บทความศึกษา 39
เพลง 54 “ทางที่ถูกอยู่ตรงนี้”
ให้รีบช่วย “คนที่เต็มใจตอบรับความจริง”
“ทุกคนที่เต็มใจตอบรับความจริงซึ่งทำให้ได้ชีวิตตลอดไปก็เข้ามาเป็นสาวก”—กจ. 13:48
จุดสำคัญ
ตอนไหนที่ควรเสนอการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและเชิญคนสนใจมาประชุม
1. ผู้คนอาจตอบรับความจริงในคัมภีร์ไบเบิลต่างกันยังไง? (กิจการ 13:47, 48; 16:14, 15)
ในสมัยศตวรรษแรก มีหลายคนที่ได้ยินความจริงในคัมภีร์ไบเบิลแล้วก็สนใจและเข้ามาเป็นคริสเตียนทันที (อ่านกิจการ 13:47, 48; 16:14, 15) ทุกวันนี้ก็เหมือนกัน มีหลายคนที่สนใจอยากเรียนคัมภีร์ไบเบิลตั้งแต่ครั้งแรกที่เราไปคุยกับเขา แต่ก็มีบางคนที่ตอนแรกดูเหมือนไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่ตอนหลังก็เปิดใจอยากศึกษา แล้วเราควรทำยังไงเมื่อได้เจอกับ “คนที่เต็มใจตอบรับความจริง” ตอนที่เราไปทำงานรับใช้?
2. งานสอนคนให้เป็นสาวกเป็นเหมือนกับงานของชาวสวนในแง่ไหน?
2 ให้เรามาดูตัวอย่างนี้ด้วยกัน งานสอนคนให้เป็นสาวกเป็นเหมือนกับงานของชาวสวน เมื่อชาวสวนเห็นว่าผลของต้นไม้ต้นหนึ่งสุกแล้ว เขาก็จะเก็บมันมาทันที ถึงอย่างนั้น เขาจะยังคอยพรวนดินและรดน้ำต้นที่ผลยังไม่สุกต่อไป คล้ายกัน เมื่อเราเจอคนที่อยากเรียนคัมภีร์ไบเบิล เราต้องช่วยเขาให้เข้ามาเป็นสาวกของพระเยซูให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และในขณะเดียวกัน เราก็ยังต้องคอยช่วยคนที่ยังไม่พร้อมจะเรียนโดยช่วยเขาให้เห็นว่าทำไมการเรียนคัมภีร์ไบเบิลถึงเป็นประโยชน์มากสำหรับพวกเขา (ยน. 4:35, 36) เราต้องใช้วิจารณญาณเพื่อจะรู้ว่าจะช่วยแต่ละคนยังไงถึงจะดีที่สุด ตอนนี้ให้เรามาดูกันว่าเราควรทำอะไรบ้างตั้งแต่ตอนที่คุยกันครั้งแรกเพื่อช่วยคนที่สนใจอยากเรียนคัมภีร์ไบเบิล และเราจะมาดูด้วยว่าเราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยคนเหล่านั้นให้ก้าวหน้าต่อ ๆ ไป
ตอนเจอคนที่สนใจอยากเรียนคัมภีร์ไบเบิล
3. เราควรทำอะไรตอนเจอผู้สนใจในเขตของเรา? (1 โครินธ์ 9:26)
3 ตอนที่เราทำงานรับใช้ในเขตและเจอคนที่สนใจ เราอยากจะช่วยเขาให้เริ่มเดินบนทางที่นำไปสู่ชีวิตทันที ถ้าเราเจอคนแบบนั้น เราก็เสนอการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและชวนเขามาประชุมได้ตั้งแต่ตอนที่คุยกับเขาครั้งแรก—อ่าน 1 โครินธ์ 9:26
4. ขอเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับคนที่พร้อมจะศึกษาคัมภีร์ไบเบิลทันที
