ความรักของพระคริสต์กระตุ้นเราให้แสดงความรัก
“สำหรับคนของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักพวกเขาเสมอ พระองค์จึงทรงรักพวกเขาจนถึงที่สุด.”—โย. 13:1
1, 2. (ก) ความรักของพระเยซูโดดเด่นอย่างไร? (ข) เราจะพิจารณาแง่มุมใดบ้างของความรักในบทความนี้?
พระเยซูทรงวางตัวอย่างไว้อย่างสมบูรณ์แบบในเรื่องความรัก. ทุกสิ่งเกี่ยวกับพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นคำตรัส, การประพฤติ, การสอน, และการสละชีวิตเป็นเครื่องบูชา ล้วนแสดงถึงความรักของพระองค์. จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตพระองค์บนแผ่นดินโลก พระเยซูทรงแสดงความรักต่อคนที่พระองค์พบและโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเหล่าสาวก.
2 ตัวอย่างอันยอดเยี่ยมของพระองค์ในเรื่องความรักเป็นการตั้งมาตรฐานอันสูงส่งไว้ให้เหล่าสาวกทำตาม. นอกจากนั้น ตัวอย่างของพระองค์ยังกระตุ้นเราให้แสดงความรักคล้าย ๆ กันต่อพี่น้องฝ่ายวิญญาณ รวมถึงต่อคนอื่น ๆ ทั้งหมดด้วย. ในบทความนี้ เราจะพิจารณาว่าผู้ปกครองในประชาคมจะเรียนอะไรได้จากพระเยซูเกี่ยวกับการแสดงความรักต่อคนที่ทำผิด แม้แต่เมื่อเป็นความผิดที่ร้ายแรง. เราจะพิจารณาด้วยถึงวิธีที่ความรักของพระเยซูกระตุ้นคริสเตียนให้ทำการดีในยามที่พี่น้องและคนอื่น ๆ ประสบกับความทุกข์ยาก, ภัยพิบัติ, และความเจ็บป่วย.
3. แม้ว่าเปโตรทำผิดร้ายแรง พระเยซูทรงปฏิบัติต่อท่านอย่างไร?
3 ในคืนก่อนพระเยซูสิ้นพระชนม์ เปโตรซึ่งเป็นอัครสาวกของพระองค์เองปฏิเสธพระองค์ถึงสามครั้ง. (มโก. 14:66-72) กระนั้น เมื่อเปโตรกลับมาแล้ว ดังที่พระเยซูทรงบอกไว้ล่วงหน้า พระเยซูทรงให้อภัยท่าน. พระเยซูทรงมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบที่สำคัญมากแก่เปโตร. (ลูกา 22:32; กิจ. 2:14; 8:14-17; 10:44, 45) เราเรียนอะไรได้จากทัศนคติของพระเยซูที่มีต่อคนที่ทำผิดร้ายแรง?
จงแสดงทัศนคติแบบพระคริสต์ต่อคนที่ทำผิด
4. สถานการณ์แบบใดโดยเฉพาะที่จำเป็นต้องแสดงทัศนคติแบบพระคริสต์?
4 มีสถานการณ์หลายอย่างที่เราจำเป็นต้องแสดงทัศนคติแบบพระคริสต์ แต่สถานการณ์ที่อาจทำให้ปวดร้าวใจเป็นพิเศษก็คือการจัดการกับการทำผิดร้ายแรงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะในครอบครัวหรือในประชาคม. น่าเศร้า ในเวลานี้ที่สมัยสุดท้ายแห่งระบบของซาตานมาถึงจุดสุดยอด น้ำใจของโลกกำลังก่อผลเสียหายด้านศีลธรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ. ทัศนคติทางศีลธรรมที่เลวร้ายหรือไม่สนใจเรื่องความผิดถูกชั่วดีอาจก่อผลเสียหายต่อทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เซาะกร่อนความตั้งใจแน่วแน่ของพวกเขาที่จะดำเนินในทางแคบ. ในศตวรรษแรก บางคนต้องถูกตัดสัมพันธ์จากประชาคมคริสเตียน และก็มีบางคนที่ถูกว่ากล่าว. เป็นอย่างนั้นด้วยในทุกวันนี้. (1 โค. 5:11-13; 1 ติโม. 5:20) อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ปกครองที่จัดการกับกรณีเหล่านี้แสดงความรักแบบพระคริสต์ ก็อาจเกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อคนที่ทำผิด.
