2-8 มีนาคม 2026
เพลง 97 ชีวิตอยู่ได้ด้วยคำสอนของพระเจ้า
“พึ่งพระเจ้า” ต่อ ๆ ไป
ข้อคัมภีร์ประจำปี 2026 “คนที่รู้ตัวว่าจำเป็นต้องพึ่งพระเจ้าก็มีความสุข”—มธ. 5:3
จุดสำคัญ
สิ่งจำเป็น 3 อย่างที่พระเจ้าให้กับเราคืออะไร? และเราจะรับประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ต่อ ๆ ไปได้ยังไง?
1. พระยะโฮวาสร้างเราให้จำเป็นต้องมีอะไร? (มัทธิว 5:3)
พระยะโฮวาสร้างมนุษย์ให้จำเป็นต้องกินอาหาร มีเสื้อผ้าใส่ และมีที่อยู่อาศัยเพื่อได้รับการปกป้อง ถ้าเราขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปแม้จะแค่ช่วงสั้น ๆ ชีวิตเราก็จะลำบากและถึงกับตายได้ ไม่เพียงเท่านั้น พระยะโฮวายังสร้างเราให้จำเป็นต้องพึ่งพระองค์ด้วย (อ่านมัทธิว 5:3) ถ้าเราอยากมีความสุขแท้ในชีวิต เราต้องรู้ตัวว่าต้องพึ่งพระเจ้าและทำอย่างนั้นต่อ ๆ ไป
2. การ “รู้ตัวว่าจำเป็นต้องพึ่งพระเจ้า” หมายถึงอะไร? ขออธิบาย
2 การ “รู้ตัวว่าจำเป็นต้องพึ่งพระเจ้า” หมายถึงอะไร? คำกรีกที่แปลว่า “คนที่รู้ตัว” ทำให้คิดถึงคนที่เป็นขอทาน ลองนึกภาพขอทานใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและนั่งขดตัวอยู่ที่มุมถนน เขาหมดแรงเพราะไม่ได้กินอะไรเลย คนที่เดินผ่านไปมาก็ไม่สนใจเขาเพราะสภาพเขาดูแย่มาก ตอนกลางวันเขาต้องนั่งตากแดดร้อน ตอนกลางคืนก็ต้องทนกับความหนาวเหน็บ ขอทานคนนี้รู้ตัวดีว่าถ้าอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปและมีชีวิตที่ดีขึ้น เขาต้องได้รับความช่วยเหลือ เหมือนกันคนที่รู้ตัวว่าจำเป็นต้องพึ่งพระเจ้าเข้าใจดีว่าเขาต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ ดังนั้น เขาก็เลยต้องพยายามรับประโยชน์อย่างเต็มที่จากสิ่งพระเจ้าจัดเตรียมให้กับคนที่รักพระองค์
3. เราจะคุยเรื่องอะไรบ้างในบทความนี้?
3 ในบทความนี้เราจะมาดูกันก่อนว่าเราได้บทเรียนอะไรจากผู้หญิงชาวฟีนิเซียที่อ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากพระเยซู เรื่องราวนี้จะช่วยให้เห็นว่าคนที่รู้ตัวว่าจำเป็นต้องพึ่งพระเจ้าต้องมีคุณลักษณะ 3 อย่างอะไร หลังจากนั้นเราจะมาดูตัวอย่างของอัครสาวกเปโตร เปาโล และกษัตริย์ดาวิด ซึ่งทั้ง 3 คนนี้รู้ตัวว่าจำเป็นต้องพึ่งพระเจ้า
ตัวอย่างของความถ่อมตัว การพยายามต่อไปเรื่อย ๆ และความเชื่อ
4. ผู้หญิงชาวฟีนิเซียต้องการอะไรจากพระเยซู?