4 เสนอการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล บางคนที่เราคุยด้วยอาจพร้อมเรียนคัมภีร์ไบเบิลทันที ลองมาดูประสบการณ์หนึ่งจากแคนาดาด้วยกัน วันพฤหัสบดีมีวัยรุ่นผู้หญิงคนหนึ่งเดินไปหยิบจุลสารชีวิตที่มีความสุขตลอดไป ที่รถเข็นประกาศสาธารณะ พี่น้องหญิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็บอกว่าจริง ๆ ถ้าหยิบเล่มนี้ไป เรายินดีสอนคัมภีร์ไบเบิลฟรีด้วยนะ วัยรุ่นคนนั้นสนใจมากและแลกเบอร์โทรกับพี่น้องคนนี้ ต่อมาในวันเดียวกัน วัยรุ่นคนนั้นก็ส่งข้อความไปถามพี่น้องว่าจะเรียนคัมภีร์ไบเบิลได้เมื่อไหร่ พี่น้องก็เลยบอกว่าเดี๋ยวช่วงสุดสัปดาห์จะไปหาและศึกษาด้วยกันได้ แต่วัยรุ่นคนนั้นบอกว่า “พรุ่งนี้เลยได้ไหมคะ? หนูว่างพอดี” พี่น้องหญิงของเราก็เลยเริ่มศึกษากับเธอในวันศุกร์ และวัยรุ่นคนนี้ก็มาเข้าร่วมการประชุมครั้งแรกในสุดสัปดาห์นั้นเลย และตอนนี้เธอกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
5. อะไรจะช่วยให้เรารู้ว่าตอนไหนที่เหมาะจะเสนอการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล? (ดูภาพด้วย)
5 แน่นอนว่าเราไม่สามารถคาดหมายได้ว่าทุกคนที่ฟังเราจะกระตือรือร้นที่จะศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเหมือนวัยรุ่นคนนั้น ผู้สนใจบางคนก็ต้องการเวลาอีกหน่อย เราเลยอาจต้องเริ่มจากการพูดคุยในเรื่องที่เขาสนใจก่อน ถ้าเรามีความคิดในแง่บวกและสนใจเขาเป็นส่วนตัว ไม่นานเราก็อาจเริ่มการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเขาได้ แล้วตอนที่เราเสนอการศึกษา เราควรพูดอะไร? ให้เรามาดูว่าพี่น้องบางคนที่เริ่มการศึกษาได้เก่ง เขาพูดยังไง
คุณคิดว่าคุณจะพูดอะไรกับคนเหล่านี้เพื่อทำให้เขาอยากเรียนคัมภีร์ไบเบิล? (ดูข้อ 5)a
6. เราจะพูดอะไรได้บ้างเพื่อช่วยผู้สนใจให้เห็นว่าการเรียนคัมภีร์ไบเบิลเป็นประโยชน์สำหรับเขา?
6 เมื่อพูดถึงการเริ่มการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ผู้ประกาศกับไพโอเนียร์บางคนบอกว่าสำหรับบางประเทศดีกว่าถ้าจะไม่ใช้คำต่าง ๆ เหล่านี้ เช่น “ศึกษา” “คอร์สเรียนคัมภีร์ไบเบิล” “โครงการสอนคัมภีร์ไบเบิล” หรือ “สอนคุณ” แต่อาจจะให้ใช้คำว่า “นั่งคุยกัน” หรือ “คุยกันเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล” คุณอาจชวนผู้สนใจคุยต่อโดยบอกว่า “คุณรู้ไหมว่าไบเบิลตอบคำถามสำคัญ ๆ ในชีวิตได้?” หรือ “หลายคนคิดว่าไบเบิลเป็นหนังสือศาสนา แต่จริง ๆ แล้วมันมีคำแนะนำหลายอย่างที่ช่วยได้ในชีวิตจริง” แล้วคุณก็อาจจะพูดเพิ่มว่า “เราไม่ได้ใช้เวลาเยอะเลย แค่คุยกัน 10-15 นาทีก็ได้รู้อะไรหลายอย่างแล้ว” เราสามารถพูดกับผู้สนใจแบบนี้ได้โดยไม่ใช้คำว่า “นัดหมาย” หรือ “ทุกอาทิตย์” ซึ่งอาจทำให้เขารู้สึกว่าถูกผูกมัด
