จงเกรงกลัวพระยะโฮวา—และมีความสุข!
“ความสุขย่อมมีแก่ผู้ที่เกรงกลัวพระยะโฮวา.”—บทเพลงสรรเสริญ 112:1.
1, 2. ความเกรงกลัวพระยะโฮวาสามารถก่อผลเช่นไร?
ความสุขไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ. ความสุขแท้ขึ้นอยู่กับการเลือกที่ถูกต้อง, ทำสิ่งถูกต้อง, และหันหนีจากสิ่งผิด. พระยะโฮวา พระผู้สร้างของเรา ได้ประทานคัมภีร์ไบเบิลพระคำของพระองค์แก่เราเพื่อสอนวิธีที่เราจะดำเนินในแนวทางชีวิตที่ดีที่สุด. โดยแสวงหาและดำเนินตามการชี้นำของพระยะโฮวา ซึ่งแสดงว่าเราเกรงกลัวพระเจ้า เราสามารถอิ่มใจและมีความสุขอย่างแท้จริง.—บทเพลงสรรเสริญ 23:1; สุภาษิต 14:26.
2 ในบทความนี้ เราจะพิจารณาตัวอย่างจากคัมภีร์ไบเบิลและตัวอย่างในสมัยปัจจุบันซึ่งแสดงถึงวิธีที่ความเกรงกลัวพระเจ้าอย่างแท้จริงเสริมกำลังเราในการต้านทานแรงกดดันให้ทำผิดและทำให้กล้าทำสิ่งที่ถูกต้อง. เราจะเห็นว่าความเกรงกลัวพระเจ้าสามารถทำให้เรามีความสุขโดยกระตุ้นเราให้แก้ไขแนวทางผิด เช่นที่กษัตริย์ดาวิดได้ทำ. เราจะเห็นด้วยว่าความเกรงกลัวพระยะโฮวาเป็นมรดกล้ำค่าอย่างแท้จริงที่บิดามารดาสามารถมอบให้แก่บุตร. ที่จริง พระคำของพระเจ้ารับรองกับเราว่า “ความสุขย่อมมีแก่ผู้ที่เกรงกลัวพระยะโฮวา.”—บทเพลงสรรเสริญ 112:1.
ได้ความสุขกลับคืนมา
3. อะไรช่วยดาวิดให้ฟื้นตัวจากบาป?
3 ดังพิจารณาแล้วในบทความก่อน มีสามโอกาสเด่น ๆ ที่ดาวิดไม่ได้แสดงความเกรงกลัวพระเจ้าอย่างเหมาะสมและทำบาป. อย่างไรก็ตาม การที่ท่านตอบรับการตีสอนของพระยะโฮวาแสดงว่าโดยเนื้อแท้แล้วท่านเป็นคนที่เกรงกลัวพระเจ้า. ความเคารพนับถือพระเจ้ากระตุ้นท่านให้ยอมรับผิด, แก้ไขแนวทางการกระทำ, และสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระยะโฮวาใหม่. แม้ว่าความผิดของท่านทำให้ท่านและคนอื่น ๆ ต้องรับทุกข์ แต่การกลับใจอย่างแท้จริงของท่านทำให้พระยะโฮวาทรงสนับสนุนและอวยพรท่านต่อไป. ตัวอย่างของดาวิดสามารถช่วยคริสเตียนสมัยปัจจุบันที่อาจพลาดพลั้งทำผิดร้ายแรงให้ปลูกฝังความกล้าหาญได้แน่นอน.
4. ความเกรงกลัวพระเจ้าช่วยบุคคลคนหนึ่งให้กลับมามีความสุขอีกครั้งได้อย่างไร?