4 ครั้งหนึ่งผู้หญิงชาวฟีนิเซียคนหนึ่งเข้ามาหาพระเยซู เธอมาขอความช่วยเหลือจากท่านเพราะลูกสาวของเธอ “ถูกปีศาจสิง” และ “เจ็บปวดทรมานมาก” (มธ. 15:21-28) ตอนที่เธออ้อนวอนขอพระเยซูให้ช่วยลูกสาว เธอแสดงคุณลักษณะที่ดีหลายอย่าง ให้เรามาดูกันว่ามีคุณลักษณะอะไรบ้าง
5. ผู้หญิงชาวฟีนิเซียแสดงคุณลักษณะอะไรบ้าง? และพระเยซูปฏิบัติกับเธอยังไง? (ดูภาพด้วย)
5 ผู้หญิงชาวฟีนิเซียแสดงความถ่อมตัวจากใจจริง ทำไมเราถึงบอกแบบนั้น? เพราะเธอไม่ได้โกรธตอนที่พระเยซูเปรียบเธอเหมือนกับลูกหมาซึ่งเป็นสัตว์ที่คนต่างชาติอาจเลี้ยงไว้ในบ้าน ถ้าเป็นคุณ คุณจะรู้สึกยังไงถ้าพระเยซูพูดกับคุณแบบนี้? คุณจะรู้สึกว่าโดนดูถูกและเลิกขอความช่วยเหลือไหม? ผู้หญิงชาวฟีนิเซียไม่เป็นแบบนั้นเลย เธอไม่เพียงแต่แสดงความถ่อมเท่านั้น แต่ยังพยายามต่อไปเรื่อย ๆ ที่จะขอความช่วยเหลือจากพระเยซู เราเห็นหลักฐานนี้ได้จากการที่เธออ้อนวอนพระเยซูต่อไป แล้วอะไรกระตุ้นให้เธอทำแบบนั้น? ความเชื่อที่เธอมีต่อพระเยซูนั่นเอง ที่จริง ความเชื่อของเธอกระตุ้นให้พระเยซูลงมือช่วยเธอ แม้พระเยซูเพิ่งจะบอกไปว่าท่านถูกส่งมาเพื่อช่วย “เฉพาะคนอิสราเอล” ซึ่ง “เป็นเหมือนแกะที่หลงหาย” แต่ท่านก็ไล่ปีศาจที่สิงลูกสาวของผู้หญิงคนนี้ออกไป
ผู้หญิงชาวฟีนิเซียต้องมีความถ่อมตัว พยายามต่อไปเรื่อย ๆ และมีความเชื่อเพื่อจะได้รับความช่วยเหลือ (ดูข้อ 5)
6. เราได้บทเรียนอะไรจากเรื่องราวของผู้หญิงชาวฟีนิเซีย?
6 เพื่อจะแสดงว่าเราพึ่งพระเจ้าเสมอ เราต้องเป็นเหมือนผู้หญิงชาวฟีนิเซียโดยถ่อมตัว พยายามต่อไปเรื่อย ๆ และมีความเชื่อ เฉพาะคนที่ถ่อมตัวเท่านั้นถึงจะอ้อนวอนขอพระเจ้าต่อ ๆ ไปเพื่อจะได้รับความช่วยเหลือจากพระองค์ นอกจากนั้น เราต้องมีความเชื่อในพระเยซูคริสต์และไว้วางใจคนที่ท่านใช้ให้นำหน้าสาวกของท่าน (มธ. 24:45-47) ถ้าเราแสดงคุณลักษณะเหล่านี้ พระองค์ทั้งสองจะคอยดูแลและชี้นำเรา (เทียบกับยากอบ 1:5-7) ต่อไปให้เรามาดูสิ่งจำเป็น 3 อย่างที่พระยะโฮวาให้กับเรา และดูตัวอย่างของอัครสาวกเปโตร เปาโล และกษัตริย์ดาวิดเพื่อจะรู้ว่าเราจะรับประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ได้ยังไง
เลียนแบบเปโตรโดยรับอาหารที่เสริมความเชื่อต่อ ๆ ไป
7. เปโตรได้รับงานมอบหมายอะไร? แต่เขาต้องทำอะไรด้วย? ขออธิบาย (ฮีบรู 5:14–6:1)
7 ให้เรามาดูตัวอย่างของอัครสาวกเปโตรด้วยกัน เปโตรเป็นหนึ่งในชาวยิวคนแรก ๆ ที่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นเมสสิยาห์ที่พระเจ้าใช้ให้สอน “คำสอนที่ให้ชีวิตตลอดไป” (ยน. 6:66-68) หลังจากที่พระเยซูฟื้นขึ้นจากตาย ท่านให้งานมอบหมายกับเปโตรโดยให้เขา “เลี้ยงแกะตัวเล็ก ๆ” ของท่าน (ยน. 21:17) และเปโตรก็เอาใจใส่งานนี้อย่างดีโดยสอนและบำรุงเลี้ยงพี่น้องในประชาคม และพระยะโฮวาก็ใช้เปโตรให้เขียนจดหมาย 2 ฉบับซึ่งภายหลังได้มาเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ไบเบิล ถึงอย่างนั้น เปโตรเองก็ต้องอ่านและศึกษาถ้อยคำของพระเจ้าด้วยเพื่อตัวเขาจะมีความเชื่อเข้มแข็ง เช่น เขาอ่านและศึกษาจดหมายของเปาโลที่ได้รับการดลใจซึ่งก็มีบางจุดที่เปโตรยอมรับว่า “เข้าใจยาก” (2 ปต. 3:15, 16) แต่เปโตรก็ยังพยายามศึกษาต่อไปและเชื่อว่าพระยะโฮวาจะช่วยให้เขาย่อย “อาหารแข็ง” ได้โดยช่วยเขาให้เข้าใจความรู้ที่ลึกซึ้งในจดหมายของเปาโลและเอาความรู้เหล่านั้นไปใช้ในชีวิต—อ่านฮีบรู 5:14–6:1
8. เมื่อเปโตรได้รับความเข้าใจใหม่จากทูตสวรรค์ที่พระเจ้าส่งมา เขาทำยังไง?