7. บางคนได้รู้ว่าสิ่งที่เขาได้เรียนเป็นความจริงตอนไหน? (1 โครินธ์ 14:23-25)
7 ชวนมาประชุม บางคนในสมัยของอัครสาวกเปาโล พอได้มาประชุมก็รู้เลยว่าสิ่งที่เขาได้เรียนเป็นความจริง (อ่าน 1 โครินธ์ 14:23-25) ในสมัยของเราก็เหมือนกัน ผู้สนใจใหม่ ๆ ส่วนใหญ่จะก้าวหน้าเร็วขึ้นถ้าเขาเริ่มมาประชุมกับเรา แล้วคุณควรเชิญคนที่สนใจให้มาประชุมเมื่อไหร่? หนังสือชีวิตที่มีความสุขตลอดไป บท 10 พูดถึงการมาประชุม แต่คุณไม่จำเป็นต้องรอจนถึงบทนั้นก่อนแล้วค่อยชวนเขามาประชุม ครั้งแรกที่คุณคุยกับเขา คุณสามารถชวนเขาให้มาประชุมในสุดสัปดาห์ที่จะถึงได้เลย คุณอาจเล่าให้เขาฟังว่ามีคำบรรยายสาธารณะเรื่องอะไร หรือหอสังเกตการณ์ ที่จะศึกษามีเรื่องอะไรที่น่าสนใจบ้าง
8. ตอนที่เราเชิญคนที่สนใจมาประชุม เราจะบอกอะไรเขาได้บ้าง? (อิสยาห์ 54:13)
8 ตอนที่ชวนคนที่สนใจให้มาประชุม ให้อธิบายว่าการประชุมของเราแตกต่างกับโบสถ์อื่น ๆ ยังไง มีนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งมาเข้าร่วมการประชุมและได้ศึกษาหอสังเกตการณ์ เป็นครั้งแรก เธอถามพี่น้องหญิงที่นำการศึกษากับเธอว่า “คนที่สอนรู้จักชื่อของทุกคนเลยเหรอ?” พี่น้องก็เลยอธิบายว่า เราพยายามจะรู้จักและจำชื่อทุกคนในประชาคมให้ได้เหมือนกับที่เรารู้จักชื่อของทุกคนในครอบครัวเพราะพี่น้องในประชาคมเป็นเหมือนกับครอบครัวของเรา นักศึกษาคนนี้ไม่เคยเจอแบบนี้ในโบสถ์ที่เธอเคยไปมาก่อน นอกจากนั้น เรายังอธิบายให้คนที่สนใจฟังว่าจุดประสงค์ที่เราจัดการประชุมแตกต่างจากสิ่งที่โบสถ์อื่น ๆ ทำ (อ่านอิสยาห์ 54:13) เรามาที่หอประชุมเพื่อนมัสการพระยะโฮวา เรียนจากพระองค์ และให้กำลังใจกัน (ฮบ. 2:12; 10:24, 25) การประชุมของเราก็เลยมีระเบียบ มีคำแนะนำที่ใช้ได้จริง และเราไม่ได้มีพิธีกรรมอะไร (1 คร. 14:40) หอประชุมของเราก็ถูกออกแบบมาให้เรียบง่ายและมีแสงสว่างเพียงพอซึ่งเหมาะสำหรับการเรียนรู้ เราไม่สนับสนุนพรรคการเมืองไหนเลยเพราะเราเป็นกลาง เราจะไม่ไปเข้าร่วมการประท้วงหรือสร้างความขัดแย้งกับใคร สิ่งหนึ่งที่อาจช่วยนักศึกษาได้ก็คือ เราสามารถเปิดวีดีโอเราทำอะไรบ้างที่หอประชุมพยานพระยะโฮวา? ให้เขาดูก่อนที่เขาจะมาหอประชุม เขาจะได้รู้ว่าการประชุมของเราเป็นยังไง