5. ผู้ปกครองควรเลียนแบบทัศนคติต่อผู้ทำผิดแบบเดียวกับที่พระคริสต์ทรงมีอย่างไร?
5 เช่นเดียวกับพระเยซู ผู้ปกครองต้องทำตามมาตรฐานอันชอบธรรมของพระยะโฮวาตลอดเวลา. เมื่อทำอย่างนั้น พวกเขาสะท้อนให้เห็นความอ่อนโยน, ความกรุณา, และความรักของพระยะโฮวา. เมื่อมีใครที่กลับใจอย่างแท้จริง, “หัวใจสลาย,” และ “จิตใจชอกช้ำ” เพราะความผิดของเขา คงไม่ใช่เรื่องยากที่ผู้ปกครองจะ “พยายามปรับคนนั้นให้เข้าที่ด้วยใจอ่อนโยน.” (เพลง. 34:18, ล.ม.; กลา. 6:1) แต่จะว่าอย่างไรในเรื่องการปฏิบัติต่อคนที่แข็งขืนและแทบจะไม่แสดงความสำนึกผิดหรือไม่สำนึกผิดเลย?
6. การกระทำแบบใดที่ผู้ปกครองต้องหลีกเลี่ยงเมื่อปฏิบัติต่อผู้ทำผิด และเพราะเหตุใด?
6 เมื่อผู้ทำผิดปฏิเสธคำแนะนำจากพระคัมภีร์หรือพยายามโทษคนอื่น ผู้ปกครองและคนอื่น ๆ อาจรู้สึกขุ่นเคือง. เพราะรู้ในเรื่องความเสียหายที่คนคนนั้นทำให้เกิดขึ้น พวกเขาอาจอยากจะแสดงความรู้สึกของตัวเองเกี่ยวกับการกระทำและท่าทีของคนที่ทำผิด. ถึงกระนั้น ความโกรธทำให้เกิดความเสียหายและไม่สะท้อนให้เห็น “จิตใจอย่างพระคริสต์.” (1 โค. 2:16; อ่านยาโกโบ 1:19, 20) พระเยซูทรงเตือนบางคนในสมัยพระองค์ด้วยคำตรัสที่ชัดเจนตรงไปตรงมา แต่พระองค์ไม่เคยตรัสสิ่งใดที่แสดงถึงความเกลียดชังหรือมุ่งหมายจะทำให้รู้สึกเจ็บใจแม้แต่ครั้งเดียว. (1 เป. 2:23) แทนที่จะทำอย่างนั้น พระองค์ทรงเปิดทางไว้ให้ผู้ทำผิดสามารถกลับใจและกลับมามีฐานะที่พระยะโฮวาพอพระทัย. ที่จริง เหตุผลหลักอย่างหนึ่งที่พระเยซูทรงมายังแผ่นดินโลกก็คือ “เพื่อช่วยคนบาปให้รอด.”—1 ติโม. 1:15
7, 8. ผู้ปกครองควรให้อะไรช่วยชี้นำในการพิจารณาตัดสินความ?
7 ตัวอย่างของพระเยซูในแง่นี้ควรมีผลกระทบอย่างไรต่อทัศนคติที่เรามีต่อคนที่จำเป็นต้องถูกประชาคมตีสอน? ขอให้จำไว้ว่า คำสั่งในพระคัมภีร์ที่ให้มีการตัดสินความในประชาคมช่วยปกป้องฝูงแกะไว้ และอาจกระตุ้นให้ผู้ทำผิดที่ถูกตีสอนกลับใจ. (2 โค. 2:6-8) น่าเศร้าที่บางคนไม่กลับใจและต้องถูกตัดสัมพันธ์ แต่ก็น่ายินดีที่รู้ว่าในภายหลังมีหลายคนกลับมาหาพระยะโฮวาและประชาคมของพระองค์. เมื่อผู้ปกครองแสดงทัศนคติแบบพระคริสต์ พวกเขาช่วยทำให้ง่ายขึ้นที่คนทำผิดจะกลับใจและกลับมาในที่สุด. ในวันข้างหน้า บางคนที่เคยทำผิดอาจจำคำแนะนำจากพระคัมภีร์ที่ผู้ปกครองใช้กับเขาได้ไม่หมด แต่เขาจะจำได้อย่างแน่นอนว่าผู้ปกครองคำนึงถึงศักดิ์ศรีของเขาและปฏิบัติต่อเขาด้วยความรัก.