8 เปโตรยังแสดงให้เห็นว่าเขามีความเชื่อในพระยะโฮวาด้วยโดยเชื่อฟังการชี้นำที่เขาได้รับ ตัวอย่างเช่น ตอนที่เปโตรอยู่ที่ท่าเรือของเมืองยัฟฟา เขาเห็นนิมิตหนึ่งที่ทูตสวรรค์บอกให้เขาฆ่าและกินสัตว์ที่ไม่สะอาดตามกฎหมายของโมเสส สำหรับชาวยิวโดยทั่วไปซึ่งรวมถึงเปโตร คำสั่งนี้คงต้องทำให้ตกใจแน่ ๆ ตอนแรกเปโตรเลยบอกว่า “ไม่ได้หรอกครับนายท่าน ผมไม่เคยกินของที่ต้องห้ามและไม่สะอาดตามกฎหมายเลย” แต่ทูตสวรรค์บอกกับเขาว่า “สิ่งที่พระเจ้าทำให้สะอาดแล้ว อย่าถือว่าไม่สะอาดอีกเลย” (กจ. 10:9-15) พอได้ยินอย่างนั้นเปโตรก็เชื่อฟังและปรับเปลี่ยนความคิดของเขา เรารู้ได้ยังไง? ไม่นานหลังจากที่ได้รับนิมิต มีผู้ชาย 3 คนมาหาเปโตร คนเหล่านี้เป็นคนที่โคร์เนลิอัสส่งมาเพื่อเชิญเปโตรให้ไปหาที่บ้าน ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เปโตรคงไม่ยอมไปที่บ้านของคนต่างชาติแน่ ๆ เพราะชาวยิวถือว่าคนต่างชาติไม่สะอาดในสายตาพระเจ้า (กจ. 10:28, 29) แต่ตอนนี้เมื่อมีการปรับความเข้าใจใหม่ เปโตรก็ทำตามทันที (สภษ. 4:18) เขาไปที่บ้านของโคร์เนลิอัสและประกาศกับทุกคนที่นั่น เปโตรมีความสุขที่ได้เห็นคนเหล่านี้ตอบรับความจริง ได้รับพลังบริสุทธิ์ และรับบัพติศมา—กจ. 10:44-48
9. การพยายามศึกษาค้นคว้าเรื่องที่ลึกซึ้งในคัมภีร์ไบเบิลช่วยให้เราได้ประโยชน์ 2 อย่างอะไร?
