เรื่องราวชีวิตจริง
“สงครามครั้งนี้เป็นของพระยะโฮวา”
วันที่ 28 มกราคม 2010 ผมอยู่ที่เมืองสตราสบูร์กซึ่งเป็นเมืองที่สวยงามในประเทศฝรั่งเศส ตอนนั้นเป็นฤดูหนาว ผมไปที่นั่นไม่ใช่เพื่อไปเที่ยว แต่ผมไปในฐานะทีมกฎหมายที่ปกป้องสิทธิของพยานพระยะโฮวาต่อหน้าศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป คดีที่เกิดขึ้นตอนนั้นเป็นเพราะรัฐบาลฝรั่งเศสสั่งให้พี่น้องของเราจ่ายภาษีจำนวนมหาศาลเป็นเงินเกือบ 64 ล้านยูโร (ประมาณ 2,272,000,000 บาท) เหตุผลที่เราต้องต่อสู้ในศาลครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องเงินเท่านั้น แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ ชื่อเสียงของพระยะโฮวาและชื่อเสียงของคนของพระองค์ รวมทั้งเสรีภาพในการนมัสการของพี่น้องในฝรั่งเศส สิ่งที่เกิดขึ้นในการพิจารณาคดีครั้งนั้นทำให้เห็นเลยว่า “สงครามครั้งนี้เป็นของพระยะโฮวา” (1 ซม. 17:47) เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่าเรื่องมันเป็นยังไง
ในปี 1999 รัฐบาลฝรั่งเศสบอกว่าสำนักงานสาขาของเราที่ฝรั่งเศสต้องจ่ายภาษีสำหรับเงินบริจาคที่ได้ตั้งแต่ปี 1993 จนถึงปี 1996 เราเลยฟ้องศาลของฝรั่งเศส แต่ก็ไม่ได้รับความยุติธรรม เราเลยพยายามยื่นอุทธรณ์แต่ผลก็ออกมาเหมือนเดิม และรัฐบาลก็ยึดเงินจากบัญชีธนาคารของสาขาเป็นจำนวนมากกว่า 4.5 ล้านยูโร (ประมาณ 160 ล้านบาท) ความหวังสุดท้ายของเราอยู่ที่ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป แต่ก่อนที่ศาลนี้จะพิจารณาคดีของเรา เขาบอกให้เราไปคุยกับทนายฝั่งรัฐบาลโดยที่มีตัวแทนหนึ่งคนจากศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปอยู่ด้วยเพื่อดูว่าเรากับรัฐบาลจะสามารถไกล่เกลี่ยกันได้ไหม
เราคิดไว้แล้วว่าตัวแทนจากศาลสิทธิมนุษยชนจะกดดันให้เราจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้กับรัฐบาลฝรั่งเศส แต่ถ้าเรายอมจ่ายแม้แต่ยูโรเดียว นั่นก็ขัดกับคำสอนของพระเยซูที่มัทธิว 22:21 พี่น้องตั้งใจบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนรัฐบาลของพระเจ้า ดังนั้น เงินนี้ไม่ใช่ของรัฐบาลฝรั่งเศส แต่เราก็ยังไปเข้าร่วมการประชุมเพื่อให้เกียรติกับศาลสิทธิมนุษยชน
ทีมกฎหมายของเรายืนอยู่หน้าศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป ปี 2010
เราไปคุยกันในห้องประชุมหนึ่งของศาลซึ่งตกแต่งอย่างสวยงาม เจ้าหน้าที่ผู้หญิงที่เป็นตัวแทนของศาลสิทธิมนุษยชนพูดตั้งแต่ต้นเลยว่าพยานพระยะโฮวาต้องจ่ายภาษีจำนวนหนึ่งให้กับรัฐบาลฝรั่งเศสตามที่ขอไว้ แล้วจู่ ๆ เราก็รู้สึกได้ว่าพลังบริสุทธิ์ของพระยะโฮวากระตุ้นให้เราถามว่า “คุณรู้ไหมครับว่ารัฐบาลฝรั่งเศสได้ยึดเงินจากบัญชีธนาคารของเราไปแล้วมากกว่า 4 ล้าน 5 แสนยูโร?”