9-10. ตอนที่เชิญคนสนใจให้มาประชุม เราควรทำอะไรเพื่อจะทำให้เขามั่นใจว่าเราไม่ได้กดดันเขาให้เปลี่ยนศาสนาหรือมีส่วนร่วมในการประชุม? (ดูภาพด้วย)
9 บางคนไม่กล้ามาประชุมเพราะกลัวว่าจะต้อง “เปลี่ยนศาสนา” ขอให้คุณรับรองกับเขาว่าเราชอบให้มีคนมาเยี่ยมที่หอประชุมและเราจะไม่กดดันเขาให้มีส่วนร่วมในการประชุม เรายินดีต้อนรับทุกคนแม้แต่ครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ๆ ที่หอประชุมเราจะไม่แยกลูก ๆ ออกจากพ่อแม่ แต่พ่อแม่จะนั่งด้วยกันกับลูก ๆ ได้และเรียนรู้ด้วยกัน เมื่อทำอย่างนี้พ่อแม่จะสบายใจเพราะลูกอยู่ในสายตาตลอดเวลาและรู้ว่าลูกได้รับการสอนอะไรบ้าง (ฉธบ. 31:12) เราไม่มีการส่งถาดรับบริจาคหรือบังคับให้ใส่ซอง แต่เราทำตามคำสั่งของพระเยซูที่บอกว่า “สิ่งที่คุณได้รับมาฟรี ๆ ก็ให้คนอื่นไปฟรี ๆ” (มธ. 10:8) คุณอาจบอกเขาด้วยว่าเขาไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้าแพง ๆ มาหอประชุม พระเจ้ามองที่หัวใจไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกของเขา—1 ซม. 16:7
10 ถ้าคนนั้นมาที่การประชุมจริง ๆ ให้คุณต้อนรับเขาให้ดีที่สุดและพาเขาไปรู้จักกับผู้ดูแลและพี่น้องคนอื่น ๆ พอเขารู้สึกสบายใจและเห็นว่าพี่น้องที่นั่นเป็นมิตรและห่วงใยเขาจริง ๆ เขาก็คงอยากจะกลับมาที่หอประชุมอีก ระหว่างการประชุม ถ้าเขาไม่มีคัมภีร์ไบเบิล ให้คุณเปิดคัมภีร์ไบเบิลให้เขาดูตาม เขาจะได้เห็นว่าข้อคัมภีร์ที่อ่านสอดคล้องกับเรื่องที่ผู้บรรยายกำลังพูดหรือเรื่องที่กำลังศึกษาอยู่ยังไง
ยิ่งคนสนใจเข้าร่วมประชุมเร็วเท่าไหร่ เขายิ่งก้าวหน้าเร็วเท่านั้น (ดูข้อ 9-10)
ตอนที่เริ่มสอนคัมภีร์ไบเบิล
11. คุณจะแสดงให้เห็นยังไงว่าคุณให้ความสำคัญกับเวลาของเจ้าของบ้าน?
11 ตอนที่เริ่มสอนคัมภีร์ไบเบิลกับใครสักคน เราควรจำอะไรไว้? เราต้องจำไว้ว่าเวลาของเจ้าของบ้านเป็นเรื่องสำคัญ เขาอาจยุ่งและมีเวลาจำกัด ดังนั้น ถ้าคุณนัดกับเขา ให้ตรงต่อเวลาไม่ว่านิสัยของผู้คนในละแวกนั้นจะเป็นยังไงก็ตาม นอกจากนั้น คุณอาจรู้สึกว่าดีกว่าถ้าจะทำให้การศึกษาครั้งแรกสั้นไว้ก่อน พี่น้องที่มีประสบการณ์บางคนแนะนำว่าเราอาจจบการศึกษาก่อนเวลาที่ตกลงกันไว้ได้แม้ว่าเจ้าของบ้านอยากเรียนต่อก็ตาม และอย่าพูดมากเกินไป ให้เจ้าของบ้านเป็นฝ่ายพูดออกมาว่าเขาคิดและรู้สึกยังไง—สภษ. 10:19
12. ตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มสอนคัมภีร์ไบเบิลให้นักศึกษา คุณควรมีเป้าหมายอะไร?