4 ขอพิจารณากรณีของซอนยา.a แม้เป็นผู้รับใช้เต็มเวลา แต่ซอนยาคบเพื่อนไม่ดี, เริ่มเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ผิดหลักการคริสเตียน, และต้องถูกตัดสัมพันธ์จากประชาคมคริสเตียน. เมื่อได้สติ ซอนยาทำทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อฟื้นฟูสายสัมพันธ์ของเธอกับพระยะโฮวา. ต่อมา เธอได้ถูกรับกลับสู่ฐานะเดิมในประชาคม. ตลอดช่วงเวลาทั้งหมดนี้ ซอนยาไม่เคยทิ้งความปรารถนาที่จะรับใช้พระยะโฮวา. ในที่สุด เธอเข้าสู่งานรับใช้เต็มเวลาประเภทไพโอเนียร์อีก. ต่อมา เธอสมรสกับคริสเตียนผู้ปกครองซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดี และตอนนี้เธอกับสามีรับใช้อย่างมีความสุขในประชาคม. แม้ว่าซอนยาเสียใจที่ได้หลงไปจากแนวทางของคริสเตียนไปชั่วระยะหนึ่ง แต่เธอมีความสุขที่ความเกรงกลัวพระเจ้าช่วยเธอให้กลับมา.
ต้องทนทุกข์ยังดีกว่าทำผิด
5, 6. จงอธิบายว่าดาวิดไว้ชีวิตซาอูลสองครั้งอย่างไร และเพราะเหตุใด.
5 แน่นอน นับว่าดีกว่ามากเมื่อความเกรงกลัวพระเจ้าช่วยคนเราให้หลีกเลี่ยงการทำผิดเสียแต่แรก. เรื่องนี้เป็นจริงในกรณีของดาวิด. ครั้งหนึ่ง ขณะไล่ล่าดาวิดพร้อมด้วยกองทหารสามพันนาย ซาอูลเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่ง—ถ้ำเดียวกับที่ดาวิดและคนของท่านซ่อนตัวอยู่. คนของดาวิดกระตุ้นท่านให้ฆ่าซาอูล. พระยะโฮวาทรงมอบศัตรูผู้ถึงที่ตายไว้ในมือดาวิดแล้วมิใช่หรือ? ดาวิดคลานขึ้นไปหาซาอูลอย่างเงียบกริบและตัดชายฉลองพระองค์ของซาอูล. เนื่องจากดาวิดเกรงกลัวพระเจ้า แม้แต่การกระทำที่ไม่น่าจะเป็นอันตรายแต่อย่างใดดังกล่าวก็ยังรบกวนสติรู้สึกผิดชอบของท่าน. ดาวิดไล่คนของท่านที่กำลังฮึดฮัดให้แยกย้ายกันไป โดยกล่าวว่า “จากทัศนะของพระยะโฮวา เป็นเรื่องเหลือคิดที่เราจะทำสิ่งนี้ต่อนายของเรา ผู้ถูกเจิมของพระยะโฮวา.”b—1 ซามูเอล 24:1-7, ล.ม.
6 ในโอกาสต่อมา ซาอูลตั้งค่ายพักค้างคืน และท่านกับคนของท่านทั้งหมดต่างพากัน ‘หลับสนิทเพราะพระยะโฮวา.’ ดาวิดกับอะบิซัยหลานชายผู้กล้าหาญแอบเข้าไปกลางค่ายและยืนอยู่เหนือซาอูลที่กำลังหลับ. อะบิซัยต้องการฆ่าซาอูลเพื่อจะได้ไม่มีปัญหาอีกต่อไป. ดาวิดห้ามอะบิซัยไว้ โดยถามว่า “มีผู้ใดเล่าที่เหยียดมือออกต่อสู้ผู้ที่พระยะโฮวาทรงชโลมแล้วจะไม่มีโทษ?”—1 ซามูเอล 26:9, 12.
7. อะไรยับยั้งดาวิดไว้ไม่ให้ทำผิด?
