-
เบื้องหลังข่าวหอสังเกตการณ์ 1990 | พฤษภาคม 15
-
-
เบื้องหลังข่าว
คร่ำครึอย่างนั้นไหม?
นักบวชแองกลิคันคนหนึ่งในอะดีเลด ประเทศออสเตรเลีย บอกว่า คำตักเตือนที่ว่าไม่ควรกระตุ้นทางกายซึ่งอาจนำไปถึงการผิดประเวณีและการเล่นชู้นั้นคร่ำครึ และไม่ได้มาจากหลักคริสเตียน. ในการศึกษาเรื่องเพศของเขาเมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาแถลงว่า ชายหญิงที่หมั้นกันเพื่อจะสมรสนั้นหากเขามีเพศสัมพันธ์ก่อนสมรสก็ไม่ต้องถือว่าเป็นบาปเสมอไป. การศึกษาของเขายังยืนยันว่าการรักร่วมเพศอาจยอมรับได้ในบางกรณี. ดังที่ลงในคูเรียร์ เมล แห่งบริสเบน โฆษกแห่งคริสต์จักรยูไนติงในออสเตรเลีย “เห็นด้วยกับหลักมูลฐานของรายงานนั้น.”
แต่คัมภีร์ไบเบิลแถลงอย่างชัดเจนว่าพระทัยประสงค์ของพระเจ้าคือให้ทุกคน “เว้นจากการล่วงประเวณี” และว่า “คนผิดประเวณี หรือคนไหว้รูปเคารพ หรือคนผิดผัวเมียเขา หรือหญิงเล่นเพื่อน หรือชายเล่นน้องสวาท . . . จะไม่ได้รับส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า.” (1 เธซะโลนิเก 4:3, 4; 1 โกรินโธ 6:9, 10) แน่นอน ผู้ที่ยอมรับว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นพระคำที่ได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้า ยอมรับอย่างมั่นใจว่าทัศนะของคัมภีร์ไบเบิลในเรื่องเพศนั้นมาจากพระผู้สร้างองค์ฉลาดรอบรู้ทุกประการ. ผลที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิลพิสูจน์ว่าคำชี้แนะด้านศีลธรรมที่ถูกหาว่าคร่ำครึโบราณนั้นยังคงช่วยให้ครอบครัวมีเสถียรภาพ และจัดให้มีการคุ้มกันจากบาดแผลลึกทางความรู้สึก และโรคที่น่ารังเกียจซึ่งเป็นผลจากการประพฤติผิดศีลธรรม.
การป้องกันที่ดีที่สุด
การใช้ยาเสพย์ติดยังคงเป็นปัญหาใหญ่. ถ้าเช่นนั้น วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันเยาวชนไว้จากการใช้ยาเสพย์ติดคืออะไร? ในการสัมภาษณ์ที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์บราซิลชื่อ โอ เอสตาโด เดอ เซาเพาโล คล็อด โอลิเวนสไตน ศาสตราจารย์และจิตแพทย์ชาวฝรั่งเศสได้เน้นความจำเป็นในเรื่องการให้คำชี้แนะ และการสนับสนุนด้วยความรัก. เขากล่าวว่า “เมื่อผู้คนพูดกันถึงเรื่องยาเสพย์ติดสมัยนี้ เขามักจะเน้นบทบาทของตำรวจ ขบวนการยุติธรรมและโรงเรียน. แต่ที่จำเป็นอย่างยิ่งก็คือการป้องกันของครอบครัว (ต่อการใช้ยาเสพย์ติด). . . . เด็ก ๆ มากมายไม่ทราบว่า อำนาจปกครองของบิดาคืออะไร. บิดาก็ไม่อยู่บ้าน เห็นได้ชัดว่าเขาลาออกจากตำแหน่งไปแล้ว.”
ในคำอธิบายว่าทำไมการป้องกันการใช้ยาเสพย์ติดจึงเป็นเรื่องสำคัญในระดับครอบครัว ดร. โอลิเวนสไตน กล่าวเพิ่มเติมที่ว่า “เรามีชีวิตอยู่ในสังคมแห่งการแสวงประโยชน์ซึ่งผู้คนละอายต่อการมีศีลธรรม. เมื่อลูก ๆ ของเราเริ่มแสดงความประพฤติบางอย่างเนื่องจากยาเสพย์ติด นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้ทำให้เรื่องศีลธรรมเป็นที่ทราบกันอีกแล้ว. สังคมของเราได้กลายเป็นสังคมที่กระด้าง ตายด้าน เป็นสังคมอุตสาหกรรม. ผู้คนคิดแต่เรื่องการต่อสู้เพื่ออยู่รอด.”
