ผมเรียนรู้ที่จะวางใจในพระยะโฮวา
เล่าโดย ยาน คอร์พา-โอนโด
ปี 1942 ผมถูกทหารฮังการีควบคุมตัวใกล้เมืองคูสก์ ประเทศรัสเซีย. เราเป็นเชลยฝ่ายอักษะซึ่งสู้รบกับรัสเซียในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง. หลุมฝังศพของผมขุดแล้ว และเขาให้เวลาผมสิบนาทีตัดสินใจเซ็นเอกสารแสดงสถานะว่าผมหาได้เป็นพยานพระยะโฮวาอีกต่อไปไม่. ก่อนผมจะเล่าเหตุการณ์หลังจากนั้น ขอให้ผมเล่าว่าผมมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร.
ผมเกิดปี 1904 ที่ซาฮอร์ หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งซึ่งปัจจุบันนี้อยู่ทางตะวันออกของสโลวะเกีย. เมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 1 ซาฮอร์ถูกนับรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเชโกสโลวะเกียซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นใหม่. หมู่บ้านของเราประกอบด้วย 200 ครัวเรือนและโบสถ์สองหลัง หลังหนึ่งเป็นโบสถ์ของกรีกคาทอลิก และอีกหลังหนึ่งคือโบสถ์คัลวินิสต์.
แม้ว่าผมเข้าโบสถ์คัลวินิสต์ แต่ผมดำเนินชีวิตผิดศีลธรรมอย่างไม่มีการเหนี่ยวรั้งใด ๆ. ไม่ไกลจากที่ผมอยู่ มีชายคนหนึ่งต่างจากผมลิบ. วันหนึ่งเขาเริ่มสนทนากับผม แล้วให้ผมยืมคัมภีร์ไบเบิล. นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมีหนังสือเล่มนั้นในมือ. ประมาณช่วงเดียวกันนี้แหละ คือปี 1926 ผมแต่งงานกับบาร์บอรา และต่อมาไม่นานเราได้ลูกสองคน บาร์บอรากับยาน.
ผมเริ่มอ่านคัมภีร์ไบเบิล แต่มีหลายอย่างที่ผมไม่เข้าใจ. ดังนั้น ผมได้ไปหานักเทศน์และขอให้เขาช่วยผม. เขาบอกว่า “คัมภีร์ไบเบิลเหมาะสำหรับคนมีการศึกษาเท่านั้น อย่าพยายามเข้าใจเลย.” ครั้นแล้วเขาก็ชวนผมเล่นไพ่ด้วยกัน.
หลังจากนั้นผมไปหาชายคนที่ให้ผมยืมคัมภีร์ไบเบิล. เขาเป็นนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นชื่อเรียกพยานพระยะโฮวาสมัยนั้น. เขายินดีช่วยผม และไม่นานเท่าไรผมเริ่มเข้าใจว่านี่แหละคือความจริง. ผมเลิกการดื่มแบบไม่บันยะบันยังและตั้งต้นดำเนินชีวิตอย่างมีศีลธรรม ผมถึงกับเริ่มคุยเรื่องพระยะโฮวากับคนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ. ความจริงของคัมภีร์ไบเบิลเข้ามาในซาฮอร์ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1920 และไม่นานก็มีการก่อตั้งกลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลที่เอาการเอางานขึ้นที่นั่น.
กระนั้นก็ดี เกิดมีการต่อต้านทางศาสนาอย่างรุนแรง. บาทหลวงในท้องถิ่นโน้มน้าวคนส่วนใหญ่ในครอบครัวของผมให้ต่อต้านโดยหาว่าผมเป็นบ้าไปแล้ว. แต่ชีวิตของผมเริ่มมีจุดมุ่งหมาย และผมตั้งใจเด็ดเดี่ยวจะรับใช้พระยะโฮวาพระเจ้าองค์เที่ยงแท้. ดังนั้น ปี 1930 ผมจึงแสดงสัญลักษณ์การอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาและรับบัพติสมา.
