เรื่องราวชีวิตจริง
ผมเห็นเลยว่าคนที่มีความเชื่อจะได้แต่สิ่งดี ๆ
คุณเคยจำบทสนทนาบางเรื่องได้อย่างไม่มีวันลืมไหม? สำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 50 ปีก่อน ตอนที่ผมนั่งคุยกับเพื่อนข้างกองไฟที่เคนยา ตอนนั้นเราสองคนดำมากเพราะเดินทางท่องเที่ยวนานหลายเดือน เราคุยกันเกี่ยวกับหนังเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับศาสนา เพื่อนผมบอกว่า “หนังเรื่องนั้นมันพูดไม่จริงเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลเลย”
ผมขำออกมาทันทีเพราะไม่คิดว่าเพื่อนจะสนใจเรื่องศาสนา ผมเลยถามเขาว่า “นายรู้จักคัมภีร์ไบเบิลเหรอ?” เพื่อนผมนิ่งไปสักพักแล้วก็บอกว่าแม่เขาเป็นพยานพระยะโฮวาและแม่ก็เคยสอนคัมภีร์ไบเบิลให้เขา ผมอยากรู้เรื่องนี้มากเลยคะยั้นคะยอให้เขาเล่าให้ฟังอีก
เราคุยกันเกือบทั้งคืน เพื่อนผมบอกว่าซาตานเป็นผู้ปกครองโลก (ยน. 14:30) บางทีคุณคงรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่สำหรับผมนี่มันเป็นเรื่องใหม่และน่าสนใจมาก ผมเคยเชื่อมาตลอดว่าพระเจ้าเป็นผู้ควบคุมทุกอย่างในโลก และพระองค์เป็นพระเจ้าที่ใจดีและยุติธรรม แต่สิ่งเลวร้ายที่ผมเห็นในโลกนี้มันทำให้ผมรู้สึกขัดแย้งในใจ แม้ตอนนั้นผมจะอายุแค่ 26 แต่เรื่องเลวร้ายที่ผมเห็นมันทำให้ผมรู้สึกแย่มาก
พ่อผมเป็นนักบินในกองทัพอากาศสหรัฐ ผมเชื่อตั้งแต่เด็กเลยว่าสักวันต้องเกิดสงครามนิวเคลียร์แน่ ๆ และกองทัพก็พร้อมจะยิงระเบิดนิวเคลียร์ทุกเมื่อ ในช่วงที่เกิดสงครามเวียดนามผมเรียนมหาวิทยาลัยที่แคลิฟอร์เนีย ผมเข้าร่วมกับการประท้วงของนักศึกษา ตำรวจที่มาควบคุมฝูงชนถือกระบองวิ่งไล่เรา เราถูกจับล็อกคอและแสบตาจนมองไม่เห็นเพราะตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่เรา ช่วงนั้นมีแต่ความวุ่นวายและการต่อต้าน พวกผู้นำทางการเมืองถูกลอบยิง มีแต่การเดินขบวนประท้วงและก่อการจลาจล ผู้คนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันมาก มันเลยมีแต่ความสับสนวุ่นวาย
จากลอนดอนไปแอฟริกากลาง
ในปี 1970 ผมได้งานทำที่ชายฝั่งทางเหนือของอะแลสกา ผมหาเงินได้เยอะมาก ต่อมาผมบินไปที่ลอนดอน ซื้อมอเตอร์ไซค์มาคันหนึ่งและขี่ลงใต้ไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย หลายเดือนต่อมาผมขี่มอเตอร์ไซค์จนมาถึงแอฟริกา ตลอดทางผมได้เจอกับผู้คนที่อยากจะหนีไปไหนสักแห่งให้พ้นจากความวุ่นวายและปัญหา
