เมื่อคนใจแข็งปานหินตอบสนอง
ปี 1989 พยานพระยะโฮวาในโปแลนด์ได้รับการรับรองให้เป็นองค์การศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมาย. เหล่าพยานฯซึ่งถูกจำคุกเนื่องด้วยพวกเขาได้รักษาความเป็นกลางตามหลักการคริสเตียนจึงทยอยรับการปล่อยตัว เขาได้จากลาเพื่อนนักโทษหลายคนซึ่งกระหายใคร่เรียนคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้นจากพวกเขา. ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่พยานพระยะโฮวาในเรือนจำแห่งหนึ่งบากบั่นช่วยคนเหล่านั้นซึ่งครั้งหนึ่งใจแข็งปานหินให้เปลี่ยนเป็นคนตอบสนองต่อฤทธิ์เดชแห่งพระคำของพระเจ้า.
เมืองโววูฟอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโปแลนด์ มีประชากร 12,000 คน ในเมืองนี้มีทัณฑสถานเก่าแก่อายุ 200 ปีเป็นที่คุมขังอาชญากรชั้นเลวที่สุดของโปแลนด์. ตั้งแต่การรับรองงานของพยานพระยะโฮวาโดยรัฐบาล พยานพระยะโฮวาได้บากบั่นพยายามนำข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรไปถึงนักโทษที่นั่น และพวกเขาทำเช่นนั้นอย่างกระตือรือร้นด้วยใจแรงกล้า.
ใบเบิกทางได้แก่หนังสือราชการออกโดยกระทรวงยุติธรรมถึงพัศดีทุกแห่งทั่วประเทศโปแลนด์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1990. หนังสือนั้นแจ้งว่าพวกเขา “ไม่ควรก่อความยุ่งยาก” แก่นักโทษคนหนึ่งคนใดที่ต้องการจะรับสรรพหนังสือของว็อชเทาเวอร์หรือต้องการพบกับพยานพระยะโฮวา. บางคนที่เป็นพยานฯ เคยติดคุกที่โววูฟนานหลายปี ได้รู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีกับนักโทษหัวแข็งหลายคนที่นั่น. อย่างไรก็ตาม พยานฯ หมายพึ่งพระยะโฮวาที่จะทรงอวยพรความพยายามของตนเพื่อให้ความจริงแห่งคัมภีร์ไบเบิลทำให้หัวใจแข็งปานหินของนักโทษคนอื่น ๆ อ่อนลง.
เริ่มต้นดำเนินงาน
บราเดอร์เชสวัฟจากเมืองวรอกวัฟห่างออกไปประมาณ 40 กิโลเมตรซึ่งได้รับอนุญาตให้ไปเยี่ยมเรือนจำในเมืองโววูฟบอกว่า “มันเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะเริ่มโครงการ. ผมต้องชี้แจงอย่างละเอียดหลายครั้งกับพวกเจ้าหน้าที่ในเรือนจำ เพื่อให้เขามั่นใจว่า ‘การปฏิบัติศาสนกิจ’ ของเราเป็นคุณประโยชน์สำหรับนักโทษ.”
พาเวล เพื่อนร่วมงานของเชสวัฟเล่าว่า เพื่อทำให้เรื่องซับซ้อน “เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งยืนกรานว่านักโทษเพียงแต่ใช้การปฏิบัติศาสนกิจเป็นข้ออ้างด้วยหวังประโยชน์ด้านวัตถุ.” แต่ครั้นสามคนซึ่งเมื่อก่อนเป็นอาชญากรอันตรายได้เสนอตัวขอรับบัพติสมาในปี 1991 เจ้าหน้าที่เรือนจำจึงได้เปลี่ยนท่าที และร่วมมือดีขึ้น.
เชสวัฟชี้แจงว่า “เราเริ่มต้นด้วยการให้คำพยานแก่พวกนักโทษ รวมไปถึงครอบครัวที่เข้าเยี่ยมพวกเขาในเรือนจำ อีกทั้งบุคลากรในทัณฑสถาน. ต่อจากนั้น เราได้รับอนุญาตให้ประกาศข่าวดีจากแดนหนึ่งไปแดนหนึ่ง นับว่าเป็นข้อยกเว้นที่ไม่ธรรมดา. ท้ายสุด เมื่อเราพบผู้สนใจพวกแรก เราได้รับอนุญาตให้ใช้ห้องขนาดเล็กสำหรับการนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและจัดเป็นที่ประชุมคริสเตียน.” ใช่แล้ว พระยะโฮวาทรงเปิดช่องทางเข้าถึงนักโทษใจแข็งปานหิน.
โครงการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ
ในไม่ช้า ปรากฏว่าห้องขนาดเล็กนั้นแคบไปถนัด. เนื่องจากนักโทษที่รับบัพติสมาแล้วบวกเข้ากับพี่น้องจากภายนอกได้เข้าส่วนงานประกาศ นักโทษราว ๆ 50 คนเริ่มเข้าร่วมการประชุม. ผู้ปกครองในท้องถิ่นคนหนึ่งอธิบายว่า “เป็นเวลาสามปีเศษที่เราได้จัดการประชุมทุกนัดขึ้นที่นั่น และพวกนักโทษมาร่วมการประชุมประจำสัปดาห์อย่างสม่ำเสมอ.” ดังนั้น ในเดือนพฤษภาคม 1995 เขาได้รับอนุญาตให้ใช้ห้องประชุมที่กว้างขวางกว่าเดิม.
พี่น้องชายที่รับผิดชอบจะตัดสินได้อย่างไรว่าใครจะเข้าร่วมการประชุมที่จัดขึ้นในเรือนจำได้? บราเดอร์เชสวัฟกับบราเดอร์ซยิสวัฟชี้แจงว่า “เรามีรายชื่อนักโทษที่สนใจความจริงอย่างบริสุทธิ์ใจ. ถ้านักโทษคนไหนไม่ก้าวหน้าหรือขาดประชุมโดยไม่มีเหตุผลอันควร เมื่อเป็นเช่นนี้ก็บ่งชี้ว่าเขาไม่หยั่งรู้ค่าการจัดเตรียมต่าง ๆ เราก็ต้องคัดชื่อเขาออกแล้วแจ้งพัศดี.”
ระหว่างการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล พี่น้องได้สอนพวกนักโทษให้รู้ถึงวิธีเตรียมตัวอย่างดีสำหรับการประชุม และวิธีใช้สรรพหนังสืออย่างมีประสิทธิผล. ด้วยเหตุนี้ เมื่อพวกนักโทษมายังการประชุม เขาได้เตรียมตัวอย่างดีและมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่. พวกเขาออกความคิดเห็นในเชิงเสริมสร้าง, ใช้คัมภีร์ไบเบิลของตนอย่างคล่องแคล่ว, และนำเอาคำแนะนำมาใช้กับตัวเอง. บ่อยครั้งรวมข้อสังเกตอยู่ในการแสดงความคิดเห็นของเขา อาทิ ‘ผมรู้ว่าผมต้องทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น.’
เลขาธิการประชาคมแจ้งว่า “การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลในคุกโววูฟรวมทั้งสิ้น 20 ราย. ในจำนวนนี้แปดรายเป็นการศึกษาซึ่งนำโดยนักโทษที่เป็นผู้ประกาศสามคน.” นักโทษผู้ประกาศเหล่านี้ประสบผลดีเช่นกันขณะเขาทำการเผยแพร่ตามแดนต่าง ๆ และระหว่างเดินอยู่ในบริเวณเรือนจำ. อย่างเช่น ในช่วงสิบเดือน นับจากกันยายน 1993 ถึงมิถุนายน 1994 เขาจำหน่ายหนังสือปกแข็ง 235 เล่ม จุลสารประมาณ 300 เล่ม และวารสาร 1,700 เล่ม. ไม่นานมานี้ เจ้าหน้าที่เรือนจำสองนายขอให้นำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเขา.
การประชุมพิเศษก่อความยินดี
ในที่สุดปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งได้เสริมเข้ากับโครงการการศึกษาในเรือนจำแห่งนั้น นั่นคือการประชุมพิเศษ. ผู้ดูแลเดินทางและพี่น้องชายที่มีคุณวุฒิคนอื่น ๆ จะนำเสนอส่วนหลัก ๆ ของการประชุมหมวดและการประชุมพิเศษวันเดียวที่โรงยิมของเรือนจำ. การประชุมพิเศษครั้งแรกได้จัดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 1993. มีนักโทษห้าสิบคนเข้าร่วม และ “ทั้งครอบครัวรวมทั้งผู้หญิงและลูกนั้นมาจากเมืองวรอกวัฟ” ตามที่หนังสือพิมพ์สวอโว โปลสกี รายงาน จำนวนผู้ร่วมประชุมทั้งสิ้น 139 คน. ระเบียบวาระมีช่วงพักรับประทานอาหารกลางวันซึ่งบรรดาพี่น้องหญิงได้จัดเตรียมไว้ และเป็นเวลาอันเหมาะสำหรับการสมาคมคบหาที่ดีแบบคริสเตียน.