12 ตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มสอนคัมภีร์ไบเบิลให้นักศึกษา คุณควรมีเป้าหมายที่จะช่วยเขาให้มารู้จักพระยะโฮวากับพระเยซูและรักพระองค์ทั้งสอง คุณจะทำอย่างนั้นได้โดยให้นักศึกษาสนใจที่คัมภีร์ไบเบิลแทนที่จะสนใจที่ตัวคุณเองและความรู้ที่คุณมี (กจ. 10:25, 26) ตอนที่อัครสาวกเปาโลสอน เขามักจะเน้นไปที่พระเยซูซึ่งเป็นคนที่พระยะโฮวาส่งมาเพื่อให้เรารู้จักพระองค์และรักพระองค์ (1 คร. 2:1, 2) และเปาโลยังทำให้เห็นชัดเจนเลยว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องช่วยสาวกใหม่ให้พัฒนาคุณลักษณะที่ดีต่าง ๆ ซึ่งเปรียบเหมือนกับทองคำ เงิน และหินที่มีค่า (1 คร. 3:11-15) คุณลักษณะที่ดียังรวมไปถึงความเชื่อ สติปัญญา ความเข้าใจลึกซึ้ง และความเกรงกลัวพระยะโฮวาด้วย (สด. 19:9, 10; สภษ. 3:13-15; 1 ปต. 1:7) เราสามารถเลียนแบบวิธีสอนของเปาโลได้โดยช่วยนักศึกษาของคุณให้พัฒนาความเชื่อให้เข้มแข็งและสนิทกับพระยะโฮวาพ่อในสวรรค์มากขึ้น—2 คร. 1:24
13. ตอนช่วยนักศึกษา เราจะแสดงให้เห็นยังไงว่าเราอดทนและมีความเข้าใจ? (2 โครินธ์ 10:4, 5) (ดูภาพด้วย)
13 ให้เลียนแบบวิธีการสอนของพระเยซูโดยอดทนและมีความเข้าใจ อย่าถามคำถามที่ทำให้นักศึกษารู้สึกอึดอัด ถ้าเห็นว่าเรื่องไหนที่เขารู้สึกว่าเข้าใจยาก ให้ผ่านเรื่องนั้นไปก่อนแล้วค่อยกลับมาเรียนอีกครั้ง อย่าบังคับให้นักศึกษาเชื่อตอนที่เขายังไม่พร้อม แต่ให้เวลากับเขาเพื่อความจริงจะซึมซับเข้าไปในหัวใจเขา (ยน. 16:12; คส. 2:6, 7) คัมภีร์ไบเบิลเปรียบเทียบการที่เราจะเอาชนะคำสอนผิด ๆ เหมือนกับการทำลายสิ่งที่ฝังรากลึก (อ่าน 2 โครินธ์ 10:4, 5) คำภาษาเดิมที่แปลว่า “ทำลายสิ่งที่ฝังรากลึก” ทำให้นึกถึงภาพการทำลายป้อมที่มีฐานราก มันอาจไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะช่วยให้นักศึกษาเลิกเชื่อสิ่งที่เขาเชื่อมานาน ดังนั้น เราต้องช่วยเขาสร้างป้อมใหม่ขึ้นมาก่อน ซึ่งหมายความว่าเราต้องช่วยเขาให้วางใจในพระยะโฮวา แล้วมันจะง่ายขึ้นสำหรับเขาที่จะทิ้งความเชื่อเดิมที่เขามีมานาน—สด. 91:9
ให้เวลากับนักศึกษาเพื่อความจริงจะซึมซับเข้าไปในหัวใจเขา (ดูข้อ 13)
ตอนที่คนสนใจมาประชุม
14. พระยะโฮวาอยากให้เราปฏิบัติยังไงกับคนสนใจที่มาประชุม?
14 พระยะโฮวาอยากให้เราปฏิบัติกับทุกคนอย่างไม่ลำเอียง ไม่ว่าเขาจะมีวัฒนธรรม ฐานะทางสังคม หรือเชื้อชาติอะไรก็ตาม (ยก. 2:1-4, 9) แล้วเราจะแสดงความรักกับคนที่มาประชุมได้ยังไง?