7 เหตุใดดาวิดไม่ฆ่าซาอูลเมื่อท่านมีโอกาสถึงสองครั้ง? เพราะท่านเกรงกลัวพระยะโฮวายิ่งกว่าที่ท่านกลัวซาอูล. ด้วยความเกรงกลัวพระเจ้าอย่างถูกต้อง ดาวิดพร้อมจะทนทุกข์หากจำเป็นแทนที่จะทำผิด. (เฮ็บราย 11:25) ท่านมีความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมว่าพระยะโฮวาจะทรงดูแลประชาชนของพระองค์และตัวท่านเอง. ดาวิดทราบว่าการเชื่อฟังและไว้วางใจพระเจ้าจะนำมาซึ่งความสุขและพระพรมากมาย ในขณะที่การไม่สนใจพระเจ้าจะทำให้ท่านไม่เป็นที่พอพระทัยพระองค์. (บทเพลงสรรเสริญ 65:4) ดาวิดยังทราบด้วยว่าพระเจ้าจะทำตามคำสัญญาของพระองค์ที่จะตั้งท่านเป็นกษัตริย์และจะทรงถอดซาอูลเมื่อถึงเวลากำหนดและตามวิธีของพระองค์เอง.—1 ซามูเอล 26:10.
การแสดงความเกรงกลัวพระเจ้านำมาซึ่งความสุข
8. การกระทำของดาวิดเมื่ออยู่ในสภาพที่ถูกกดดันเป็นตัวอย่างสำหรับเราอย่างไร?
8 ในฐานะคริสเตียน เราคาดหมายได้เลยว่าจะประสบกับการเยาะเย้ย, การข่มเหง, และการทดลองอื่น ๆ. (มัดธาย 24:9; 2 เปโตร 3:3) บางครั้ง เราอาจถึงกับประสบความยุ่งยากซึ่งเกี่ยวเนื่องกับเพื่อนผู้นมัสการด้วยกัน. อย่างไรก็ดี เราทราบว่าพระยะโฮวาทรงเห็นทุกสิ่ง, ทรงได้ยินคำอธิษฐานของเรา, และในเวลาที่เหมาะสม จะทรงแก้ไขเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นไปตามพระทัยประสงค์ของพระองค์. (โรม 12:17-21; เฮ็บราย 4:16) ด้วยเหตุนั้น แทนที่จะกลัวผู้ต่อต้าน เราเกรงกลัวพระเจ้าและหมายพึ่งพระองค์ให้ช่วยเรา. เช่นเดียวกับดาวิด เราไม่แก้แค้นด้วยตัวเราเอง และไม่ประนีประนอมหลักการอันชอบธรรมเพื่อเลี่ยงความทุกข์ยาก. เมื่อถึงที่สุดแล้ว การทำเช่นนี้นำมาซึ่งความสุข. แต่ว่าโดยวิธีใด?
9. จงยกตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าการแสดงความเกรงกลัวพระเจ้ายังผลเป็นความสุขได้อย่างไรแม้ต้องถูกข่มเหง.
9 มิชชันนารีคนหนึ่งซึ่งรับใช้ในแอฟริกามานานเล่าว่า “ผมนึกถึงมารดาคนหนึ่งกับบุตรสาววัยรุ่นซึ่งปฏิเสธการซื้อบัตรพรรคการเมืองเพราะต้องการวางตัวเป็นกลางในฐานะคริสเตียน. ทั้งสองถูกฝูงชนทำร้ายร่างกายอย่างโหดเหี้ยมแล้วไล่กลับบ้าน. ขณะเดินไปตามทาง แม่พยายามปลอบโยนลูกสาวที่ร้องไห้เพราะข้องขัดใจและไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเกิดเหตุการณ์อย่างนี้. ในตอนนั้น ทั้งสองไม่รู้สึกยินดี แต่มีสติรู้สึกผิดชอบสะอาด. ภายหลัง ทั้งสองมีความสุขมากที่ได้เชื่อฟังพระเจ้า. หากทั้งคู่ซื้อบัตรพรรคการเมือง ฝูงชนคงลิงโลดดีใจ. ผู้ชายพวกนั้นคงจะแจกน้ำอัดลมให้และเต้นรำทำเพลงรอบ ๆ เขาทั้งสองไปตลอดทางจนถึงบ้าน. แต่เด็กสาวคนนี้กับแม่ทราบว่าหากยอมอะลุ่มอล่วย เขาทั้งสองจะกลายเป็นคนที่ไม่มีความสุขที่สุดในโลก.” ความเกรงกลัวพระเจ้าช่วยให้เขารอดพ้นจากความรู้สึกเลวร้ายเช่นนั้น.