8 ดังนั้น ผู้ปกครองต้องแสดง “ผลของพระวิญญาณ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรักแบบพระคริสต์ แม้แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องแสดงความอดกลั้น. (กลา. 5:22, 23) พวกเขาไม่ควรรีบขับผู้ทำผิดออกจากประชาคม. พวกเขาควรแสดงให้เห็นว่าต้องการช่วยผู้ทำผิดให้กลับมามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระยะโฮวา. ด้วยเหตุนั้น เมื่อผู้ทำผิดแสดงการกลับใจในภายหลัง อย่างที่หลายคนทำ เขาอาจรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งที่ทั้งพระยะโฮวาและ “ของประทานในลักษณะมนุษย์” ช่วยเขาให้กลับตัวกลับใจได้ง่ายขึ้น.—เอเฟ. 4:8, 11, 12
จงแสดงความรักแบบพระคริสต์ในเวลาอวสาน
9. จงยกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าพระเยซูทรงแสดงความรักต่อเหล่าสาวก.
9 ลูกาบันทึกเรื่องราวที่โดดเด่นเกี่ยวกับการแสดงความรักของพระเยซู. เนื่องจากทรงรู้ว่า ในที่สุดทหารโรมันจะมาล้อมเพื่อไม่ให้ใครหนีออกจากกรุงเยรูซาเลมที่ถูกพิพากษาตัดสิน พระเยซูทรงเตือนเหล่าสาวกด้วยความรักว่า “เมื่อพวกเจ้าเห็นกองทัพมาตั้งค่ายล้อมกรุงเยรูซาเลม จงรู้ว่ากรุงนี้ใกล้จะร้างเปล่าแล้ว.” พวกเขาควรทำอะไร? พระเยซูประทานคำสั่งที่ชัดเจนและเจาะจงไว้ล่วงหน้า. “เวลานั้นให้คนที่อยู่ในแคว้นยูเดียเริ่มหนีไปยังภูเขา ให้คนที่อยู่ในกรุงออกไป และคนที่อยู่นอกกรุงอย่าเข้ามา ด้วยว่านั่นเป็นวันสนองโทษ เพื่อให้ทุกสิ่งที่เขียนไว้สำเร็จเป็นจริง.” (ลูกา 21:20-22) หลังจากกองทัพโรมันล้อมกรุงเยรูซาเลมในสากลศักราช 66 คนที่เชื่อฟังทำตามคำสั่งดังกล่าว.
10, 11. การพิจารณาเกี่ยวกับการที่คริสเตียนในยุคแรกหนีออกจากกรุงเยรูซาเลมช่วยเตรียมเราให้พร้อมสำหรับ “ความทุกข์ลำบากใหญ่” ได้อย่างไร?
10 ระหว่างที่คริสเตียนหนีออกจากกรุงเยรูซาเลม พวกเขาจำเป็นต้องแสดงความรักต่อกัน แบบเดียวกับที่พระคริสต์ทรงแสดงความรักต่อพวกเขา. เป็นเรื่องแน่นอนว่าพวกเขาต้องแบ่งปันสิ่งใดก็ตามที่พวกเขามีแก่กัน. แต่คำพยากรณ์ของพระเยซูไม่ได้สำเร็จเป็นจริงเพียงแค่การทำลายกรุงนี้ให้พินาศย่อยยับ. พระองค์ทรงบอกล่วงหน้าว่า “จะมีความทุกข์ลำบากใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์โลกจนบัดนี้ และจะไม่เกิดขึ้นอีกเลย.” (มัด. 24:17, 18, 21) ก่อนจะถึง “ความทุกข์ลำบากใหญ่” ซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคตและในช่วงเวลานั้น พวกเราก็อาจเผชิญกับความยากลำบากและขาดสิ่งจำเป็นเช่นเดียวกัน. การมีทัศนคติแบบพระคริสต์จะช่วยเราให้อดทนและผ่านพ้นไปได้.