การทดสอบอย่างหนักเริ่มต้น
ในปี 1938 ภูมิภาคของเราตกอยู่ภายใต้การปกครองของฮังการี ซึ่งเป็นฝ่ายเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง. สมัยนั้นเรามีพยานฯ ประมาณ 50 คนในหมู่บ้านซึ่งมีประชาชนไม่ถึงหนึ่งพันคน. พวกเราเผยแพร่อย่างต่อเนื่องถึงแม้การทำเช่นนั้นอาจหมายถึงการเสียชีวิตและขาดอิสรภาพ.
ปี 1940 ผมถูกเกณฑ์ทหารเข้าไปอยู่ในกองทัพฮังการี. ผมจะทำอย่างไร? ในเมื่อผมอ่านคำพยากรณ์ต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลว่าด้วยผู้คนจะตีอาวุธสงครามเป็นเครื่องมือสร้างสันติภาพ และผมรู้ว่าในที่สุดพระเจ้าจะทรงกำจัดสงครามให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินโลก. (บทเพลงสรรเสริญ 46:9; ยะซายา 2:4) ดังนั้น ผมรู้สึกเกลียดสงคราม และผมตัดสินใจไม่เป็นทหาร ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม.
ผมถูกตัดสินจำคุก 14 เดือนและต้องรับโทษในเมืองเพคส์ ประเทศฮังการี. มีพยานฯ อีกห้าคนอยู่ในเรือนจำเดียวกัน และพวกเราหยั่งรู้ค่าที่สามารถคบหากันได้. แต่มีอยู่พักหนึ่งผมถูกแยกขังเดี่ยว แถมถูกตีตรวนด้วย. เราถูกเฆี่ยนเมื่อไม่ยอมทำงานซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำสงคราม. นอกจากนั้น เราถูกบังคับให้ยืนตรงตลอดวัน ยกเว้นสองชั่วโมงตอนเที่ยงวัน. การทดสอบอย่างหนักเช่นนี้ดำเนินอยู่นานหลายเดือน. กระนั้น เราเป็นสุขเนื่องจากเรามีสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาดจำเพาะพระเจ้าของเรา.
คำถามเพื่อให้ยอมอะลุ่มอล่วย
วันหนึ่ง กลุ่มบาทหลวงคาทอลิกราว ๆ 15 คนได้มาพบพวกเรา พยายามพูดโน้มน้าวให้เราเชื่อมั่นว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะสนับสนุนการทำสงครามโดยการเป็นทหาร. ระหว่างการสนทนา เราพูดว่า “ถ้าบาทหลวงสามารถพิสูจน์ได้จากคัมภีร์ไบเบิลว่าจิตวิญญาณเป็นอมตะ และถ้าเราตายในสนามรบพวกเราจะไปสวรรค์ เราก็จะสมัครเป็นทหาร.” แน่นอน พวกบาทหลวงไม่สามารถพิสูจน์ได้และเขาไม่ประสงค์จะสนทนาต่ออีก.
ปี 1941 ผมพ้นโทษจำคุกและกำลังตั้งตาคอยการกลับไปอยู่กับครอบครัวอีก. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เขากลับตีตรวนส่งผมไปยังฐานทัพแห่งหนึ่งในซารอสปาตัก ประเทศฮังการี. เมื่อเราไปถึง มีการเสนอโอกาสให้ผมได้รับการปล่อยตัว โดยบอกผมว่า “สิ่งที่คุณต้องทำก็เพียงแต่เซ็นสัญญาฉบับนี้ว่าคุณจะยอมจ่าย 200 เพนโกเมื่อคุณกลับถึงบ้าน.”
ผมจึงถามว่า “มันจะเป็นไปได้อย่างไร? คุณจะเอาเงินไปทำอะไร?”
เขาบอกผมว่า “เมื่อคุณจ่ายเงินให้เรา คุณจะได้หนังสือรับรองว่าคุณได้รับการตรวจร่างกายแล้วแต่ไม่ผ่าน.”