10, 11. ผลดีเช่นไรเกิดจากการที่สตรีคนหนึ่งแสดงความเกรงกลัวพระเจ้า?
10 การแสดงความเกรงกลัวพระเจ้ายังผลเป็นความสุขเมื่อเผชิญการทดลองที่เกี่ยวข้องกับความนับถือต่อความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต. เมื่อแมรีตั้งครรภ์ลูกคนที่สาม แพทย์สนับสนุนให้เธอทำแท้ง. เขาบอกว่า “สภาพของคุณเสี่ยงอันตราย. อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงขึ้นกับคุณเมื่อไรก็ได้และคุณจะตายภายใน 24 ชั่วโมง. ถึงตอนนั้น ลูกของคุณก็จะตายด้วย. ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าลูกของคุณจะปกติสมบูรณ์.” ตอนนั้น แมรีกำลังศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา แต่ยังไม่ได้รับบัพติสมา. แมรีกล่าวว่า “ถึงจะเป็นอย่างนั้น ดิฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะรับใช้พระยะโฮวา และดิฉันก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเชื่อฟังพระองค์เสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม.”—เอ็กโซโด 21:22, 23.
11 ระหว่างที่อุ้มท้องอยู่นั้น แมรีศึกษาคัมภีร์ไบเบิลต่อไปและดูแลครอบครัวอย่างขยันขันแข็ง. ในที่สุด ลูกของเธอก็คลอดออกมา. “การคลอดยากกว่าลูกสองคนแรกอยู่บ้าง แต่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงใด ๆ” แมรีเล่า. การแสดงความเกรงกลัวพระเจ้าช่วยแมรีให้รักษาสติรู้สึกผิดชอบที่ดี และไม่นานเธอก็รับบัพติสมา. เมื่อทารกนั้นเติบโตขึ้น เขาก็เรียนรู้ที่จะเกรงกลัวพระยะโฮวาด้วย และเวลานี้เขารับใช้ที่สำนักงานสาขาแห่งหนึ่งของพยานพระยะโฮวา.
‘จงตั้งใจให้แข็งกล้าขึ้นโดยพึ่งพระยะโฮวา’
12. ความเกรงกลัวพระเจ้าเสริมกำลังดาวิดอย่างไร?
12 ความเกรงกลัวพระยะโฮวาของดาวิดไม่เพียงช่วยยับยั้งท่านไว้จากการทำผิด. ความเกรงกลัวนี้เสริมกำลังท่านให้ทำอย่างเด็ดเดี่ยวและฉลาดสุขุมภายใต้สภาพแวดล้อมที่ลำบาก. ดาวิดและคนของท่านลี้ภัยจากซาอูลอยู่ที่ซิคลัก หัวเมืองของฟิลิสติน นานหนึ่งปีสี่เดือน. (1 ซามูเอล 27:5-7) ครั้งหนึ่ง ขณะพวกผู้ชายไม่อยู่เมือง พวกอะมาเลคได้มาปล้นชิง, เผาเมือง, และกวาดตัวบรรดาภรรยา, บุตร, และฝูงสัตว์ของพวกเขาไปเป็นเชลยเสียสิ้น. เมื่อกลับมาและเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ดาวิดกับคนของท่านก็ร่ำไห้. ความทุกข์โศกเปลี่ยนเป็นความขุ่นเคืองอย่างรวดเร็ว และคนของดาวิดพูดกันว่าจะเอาหินขว้างท่าน. แม้ทุกข์ใจ แต่ดาวิดไม่สิ้นหวัง. (สุภาษิต 24:10) ความเกรงกลัวพระเจ้ากระตุ้นท่านให้หมายพึ่งพระยะโฮวา และท่าน “ตั้งใจให้แข็งกล้าขึ้น, ด้วยพึ่งในพระยะโฮวา.” ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า ดาวิดกับคนของท่านไล่ตามจนทันพวกอะมาเลคและตีเอาทุกสิ่งกลับคืนมา.—1 ซามูเอล 30:1-20.
13, 14. ความเกรงกลัวพระเจ้าช่วยคริสเตียนคนหนึ่งอย่างไรให้ตัดสินใจอย่างถูกต้อง?