ดังนั้นความสับสนวุ่นวายในโลกที่ผมเห็นสอดคล้องกับคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่าซาตานเป็นผู้ควบคุมทุกอย่างในโลก และผมก็รู้สึกว่าคำสอนนี้มีเหตุผล แต่ผมก็สงสัยว่าถ้าพระเจ้าไม่ได้เป็นผู้ควบคุมทุกอย่างในโลก แล้วพระองค์ไม่คิดจะจัดการอะไรเลยเหรอ? ผมอยากรู้เรื่องนี้มากจริง ๆ
หลายเดือนต่อมาผมก็ได้คำตอบ และหลังจากนั้นผมก็ได้มีโอกาสรู้จักกับพี่น้องหลายคนที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าเที่ยงแท้ไม่ว่าจะเจอสภาพการณ์แบบไหน
ไอร์แลนด์เหนือ “ดินแดนแห่งระเบิดและดงกระสุน”
ตอนที่ผมกลับมาที่ลอนดอน ผมได้ติดต่อกับแม่ของเพื่อนคนนั้น แล้วเธอก็ให้คัมภีร์ไบเบิลกับผมเล่มหนึ่ง ต่อมาผมเดินทางไปที่อัมสเตอร์ดัมประเทศเนเธอร์แลนด์ พยานฯคนหนึ่งเห็นผมอ่านคัมภีร์ไบเบิลใต้เสาไฟฟ้าข้างถนนตอนกลางคืน เขาก็เลยช่วยผมให้รู้มากขึ้น ต่อมาผมก็เดินทางไปที่กรุงดับลินประเทศไอร์แลนด์ แล้วก็ได้ไปที่สำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาที่นั่น ผมเคาะประตู พอเข้าไปผมก็ได้เจออาเทอร์ แมตทิวส์ซึ่งเป็นพี่น้องที่ฉลาดและมีประสบการณ์ ผมก็เลยขอศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเขา
ผมตั้งอกตั้งใจศึกษาคัมภีร์ไบเบิลด้วยความอยากรู้และอยากเข้าใจ แถมผมยังอ่านหนังสือกับวารสารของพยานฯหลายเล่ม แน่นอนว่าผมอ่านคัมภีร์ไบเบิลด้วย พอได้อ่านมันทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นจริง ๆ แล้วผมก็ได้ไปประชุมที่หอประชุม ผมเห็นเลยว่าแม้แต่เด็ก ๆ ก็ยังตอบคำถามที่คนที่มีความรู้เคยสงสัยมานานหลายร้อยปีได้ เช่น ทำไมถึงมีความชั่ว? พระเจ้าเป็นใคร? ตายแล้วไปไหน? ตอนอยู่ที่ไอร์แลนด์เพื่อนผมมีแต่พยานฯเพราะผมไม่รู้จักใครเลยนอกจากพยานพระยะโฮวา พวกเขาช่วยผมให้รักพระยะโฮวาและทำตามสิ่งที่พระองค์ต้องการ
ไนเจล เดนนิส และผม
ผมรับบัพติศมาในปี 1972 หนึ่งปีต่อมาผมเริ่มเป็นไพโอเนียร์และอยู่ในประชาคมเล็ก ๆ ที่เมืองนิวรี ประเทศไอร์แลนด์เหนือ ผมเช่าบ้านอยู่ริมเขาห่างไกลจากผู้คน เป็นบ้านที่ทำด้วยหิน กลางทุ่งมีฝูงวัวอยู่ไม่ไกล ผมมักจะซ้อมคำบรรยายให้พวกมันฟัง แล้วมันก็ดูท่าจะตั้งใจฟังดีตอนที่เคี้ยวหญ้าไปด้วย พวกมันไม่ได้แนะนำอะไรผมแต่ช่วยให้ผมฝึกสบตากับผู้ฟังได้ ในปี 1974 ผมได้รับการแต่งตั้งเป็นไพโอเนียร์พิเศษ และพี่น้องไนเจล พิตท์เป็นคู่ไพโอเนียร์ของผม เราเป็นเพื่อนกันตลอดชีวิต