เรื่องนี้ทำให้ผมตัดสินใจยาก. เพราะผมทนรับการปฏิบัติอย่างไร้ความปรานีนานกว่าหนึ่งปี ผมเริ่มอ่อนล้า. มาบัดนี้ หากผมยอมตกลงจ่ายเงินจำนวนหนึ่ง ผมจะมีอิสระ. “ให้ผมคิดดูก่อน.” ผมพูดพึมพำ.
ผมจะตัดสินใจอย่างไรดี? ผมมีภรรยาและลูก ๆ ซึ่งต้องคำนึงถึง. แต่พอดีตอนนั้นผมได้รับจดหมายจากเพื่อนคริสเตียนซึ่งเขาได้ให้การหนุนกำลังใจ. เขายกข้อคัมภีร์จากเฮ็บราย 10:38 ซึ่งอัครสาวกเปาโลได้อ้างจากพระคำของพระยะโฮวาที่ว่า “ฝ่ายผู้ชอบธรรมของเรานั้นจะดำรงชีวิตอยู่โดยความเชื่อ’ และ ‘ถ้าเขากลับถอยหลัง ใจของเราจะไม่มีความชอบในคนนั้นเลย.” ไม่นานหลังจากนั้น นายทหารชาวฮังการีสองคนที่โรงทหารได้พูดกับผม คนหนึ่งกล่าวว่า “คุณไม่รู้หรอกว่าพวกเรานับถือคุณเพียงใดเพราะการยึดหลักการของคัมภีร์ไบเบิลอย่างมั่นคงจริง ๆ! อย่ายอมแพ้นะ!”
วันต่อมา ผมได้ไปหาสองคนนั้นที่เสนออิสรภาพด้วยเงิน 200 เพนโก ผมบอกเขาว่า “เนื่องจากพระยะโฮวาพระเจ้ายอมให้ผมถูกจำคุก พระองค์จะดูแลให้ผมได้รับการปลดปล่อยเช่นกัน. ผมจะไม่จ่ายเงินเพื่อรับการปลดปล่อย.” ดังนั้น เขาตัดสินให้ผมติดคุกอีกสิบปี. แต่เรื่องนี้ใช่ว่าจะยุติความพยายามที่จะให้ผมอะลุ่มอล่วย. ศาลวางเงื่อนไขผ่อนผันให้ถ้าผมตกลงใจยอมปฏิบัติการในกองทัพเพียงสองเดือน และผมจะไม่ต้องติดอาวุธด้วยซ้ำ! ผมปฏิเสธข้อเสนอนั้นเช่นกัน แล้วการต้องโทษจำคุกสำหรับผมก็เริ่มต้น.
การข่มเหงเพิ่มทวี
ผมถูกพาตัวเข้าคุกในเมืองเพคส์อีกครั้งหนึ่ง. คราวนี้การทรมานยิ่งรุนแรงมากขึ้น. ผมถูกมัดมือไพล่หลัง แล้วใช้เชือกดึงขึ้นไปให้ห้อยโตงเตงอย่างนั้นนานสองชั่วโมง. ผลก็คือ ข้อต่อไหล่สองข้างของผมหลุด. การทรมานแบบนั้นมีซ้ำซากตลอดห้วงเวลาหกเดือนกว่า. ผมได้แต่ขอบพระคุณพระยะโฮวาที่ผมไม่ยอมจำนน.
ปี 1942 กลุ่มพวกเราซึ่งประกอบด้วยนักโทษการเมือง, คนยิว, และพยานพระยะโฮวา 26 คน—ถูกนำตัวไปยังเมืองคูสก์ในพื้นที่ซึ่งกองทหารเยอรมันยึดครอง. เราถูกส่งมอบให้พวกเยอรมัน และเขาใช้พวกนักโทษทำงานลำเลียงอาหาร, อาวุธ, และเสื้อผ้าไปให้ทหารที่อยู่แนวหน้า. พวกเราพยานฯ ไม่ยอมทำงานนี้เนื่องจากเป็นงานที่ละเมิดความเป็นกลางของคริสเตียน. ผลก็คือเราถูกส่งกลับให้แก่กองทหารฮังการี.