พอได้ยินแบบนั้น เจ้าหน้าที่หญิงคนนั้นก็ตกใจและโมโหมากเพราะเธอไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน เธอหันไปถามทนายความของรัฐบาลว่านี่เป็นเรื่องจริงไหม แล้วพวกเขาก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง พอเป็นแบบนี้ท่าทีของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เธอหันไปด่าทีมทนายความของรัฐบาลและรีบจบการประชุมทันที ผมเห็นเลยว่าพระยะโฮวาช่วยพวกเราในแบบที่เราไม่คาดคิดและสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งนี่ช่วยเราให้มีโอกาสที่จะชนะคดีได้ เราออกมาจากห้องประชุมด้วยความตื่นเต้นและรู้สึกว่านี่มันเหลือเชื่อจริง ๆ!
วันที่ 30 มิถุนายน 2011 ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้เราเป็นฝ่ายชนะคดี ศาลยังบอกด้วยว่าการเรียกเก็บภาษีแบบนี้ผิดกฎหมาย และยังสั่งให้รัฐบาลฝรั่งเศสคืนเงินที่พวกเขายึดไปและจ่ายดอกเบี้ยให้เราด้วย คำตัดสินนี้ช่วยปกป้องการนมัสการแท้ในฝรั่งเศสจนถึงทุกวันนี้ คำถามที่เราถามเจ้าหน้าที่หญิงคนนั้นเป็นเหมือนก้อนหินที่ยิงเข้าที่หัวของโกลิอัทซึ่งทำให้เขาตายทันที คำถามนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญจริง ๆ แล้วเราชนะคดีนี้ได้ยังไง? อย่างที่ดาวิดพูดกับโกลิอัท เราชนะได้ก็เพราะ “สงครามครั้งนี้เป็นของพระยะโฮวา”—1 ซม. 17:45-47
เราไม่ได้ชนะแค่คดีนี้เท่านั้น ถึงแม้รัฐบาลต่าง ๆ ที่มีอำนาจรวมทั้งศาสนาจะต่อต้านเรา แต่เราชนะคดีมาแล้ว 1,225 คดีซึ่งคดีเหล่านี้มีการพิจารณาในศาลสูงสุดของ 70 ประเทศและในศาลระหว่างประเทศด้วย การที่เราชนะคดีเหล่านี้ช่วยปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของเรา เช่น สิทธิที่จะเป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมาย สิทธิในการประกาศในที่สาธารณะ สิทธิที่จะไม่เข้าร่วมในพิธีที่แสดงความรักชาติ และสิทธิที่จะปฏิเสธการรับเลือด
ผมมาช่วยคดีในยุโรปได้ยังไงทั้ง ๆ ที่ผมรับใช้อยู่ที่สำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา?
โตมากับพ่อแม่ที่เป็นมิชชันนารีที่กระตือรือร้น
พ่อแม่ของผมชื่อจอร์จกับลูซีลล์ เรียนจบจากโรงเรียนกิเลียดชั้นเรียนที่ 12 แล้วไปรับใช้ที่เอธิโอเปีย ผมเกิดที่นั่นในปี 1956 พ่อกับแม่ตั้งชื่อให้ผมว่าฟีลิปตามชื่อของผู้ประกาศข่าวดีในสมัยศตวรรษแรก (กจ. 21:8) ปีต่อมารัฐบาลก็สั่งห้ามงานรับใช้ของเรา ตั้งแต่ตอนที่ผมยังเล็กผมจำได้ว่าครอบครัวของเราแอบทำกิจกรรมคริสเตียนกันแบบลับ ๆ เพราะตอนนั้นยังเด็กผมก็เลยรู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้นดี แต่น่าเสียดายที่รัฐบาลสั่งให้เราออกจากประเทศในปี 1960
นาธาน เอช. นอร์ (ซ้ายสุด) มาเยี่ยมครอบครัวผมที่เมืองแอดดิสอาบาบา เอธิโอเปียในปี 1959