13 ผู้รับใช้พระเจ้าในปัจจุบันเผชิญสถานการณ์ที่จำเป็นต้องมีความไว้วางใจพระยะโฮวาและความกล้าที่จะทำอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นกัน. ขอพิจารณาคริสตีนาเป็นตัวอย่าง. ตอนที่ยังเป็นเด็ก คริสตีนาได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา. แต่ปัญหาคือเธออยากเป็นนักเปียโนคอนเสิร์ต และเธอได้พัฒนาฝีมือขึ้นมามากเพื่อจะบรรลุเป้าหมายนี้. นอกจากนั้น เธอยังรู้สึกเขินอายที่จะออกประกาศ และเพราะเหตุนี้จึงไม่กล้ารับเอาหน้าที่รับผิดชอบนี้ซึ่งมาพร้อมกับการรับบัพติสมา. เมื่อคริสตีนาศึกษาพระคำของพระเจ้าต่อไป เธอเริ่มรู้สึกถึงพลังของพระคำ. เธอเรียนรู้จักความเกรงกลัวพระยะโฮวา และตระหนักว่าพระยะโฮวาทรงคาดหมายว่าผู้รับใช้ของพระองค์ต้องรักพระองค์ด้วยสิ้นสุดหัวใจ, จิตใจ, ชีวิต, และกำลัง. (มาระโก 12:30) นี่กระตุ้นเธอให้อุทิศตัวแด่พระยะโฮวาและรับบัพติสมา.
14 คริสตีนาทูลขอพระยะโฮวาให้ช่วยเธอทำความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ. คริสตีนาอธิบายว่า “ดิฉันรู้ว่าชีวิตนักเปียโนคอนเสิร์ตต้องเดินทางอยู่ตลอดและมีสัญญาจะต้องแสดงมากถึง 400 คอนเสิร์ตในหนึ่งปี. ดังนั้น ดิฉันตัดสินใจเปลี่ยนมาทำงานเป็นครูเพื่อจะหาเลี้ยงชีพและรับใช้เป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลาได้.” ในเวลาเดียวกัน ได้มีการกำหนดรายการแสดงครั้งแรกของคริสตีนาไว้แล้ว ณ ห้องแสดงคอนเสิร์ตที่มีชื่อที่สุดในประเทศ. “ปรากฏว่าคอนเสิร์ตเปิดตัวของดิฉันกลับกลายเป็นคอนเสิร์ตอำลา” เธอเล่า. หลังจากนั้น คริสตีนาได้สมรสกับคริสเตียนผู้ปกครองคนหนึ่ง. ปัจจุบัน ทั้งสองรับใช้ด้วยกันที่สำนักงานสาขาแห่งหนึ่งของพยานพระยะโฮวา. เธอยินดีมากที่พระยะโฮวาประทานกำลังแก่เธอให้ตัดสินใจอย่างถูกต้อง และในเวลานี้เธอสามารถใช้เวลาและพลังในการรับใช้พระองค์.
มรดกล้ำค่า
15. ดาวิดปรารถนาจะมอบอะไรแก่บุตร และท่านทำเช่นนั้นอย่างไร?
15 ดาวิดเขียนไว้ว่า “บุตรทั้งหลายเอ๋ย, จงมาฟังคำข้าเถิด. ข้าจะสอนให้เจ้ารู้ถึงความเกรงกลัวพระยะโฮวา.” (บทเพลงสรรเสริญ 34:11) ในฐานะบิดา ดาวิดตั้งใจจะมอบมรดกอันล้ำค่าแก่บุตร ซึ่งก็คือความเกรงกลัวพระยะโฮวาที่แท้จริง, สมดุล, และมีรากฐานมั่นคง. ด้วยคำพูดและด้วยการกระทำ ดาวิดไม่ได้ให้ภาพของพระยะโฮวาว่าเป็นพระเจ้าที่เข้มงวดและน่ากลัวซึ่งพร้อมจะลงทัณฑ์ใครก็ตามที่ฝ่าฝืนกฎหมายของพระองค์ หากแต่เป็นพระบิดาที่รัก, เอาพระทัยใส่, และให้อภัยเหล่าบุตรของพระองค์ที่อยู่บนแผ่นดินโลก. ดาวิดถามว่า “ใครเล่าสามารถเฝ้าติดตามย่างก้าวที่พลาดพลั้ง?” จากนั้น เพื่อแสดงถึงความเชื่อมั่นของท่านว่าพระยะโฮวาไม่ทรงพิจารณาข้อผิดพลาดของเราอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่ตลอดเวลา ท่านกล่าวต่ออีกว่า “ขอทรงโปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันสังเกต!” ดาวิดมั่นใจว่าหากท่านพยายามอย่างเต็มที่ พระยะโฮวาจะทรงยอมรับคำพูดและความคิดของท่าน.—บทเพลงสรรเสริญ 19:12, 14, ฉบับแปลไบอิงตัน.
