพหน้า 20]
กับคุณแม่ในปี 1940 ตอนที่ผมเริ่มเป็นไพโอเนียร์
[ภาพหน้า 21]
กับเพื่อนไพโอเนียร์ โจและมาร์กาเรต ฮาร์ต
[ภาพหน้า 23]
ในวันแต่งงานของเราเดือนมกราคม 1948
[ภาพหน้า 23]
ในปี 1953 กับเพื่อนร่วมชั้นในโรงเรียนกิเลียด. จากซ้ายไปขวา: ดอนและเวอร์จิเนีย วอร์ด, เฮร์ทิวดา สเทเฮงกา, จูลีกับผม
[ภาพหน้า 23]
กับเฟรเดอริก ดับเบิลยู. แฟรนซ์และนาทาน เอช. นอรร์ ในโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก ปี 1961
[ภาพหน้า 25]
กับจูลีในปัจจุบัน