9 เราต้องเลียนแบบเปโตรโดยกิน “น้ำนม” ซึ่งหมายถึงความจริงพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ แต่แค่นั้นยังไม่พอ เราต้องฝึกตัวเองให้อยากกิน “อาหารแข็ง” ซึ่งก็คือเรื่องลึกซึ้งในคัมภีร์ไบเบิลด้วย แน่นอนว่าเราต้องจัดเวลาและออกความพยายามเพื่อจะเข้าใจเรื่องที่ลึกซึ้งเหล่านั้น แต่มันก็คุ้มค่ามาก เพราะอะไร? เพราะมันทำให้เราได้ประโยชน์อย่างน้อย 2 อย่าง อย่างแรก สิ่งที่เราได้เรียนจะทำให้เรารักและนับถือพระยะโฮวามากขึ้น และอย่างที่ 2 มันจะกระตุ้นให้เราอยากบอกคนอื่นเกี่ยวกับพระยะโฮวาด้วย (รม. 11:33; วว. 4:11) นอกจากนั้น ตัวอย่างของเปโตรยังสอนเราอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ เมื่อมีการปรับความเข้าใจใหม่ในคัมภีร์ไบเบิล ให้เรายอมรับการปรับเปลี่ยนทันทีและลงมือทำตาม เฉพาะเมื่อเราทำแบบนั้นเราถึงจะได้รับประโยชน์จากอาหารที่เสริมความเชื่อและสามารถรับใช้พระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์อยู่เสมอได้
เลียนแบบเปาโลโดยสวมใส่ลักษณะนิสัยใหม่เหมือนกับสวมใส่เสื้อผ้าใหม่
10. เราต้องทำอะไรบ้างถึงจะปลูกฝัง “ลักษณะนิสัยใหม่” เหมือนสวมใส่เสื้อผ้าใหม่? (โคโลสี 3:8-10)
10 เพื่อจะทำให้พระยะโฮวาพอใจเราต้องพยายามรับประโยชน์จากอีกอย่างหนึ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมให้ นั่นก็คือลักษณะนิสัยใหม่ที่เป็นเหมือนเสื้อผ้าใหม่ แล้วเราจะรับประโยชน์จากสิ่งนี้ได้ยังไง? เปาโลบอกว่าเราต้อง “ทิ้งลักษณะนิสัยเก่า” และปลูกฝัง “ลักษณะนิสัยใหม่” ซึ่งเป็นเหมือนการสวมใส่เสื้อผ้าใหม่ (อ่านโคโลสี 3:8-10) การทำอย่างนี้ต้องใช้เวลาและต้องพยายามต่อไปเรื่อย ๆ ลองดูตัวอย่างของเปาโล ตั้งแต่ตอนที่เขายังหนุ่ม เขาพยายามทำหลายอย่างเพื่อทำให้พระเจ้าพอใจ (กท. 1:14; ฟป. 3:4, 5) แต่เนื่องจากเขาไม่มีความรู้ที่ถูกต้องว่าพระเจ้าต้องการอะไร เขาเลยไม่รู้ว่าการนมัสการพระเจ้าแบบที่ถูกต้องเป็นยังไง ตอนนั้นเปาโลไม่รู้จักคำสอนของพระเยซูและเขาเป็นคนที่หยิ่งมากด้วย เขาก็เลยมีลักษณะนิสัยไม่ดีหลายอย่างอยู่ในตัวและไม่ได้ทำสิ่งที่พระเจ้าพอใจ เปาโลถึงกับบอกว่าตัวเองเป็น “คนอวดดี”—1 ทธ. 1:13
11. เปาโลต้องพยายามเอาชนะจุดอ่อนอะไร? ขออธิบาย
11 ก่อนจะเข้ามาเป็นคริสเตียน เปาโลเป็นคนอารมณ์ร้อน หนังสือกิจการบอกว่าเปาโลโกรธสาวกของพระเยซูมาก เขา “ข่มขู่ . . . และอยากจะฆ่า” คนเหล่านั้น (กจ. 9:1) หลังจากเข้ามาเป็นคริสเตียนแล้ว เปาโลพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทิ้งลักษณะนิสัยเก่าจนเขากลายเป็นคนที่อ่อนโยนและอดทน (อฟ. 4:22, 31) ถึงจะทิ้งลักษณะนิสัยเก่าได้แล้ว ก็ยังมีเหตุการณ์ที่ทำให้เขากับบาร์นาบัส “ทะเลาะกัน” จนต้องแยกกันไปคนละทาง (กจ. 15:37-39) แม้บางครั้งเปาโลจะกลับไปทำนิสัยแบบเดิม แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ เขาบอกว่าเขายังคง “ฝึกฝนร่างกายอย่างหนัก” ต่อไปเพื่อจะสู้กับความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองและทำให้พระยะโฮวาพอใจเสมอ—1 คร. 9:27
12. อะไรช่วยให้เปาโลสามารถทิ้งลักษณะนิสัยเก่าที่ไม่ดีได้สำเร็จ?
12 เปาโลสามารถทิ้งลักษณะนิสัยเก่าที่ไม่ดีและปลูกฝังลักษณะนิสัยใหม่ได้เพราะเขาไม่ได้พึ่งกำลังของตัวเอง (ฟป. 4:13) เปาโลทำเหมือนกับเปโตรโดยพึ่ง “กำลังที่มาจากพระเจ้า” (1 ปต. 4:11) ถึงอย่างนั้น บางครั้งเขาก็ทำผิดพลาดและนั่นทำให้เขารู้สึกท้อใจด้วย แต่เมื่อไหร่ที่เป็นแบบนั้น เขาจะคิดถึงสิ่งดี ๆ ที่พระยะโฮวาทำเพื่อเขา การทำแบบนี้ช่วยให้เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะพยายามต่อ ๆ ไป—รม. 7:21-25
13. เราจะเลียนแบบเปาโลได้ยังไง?