ตอนนั้นเป็นช่วงที่มีความขัดแย้งรุนแรงในไอร์แลนด์เหนือ บางคนถึงกับบอกว่าไอร์แลนด์เหนือเป็น “ดินแดนแห่งระเบิดและดงกระสุน” เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเห็นคนต่อยกันตามถนน ยิงกัน แถมยังมีคาร์บอมบ์ด้วย ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความขัดแย้งทางการเมืองและศาสนา แต่ทั้งโปรเตสแตนต์และคาทอลิกก็ยอมรับว่าพยานพระยะโฮวาไม่เลือกข้างฝ่ายไหนทางการเมือง เราก็เลยสามารถประกาศได้อย่างอิสระและปลอดภัย ปกติแล้วเจ้าของบ้านจะรู้ว่าจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นที่ไหนและเมื่อไหร่ พวกเขาก็เลยจะบอกให้เรารู้ตัวก่อนเพื่อเราจะได้ปลอดภัย
ถึงจะเป็นอย่างนั้นชีวิตที่นั่นก็ค่อนข้างอันตราย วันหนึ่งผมกับเดนนิส คาร์ริแกนซึ่งเป็นไพโอเนียร์ไปประกาศในเมืองหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล ที่นั่นไม่มีพยานฯเลยและเราก็เคยไปประกาศที่นั่นแค่ครั้งเดียว มีผู้หญิงคนหนึ่งในเมืองนั้นกล่าวหาว่าเราเป็นสายลับของทหารอังกฤษ ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอถึงบอกแบบนั้น อาจเป็นไปได้ว่าเราไม่ได้พูดสำเนียงไอริช แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ทำให้เรากลัว เพราะแค่แสดงออกว่าเป็นมิตรกับทหารอังกฤษก็อาจทำให้คุณถูกฆ่าหรือถูกยิงให้เข่าแตก ตอนที่เรารอรถเมล์เพื่อจะกลับออกไปจากเมืองนั้น อากาศหนาวมากและเราก็ยืนกันอยู่แค่สองคน เราเห็นรถคันหนึ่งขับมาที่ร้านกาแฟที่ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ แล้วเธอก็ออกมาคุยกับผู้ชายสองคนนั้นที่อยู่ในรถและชี้มือชี้ไม้มาที่เรา และผู้ชายสองคนนั้นก็ขับรถมาหาเราและถามเราเรื่องรถเมล์ว่าจะมาตอนไหน พอรถเมล์มาถึงสองคนนั้นก็ไปคุยกับคนขับ เราไม่รู้เลยว่าพวกเขาคุยอะไรกันและบนรถเมล์ก็ไม่มีผู้โดยสารด้วย เราเลยคิดว่าพวกเขาคงจะคุยกันว่าจะพาเราออกไปจัดการนอกเมือง แต่ปรากฏว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น เรานั่งรถเมล์ออกไปจากเมืองนั้นได้อย่างปลอดภัย ตอนลงรถผมหันมาถามคนขับว่า “คนในเมืองนั้นสงสัยอะไรเกี่ยวกับพวกเราเหรอครับ?” เขาตอบว่า “ไม่ต้องห่วงหรอก ผมรู้จักพวกคุณดี ผมบอกพวกเขาไปว่าคุณสองคนไม่ทำอะไรพวกเขาหรอก”
วันแต่งงานของเราเดือนมีนาคม 1977
ในปี 1976 มีการจัดการประชุมภาคaที่กรุงดับลิน ผมได้เจอกับพอลลีน โลแม็กซ์ที่นั่น เธอเป็นไพโอเนียร์พิเศษจากอังกฤษ เธอรักพระเจ้า เป็นคนถ่อมตัวและน่ารักมาก พอลลีนกับเรย์น้องชายของเธอโตมาในครอบครัวที่เป็นพยานฯ หนึ่งปีต่อมาผมกับพอลลีนก็แต่งงานกัน เราสองคนเป็นไพโอเนียร์พิเศษด้วยกันที่เมืองบัลลีมีนา ประเทศไอร์แลนด์เหนือ
