เชิงอรรถ
a ดูอเว้ก! ฉบับวันที่ 8 ตุลาคม 1983 หน้า 16-19, และตื่นเถิด ฉบับวันที่ 8 ธันวาคม 1987 หน้า 24-27.
การทดลองความเชื่อและความอดทน
ลูเบชุฟเป็นเมืองเล็ก ๆ มีประชากร 12,000 คนอยู่ใกล้กับชายแดนติดกับรัฐยูเครน. งานเผยแพร่ที่นั่นได้รับพลังคืบหน้าในปี 1988 เมื่อพวกไพโอเนียร์ย้ายมาอยู่เพื่อช่วยผู้ประกาศในท้องถิ่น 12 คน. ขณะนี้มีผู้ประกาศราชอาณาจักรที่เอาการเอางาน 72 คน และมี 150 คนเข้าร่วมสังเกตการณ์คราวการประชุมอนุสรณ์ ณ หอประชุมราชอาณาจักรที่สร้างขึ้นใหม่.
ในเดือนมิถุนายนปี 1991 สันตะปาปาจอห์น ปอลที่สอง มาเยือนลูเบชุฟ. แต่การมาครั้งนี้ก็ไม่ได้เสริมความเชื่อแท้ท่ามกลางประชาชน. พวกเขาหลายคนเป็นทุกข์เนื่องจากไม่แน่ใจและสงสัยเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของชีวิตและความหวังสำหรับอนาคต. เมื่อพวกเขาไม่ได้รับคำตอบอย่างน่าพอใจจากบาทหลวง พวกเขาหันมาหาพยานพระยะโฮวา. แม้ในตอนแรกประชาชนอาจรู้สึกทุกข์ใจที่ละจากศาสนาเดิมของตน แต่ความจริงในคัมภีร์ไบเบิลที่พวกเขาเรียนช่วยให้เห็นว่าเขาได้ตัดสินใจอย่างถูกต้องแล้ว.
ประสบการณ์ของออนอราตา ซึ่งตอนนี้เป็นไพโอเนียร์ประจำ เป็นตัวอย่างหนึ่ง. ประมาณหนึ่งปีมาแล้ว เธอถามว่าพระเจ้าชื่ออะไรขณะที่สารภาพบาปกับบาทหลวง. บาทหลวงตอบว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก—นั่นเป็นนามอันไพเราะที่สุดของพระองค์.” ครู่ต่อมาเขาเพิ่มเติมว่า “เธอเป็นเหมือนถังที่มีน้ำใสบริสุทธิ์ซึ่งมีคนหยดน้ำหมึกลงไป. ผลกระทบจากสิ่งนี้ไม่สามารถแปรเปลี่ยนได้.” ดังนั้นเธอได้รับคำตอบของเธอแล้ว. ออนอราตาบอกว่า “แล้วดิฉันจึงตัดสินใจว่าดิฉันจะเป็นพยานพระยะโฮวา. เรื่องนี้ก็เช่นกันแปรเปลี่ยนไม่ได้.”
เกือบทุกคนที่เรียนความจริงในลูเบชุฟต้องอดทนการต่อต้านอย่างรุนแรง กระทั่งบ้าคลั่ง. แต่สิ่งนี้ไม่ได้กีดขวางพวกเขาไว้จากการติดสนิทอยู่กับความจริงในคัมภีร์ไบเบิลและยืนหยัดมั่นคงอยู่ฝ่ายพระยะโฮวา.
เอลซ์บีตาเล่าว่า “ทีแรกคุณพ่อคุณแม่ทุบตีดิฉันที่บ้าน. ต่อมาครอบครัวของดิฉันบุกมาที่หอประชุม. . . . พวกเขาพาดิฉันกลับบ้านและเริ่ม ‘ปฏิบัติอย่างเป็นธรรม’ กับดิฉันด้วยไม้เรียวที่มีปุ่ม. ดิฉันถูกตีและเตะตั้งแต่หัวจรดเท้าเพียงเพราะว่าดิฉันสมทบกับพวกพยานฯ. ดิฉันถูกทุบตีหนักมากกระทั่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์โดยด่วนและถูกส่งโรงพยาบาล. พระยะโฮวาทรงช่วยเหลือดิฉัน ดิฉันจึงฟื้นตัวดีขึ้น. ครอบครัวพากันปฏิเสธดิฉัน. พอดิฉันเล่าเรื่องนี้ให้บาทหลวงฟัง เขาทับถมดิฉันโดยพูดว่า ‘เธอมาร้องเรียนเพราะโดนตีไม่กี่ทีเท่านั้นหรือ?’”
พี่น้องหญิงอีกคนหนึ่งระลึกว่า “ทุก ๆ ปีดิฉันมักจะไปที่เชนสโตโควาเพื่อคลานรอบภาพสิบสี่ภาพที่แสดงถึงความทรมารของพระเยซู ซึ่งดิฉันถือว่าเป็นหน้าที่ของคาทอลิกที่ซื่อสัตย์. ดิฉันยังมีรอยแผลเป็นอยู่ที่หัวเข่า.” เมื่ออายุ 18 ปีเธอเรียนความจริงและบอกกับบาทหลวงและครอบครัวของเธอว่าเธอจะไม่กลับไปที่โบสถ์อีก. เธอเล่าว่า เธอถูกทุบตีอย่างหนัก—“หนักมากจนสมองของดิฉันได้รับการกระทบกระเทือน. แต่เมื่ออยู่ที่โรงพยาบาลดิฉันแข็งแรงขึ้นพอที่จะเข้าร่วมประชุมภาค ‘ชนผู้รักเสรีภาพ.’ ดิฉันร้องไห้ด้วยความสุขใจยินดีเมื่อเห็นเอกภาพแท้และความรักท่ามกลางประชาชนซึ่งหาได้เป็นผู้ที่คลั่งไคล้ในศาสนา—สิ่งที่ดิฉันไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยในเชนสโตโควา. ดิฉันมีความสุขสักเพียงไรที่ได้สัมผัสความดีประเสริฐของพระยะโฮวาและได้เรียนรู้ที่จะวางใจในพระองค์.” พระยะโฮวาทรงเสริมกำลังให้เข้มแข็งและทรงค้ำจุนคนเหล่านั้นที่ทอดภาระไว้กับพระองค์.—บทเพลงสรรเสริญ 55:22.
ปัจจุบันนี้ คนจำนวนมากที่เคยถูกกักขังอยู่ในบาบูโลนใหญ่ในประเทศคาทอลิกแห่งนี้ กำลังเอาใจใส่เสียงเรียกที่ให้ “ออกมาจากเมืองนั้น” เหมือนในที่อื่น ๆ. หากเป็นพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา พลไพร่ที่ไม่หวั่นกลัวของพระองค์จะเก็บรวบรวม “สิ่งน่าปรารถนา” ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วโปแลนด์เข้ามามากขึ้นอีกต่อ ๆ ไป. แน่นอน อีกหลายคนจะตอบรับเสียงเรียกที่ว่า “‘เชิญมาเถิด’ และผู้ที่กระหายให้เขามาเถิด และใครผู้ใดมีน้ำใจประสงค์ ก็ให้ผู้นั้นมารับประทานน้ำแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียค่าอะไรเลย.”—วิวรณ์ 18:4; 22:17.