ดังที่ลงในวารสาร ซูเปอร์อินเตอเรสซานเต การสำรวจในสหรัฐอเมริกาอย่างหนึ่งยืนยันถึงความสำคัญของอำนาจปกครองของบิดามารดา. วารสารฉบับนั้นมีกล่าวว่า “คนหนุ่มสาวที่มีผลการสอบที่ดีเยี่ยมและมีเสถียรภาพทางอารมณ์ที่ดีนั้นมาจากครอบครัวซึ่งบิดามารดาใช้อำนาจปกครองของตนในการกำหนดกฎเกณฑ์การประพฤติไว้ชัดแจ้ง และให้เสรีภาพในขอบเขตที่มีการกำหนดไว้อย่างชัดเจน. เช่นเดียวกัน สัดส่วนของคนหนุ่มสาวที่ติดยาและเหล้าในครอบครัวเช่นนั้นต่ำกว่ามาก.”
พระคัมภีร์ให้คำเตือนสติแก่บิดามารดาด้วยเหตุผลที่ดี คือ “จงกล่าวสั่งสอนบุตรชายของตนและบุตรชายนั้นจะเป็นเหตุให้เจ้าสบายใจ เออ เขาจะทำให้ดวงจิตของเจ้าเบิกบานยินดี.” (สุภาษิต 29:17) ถูกแล้ว การว่ากล่าวแก้ไขที่อาศัยพระคัมภีร์ช่วยบิดามารดาให้ป้องกันการใช้ยาเสพย์ติดและปรับปรุงคุณภาพชีวิตเพื่อทุกคนในครอบครัว.
-
-
คำถามจากผู้อ่านหอสังเกตการณ์ 1990 | พฤษภาคม 15
-
-
คำถามจากผู้อ่าน
▪ เหมาะไหมที่คริสเตียนจะไปล่าสัตว์หรือจับปลา?
ปฏิกริยาต่าง ๆ กันในเรื่องการล่าสัตว์มักจะเกี่ยวพันกับอารมณ์ความรู้สึกอย่างลึกซึ้ง. ดังนั้น จึงเป็นการดีที่สุดสำหรับคริสเตียนที่จะสืบหาความเข้าใจเกี่ยวกับทัศนะของพระยะโฮวาที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ ดังที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลและนำไปปฏิบัติ.
พระเจ้าทรงให้มนุษย์มีอำนาจปกครองทั้งสัตว์ “ป่า” และสัตว์ “ใช้.” ในตอนแรกมนุษย์ไม่ได้รับอนุญาตจากพระผู้สร้างหรือบางทีไม่มีความจำเป็นที่จะฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร. (เยเนซิศ 1:24, 29, 30) หลังจากน้ำท่วมโลกเท่านั้นที่พระเจ้าทรงให้สิทธิมนุษย์กินเนื้อสัตว์ซึ่งต้องเอาเลือดออกอย่างเหมาะสม. (เยเนซิศ 9:3, 4) ทั้งนี้อาจหมายรวมถึงทั้งเนื้อของสัตว์ใช้และสัตว์ป่า.
ชนยิศราเอลเลี้ยงสัตว์ต่าง ๆ เช่นแกะและวัว ซึ่งสามารถฆ่าเป็นอาหารได้ตอนที่พวกเขาอยากจะกินเนื้อ. นอกจากนั้น พวกเขายังล่าสัตว์และจับปลามาเป็นอาหาร. (พระบัญญัติ 12:20-24; 14:4-20) เรื่องนี้สอดคล้องกับคำตรัสเป็นนัยของพระเจ้าที่ว่าพระองค์ ‘จะเรียกชาวประมงหลายคน และชาวประมงนั้นจะเสาะหาเพื่อจะจับเขา แล้วเราจะใช้เรียกพรานหลายคน และพรานเหล่านั้นจะต้อนเขาเพื่อจะจับแต่ภูเขาทุกเขา.” (ยิระมะยา 16:16) ภายหลัง พระเยซูทรงรวมเอาชาวประมงเข้าอยู่ในบรรดาอัครสาวกของพระองค์ และทรงชี้นำในการจับปลาจริง ๆ.—มัดธาย 4:18-22; 17:27; ลูกา 5:2-6; โยฮัน 21:4-7.