เราเดินหมวดด้วยกันช่วงหนึ่ง เขตที่เรารับใช้อยู่ที่กรุงเบลฟาสต์ เมืองลอนดอนเดอร์รี่ และเขตที่อันตรายอื่น ๆ เรารู้สึกประทับใจความเชื่อของพี่น้องมาก พวกเขาทิ้งสิ่งที่ฝังรากลึกมานาน เช่น ความเชื่อทางศาสนา อคติ และความเกลียดชัง แล้วมารับใช้พระยะโฮวา พระองค์ก็เลยอวยพรพวกเขาและปกป้องพวกเขาให้ปลอดภัย
ผมอยู่ที่ไอร์แลนด์ประมาณ 10 ปี และในปี 1981 เราได้รับเชิญให้เข้าโรงเรียนกิเลียดชั้นเรียนที่ 72 หลังจบจากโรงเรียนนั้นเราได้รับมอบหมายให้ไปรับใช้ที่เซียร์ราลีโอนซึ่งอยู่ทางตะวันตกของทวีปแอฟริกา
เซียร์ราลีโอน พี่น้องที่นั่นมีความเชื่อเข้มแข็งแม้จะยากจน
ตอนอยู่เซียร์ราลีโอน เราอยู่ในบ้านมิชชันนารีหลังหนึ่งที่มีมิชชันนารีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 11 คน ทุกคนน่ารักมาก บ้านหลังนั้นมีห้องครัว 1 ห้อง ห้องน้ำ 3 ห้อง ห้องอาบน้ำ 2 ห้อง โทรศัพท์ 1 เครื่อง เครื่องซักผ้า 1 เครื่อง และเครื่องอบผ้า 1 เครื่อง ที่เซียร์ราลีโอนไฟฟ้ามักจะดับบ่อย ๆ แล้วก็ไม่รู้เลยว่าจะดับเมื่อไหร่ ส่วนบนหลังคาก็มักจะมีหนูเยอะแยะ แถมชั้นใต้ดินก็เป็นที่หลบซ่อนของงูเห่าด้วย
ข้ามแม่น้ำไปประชุมภาคที่กินีซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน
แม้ชีวิตความเป็นอยู่จะไม่ง่าย แต่งานรับใช้ทำให้เรามีความสุขมาก ผู้คนนับถือคัมภีร์ไบเบิลและตั้งใจฟังเวลาเราประกาศ หลายคนศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและเข้ามาเป็นพยานฯ คนเซียร์ราลีโอนจะเรียกผมว่า “คุณโรเบิร์ต” และเรียกพอลลีนว่า “ภรรยาคุณโรเบิร์ต” แต่หลังจากที่ผมต้องทำงานในสำนักงานสาขามากกว่าออกไปประกาศ คนที่นั่นก็เลยเรียกพอลลีนว่า “คุณพอลลีน” แล้วก็เรียกผมว่า “สามีคุณพอลลีน” พอลลีนชอบใจที่พวกเขาเรียกแบบนั้น
ประกาศในพื้นที่ห่างไกลในเซียร์ราลีโอน
แม้พี่น้องหลายคนจะยากจน แต่พระยะโฮวาก็ดูแลพวกเขาให้มีสิ่งจำเป็นเสมอ (มธ. 6:33) และบางครั้งพระองค์ก็ทำแบบนั้นในวิธีที่คิดไม่ถึง เรื่องหนึ่งที่ผมจำได้ดีก็คือพี่น้องหญิงคนหนึ่งมีเงินเหลือติดตัวแค่ซื้ออาหารให้ตัวเองกับลูกได้พอกินในวันนั้น แต่พอเธอได้ยินว่าพี่น้องชายคนหนึ่งป่วยเป็นมาลาเรียและไม่มีเงินซื้อยา เธอก็เลยเอาเงินให้เขาไปหมด ปรากฏว่าในวันเดียวกันนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งมาจ้างพี่น้องหญิงคนนี้ทำผม เลยทำให้เธอมีเงินใช้ เราสองคนได้ยินประสบการณ์ดี ๆ แบบนี้นับครั้งไม่ถ้วน
ไนจีเรีย เราได้เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่
