-
ถูกทดลองอย่างรุนแรงแสนสาหัสหอสังเกตการณ์ 2003 | กุมภาพันธ์ 1
-
-
เดียวกัน. ดังนั้นผมจึงได้มอบผ้าห่มผืนที่ผมเคยใช้ตอนที่อยู่มาครอนีซอสให้ลูกเพื่อเขาจะมีกำลังใจ เตือนใจเขาให้ปฏิบัติตามตัวอย่างอดีตผู้รักษาความซื่อสัตย์มั่นคง. พวกพี่น้องที่ถูกหมายเรียกต้องขึ้นศาลทหาร และโดยปกติถูกตัดสินจำคุกสองถึงสี่ปี. เมื่อได้รับการปล่อยตัวออกมาแล้ว พวกเขาถูกเรียกตัวและถูกตัดสินจำคุกอีก. ในฐานะที่เป็นผู้สอนศาสนา ผมสามารถเข้าเยี่ยมเรือนจำหลายแห่งและได้พบลูกชายและเหล่าพยานฯ ที่ซื่อสัตย์คนอื่น ๆ ในชั่วเวลาจำกัด. ลูกชายผมติดคุกนานกว่าหกปี.
พระยะโฮวาได้ทรงค้ำจุนพวกเราโดยตลอด
หลังจากเสรีภาพทางศาสนาในประเทศกรีซคืนสู่สภาพเดิม ผมมีสิทธิพิเศษได้ทำงานรับใช้ประเภทไพโอเนียร์พิเศษชั่วคราวบนเกาะโรดส์. ครั้นแล้ว ในปี 1986 มีความจำเป็นในเมืองซิเทีย เกาะครีต ซึ่งที่นั่นผมได้เริ่มงานประจำชีพฝ่ายคริสเตียน. ผมยินดีรับเอางานมอบหมายครั้งนี้เพื่อรับใช้ด้วยกันอีกกับบรรดาเพื่อนร่วมความเชื่อผู้เป็นที่รัก ซึ่งผมรู้จักพวกเขาตั้งแต่ผมเป็นหนุ่ม.
เนื่องจากมีอายุมากที่สุดในครอบครัว ผมปลื้มใจที่เห็นลูกหลานรวมทั้งสิ้นเกือบ 70 คนรับใช้พระยะโฮวาอย่างภักดี. และยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ. บางคนรับใช้เป็นผู้ปกครอง, บ้างก็เป็นผู้ช่วยงานรับใช้, ไพโอเนียร์, สมาชิกเบเธล, และผู้ดูแลเดินทาง. ความเชื่อของผมถูกทดลองอย่างรุนแรงแสนสาหัสนานกว่า 58 ปี. เวลานี้ผมอายุ 93 ปี และเมื่อมองย้อนไปในอดีต ผมไม่เสียใจแม้แต่น้อยที่ได้รับใช้พระเจ้า. พระองค์ทรงประทานกำลังแก่ผมเพื่อจะตอบรับคำเชิญของพระองค์อันเปี่ยมความรักที่ว่า “บุตรชายของเรา จงมอบหัวใจของเจ้าให้เรา และจงให้ดวงตาของเจ้าชื่นชมในทางทั้งหลายของเรา.”—สุภาษิต 23:26, ล.ม.
-
-
คำถามจากผู้อ่านหอสังเกตการณ์ 2003 | กุมภาพันธ์ 1
-
-
คำถามจากผู้อ่าน
ทำไมคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าคนเราควรร้องตะโกนหากถูกคุกคามด้วยการข่มขืน?
ใครที่ไม่เคยประสบด้วยตัวเองถึงความตกใจกลัวจากการจู่โจมอย่างโหดร้ายโดยผู้ข่มขืนอาจไม่มีวันเข้าใจอย่างแท้จริงว่าเหตุการณ์นั้นอาจทำลายชีวิตคนเราให้ย่อยยับเพียงไร. ประสบการณ์นั้นเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับผู้ตกเป็นเหยื่อจนถึงกับอาจทำให้เธอระทมทุกข์ไปชั่วชีวิต.a สตรีสาวคริสเตียนคนหนึ่งซึ่งถูกทำร้ายข่มขืนเมื่อหลายปีมาแล้วเล่าว่า “ดิฉันไม่อาจพรรณนาความหวาดกลัวสุดขีดซึ่งดิฉันรู้สึกในคืนนั้นได้; อีกทั้งความบอบช้ำทางใจที่ดิฉันต้องเอาชนะนับแต่นั้นมา.” เป็นที่เข้าใจได้ หลายคนไม่อยากแม้แต่จะคิดถึงเรื่องที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้. กระนั้น ภัยคุกคามของการข่มขืนก็เป็นสภาพจริงในโลกที่ชั่วช้านี้.
คัมภีร์ไบเบิลมิได้หลีกเลี่ยงการเล่าถึงการข่มขืนบางรายรวมทั้งความพยายามที่จะข่มขืนซึ่งเกิดขึ้นในอดีต. (เยเนซิศ 19:4-11; 34:1-7; 2 ซามูเอล 13:1-14) แต่พระคัมภีร์ยังให้คำแนะนำในเรื่องสิ่งที่คนเราควรทำเมื่อถูกคุกคามด้วยการข่มขืน. สิ่งที่พระบัญญัติกล่าวในเรื่องนี้พบได้ที่พระบัญญัติ 22:23-27. ข้อที่อ่านนี้ครอบคลุมสถานการณ์สองอย่าง. ในกรณีแรก ชายคนหนึ่งพบหญิงสาวในเมืองและได้นอนกับเธอ. แม้จะเป็นเช่นนั้น ผู้หญิงคนนั้นมิได้ตะโกนหรือร้องขอความช่วยเหลือ. ฉะนั้น มีการตัดสินว่าเธอมีความผิด “เพราะผู้หญิงนั้นอยู่ที่ในเมือง, และมิได้ร้องบอกกล่าว.” หากเธอได้ร้องตะโกน คนที่อยู่แถวนั้นอาจสามารถมาช่วยเธอได้. ในกรณีที่สอง ชายคนหนึ่งพบหญิงสาวที่กลางทุ่ง ที่นั่นเขาได้ “ข่มขืนหญิงนั้น” (“จับตัวหญิงคนนั้นและได้ร่วมกับเธอ,” ฉบับแปลใหม่). เพื่อป้องกันตัว หญิงคนนั้น “ได้ร้องขึ้นแล้ว, แต่หามีผู้ช่วยไม่.” ไม่เหมือนกับผู้หญิงในกรณีแรก หญิงคนนี้ไม่ยินยอมอย่างเห็นได้ชัดต่อการกระทำของผู้จู่โจม. เธอต่อสู้สุดกำลัง ร้องขอความช่วยเหลือ แต่เธอสู้ไม่ไหว. การร้องตะโกน
-