เมื่อยิศฮาคบุรุษต้นตระกูลซึ่งชรามากแล้วร้องขอแกงเนื้อรสดี ยาโคบลูกชายของท่านเต็มใจจะฆ่าลูกแพะสองตัวเพื่อทำอาหารให้พ่อ. กระนั้นเอซาวได้ล่าสัตว์เพื่อจะได้กวางป่ามาให้พ่อ. จงสังเกตว่าแม้ว่า จะมีเนื้อจากสัตว์ที่เลี้ยงไว้ แต่ยิศฮาคขอเนื้อที่ได้จากการล่า. ให้สังเกตด้วยว่า บุตรชายทั้งสองฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร ไม่ใช่สำหรับตนเอง แต่สำหรับคนอื่น.—เยเนซิศ 27:1-19.
อาจจะฆ่าสัตว์ได้ด้วยเหตุผลอื่น ๆ อีกนอกเหนือจากการกินเนื้อของมัน. หนังของมันใช้ทำเสื้อผ้าได้. (2 กษัตริย์ 1:8; มาระโก 1:6; เฮ็บราย 11:37) เครื่องปกคลุมร่างกายและภาชนะก็ทำจากหนังสัตว์เช่นกัน แม้ว่าสัตว์นั้นจะอยู่ในข่ายที่เป็นมลทินซึ่งชาวยิศราเอลไม่กินก็ตาม.—เอ็กโซโด 39:33, 34; อาฤธโม 24:7; ผู้วินิจฉัย 4:19; บทเพลงสรรเสริญ 56:8.
ข้อเรียกร้องของพระเจ้าที่ให้เทเลือดของสัตว์ที่ตายออกควรจะเตือนผู้ล่าว่า ชีวิตของสัตว์มาจากพระองค์ และด้วยเหตุนี้ควรจะปฏิบัติต่อชีวิตสัตว์ด้วยความยำเกรง ไม่ใช่ฆ่าโดยไร้เหตุผล. (เลวีติโก 17:13) ปรากฏชัดว่า นิมโรดฆ่าสัตว์และดูเหมือนคุยโวถึงความชำนาญในการล่าสัตว์ของเขา รวมทั้งจำนวนหรือขนาดของสัตว์ที่เขาฆ่า หรือโชว์สัตว์ที่เขาล่าได้. เขาเป็น “พรานที่มีกำลังมากต่อต้านพระยะโฮวา.”—เยเนซิศ 10:9, (ล.ม.)
ความรู้สึกตื่นเต้นอยากล่าหรือฆ่าสัตว์หรือตอนสาวเบ็ดตกปลา สามารถเกิดกับคริสเตียนได้. นักล่าสัตว์หรือนักตกปลาหลายคนซึ่งตรวจสอบใจตัวเองอย่างละเอียดพบว่า เขาได้ติดนิสัยที่ ‘สนุกกับการฆ่า’ ไปแล้ว. ความกระหายอยากล่าเช่นนั้นไปด้วยกันกับการไม่ใส่ใจต่อชีวิตสัตว์. ดังนั้น ถึงแม้จะไม่ผิดที่จะล่าสัตว์หรือตกปลา (เมื่อสิ่งที่ฆ่าหรือจับนั้นได้ใช้เป็นอาหารหรือเพื่อจุดประสงค์อื่นที่เหมาะสม) ก็นับว่าไม่เหมาะสมหากคริสเตียนมีน้ำใจที่ทำให้นึกถึงนิมโรด. แต่มีอันตรายอื่นอีกนอกเหนือจากการได้รับความตื่นเต้นเร้าใจจากการล่า การฆ่าหรือการได้สัตว์มาตั้งโชว์.