การประชุมพิเศษอื่น ๆ อีกเจ็ดครั้งได้ถูกจัดขึ้นตั้งแต่นั้น และไม่เฉพาะคนเหล่านั้นในเรือนจำได้รับประโยชน์ คนภายนอกก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน. เมื่อสตรีพยานฯ แวะเข้าไปที่บ้านอดีตนักโทษจากคุกโววูฟซึ่งตอนนี้อยู่ในเมือง แรก ๆ เขารู้สึกระแวงอยู่บ้าง. แต่ครั้นบอกเขาว่านักโทษคนหนึ่งที่เขารู้จักได้มาเป็นพยานฯ แล้ว ชายผู้นั้นถึงกับร้องลั่นอย่างไม่เชื่อ “เจ้าฆาตกรนั้นนะหรือเป็นพยานฯ?” ผลที่ตามมา เขาตอบตกลงจะศึกษาคัมภีร์ไบเบิล.
ส่งผลเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างอัศจรรย์
โครงการส่งเสริมการศึกษาที่ครอบคลุมกว้างขวางเช่นนี้สามารถทำให้คนใจแข็งปานหินเปลี่ยนได้จริง ๆ ไหม? ให้เขาเล่าเรื่องของเขาก็แล้วกัน.
ซยิสวัฟ ชายผู้มีนิสัยชอบครุ่นคิดได้ระบายความในใจว่า “ผมไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่เลย เนื่องจากท่านได้ทอดทิ้งผมตั้งแต่เล็ก ๆ และผมจึงไม่ได้รับความรักซึ่งทำให้รู้สึกปวดร้าวอย่างยิ่ง. ผมเข้าไปพัวพันกับอาชญากรรมตั้งแต่วัยเด็ก ท้ายที่สุดถึงกับลงมือฆ่าคน. ความรู้สึกผิดรุมเร้าจนทำให้ผมคิดฆ่าตัวตาย และผมแสวงหาความหวังแท้อย่างสุดชีวิต. ครั้นแล้ว ปี 1987 ผมมีโอกาสได้อ่านวารสารหอสังเกตการณ์. จากวารสารนี้เอง ผมได้มารู้เรื่องความหวังที่จะมีการปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย และเรื่องชีวิตนิรันดร์. เมื่อตระหนักว่ายังไม่สิ้นหวังเสียทีเดียว ผมเลิกคิดเรื่องการฆ่าตัวตายและเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. บัดนี้ผมเข้าใจความหมายของความรักจากพระยะโฮวาและจากพวกพี่น้อง.” ตั้งแต่ปี 1993 อดีตฆาตกรผู้นี้ได้ปฏิบัติงานฐานะผู้ช่วยงานรับใช้และเป็นไพโอเนียร์สมทบ และปีที่แล้วเขาสมัครเป็นไพโอเนียร์ประจำ.
อีกด้านหนึ่ง โทมัสไม่รีรอที่จะตอบรับการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. เขาสารภาพว่า “แต่ผมไม่ได้ทำด้วยความจริงใจ. ผมศึกษาก็เพื่ออยากจะอวดอ้างคุยโตเมื่อคุยกับคนอื่นเรื่องความเชื่อของพยานพระยะโฮวา. แต่ผมไม่ใส่ใจกับความจริงของคัมภีร์ไบเบิลมากนัก. วันหนึ่ง ผมตัดสินใจเข้าไปร่วมการประชุมคริสเตียน. นักโทษที่รับบัพติสมาแล้วให้การต้อนรับผมอย่างอบอุ่น. ผมสำนึกว่าแทนที่จะพยายามคุยโตอวดความรู้ ผมต้องทำให้ใจแข็งปานหินของผมอ่อนลงและปรับเปลี่ยนจิตใจเสียใหม่.” โทมัสเริ่มต้นสวมใส่บุคลิกภาพใหม่เยี่ยงคริสเตียน. (เอเฟโซ 4:22-24) ขณะนี้ เขาเป็นพยานฯ ที่ได้อุทิศตัว รับบัพติสมาแล้ว และประสบความยินดีด้วยการทำงานประกาศตามแดนนักโทษ.