เรารับใช้ที่เซียร์ราลีโอนประมาณ 9 ปี แล้วเราก็ได้รับมอบหมายให้ไปอยู่ที่เบเธลไนจีเรียซึ่งเป็นสาขาที่ใหญ่มาก ผมทำงานเดิมเหมือนที่เคยทำในเซียร์ราลีโอน แต่พอลลีนต้องเจอการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก่อนหน้านี้เธอรับใช้เป็นไพโอเนียร์พิเศษประกาศเดือนละ 130 ชั่วโมงและก็มีนักศึกษาที่ก้าวหน้าหลายราย แต่ตอนนี้เธอได้รับมอบหมายให้ทำงานในห้องเย็บผ้าเพื่อซ่อมแซมเสื้อผ้าของพี่น้อง ต้องใช้เวลาซักพักกว่าที่พอลลีนจะปรับตัวได้ แต่ในที่สุดเธอก็ได้รู้ว่าพี่น้องเห็นค่าสิ่งที่เธอทำมากจริง ๆ และพอลลีนก็พยายามให้กำลังใจพี่น้องที่ทำงานในสำนักงานสาขาไนจีเรียด้วย
เราสองคนไม่ค่อยคุ้นกับวัฒนธรรมไนจีเรียเลยมีอะไรหลายอย่างที่เราต้องเรียนรู้ ครั้งหนึ่งมีพี่น้องชายคนหนึ่งพาพี่น้องหญิงมาพบผมที่เบเธล เธอเพิ่งเข้ามารับใช้ในเบเธลเป็นครั้งแรก ตอนที่ผมกำลังจะทักทายเธอด้วยการจับมือ เธอก็หมอบลงกับพื้นตรงเท้าผม ผมตกใจมาก ผมนึกถึงข้อคัมภีร์ 2 ข้อทันที คือที่กิจการ 10:25, 26 กับวิวรณ์ 19:10 ผมคิดว่าผมควรจะบอกพี่น้องหญิงคนนี้ดีไหมว่าอย่าทำแบบนี้ แต่ผมก็นึกขึ้นได้ว่าเธอเข้ามาทำงานในเบเธลนะ เธอต้องรู้คำสอนในคัมภีร์ไบเบิลดีสิ
แล้วพวกเราก็คุยกันต่อ แต่ผมก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ต่อมาผมก็เลยค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมได้มารู้ว่าสิ่งที่พี่น้องหญิงคนนั้นทำมันเป็นวิธีแสดงความเคารพในสมัยนั้นและเป็นวิธีที่คนบางภูมิภาคของไนจีเรียทำกัน ผู้ชายไนจีเรียก็หมอบลงทำความเคารพแบบนั้นด้วย มันไม่ใช่การนมัสการ และในคัมภีร์ไบเบิลก็มีบางคนทำแบบนี้ (1 ซม. 24:8) ผมดีใจที่ไม่ได้พูดอะไรที่ทำให้พี่น้องหญิงคนนั้นอายเพราะความไม่รู้ของผม
ตลอดหลายปีที่อยู่ไนจีเรีย เราได้เจอกับพี่น้องหลายคนที่มีความเชื่อเข้มแข็ง ตัวอย่างหนึ่งคือพี่น้องที่ชื่อไอเซอา อาดักโบนาb เขาเคยเรียนความจริงตอนเป็นวัยรุ่น ต่อมาเขาเป็นโรคเรื้อน เขาเลยถูกส่งตัวไปอยู่ในนิคมโรคเรื้อนซึ่งที่นั่นมีแค่เขาคนเดียวที่เป็นพยานพระยะโฮวา แถมเขายังถูกต่อต้านด้วย ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ช่วยคนที่เป็นโรคเรื้อนมากกว่า 30 คนให้มาเป็นพยานฯและถึงกับตั้งประชาคมหนึ่งที่นั่น
เคนยา พี่น้องที่นั่นอดทนกับผม
กับลูกแรดกำพร้าในเคนยา
ในปี 1996 เราได้รับมอบหมายให้ไปอยู่ที่สำนักงานสาขาเคนยา นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้กลับไปประเทศที่ผมได้เล่าให้ฟังไปแล้วตอนต้น ผมกับพอลลีนพักอยู่ในเบเธลเคนยา เบเธลนั้นมักจะมีลิงเวอร์เวตเข้ามาหลายตัว พวกมันมักจะชอบ “จิ๊ก” ผลไม้ที่พี่น้องหญิงถือ วันหนึ่งพี่น้องหญิงคนหนึ่งเปิดหน้าต่างห้องทิ้งไว้แล้วออกไปข้างนอก พอกลับมามีลิงครอบครัวหนึ่งนั่งกินอาหารอยู่ในห้องของเธอ เธอกรี๊ดดังลั่นแล้ววิ่งออกจากห้อง ส่วนลิงก็ตกใจแล้วก็กระโดดออกหน้าต่างไป