16, 17. บิดามารดาสามารถสอนบุตรโดยวิธีใดในเรื่องความเกรงกลัวพระยะโฮวา?
16 ดาวิดเป็นตัวอย่างสำหรับบิดามารดาในปัจจุบัน. ราล์ฟ ซึ่งรับใช้ด้วยกันกับน้องชายที่สำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาแห่งหนึ่ง กล่าวว่า “พ่อกับแม่เลี้ยงดูพวกผมอย่างที่ทำให้การอยู่ในความจริงน่าเพลิดเพลิน. เมื่อเรายังเด็ก ท่านให้เราร่วมในวงสนทนาเกี่ยวกับกิจกรรมของประชาคม เราจึงกระตือรือร้นในเรื่องความจริงเช่นเดียวกับท่าน. พ่อและแม่เลี้ยงดูเราให้เชื่อว่าเราสามารถทำสิ่งดี ๆ ในการรับใช้พระยะโฮวา. ที่จริง ครอบครัวเราอาศัยในประเทศหนึ่งซึ่งมีความต้องการผู้ประกาศราชอาณาจักรมากกว่าเป็นเวลาหลายปี และช่วยตั้งประชาคมใหม่หลายประชาคม.
17 “สิ่งที่ช่วยเราให้ดำเนินในแนวทางถูกเสมอไม่ใช่กฎเหล็กเยอะแยะมากมาย แต่เป็นข้อเท็จจริงที่ว่าสำหรับพ่อและแม่แล้ว พระยะโฮวาทรงเป็นบุคคลจริงและเปี่ยมด้วยความกรุณาและความดีมากล้น. ท่านพยายามรู้จักพระยะโฮวาให้ดีขึ้นและทำให้พระองค์พอพระทัย และเราเรียนรู้จากความเกรงกลัวอย่างแท้จริงและความรักที่ท่านทั้งสองมีต่อพระเจ้า. แม้แต่เมื่อเราทำอะไรผิด พ่อและแม่ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าพระยะโฮวาไม่รักเราอีกแล้ว; ท่านไม่วางข้อจำกัดที่ไม่จำเป็นกับเราเพราะความโมโห. ส่วนใหญ่ ท่านจะนั่งลงแล้วคุยกับเรา และบางครั้งแม่พูดกับเราทั้งน้ำตา พยายามเข้าถึงหัวใจเรา. และปรากฏว่าได้ผล. เราเรียนรู้จากคำพูดและการกระทำของพ่อแม่ว่าความเกรงกลัวพระยะโฮวาเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม และการเป็นพยานของพระองค์นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เพลิดเพลินยินดี ไม่ใช่ภาระหนัก.”—1 โยฮัน 5:3.
18. เราจะได้รับอะไรจากการแสดงความเกรงกลัวพระเจ้าเที่ยงแท้?