11 เมื่อถึงตอนนั้น เราจำเป็นต้องทำตามตัวอย่างของพระเยซู โดยแสดงความรักอย่างไม่เห็นแก่ตัว. เปาโลให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ให้เราแต่ละคนทำให้เพื่อนบ้านชอบใจด้วยสิ่งดีที่ช่วยเขาให้เจริญ. เพราะแม้แต่พระคริสต์ก็ไม่ได้ทำตามชอบพระทัยพระองค์ . . . ขอให้พระเจ้าผู้ประทานความเพียรอดทนและการชูใจทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายมีทัศนคติอย่างที่พระคริสต์เยซูทรงมี.”—โรม 15:2, 3, 5
12. เราจำเป็นต้องพัฒนาความรักแบบใดในขณะนี้ และเพราะเหตุใด?
12 เปโตร ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ได้รับความรักจากพระเยซู กระตุ้นคล้าย ๆ กันให้คริสเตียนพัฒนา ‘ความรักใคร่ฉันพี่น้องโดยไม่เสแสร้ง’ และให้ “เชื่อฟังความจริง.” พวกเขาต้อง “รักกันอย่างแรงกล้าจากหัวใจ.” (1 เป. 1:22) ปัจจุบัน มีความจำเป็นมากยิ่งกว่าแต่ก่อนที่เราจะต้องพัฒนาคุณลักษณะแบบพระคริสต์เช่นนั้น. ความกดดันที่ประชาชนทั้งหมดของพระเจ้าได้รับกำลังทวีมากขึ้นอยู่แล้ว. ไม่ควรมีใครวางใจในองค์ประกอบใดก็ตามของโลกเก่านี้ ดังที่เห็นได้อย่างชัดเจนจากความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้กับระบบการเงินของโลก. (อ่าน 1 โยฮัน 2:15-17) แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ขณะที่อวสานของระบบนี้กำลังใกล้เข้ามา เราจำเป็นต้องใกล้ชิดพระยะโฮวาและพี่น้องคนอื่น ๆ มากขึ้น และพัฒนามิตรภาพแท้ในประชาคม. เปาโลให้คำแนะนำว่า “จงมีความรักใคร่อันอบอุ่นต่อกันฉันพี่น้อง. จงนำหน้าในการให้เกียรติกัน.” (โรม 12:10) และเปโตรเน้นเรื่องนี้ต่อไปว่า “ที่สำคัญที่สุดคือ จงมีความรักอย่างแรงกล้าต่อกัน เพราะความรักปิดคลุมบาปไว้มากมาย.”—1 เป. 4:8
13-15. พี่น้องบางคนได้แสดงความรักแบบพระคริสต์อย่างไรหลังจากเกิดภัยพิบัติ?
13 พยานพระยะโฮวาทั่วโลกมีชื่อเสียงในเรื่องการแสดงความรักแบบพระคริสต์ในภาคปฏิบัติ. ขอให้พิจารณาพยานฯ ที่ตอบรับการขอความช่วยเหลือหลังจากที่พายุต่าง ๆ และพายุเฮอร์ริเคนพัดถล่มพื้นที่ทางตอนใต้ของสหรัฐในปี 2005. มีมากกว่า 20,000 คนที่ถูกกระตุ้นจากตัวอย่างของพระเยซูให้อาสาที่จะช่วย หลายคนทิ้งบ้านที่สะดวกสบายและทิ้งงานที่มั่นคงเพื่อจะช่วยพี่น้องที่เป็นทุกข์เดือดร้อน.
14 ในพื้นที่หนึ่ง คลื่นพายุซัดฝั่งได้เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งลึกเข้าไปในแผ่นดินถึง 80 กิโลเมตร ดันให้เกิดกำแพงน้ำที่สูงถึง 10 เมตร. เมื่อน้ำลด ก็พบว่ามีถึงหนึ่งในสามของบ้านเรือนและอาคารต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในเส้นทางของคลื่นนี้ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง. อาสาสมัครที่เป็นพยานฯ จากหลายประเทศได้นำเครื่องมือและวัสดุก่อสร้างมายังพื้นที่แห่งนี้, ใช้ทักษะความสามารถที่ตนมี, และยินดีทำงานอะไรก็ตามที่จำเป็น. พยานฯ สองคนซึ่งเป็นแม่ม่ายและเป็นพี่น้องกันเก็บข้าวของใส่รถกระบะแล้วก็เดินทางไกลกว่า 3,000 กิโลเมตรเพื่อมาช่วย. คนหนึ่งในพี่น้องสองคนนี้ยังคงอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว และยังคงช่วยงานคณะกรรมการบรรเทาทุกข์ของท้องถิ่นและรับใช้เป็นไพโอเนียร์ประจำ.