ผมกับพอลลีนได้รับมอบหมายให้อยู่ประชาคมภาษาสวาฮิลี และไม่นานผมได้รับมอบหมายให้นำการศึกษาหนังสือประจำประชาคม (ปัจจุบันเรียกว่าการศึกษาพระคัมภีร์ประจำประชาคม) ผมพูดภาษาสวาฮิลีแทบไม่ได้ ผมเลยต้องเตรียมล่วงหน้าเพื่อจะอ่านคำถามได้ แต่ถ้าพี่น้องตอบสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในหนังสือหรือตอบต่างจากหนังสือไปเล็กน้อย ผมก็จะไม่เข้าใจซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเลย ผมสงสารพี่น้องจริง ๆ แต่ก็ประทับใจที่พวกเขายอมรับการจัดเตรียมของพระเจ้าด้วยความอดทนและถ่อมใจ
สหรัฐ พี่น้องมีความเชื่อเข้มแข็งแม้ผู้คนจะสนใจแต่เรื่องเงินทอง
เราอยู่ในเคนยาไม่ถึง 1 ปี ในปี 1997 เราได้รับมอบหมายให้ไปรับใช้ที่เบเธลบรุกลิน นิวยอร์กตอนนี้เรามาอยู่ในประเทศที่ผู้คนสนใจแต่เรื่องเงินทองซึ่งก็ทำให้เจอปัญหาอีกแบบหนึ่ง (สภษ. 30:8, 9) แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นพี่น้องเราก็มีความเชื่อเข้มแข็งเพราะพวกเขาใช้เวลาและสิ่งที่ตัวเองมีไม่ใช่เพื่อหาความร่ำรวย แต่เพื่อสนับสนุนงานขององค์การ
ตลอดหลายสิบปีที่รับใช้พระยะโฮวา เราได้เห็นพี่น้องมีความเชื่อเข้มแข็งแม้จะอยู่ในสภาพการณ์ที่แตกต่างกัน เช่น ในไอร์แลนด์พี่น้องมีความเชื่อเข้มแข็งแม้จะอยู่ในประเทศที่มีสงครามกลางเมือง ในแอฟริกาพี่น้องมีความเชื่อเข้มแข็งแม้จะยากจนและต้องอยู่ในที่ที่ห่างไกล ในสหรัฐพี่น้องมีความเชื่อเข้มแข็งแม้ผู้คนจะสนใจแต่เรื่องเงินทอง เมื่อพระยะโฮวามองลงมาและเห็นคนของพระองค์แสดงความรักต่อพระองค์ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพการณ์ไหน พระองค์ต้องมีความสุขมากแน่ ๆ
กับพอลลีนที่เบเธลวอร์วิก
เวลาผ่านไป “เร็วกว่ากระสวยทอผ้าที่พุ่งไปมา” (โยบ 7:6) ตอนนี้ผมกับพอลลีนรับใช้ร่วมกันกับพี่น้องที่สำนักงานใหญ่ที่วอร์วิก นิวยอร์ก เรามีความสุขที่ยังสามารถรับใช้ร่วมกันกับพี่น้องที่มีความรักแท้ต่อกัน เราดีใจเหลือเกินที่ยังสามารถทำสิ่งที่เราทำได้เพื่อสนับสนุนพระเยซูกษัตริย์ของเรา ซึ่งอีกไม่นานท่านจะให้รางวัลผู้รับใช้ทุกคนที่มีความเชื่อในพระยะโฮวา—มธ. 25:34
a ปัจจุบันการประชุมภาคเปลี่ยนชื่อเป็นการประชุมภูมิภาค
b เรื่องราวชีวิตจริงของพี่น้องไอเซอา อาดักโบนาอยู่ในหอสังเกตการณ์ 1 เมษายน 1998 หน้า 22-27 เขาตายในปี 2010