ครอบครัวของเราย้ายไปอยู่ที่เมืองวิชิตา รัฐแคนซัส สหรัฐอเมริกา ถึงแม้ตอนนั้นพ่อแม่จะไม่ได้เป็นมิชชันนารีแล้ว แต่พวกเขาก็ยังรักและกระตือรือร้นในงานรับใช้เสมอ พ่อแม่สอนลูก ๆ ทั้ง 3 คนคือจูดี้พี่สาวของผม ตัวผมเอง รวมทั้งเลสลีย์น้องชายของผมให้รักพระยะโฮวาและรับใช้พระองค์สุดหัวใจ พวกเราทั้ง 3 คนเกิดที่เอธิโอเปีย ผมรับบัพติศมาตอนอายุ 13 และสามปีต่อมาครอบครัวของเราก็ย้ายไปรับใช้ที่อะเรคีปา ประเทศเปรู ซึ่งที่นั่นต้องการผู้ประกาศมากกว่า
ในปี 1974 ตอนที่ผมอายุแค่ 18 สำนักงานสาขาที่เปรูก็มอบหมายให้ผมกับพี่น้องชาย 4 คนรับใช้เป็นไพโอเนียร์พิเศษ เราไปประกาศในเขตที่ยังไม่เคยมีการประกาศมาก่อนในแถบเทือกเขาแอนดีส เรายังประกาศกับคนที่พูดภาษาเกชัวและไอย์มาราด้วย เราเดินทางโดยใช้รถบ้านที่เราเรียกว่า “เรือโนอาห์” เราตั้งชื่อนี้ก็เพราะว่ามันมีรูปทรงเหมือนกล่องขนาดใหญ่ ผมชอบคิดถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้คัมภีร์ไบเบิลประกาศกับคนพื้นเมืองที่นั่น บอกพวกเขาให้รู้ว่าอีกไม่นานพระยะโฮวาจะทำให้ความยากจน ความเจ็บป่วย และความตายหมดไป (วว. 21:3, 4) มีผู้คนมากมายที่นั่นตอบรับความจริง
“เรือโนอาห์” ปี 1974
เริ่มทำงานที่สำนักงานใหญ่
พี่น้องอัลเบิร์ต ชโรเดอร์ซึ่งเป็นสมาชิกคณะกรรมการปกครองได้มาเยี่ยมที่เปรูในปี 1977 เขาสนับสนุนให้ผมส่งใบสมัครไปรับใช้ที่เบเธลที่สำนักงานใหญ่ แล้วผมก็ทำอย่างนั้น ต่อมาวันที่ 17 มิถุนายน 1977 ผมก็เริ่มทำงานรับใช้ที่เบเธลบรุกลิน ผมทำงานในแผนกทำความสะอาดและแผนกซ่อมบำรุงตลอด 4 ปี
ภาพวันแต่งงานของเราปี 1979
เดือนมิถุนายนปี 1978 ผมเจอเอลีซาเบธ อวาโลนที่การประชุมนานาชาติที่นิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา พ่อแม่ของเธอเป็นพยานพระยะโฮวาและรับใช้พระองค์เต็มที่เหมือนกับพ่อแม่ของผม ตอนที่เจอเอลีซาเบธ เธอรับใช้เป็นไพโอเนียร์ประจำมา 4 ปีแล้วและก็อยากรับใช้พระยะโฮวาเต็มเวลาต่อไปเรื่อย ๆ ตลอดชีวิต หลังการประชุมนั้นเราก็ยังติดต่อกันและต่อมาเราก็ตกหลุมรักกัน ในที่สุดเราแต่งงานในวันที่ 20 ตุลาคม 1979 และเริ่มทำงานรับใช้ที่เบเธลด้วยกัน
ประชาคมแรกที่เราได้รับใช้คือประชาคมบรุกลินภาษาสเปนและพี่น้องที่นั่นก็น่ารักมาก นอกจากนั้น ผมได้มีโอกาสรับใช้ในอีก 3 ประชาคมที่น่ารักและสนับสนุนเราอย่างดีให้รับใช้ในเบเธลต่อไป เราเห็นค่าความช่วยเหลือจากพวกเขา รวมทั้งความช่วยเหลือจากเพื่อนและครอบครัวที่คอยช่วยดูแลพ่อแม่ของเราตอนที่อายุมากแล้ว
พี่น้องเบเธลเข้าร่วมการประชุมกับประชาคมบรุกลินภาษาสเปน ปี 1986
ช่วยงานในแผนกกฎหมาย
ในปี 1982 ผมแปลกใจมากที่ได้รับมอบหมายให้ไปช่วยงานในแผนกกฎหมาย และ 3 ปีต่อมาแผนกได้ขอให้ผมไปเรียนด้านกฎหมายในมหาวิทยาลัยเพื่อจะเป็นทนายความที่มีใบอนุญาต ตอนที่ผมเรียน ผมเพิ่งได้มารู้ว่าคดีต่าง ๆ ที่พยานพระยะโฮวาเคยชนะทำให้คนในสหรัฐและประเทศอื่น ๆ มีอิสระที่จะทำหลายอย่างได้ มีการเอาคดีเหล่านี้มาวิเคราะห์กันอย่างจริงจังในชั้นเรียนด้วย