15 มีบ้านของพยานฯ และของคนอื่น ๆ มากกว่า 5,600 หลังในพื้นที่นั้นได้รับการซ่อมแซมหรือสร้างขึ้นใหม่. พยานฯ ในท้องถิ่นรู้สึกอย่างไรที่ได้รับความรักอย่างท่วมท้นเช่นนี้? พี่น้องหญิงคนหนึ่งซึ่งบ้านของเธอถูกทำลายได้ย้ายไปอยู่ในรถพ่วงเล็ก ๆ ที่หลังคารั่วและเตาก็เสีย. พี่น้องได้สร้างบ้านแบบเรียบ ๆ แต่ก็อยู่สบายให้แก่เธอ. เมื่อยืนอยู่หน้าบ้านหลังใหม่ที่สร้างอย่างดี เธอก็ร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกขอบคุณพระยะโฮวาและพี่น้อง. ในอีกหลายกรณี พยานฯ ในท้องถิ่นที่ไร้ที่อยู่ยังคงอยู่ต่อไปในที่พักชั่วคราวนานเป็นปีหรือนานกว่านั้นหลังจากที่บ้านของพวกเขาซึ่งสร้างขึ้นใหม่เสร็จแล้ว. เพราะเหตุใด? เพื่อให้พี่น้องที่ทำงานอาสาสมัครบรรเทาทุกข์ได้พักในบ้านใหม่ของพวกเขา. ช่างเป็นตัวอย่างที่ดีจริง ๆ ในการแสดงทัศนคติแบบพระคริสต์!
จงแสดงทัศนคติแบบพระคริสต์ต่อคนป่วย
16, 17. เราสามารถสะท้อนทัศนคติของพระคริสต์ต่อคนป่วยโดยวิธีใด?
16 มีเพียงไม่กี่คนในหมู่พวกเราที่ต้องรับมือกับภัยธรรมชาติร้ายแรง. แต่แทบทุกคนต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพ ทั้งที่เป็นปัญหาของตัวเขาเองหรือของคนอื่นในครอบครัว. ทัศนคติของพระเยซูที่มีต่อคนป่วยเป็นตัวอย่างสำหรับเรา. ความรักกระตุ้นให้พระองค์รู้สึกสงสารพวกเขา. เมื่อฝูงชนพาคนป่วยมาหาพระองค์ “พระองค์ทรงรักษาคนป่วยทุกคน.”—มัด. 8:16; 14:14
17 ในทุกวันนี้ คริสเตียนไม่มีอำนาจอัศจรรย์เหมือนพระเยซูในการรักษาโรค แต่พวกเขามีทัศนคติที่เห็นอกเห็นใจคนป่วยแบบเดียวกับพระเยซู. พวกเขาแสดงให้เห็นทัศนคติเช่นนั้นอย่างไร? ข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งก็คือ เหล่าผู้ปกครองแสดงว่าพวกเขามีทัศนคติแบบพระคริสต์ด้วยการจัดเพื่อให้มีการช่วยเหลือพี่น้องที่เจ็บป่วยในประชาคมแล้วก็คอยติดตามผล ซึ่งก็เป็นไปตามหลักการของแนวทางปฏิบัติที่กล่าวไว้ในมัดธาย 25:39, 40.a (อ่าน)
18. พี่น้องหญิงสองคนได้แสดงความรักแท้ต่อพี่น้องอีกคนหนึ่งอย่างไร และผลเป็นอย่างไร?