วารสารหอสังเกตการณ์ ฉบับวันที่ 15 มกราคม 1984 (หน้า 21-25) พิจารณาเกี่ยวกับเหตุผลที่คริสเตียนแท้ไม่ควรพกพาหรือใช้ปืนเพื่อทำร้ายผู้คนหรือป้องกันตัวจากมนุษย์. การตรึกตรองคำแนะนำนั้นช่วยพยานฯบางคนประเมินค่าใหม่แม้กระทั่งการมีปืนล่าสัตว์ไว้ในครอบครอง. พยานฯจำนวนไม่น้อยได้เลือกแนวทางโดยการขจัดปืนของพวกเขาทั้งหมด หรือหลีกเลี่ยงการโชว์ปืนหรือจัดวางไว้ในที่ซึ่งหยิบหาได้ง่าย. ด้วยเหตุนี้บรรดาคริสเตียนเหล่านี้จึงไม่ให้ผู้อื่นคิดว่าเขาภูมิใจหรือไว้ใจในอาวุธ. ยิ่งกว่านั้น การไม่มีปืนล่าสัตว์ไว้ในครอบครองหรือไม่ได้วางอยู่ในที่ซึ่งหยิบสะดวก ยังสามารถหลีกพ้นโศกนาฏกรรมได้. อาวุธร้ายนี้จึงไม่สามารถตกอยู่ในมือของเด็ก ๆ ซึ่งโดยบังเอิญอาจทำอันตรายหรือฆ่าบางคนได้ ทั้งปืนก็จะไม่ได้อยู่ใกล้ตัวหากบางคนเกิดความตกใจกลัว หรือซึมเศร้าอย่างหนัก.—เปรียบเทียบสุภาษิต 22:3.
คริสเตียนบางคนอาจชอบรสของสัตว์ป่าหรือปลาบางชนิด และแนวทางที่สะดวกที่สุดเพื่อจะได้อาหารดังกล่าวก็โดยการล่าสัตว์หรือจับปลา. คนอื่นบางคนชอบสูดบรรยากาศและออกกำลังพร้อมกันไปกับการล่าสัตว์ในป่า บางคนรู้สึกผ่อนคลายเมื่อใช้หลายชั่วโมงในการนั่งตกปลาเงียบ ๆ. พระคัมภีร์ไม่ได้พูดต่อต้านการกระทำเช่นนี้ ดังนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะตัดสินคนอื่น ไม่ว่าพวกเขาจะเพลิดเพลินกับการกระทำดังกล่าวหรือไม่. และตัวอย่างของยิศฮาคและลูก ๆ ของเขาแสดงว่าไม่จำเป็นที่จะตั้งประเด็นว่า ใครจะเป็นคนกินเนื้อหรือปลาที่ล่ามา.—มัดธาย 7:1-5; โรม 14:4.
ปรากฏชัดว่าอัครสาวกเปโตรค่อนข้างจะชอบการจับปลา. ขณะที่มีปลากองอยู่ใกล้ ๆ พวกสาวก พระเยซูผู้ซึ่งกลับฟื้นคืนพระชนม์แล้วทรงช่วยเขาตรวจสอบความรู้สึกของตัวเองเกี่ยวกับปลาหรืออาชีพจับปลา. พระเยซูทรงถามว่า “ซีโมนบุตรโยฮันเอ๋ย เจ้ารักเรามากกว่าสิ่งเหล่านี้หรือ?”—โยฮัน 21:1-3, 9-15, (ล.ม.); ดูที่ว็อชเทาเวอร์ ฉบับวันที่ 1 พฤศจิกายน 1988 หน้า 31.
ในทำนองเดียวกัน คริสเตียนผู้มีสติรู้สึกผิดชอบในการเลือกไม่ว่าจะไปล่าสัตว์หรือตกปลาเขาควรจะจัดลำดับตามความสำคัญ. ยกตัวอย่าง หากฤดูการล่าสัตว์หรือฤดูการจับปลาเริ่มในช่วงเวลาเดียวกับตารางเวลาการประชุมของประชาคม เขาจะทำประการใด? หรือว่าเรื่องที่เขาพูดคุยแสดงถึงความภูมิอกภูมิใจที่ตนเองมีฝีมือในการล่าสัตว์หรือจับปลา? ช่างเหมาะสมเพียงไรหากคริสเตียนผู้อาวุโสซึ่งตัดสินใจที่จะทำการล่าสัตว์หรือตกปลาเป็นครั้งคราวสามารถพูดด้วยความมั่นใจว่า “เป็นความจริง พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบอยู่ว่าข้าพเจ้ารักใคร่พระองค์ [มากกว่ากิจการเหล่านี้].”—โยฮัน 21:16, ล.ม.
-