13 เราสามารถเลียนแบบเปาโลโดยจำไว้ว่า ไม่ว่าเราจะรับใช้พระยะโฮวามานานแค่ไหน เราก็ต้องพยายามต่อ ๆ ไปที่จะทิ้งลักษณะนิสัยเก่าและปลูกฝังลักษณะนิสัยใหม่ ถ้าบางครั้งเรากลับไปทำนิสัยเดิม เช่น ควบคุมอารมณ์ไม่ได้หรือพูดไม่ดีกับคนอื่นก็อย่าเพิ่งท้อใจ เราทุกคนทำผิดพลาดกันได้ ให้เราพยายามปรับเปลี่ยนวิธีคิดและการกระทำของเราต่อ ๆ ไป (รม. 12:1, 2; อฟ. 4:24) แต่มีแง่มุมหนึ่งที่การสวมใส่ลักษณะนิสัยใหม่ไม่เหมือนกับการสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ปกติแล้วเมื่อเราเห็นว่าชุดใหม่ไม่พอดีกับตัวเรา เราก็มักจะเอาชุดนั้นไปปรับแก้ให้พอดี แต่การสวมใส่ลักษณะนิสัยใหม่จากพระเจ้าไม่ใช่แบบนั้น เราปรับมาตรฐานของพระเจ้าให้เข้ากับเราไม่ได้ เราเองต่างหากที่ต้องปรับปรุงตัวเราให้เข้ากับมาตรฐานของพระองค์
เลียนแบบดาวิดโดยรับการปกป้องจากที่กำบังของพระเจ้า
14-15. พระยะโฮวาให้ที่กำบังเพื่อปกป้องคนของพระองค์ยังไง? (สดุดี 27:5) (ดูภาพหน้าปกด้วย)
14 เพื่อจะมีความสุขแท้ในชีวิต นอกจากต้องรับอาหารที่เสริมความเชื่อและสวมใส่ลักษณะนิสัยใหม่ที่เป็นเหมือนเสื้อผ้าใหม่แล้ว เราต้องได้รับการปกป้องจากที่กำบังของพระเจ้าด้วย สิ่งนี้คืออะไร? และเราต้องทำยังไงเพื่อจะได้รับการปกป้องจากพระเจ้าเสมอ?
15 กษัตริย์ดาวิดพูดถึงที่กำบังที่พระยะโฮวาจัดเตรียมให้ (อ่านสดุดี 27:5) พระยะโฮวาปกป้องคนของพระองค์ให้พ้นจากใครหรืออะไรก็ตามที่ทำลายความเชื่อของพวกเขาอย่างถาวร พระองค์ปกป้องคนของพระองค์ยังไง? พระยะโฮวาสัญญาไว้ว่าไม่มีอาวุธอะไรที่สร้างขึ้นมาจะทำร้ายคนของพระองค์ได้ (สด. 34:7; อสย. 54:17) ถึงแม้ซาตาน พวกปีศาจ และคนที่ข่มเหงเราจะมีอำนาจ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรที่ทำให้เราได้รับผลเสียหายตลอดไป และแม้ว่าพวกเขาจะฆ่าเรา แต่พระยะโฮวาก็จะปลุกเราให้ฟื้นขึ้นจากตาย (1 คร. 15:55-57; วว. 21:3, 4) นอกจากนั้น พระยะโฮวายังปกป้องเราโดยช่วยเราให้รับมือกับความกังวลหรือความเครียดที่อยู่ภายในใจซึ่งอาจทำให้เราคิดจะทิ้งพระองค์ (สภษ. 12:25; มธ. 6:27-29) พระองค์ให้มีพี่น้องที่คอยให้กำลังใจและมีผู้ดูแลที่คอยบำรุงเลี้ยงเราให้มีความเชื่อเข้มแข็ง (อสย. 32:1, 2) และเมื่อเราไปประชุม เรามักจะได้เรียนรู้วิธีต่าง ๆ ที่จะได้รับการปกป้องจากพระยะโฮวา—ฮบ. 10:24, 25
พี่น้องหญิงพึ่งพระเจ้าโดยเข้าร่วมการประชุมกับพี่น้อง (ดูข้อ 14-15)
16. พระยะโฮวาปกป้องดาวิดยังไง?