ในปี 1986 ตอนที่ผมอายุ 30 ผมได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลแผนกกฎหมาย ผมรู้สึกดีใจมากที่องค์การไว้ใจผมขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่ผมอายุยังน้อย แต่ผมก็รู้สึกกังวลด้วยเพราะมีหลายอย่างที่ผมยังไม่เข้าใจและรู้ว่างานมอบหมายนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ผมได้เป็นทนายความในปี 1988 แต่ผมไม่รู้เลยว่าการเรียนมหาวิทยาลัยมันส่งผลเสียต่อผมและต่อสายสัมพันธ์ที่ผมมีกับพระยะโฮวา การศึกษาสูงทำให้คนเรากลายเป็นคนที่หยิ่งและคิดว่าตัวเองดีกว่าคนที่ไม่ได้รับการศึกษาในระดับเดียวกัน เอลีซาเบธได้มาช่วยให้ผมจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญกว่าโดยช่วยให้ผมกลับมาสนิทกับพระยะโฮวาเหมือนเดิมอีกครั้ง กว่าที่ผมจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมมันใช้เวลาเหมือนกัน และผมก็ได้เห็นด้วยตัวเองเลยว่าการมีความรู้มาก ๆ ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต แต่สิ่งที่มีค่าอย่างแท้จริงก็คือความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระยะโฮวา และความรักที่มีต่อพระองค์และคนของพระองค์
ปกป้องข่าวดีและพยายามทำให้การประกาศข่าวดีเป็นที่ยอมรับตามกฎหมาย
หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมทุ่มเทให้กับการช่วยงานในแผนกกฎหมายที่เบเธล และมีส่วนช่วยในการปกป้ององค์การของพระยะโฮวาและสิทธิของเราในการประกาศข่าวดี งานของผมเป็นงานที่น่าตื่นเต้นแต่ก็ท้าทายด้วยเพราะองค์การของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น สมัยก่อนถ้าใครจะรับหนังสือของเราไป เราก็จะให้เขาบริจาค แต่เริ่มตั้งแต่ปี 1991 มีการขอให้แผนกกฎหมายหาวิธีว่าจะทำยังไงเพื่อจะไม่ต้องขอเงินบริจาคค่าหนังสืออีกแล้ว ต่อมาภายหลัง ผู้คนก็สามารถรับหนังสือของพยานพระยะโฮวาได้โดยที่ไม่ต้องเสียเงิน การทำแบบนี้ทำให้งานในเบเธลและในเขตประกาศง่ายขึ้น และทำให้ทุกวันนี้เราไม่ต้องมีปัญหาเรื่องการจ่ายภาษี พี่น้องบางคนคิดว่าการทำแบบนี้อาจทำให้องค์การไม่มีเงินพอที่จะผลิตหนังสือและอาจทำให้ไม่ค่อยมีใครมาเรียนคัมภีร์ไบเบิล แต่ผลที่ออกมาไม่เป็นแบบนั้นเลย จำนวนพยานฯ ตั้งแต่ปี 1990 เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า และทุกวันนี้ผู้คนสามารถรับความรู้ที่เสริมความเชื่อได้โดยที่ไม่ต้องเสียเงิน ผมมีโอกาสได้เห็นด้วยตัวเองเลยว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในองค์การของเราประสบความสำเร็จได้เพราะความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาและการชี้นำจากทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม—อพย. 15:2; มธ. 24:45
การที่เราชนะคดีในศาลไม่ใช่เป็นเพราะเรามีทนายที่ดี แต่เป็นเพราะความประพฤติของพี่น้องของเราที่ทำให้ผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่อยากช่วยเรา ผมได้เห็นตัวอย่างของเรื่องนี้อย่างชัดเจนในปี 1998 ตอนที่คณะกรรมการปกครอง 3 คนรวมทั้งภรรยาของพวกเขาได้เข้าร่วมการประชุมพิเศษที่คิวบา การที่พวกพี่น้องเหล่านี้แสดงความอ่อนโยนและให้เกียรติคนอื่นเสมอ ทำให้พวกเจ้าหน้าที่ในคิวบาเห็นเลยว่าพวกเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองจริง ๆ