18 เราอ่านส่วนหนึ่งของ “วาทะสุดท้ายของดาวิด” ดังนี้: “เมื่อผู้หนึ่งปกครองมนุษย์โดยชอบธรรม คือปกครองด้วยความยำเกรงพระเจ้า เขาทอแสงเหนือประชาชนเหมือนแสงอรุณเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น.” (2 ซามูเอล 23:1, 3, 4, ฉบับแปลใหม่) ซะโลโม ราชบุตรและผู้สืบบัลลังก์ต่อจากดาวิด ดูเหมือนว่าเข้าใจโอวาทนี้ดี เพราะท่านทูลขอให้พระยะโฮวาประทาน “หัวใจที่เชื่อฟัง” และความสามารถในการ “ดูออกว่าอะไรดีอะไรชั่ว” แก่ท่าน. (1 กษัตริย์ 3:9, ล.ม.) ซะโลโมตระหนักว่าการแสดงความเกรงกลัวพระยะโฮวาเป็นแนวทางแห่งสติปัญญาและความสุข. ภายหลัง ท่านสรุปพระธรรมท่านผู้ประกาศด้วยข้อความดังนี้: “ให้เราฟังคำสรุปของเรื่องทั้งหมด: จงเกรงกลัวพระเจ้า, จงถือรักษาบัญญัติทั้งปวงของพระองค์; เพราะว่าการนี้เป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน. ด้วยว่าพระเจ้าจะเอาการงานทุกประการ, อันเกี่ยวด้วยสิ่งเร้นลับทุกอย่าง, ไม่ว่าเป็นการดีหรือเป็นการชั่วมาพิพากษา.” (ท่านผู้ประกาศ 12:13, 14) หากเราเอาใจใส่คำแนะนำนี้ เราจะเห็นจริงว่า “บำเหน็จของความถ่อมใจและความยำเกรงพระเจ้า” นั้นไม่เพียงแต่ทำให้เราได้สติปัญญาและความสุข แต่ยังได้ “ความมั่งคั่ง เกียรติและชีวิต” ด้วย.—สุภาษิต 22:4, ฉบับแปลใหม่.
19. อะไรจะช่วยเราเข้าใจ “ความยำเกรงพระยะโฮวา” ได้?
19 จากตัวอย่างในคัมภีร์ไบเบิลและประสบการณ์ต่าง ๆ ในสมัยปัจจุบัน เราเห็นแล้วว่าความเกรงกลัวพระเจ้าอย่างถูกต้องมีบทบาทส่งเสริมชีวิตผู้รับใช้แท้ของพระยะโฮวา. ไม่เพียงแต่ความเกรงกลัวเช่นนั้นช่วยเราหลีกเลี่ยงการทำสิ่งที่ไม่เป็นที่พอพระทัยพระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์ แต่ยังทำให้เรามีความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับศัตรูและมีกำลังเข้มแข็งที่จะอดทนการทดลองและความยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเราด้วย. ด้วยเหตุนั้น ให้เราทั้งคนหนุ่มและผู้สูงอายุขยันขันแข็งในการศึกษาพระคำของพระเจ้า, คิดรำพึงสิ่งที่เราเรียนรู้, และเข้าใกล้พระยะโฮวาด้วยการอธิษฐานเป็นประจำและด้วยความรู้สึกจากหัวใจ. โดยทำอย่างนั้น เราจะไม่เพียงพบ “ความรู้ของพระเจ้า” แต่ยังจะเข้าใจ “ความยำเกรงพระยะโฮวา” ด้วย.—สุภาษิต 2:1-5.
[เชิงอรรถ]
a ชื่อสมมุติ.
b เหตุการณ์นี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่กระตุ้นดาวิดให้ประพันธ์เพลงสรรเสริญบท 57 และ 142.
คุณอธิบายได้ไหม?
โดยวิธีใดความเกรงกลัวพระเจ้า
• ช่วยคนเราให้ฟื้นตัวจากบาปร้ายแรง?
• ทำให้มีความสุขแม้เผชิญการทดลองและการข่มเหง?
• ทำให้เรามีกำลังเข้มแข็งในการทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า?
• เป็นมรดกอันล้ำค่าสำหรับบุตรของเรา?
[ภาพหน้า 26]
ความเกรงกลัวพระยะโฮวายับยั้งดาวิดไว้ไม่ให้ฆ่าซาอูล
[ภาพหน้า 29]
ความเกรงกลัวพระเจ้าเป็นมรดกล้ำค่าที่บิดามารดาสามารถมอบให้แก่บุตร