ตู้ปัญหา
▪ จะจัดการเรื่องราวอย่างไรเมื่อเจ้าของบ้านยืนกรานว่าพยานพระยะโฮวาไม่ต้องเยี่ยมที่บ้านเขาอีก?
เมื่อเราพบป้ายที่ประตูบ้านซึ่งห้ามการเยี่ยมที่มีลักษณะทางศาสนาอย่างเด็ดขาดและบอกเจาะจงถึงพยานพระยะโฮวา คงดีที่สุดที่จะทำตามความต้องการของเจ้าของบ้านนั้นและไม่เคาะประตู.
บางครั้งเราเจอป้ายห้ามพนักงานขายหรือผู้เรี่ยไร. เนื่องจากเรากำลังทำงานด้านศาสนาด้วยความเอื้อเฟื้อ ป้ายนั้นจึงไม่ใช้กับเราจริง ๆ. ย่อมเป็นการเหมาะสมที่จะทำต่อไปและเคาะที่บ้านนั้น. ถ้าเจ้าของบ้านคัดค้าน เราอาจชี้แจงด้วยความผ่อนสั้นผ่อนยาวถึงเหตุผลที่เราคิดว่า ป้ายนั้นไม่เกี่ยวกับกรณีของเรา. หากหลังจากนั้นเจ้าของบ้านบอกชัดเจนว่า การห้ามนั้นรวมถึงพยานพระยะโฮวาด้วย เราก็จะแสดงความนับถือความต้องการของเขา.
เมื่อเราทำงานอยู่ในเขตทำงาน เจ้าของบ้านอาจรู้สึกไม่พอใจอย่างเห็นได้และยืนกรานว่า เราต้องไม่เยี่ยมเขาอีก. ถ้าเขาไม่ยอมฟังเหตุผลในเรื่องนั้น เราก็ควรทำตามคำขอของเขา. ควรเขียนบันทึกที่ลงวันเวลาไว้ในซองเขตทำงานด้วยเพื่อผู้ประกาศที่ทำงานในเขตนั้นในวันข้างหน้าจะไม่เยี่ยมที่บ้านนั้น.
ไม่ใช่ว่าจะเว้นบ้านเหล่านั้นไว้ตลอดไป. ผู้อาศัยปัจจุบันอาจย้ายไปก็ได้. เราอาจติดต่อกับอีกครอบครัวหนึ่งซึ่งตอบรับอย่างน่าพอใจ. มีความเป็นไปได้เช่นกันว่า เจ้าของบ้านคนที่เราพูดด้วยนั้นจะเปลี่ยนใจและพร้อมมากขึ้นที่จะให้เราเยี่ยม. ดังนั้น หลังจากเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งแล้วก็ควรถามผู้อยู่บ้านนั้นอย่างผ่อนสั้นผ่อนยาวเพื่อจะรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรในปัจจุบัน.
ควรตรวจดูแฟ้มเขตทำงานปีละครั้ง ทำรายการบ้านที่เราเคยได้รับคำชี้แจงไม่ให้เยี่ยม. ภายใต้การชี้แนะของผู้ดูแลการรับใช้ อาจมอบหมายผู้ประกาศที่ผ่อนหนักผ่อนเบา มีประสบการณ์ ให้ไปเยี่ยมบ้านเหล่านั้น. อาจชี้แจงได้ว่า เราเยี่ยมเพื่อถามว่า เจ้าของบ้านคนเดียวกันยังอยู่ที่นั่นหรือไม่. ผู้ประกาศควรคุ้นกับเนื้อหาในหนังสือเล่มเล็กวิธีเริ่มและสานต่อการสนทนาเรื่องพระคัมภีร์ หน้า 7-16 เรื่อง “วิธีที่คุณอาจใช้ตอบข้ออ้างซึ่งอาจยุติการสนทนาได้.” ถ้ามีการตอบรับที่เหมาะ อาจเยี่ยมด้วยวิธีปกติในวันข้างหน้าได้. ถ้าเจ้าขอบบ้านยังคงเป็นปฏิปักษ์อยู่ต่อไป ก็ไม่ควรเยี่ยมอีกจนกว่าปีถัดไป. คณะผู้ปกครองในประชาคมท้องถิ่นสามารถตัดสินใจได้หากสภาพการณ์แวดล้อมในเฉพาะกรณีทำให้เหมาะสมจะจัดการเรื่องราวด้วยวิธีที่ต่างกัน.