ท้ายที่สุด เขาขังเราไว้ในเรือนจำเมืองคูสก์. เราถูกตีด้วยกระบองยางวันละสามครั้งอยู่หลายวัน. ผมถูกหวดที่ขมับถึงกับล้มลง. ขณะถูกตี ผมคิดว่า ‘การตายไม่ใช่เรื่องยากเย็น.’ ผมชาไปทั่วสรรพางค์ ดังนั้น ผมไม่รู้สึกอะไรเลย. เขาไม่ให้เรากินอะไรเลยนานถึงสามวัน. แล้วพวกเราถูกนำตัวขึ้นศาล หกคนถูกตัดสินประหารชีวิต. เมื่อเสร็จสิ้นการประหารแล้ว พวกเราเหลืออยู่ 20 คน.
การทดสอบความเชื่อเท่าที่ผมได้ประสบช่วงนั้นที่เมืองคูสก์ เมื่อเดือนตุลาคม ปี 1942 นับว่ารุนแรงที่สุด. ความรู้สึกนึกคิดของเราเป็นดังถ้อยคำของกษัตริย์ยะโฮซาฟาดแห่งโบราณกาล ในคราวที่พลเมืองของท่านเผชิญสถานการณ์อันแสนเลวร้ายที่ว่า “พวกข้าพเจ้านี้ไม่มีกำลังที่จะต้านทานต่อสู้หมู่คณะใหญ่ที่มาต่อสู้พวกข้าพเจ้านี้; พวกข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะทำประการใด: แต่แหงนตาระลึกถึงพระองค์.”—2 โครนิกา 20:12.
พวกเราทั้ง 20 คนถูกนำตัวออกไปขุดหลุมฝังศพสำหรับฝังตัวเองรวมกัน มีทหารชาวฮังการี 18 นายควบคุม. เมื่อเราขุดเสร็จ เขาให้เวลาเราสิบนาทีเพื่อเซ็นเอกสาร ซึ่งตอนหนึ่งมีข้อความว่า “หลักคำสอนของพยานพระยะโฮวาผิด. ข้าฯ จะไม่เชื่อหรือจะไม่สนับสนุนคำสอนนี้อีกต่อไป. ข้าฯ จะรบเพื่อฮังการีบ้านเกิด . . . ข้าฯ ยืนยันด้วยลายเซ็นของข้าฯ ว่าข้าฯ จะเข้าสมทบกับคริสตจักรโรมันคาทอลิก.”
สิบนาทีผ่านไป มีคำสั่งว่า “ขวาหัน! เดินแถวไปที่หลุมฝังศพ!” แล้วออกคำสั่งให้ “นักโทษคนที่หนึ่งและที่สามลงหลุม!” เขาให้คนทั้งสองมีเวลาอีกสิบนาทีตัดสินใจเซ็นเอกสาร. หนึ่งในทหารหมู่นั้นพูดวิงวอนว่า “เลิกเชื่อเสียที แล้วขึ้นจากหลุมฝังศพเถอะ!” ไม่มีใครพูดสักคำ. แล้วนายทหารผู้บังคับบัญชาก็ยิงคนทั้งสอง.
“แล้วที่เหลือนอกนั้นล่ะ?” ทหารนายหนึ่งถามผู้บังคับบัญชา.
“มัดเขาไว้” เขาตอบ. “เราจะทรมานพวกนี้ให้มากกว่านี้และพรุ่งนี้หกโมงเช้ายิงทิ้งให้หมด.”
ผมกลัวขึ้นมาทันทีทันใด ไม่ใช่กลัวว่าผมจะตาย แต่ผมกลัวจะทนการทรมานไม่ไหวแล้วจะยอมอะลุ่มอล่วย. ดังนั้น ผมก้าวออกไปและพูดว่า “ท่านครับ พวกเราได้ละเมิดเช่นเดียวกันกับพี่น้องของเราซึ่งเพิ่งถูกยิงไป. ทำไมไม่ยิงพวกเราด้วยล่ะ?”