15-16. เราจะช่วยคนสนใจที่มาประชุมให้รู้สึกว่าได้รับการต้อนรับได้ยังไง?
15 บางคนอาจมาประชุมเพราะอยากรู้ว่าเป็นยังไงหรืออาจมีคนแนะนำให้เขามาที่นี่ ดังนั้น เราไม่ควรลังเลที่จะเข้าไปทักทายเขา ให้ต้อนรับเขาอย่างเป็นมิตรแต่ก็ระวังอย่าทำให้เขาอึดอัด เชิญเขามานั่งด้วยกันกับคุณ ให้เขาดูคัมภีร์ไบเบิลหรือหนังสือกับคุณหรือไม่ก็หามาให้เขาด้วย นอกจากนั้น ให้คิดว่าคุณอาจทำอะไรได้อีกเพื่อทำให้เขารู้สึกสบายใจ ลองดูตัวอย่างนี้ด้วยกัน ผู้ชายคนหนึ่งที่มาประชุมบอกกับพี่น้องชายที่ต้อนรับเขาว่า เขารู้สึกอายนิดหน่อยที่แต่งตัวไม่ค่อยเรียบร้อย พี่น้องคนนั้นทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นโดยอธิบายว่าถึงพยานพระยะโฮวาจะแต่งตัวดูเป็นทางการตอนมาประชุม แต่พวกเราก็เป็นคนธรรมดาทั่วไปนี่แหละ ในที่สุดผู้ชายคนนี้ก็ก้าวหน้าจนรับบัพติศมา และเขาไม่เคยลืมการต้อนรับอย่างอบอุ่นของพี่น้องคนนี้เลย ถึงอย่างนั้นก็มีบางอย่างที่เราทุกคนต้องระวังด้วย เมื่อคุยกับคนสนใจทั้งก่อนและหลังการประชุม ให้แสดงความสนใจเขาในระดับที่เหมาะสมและอย่าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา—1 ปต. 4:15
16 เรายังทำให้คนที่มาประชุมสบายใจมากขึ้นได้โดยแสดงความนับถือเมื่อพูดถึงคนที่ไม่ใช่พยานฯ และความเชื่อของเขาทั้งในตอนที่พูดคุยกัน ตอนที่ออกความคิดเห็น และตอนที่ทำส่วนในการประชุม อย่าใช้คำพูดที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจหรือทำให้เขาไม่อยากกลับมาประชุมอีก (ทต. 2:8; 3:2) เช่น เราจะไม่พูดดูถูกความเชื่อของคนอื่น (2 คร. 6:3) พี่น้องชายที่บรรยายสาธารณะต้องระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ นอกจากนั้น ตอนที่บรรยาย เขาต้องคิดถึงผู้ฟังที่ไม่ได้เป็นพยานฯ โดยอธิบายคำหรือแนวคิดที่คนทั่วไปไม่คุ้นเคย
17. เมื่อเราทำงานรับใช้ในเขตแล้วเจอคนที่ “เต็มใจตอบรับความจริง” เป้าหมายของเราคืออะไร?
17 ยิ่งเวลาผ่านไป งานสอนคนให้เป็นสาวกก็ยิ่งเร่งด่วนมากขึ้นเรื่อย ๆ และเราก็ยังคงเจอคนที่ “เต็มใจตอบรับความจริงซึ่งทำให้ได้ชีวิตตลอดไป” (กจ. 13:48) เมื่อเจอคนแบบนั้น ขอเราอย่าลังเลที่จะเสนอการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลหรือชวนเขามาประชุม ถ้าเราทำแบบนั้น เราก็จะช่วยเขาให้เริ่มเดินบน “ทางแคบที่ . . . นำไปถึงชีวิต”—มธ. 7:14
เพลง 64 มีส่วนร่วมในงานเกี่ยวอย่างมีความสุข
a คำอธิบายภาพ พี่น้องชาย 2 คนคุยกับทหารเกษียณอายุคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าบ้านเขา พี่น้องหญิง 2 คนประกาศสั้น ๆ กับคนเป็นแม่ที่กำลังยุ่ง