18 แน่นอน ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ปกครองก็ทำดีต่อคนอื่นได้. ขอพิจารณากรณีของชาร์ลีน ซึ่งอายุ 44 ปีที่เป็นโรคมะเร็งและแพทย์บอกว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่สิบวัน. เมื่อเห็นความลำบากที่เธอประสบและเห็นว่าเป็นงานหนักที่สามีซึ่งรักและห่วงใยต้องคอยดูแลเธอ พี่น้องหญิงสองคน คือชารอนและนิโคเลต จัดเวลามาช่วยดูแลเธอตลอดช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต. วาระสุดท้ายนั้นยืดออกไปจนถึงหกสัปดาห์ แต่พี่น้องหญิงสองคนนี้ก็ได้แสดงความรักโดยช่วยดูแลเธอจนถึงที่สุด. ชารอนให้ข้อสังเกตว่า “เป็นเรื่องที่รับได้ยากเมื่อคุณรู้ว่าพี่น้องคนหนึ่งเป็นโรคร้ายที่ไม่มีทางหาย. แต่พระยะโฮวาทรงเสริมกำลังเรา. ประสบการณ์นี้ทำให้พวกเราใกล้ชิดกับพระองค์และใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น.” สามีของชาร์ลีนกล่าวว่า “ผมจะไม่มีทางลืมการช่วยเหลืออย่างกรุณาที่ได้รับจากพี่น้องหญิงที่รักสองคนนี้เลย. เจตนาที่บริสุทธิ์ใจและทัศนคติที่ดีของทั้งสองคนนี้ช่วยให้ชาร์ลีนผู้ซื่อสัตย์ของผมอดทนกับการทดสอบครั้งสุดท้ายนี้ได้ง่ายขึ้น และช่วยแบ่งเบาภาระให้ผมทั้งทางกายและทางใจซึ่งจำเป็นเหลือเกินสำหรับผม. ผมจะสำนึกบุญคุณพวกเขาตลอดไป. การเสียสละของพวกเขาทำให้ความเชื่อที่ผมมีต่อพระยะโฮวาและความรักต่อสังคมพี่น้องทั้งสิ้นของเราแรงกล้ายิ่งขึ้น.”
19, 20. (ก) ห้าแง่มุมของทัศนคติแบบพระคริสต์ที่เราได้พิจารณาไปมีอะไรบ้าง? (ข) คุณตั้งใจแน่วแน่จะทำอะไร?
19 ในบทความสามเรื่องนี้ เราได้พิจารณาห้าแง่มุมของทัศนคติแบบพระคริสต์และวิธีที่เราจะคิดและทำแบบเดียวกับพระองค์. ขอให้เรา “อ่อนโยนและถ่อมใจ” เหมือนพระเยซู. (มัด. 11:29) ขอให้เราพยายามปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างกรุณาด้วย แม้แต่เมื่อเห็นได้ชัดว่าพวกเขามีข้อบกพร่องและข้ออ่อนแอ. ขอให้เราเชื่อฟังอย่างกล้าหาญในทุกสิ่งที่พระยะโฮวาทรงคาดหมายให้เราทำ แม้เมื่อเผชิญกับการทดสอบ.
20 ประการสุดท้าย ให้เราแสดงความรักแบบพระคริสต์ต่อพี่น้องทั้งหมด เช่นเดียวกับที่พระคริสต์เองทรงแสดงความรัก “จนถึงที่สุด.” การแสดงความรักเช่นนั้นช่วยให้ระบุได้ว่าเราเป็นสาวกแท้ของพระเยซู. (โย. 13:1, 34, 35) ดังนั้น “ขอให้ [เรา] รักกันฉันพี่น้องต่อ ๆ ไป.” (ฮีบรู 13:1) อย่าเหนี่ยวรั้งตัวเองไว้! จงตั้งใจแน่วแน่ที่จะสรรเสริญพระยะโฮวาและช่วยเหลือคนอื่น ๆ! พระยะโฮวาจะทรงอวยพรความพยายามอย่างจริงใจของคุณ.
[เชิงอรรถ]
a โปรดดูบทความ “ทำมากกว่าที่จะพูดว่า: ‘ขอให้อบอุ่นและอิ่มหนำสำราญเถิด’ ” ในหอสังเกตการณ์ ฉบับ 15 ตุลาคม 1986.
คุณอธิบายได้ไหม?
• ผู้ปกครองจะแสดงทัศนคติแบบพระคริสต์ต่อคนที่ทำผิดได้อย่างไร?
• เหตุใดการเลียนแบบความรักของพระคริสต์จึงสำคัญเป็นพิเศษในเวลาอวสานนี้?
• เราจะสะท้อนทัศนคติแบบพระคริสต์ต่อคนป่วยได้อย่างไร?
[ภาพหน้า 17]
ผู้ปกครองต้องการช่วยผู้ทำผิดให้กลับมามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระยะโฮวา
[ภาพหน้า 18]
คริสเตียนที่หนีออกจากกรุงเยรูซาเลมสะท้อนให้เห็นทัศนคติแบบพระคริสต์อย่างไร?
[ภาพหน้า 19]
พยานพระยะโฮวามีชื่อเสียงในเรื่องการแสดงความรักแบบพระคริสต์ในภาคปฏิบัติ