แต่เขาไม่ยิง. เราถูกมัดมือไพล่หลัง. แล้วเขาผูกข้อมือของเราดึงขึ้นไปห้อยโตงเตง. เมื่อเราหมดสติไม่รู้ตัว เขาก็ได้เอาน้ำราดพวกเรา. ความเจ็บปวดนั้นร้ายเหลือเพราะน้ำหนักร่างกายทำให้ข้อไหล่ของเราหลุด. การทรมานอย่างนี้ยาวนานถึงสามชั่วโมง. แล้วทันใดนั้นเองก็มีการออกคำสั่งไม่ให้ยิงพยานพระยะโฮวาอีก.
ย้ายไปทางตะวันออก—แล้วหลบหนี
จากนั้นอีกสามสัปดาห์ เราต้องออกเดินทางเป็นกลุ่มประมาณสองสามวันกระทั่งเรามาถึงฝั่งแม่น้ำดอน. พวกผู้คุมบอกเราว่าเขาจะไม่ปล่อยให้เรารอดชีวิตกลับไป. ระหว่างวันนั้น เขาให้งานเราทำอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย โดยให้ขุดสนามเพลาะแล้วกลบ. ตกตอนเย็น เราพอมีอิสระไปไหนมาไหนได้บ้าง.
ขณะที่ผมตรองดูสถานการณ์ เห็นว่ามีทางเป็นไปได้สองอย่าง. เราอาจต้องตายที่นี่ หรือไม่ก็อาจหลบหนีพวกเยอรมันแล้วมอบตัวกับฝ่ายรัสเซีย. พวกเรามีสามคนเท่านั้นได้ตัดสินใจพยายามหลบหนีข้ามแม่น้ำดอนที่เป็นน้ำแข็ง. วันที่ 12 ธันวาคม 1942 เราทูลอธิษฐานต่อพระยะโฮวาแล้วหนี. เราไปถึงแนวหน้าฝ่ายรัสเซียและถูกส่งตัวเข้าค่ายเชลยทันที ค่ายแห่งนั้นมีเชลยประมาณ 35,000 คน. เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ เชลยที่รอดชีวิตมีจำนวนเพียง 2,300 คน. นอกนั้นตายเพราะอดอยาก.
มีอิสระแต่โศกสลดมากยิ่งขึ้น
ผมรอดมาได้ในช่วงท้ายของสงคราม และต่อมาอีกหลายเดือนหลังสงครามยุติ ฐานะเชลยของรัสเซีย. ในที่สุด เดือนพฤศจิกายน ปี 1945 ผมกลับถึงบ้านที่เมืองซาฮอร์. สภาพไร่นาของเราแย่มาก ผมจึงต้องเริ่มใหม่ทุกอย่าง. ในช่วงสงคราม ภรรยาพร้อมกับลูกของผมได้ทำงานในไร่ แต่ในเดือนตุลาคม 1944 ตอนที่กองทัพรัสเซียเคลื่อนประชิด พวกเขาได้อพยพไปทางตะวันออก. ทุกอย่างที่เราเป็นเจ้าของก็ถูกช่วงชิงไปหมด.
ที่แย่ที่สุด เมื่อผมกลับถึงบ้าน ภรรยาของผมป่วยหนัก เดือนกุมภาพันธ์ 1946 เธอก็เสียชีวิต อายุเธอแค่ 38 ปีเท่านั้น. เรายินดีที่ได้กลับมาอยู่ร่วมกันชั่วเวลาสั้น ๆ หลังจากพลัดพรากจากกันนานกว่าห้าปีซึ่งแสนยากลำบาก.
ผมประสบการชูใจท่ามกลางพี่น้องฝ่ายวิญญาณ เมื่อได้เข้าร่วมประชุมและมีส่วนร่วมในงานเผยแพร่ตามบ้าน. ปี 1947 ผมสามารถยืมเงินได้จำนวนหนึ่งเพื่อเดินทางไปร่วมการประชุมใหญ่ที่เมืองเบอร์โน ระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร. ที่นั่น ท่ามกลางพี่น้องคริสเตียน รวมทั้งนาทาน เอช. นอรร์ นายกสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ขณะนั้น ผมได้รับคำปลอบโยนและการหนุนกำลังใจมาก.