16 เมื่อดาวิดเชื่อฟังพระยะโฮวา พระองค์ก็ช่วยเขาให้ตัดสินใจอย่างฉลาด แล้วพอเขาตัดสินใจอย่างฉลาด เขาก็มีความสุข นี่แหละเป็นวิธีที่พระยะโฮวาปกป้องเขา (เทียบกับสุภาษิต 5:1, 2) แต่ในทางกลับกัน เมื่อดาวิดไม่เชื่อฟังพระยะโฮวา เขาต้องทุกข์ใจเพราะการตัดสินใจที่ไม่ดีของตัวเอง และพระองค์ไม่ได้ปกป้องเขาจากผลเสียหายที่เกิดขึ้น (2 ซม. 12:9, 10) นอกจากนั้น บางครั้งดาวิดทุกข์ใจเพราะมีคนทำไม่ดีกับเขา ตอนนั้นเขาจะอธิษฐานระบายความรู้สึกกับพระยะโฮวา แล้วพระองค์ปกป้องเขายังไง? พระองค์ช่วยให้เขามั่นใจว่าพระองค์รักเขามากและจะคอยช่วยเขาเสมอ—สด. 23:1-6
17. เราจะเลียนแบบดาวิดได้ยังไง?
17 เราเลียนแบบดาวิดได้โดยเสาะหาคำแนะนำจากพระยะโฮวาก่อนที่จะตัดสินใจ นอกจากนั้น เราต้องไม่ลืมว่าที่เราเจอปัญหาในบางครั้งก็ไม่ได้หมายความว่าพระยะโฮวาไม่ได้ปกป้องเรา แต่อาจเป็นเพราะเราตัดสินใจไม่ดีเอง (กท. 6:7, 8) และเมื่อเราเจอความลำบากที่ไม่ได้เป็นผลมาจากการตัดสินใจของเรา เราจะระบายความรู้สึกกับพระยะโฮวาในคำอธิษฐาน และไว้วางใจว่าพระองค์จะคอยปกป้องหัวใจและความคิดของเรา—ฟป. 4:6, 7
พึ่งพระเจ้าต่อ ๆ ไป
18. เราเจอกับข้อท้าทายอะไรบ้าง? และเราจะพึ่งพระเจ้าต่อ ๆ ไปได้ยังไง? (ดูภาพด้วย)
18 ข้อคัมภีร์ประจำปี 2026 คือ “คนที่รู้ตัวว่าจำเป็นต้องพึ่งพระเจ้าก็มีความสุข” เราต้องทำตามคำสอนนี้ของพระเยซูมากยิ่งกว่าช่วงเวลาไหน ๆ เพราะอะไร? เพราะตอนนี้รอบตัวเรามีแต่คนที่ไม่มีความสุข พวกเขาไม่คิดว่าตัวเองจำเป็นต้องพึ่งพระเจ้า ส่วนบางคนคิดว่าถ้าได้นมัสการพระเจ้าในวิธีของตัวเองก็พอแล้ว และบางคนก็พึ่งปรัชญาของมนุษย์เพราะคิดว่าจะช่วยได้ แต่ทั้งหมดนี้ช่วยไม่ได้เลย มันไม่ได้ทำให้พวกเขามีความสุขจริง ๆ เราต้องระวังที่จะไม่คิดเหมือนกับพวกเขา แล้วเราควรทำยังไง? เราต้องรับเอาอาหารที่เสริมความเชื่อต่อ ๆ ไป สวมใส่ลักษณะนิสัยใหม่เหมือนกับสวมใส่เสื้อผ้าใหม่ และรับการปกป้องจากที่กำบังของพระยะโฮวา
เราต้องพยายามรับประโยชน์เสมอจากสิ่งพระเจ้าจัดเตรียมให้ เช่น รับอาหารที่เสริมความเชื่อ สวมใส่ลักษณะนิสัยใหม่ และรับการปกป้องจากที่กำบังของพระยะโฮวา (ดูข้อ 18)a
เพลง 162 ฉันต้องพึ่งพระเจ้า
a คำอธิบายภาพหน้าปก พี่น้องหญิงกับในรูปก่อนหน้านี้รับอาหารที่เสริมความเชื่อโดยศึกษาวารสารหอสังเกตการณ์ แสดงความกรุณาต่อคนอื่นซึ่งเป็นเหมือนการสวมใส่ลักษณะนิสัยใหม่ และขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลที่ให้กำลังใจเธอ