แต่บางครั้งวิธีเดียวที่จะแก้ไขความไม่ยุติธรรมก็คือเราต้อง “ปกป้องข่าวดีและพยายามทำให้การประกาศข่าวดีเป็นที่ยอมรับตามกฎหมาย” โดยการไปสู้คดีในศาล (ฟป. 1:7) ตัวอย่างเช่น เป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้วที่รัฐบาลในยุโรปและเกาหลีใต้ไม่ยอมรับสิทธิของเราที่จะไม่ยอมเป็นทหาร เลยทำให้มีพี่น้องชายในยุโรปประมาณ 18,000 คนและพี่น้องชายในเกาหลีใต้มากกว่า 19,000 คนต้องติดคุกเพราะไม่ยอมเป็นทหาร
ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2011 ศาลสิทธิมนุษยชนได้ตัดสินคดีครั้งสำคัญระหว่างพี่น้องบายัตยันกับรัฐบาลอาร์เมเนีย โดยศาลตัดสินให้พี่น้องบายัตยันเป็นฝ่ายชนะคดี นี่ทำให้ทุกประเทศในยุโรปให้สิทธิ์คนที่ไม่ยอมเป็นทหารสามารถทำงานบริการสังคมแทนได้ และในวันที่ 28 มิถุนายน 2018 ศาลรัฐธรรมนูญแห่งเกาหลีใต้ก็ได้ตัดสินออกมาเหมือนกัน ชัยชนะที่เราได้จากทั้งสองศาลนี้คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าพี่น้องชายบางคนยอมไปเป็นทหาร
แผนกกฎหมายที่สำนักงานใหญ่และในสำนักงานสาขาต่าง ๆ ทั่วโลกทำงานหนักมากจริง ๆ เพื่อจะปกป้องสิทธิ์ของเราในการนมัสการพระยะโฮวาและในการประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติจริง ๆ ที่ได้เป็นตัวแทนของพี่น้องที่ถูกรัฐบาลข่มเหง และไม่ว่าเราจะชนะคดีหรือไม่ เราก็มีโอกาสได้ประกาศกับผู้ว่าราชการ กษัตริย์ และผู้คนในประเทศต่าง ๆ (มธ. 10:18) นอกจากนั้น ผู้พิพากษา เจ้าหน้าที่รัฐบาล สื่อต่าง ๆ รวมทั้งประชาชนทั่วไปมีโอกาสได้ยินข้อคัมภีร์ตอนที่พี่น้องของเราขึ้นให้การ และยังอาจได้อ่านข้อคัมภีร์ที่อยู่ในเอกสารด้วย คนที่มีหัวใจดีก็ได้มีโอกาสรู้ว่าพยานพระยะโฮวาเป็นใครและได้รู้ว่าความเชื่อของเราอาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักจริง ๆ และคนเหล่านี้บางคนก็ได้เข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวาด้วย
ขอบคุณพระยะโฮวา!
ตลอด 40 ปี ผมมีสิทธิพิเศษที่ได้ทำงานด้านกฎหมายร่วมกับพี่น้องในสำนักงานสาขาต่าง ๆ ทั่วโลก ได้มีโอกาสไปขึ้นศาลหลายครั้ง และได้เจอกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคน ผมรักและชื่นชมเพื่อนร่วมงานในแผนกกฎหมายที่สำนักงานใหญ่และที่สำนักงานสาขาอื่น ๆ ทั่วโลก ผมรู้สึกว่าตัวเองได้รับพรมากมายจริง ๆ และมีชีวิตที่มีความหมายมาก
เอลีซาเบธภรรยาที่รักของผมคอยให้กำลังใจผมตลอด 45 ปีที่เราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา เธอทำอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่เป็นโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันซึ่งทำให้ไม่ค่อยมีแรง ผมชื่นชมจริง ๆ ที่เธอคอยสนับสนุนผมเสมอ
เราได้เห็นด้วยตัวเองเลยว่ากำลังและชัยชนะไม่ได้มาจากความสามารถของเราเอง เพราะดาวิดบอกว่า “พระยะโฮวาเป็นกำลังของประชาชนของพระองค์” (สด. 28:8) ใช่แล้วครับ ผมได้เห็นมาตลอดเลยว่า “สงครามครั้งนี้เป็นของพระยะโฮวา”