เราชื่นชมกับอิสรภาพของเราหลังสงครามได้ไม่นาน. ปี 1948 ฝ่ายคอมมิวนิสต์เริ่มบีบบังคับพวกเรา. พี่น้องชายหลายคนซึ่งนำหน้าทำกิจการของพยานพระยะโฮวาในเชโกสโลวะเกียถูกจับในปี 1952 ส่วนผมได้รับมอบหน้าที่รับผิดชอบให้ดูแลประชาคมต่าง ๆ. ปี 1954 ผมถูกจับด้วยและถูกตัดสินจำคุกสี่ปี. ยาน ลูกชายของผมและยูไรลูกชายของเขาถูกจำคุกเช่นเดียวกัน เพราะเขาได้รักษาความเป็นกลางในฐานะคริสเตียน. ผมอยู่ในทัณฑสถานพันกรัตส์ในกรุงปรากสองปี. ครั้นแล้วผมได้รับอิสรภาพเมื่อมีการประกาศนิรโทษกรรมในปี 1956.
มีอิสรภาพในที่สุด!
ท้ายสุด ในปี 1989 การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ไม่สามารถแผ่อิทธิพลเหนือเชโกสโลวะเกียอีกต่อไป และกิจการของพยานพระยะโฮวาได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย. ดังนั้น พวกเราจึงสามารถประชุมร่วมกันได้และทำการเผยแพร่อย่างเปิดเผย. ตอนนั้น หมู่บ้านซาฮอร์มีพยานฯ เกือบหนึ่งร้อยคน ซึ่งหมายความว่า 1 ใน 10 ของคนในหมู่บ้านเป็นพยานฯ. เมื่อสองสามปีก่อน เราได้สร้างหอประชุมราชอาณาจักรที่สวยงาม กว้างขวาง ในหมู่บ้านซาฮอร์ จุที่นั่งได้ประมาณ 200 ที่.
สุขภาพส่วนตัวผมไม่สู้ดีนัก ดังนั้น พวกพี่น้องได้ขับรถพาผมไปหอประชุม. เมื่ออยู่ที่นั่นผมเพลิดเพลินและชื่นชมที่ได้ออกความเห็น ณ การศึกษาหอสังเกตการณ์. ผมรู้สึกเป็นสุขโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เห็นสามชั่วอายุในครอบครัวผมรับใช้พระยะโฮวา รวมไปถึงหลานหลายคนด้วย. หนึ่งในจำนวนนี้ได้รับใช้เป็นผู้ดูแลเดินทางแห่งพยานพระยะโฮวาในเชโกสโลวะเกีย จนกระทั่งความรับผิดชอบในครอบครัวเป็นเหตุให้เขาไม่สามารถทำงานได้ตามกำหนดการ.
ผมรู้สึกขอบพระคุณพระยะโฮวาที่พระองค์ทรงประทานกำลังแก่ผมในช่วงเวลาที่ผมถูกทดสอบหลายต่อหลายครั้ง. การมุ่งความเอาใจใส่จดจ้องอยู่ที่พระองค์เสมอ—“เหมือนหนึ่งเห็นพระองค์ผู้ไม่ทรงปรากฏแก่ตา” นี่เองเป็นสิ่งที่ค้ำจุนผมตลอดมา. (เฮ็บราย 11:27) ใช่แล้ว ผมรู้สึกได้ถึงพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ในการช่วยให้รอด. นี่แหละเป็นเหตุที่ทำให้ผมพยายามอย่างไม่ลดละที่จะเข้าร่วมการประชุมคริสเตียนและเข้าส่วนร่วมในงานรับใช้โดยการประกาศเผยแพร่พระนามพระองค์ในที่สาธารณะตามกำลังความสามารถของผม.
[รูปภาพหน้า 25]
หอประชุมราชอาณาจักรในซาฮอร์
[รูปภาพหน้า 26]
ผมหยั่งรู้ค่าสิทธิพิเศษในการออกความเห็น ณ การศึกษาหอสังเกตการณ์