แรงกดดันจากเพื่อนเก่า
คนเหล่านั้นในเรือนจำซึ่งได้เรียนความจริงของคัมภีร์ไบเบิลถูกแรงกดดันอย่างหนักหน่วงจากเพื่อนเก่าในที่คุมขังและจากเจ้าหน้าที่เรือนจำด้วย. นักโทษชายคนหนึ่งเล่าว่า “ผมถูกเขาเยาะเย้ยและพูดเหน็บแนมอยู่เรื่อย. แต่ผมระลึกถึงคำพูดหนุนใจของพี่น้องตลอดเวลา. พวกเขาบอกผมให้ ‘หมั่นอธิษฐานต่อพระยะโฮวา.’ ‘อ่านคัมภีร์ไบเบิลแล้วคุณจะมีความสงบในจิตใจ.’ นั่นช่วยได้จริง ๆ.”
บราเดอร์ริชาร์ดซึ่งรับบัพติสมาแล้วและเป็นคนเข้มแข็งพูดว่า “เพื่อนนักโทษด้วยกันว่าผมอย่างเจ็บแสบโดยไม่ไว้หน้า. พวกเขาบอกเป็นเชิงเตือนผมไว้ก่อนว่า ‘แกจะไปยังที่ประชุมก็ได้ แต่อย่าทำตัวเด่นและทำทีว่าตัวแกดีกว่าคนอื่น เข้าใจ?’ เมื่อผมเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเนื่องจากผมปฏิบัติตามหลักการของคัมภีร์ไบเบิล ผมต้องทนการร้ายทุกอย่าง. พวกเขาพังเตียงนอนของผม โยนสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลทิ้งกลาดเกลื่อน ที่อันเป็นส่วนของผมเขาก็ทำสกปรกเลอะเทอะ. ผมทูลอธิษฐานขอพระยะโฮวาประทานกำลังเพื่อผมจะควบคุมตัวเองได้ แล้วผมก็จัดของเข้าที่เข้าทางให้เรียบร้อยอย่างเงียบ ๆ. หลังจากนั้น การโจมตีก็ยุติลง.”
นักโทษบางคนที่รับบัพติสมาแล้วเล่าว่า “เมื่อพวกนักโทษเห็นว่าเราตั้งใจแน่วแน่จะรับใช้พระยะโฮวา ก็มีแรงกดดันอีกแบบหนึ่ง. พวกเขามักพูดทำนองนี้: ‘จำไว้นะ คุณจะกินเหล้า, สูบบุหรี่, หรือโกหกไม่ได้อีกแล้ว.’ แรงกดดันในลักษณะเช่นนี้ช่วยเราให้ควบคุมตัวเอง สามารถละเลิกการไม่ดีต่าง ๆ หรือเลิกสิ่งเสพย์ติดได้ในเวลาอันสั้น. อีกทั้งช่วยเราปลูกฝังผลแห่งพระวิญญาณด้วย.”—ฆะลาเตีย 5:22, 23.
การเปลี่ยนมาเป็นผู้รับใช้ที่อุทิศตัวแด่พระเจ้า
เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่เรือนจำ การรับบัพติสมาครั้งแรกมีขึ้นที่โรงยิมในฤดูใบไม้ผลิปี 1991. ซยิสวัฟปลาบปลื้มที่ตนมีคุณสมบัติพร้อมรับบัพติสมา. นักโทษสิบสองคนเข้าร่วม และพี่น้องชายหญิง 21 คนจากประชาคมภายนอกมาร่วม ณ โอกาสนี้. การประชุมส่งผลกระทบเป็นกำลังใจแก่นักโทษ. บางคนในจำนวนนี้ทำความก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัดถึงขั้นที่มีนักโทษชายอีกสองคนได้รับบัพติสมาในเวลาต่อมาในปีนั้น. สองปีต่อมา คือปี 1993 การให้บัพติสมาถูกจัดขึ้นสองครั้ง และมีนักโทษอีกเจ็ดคนแสดงสัญลักษณ์ของการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวา!
เมื่อรายงานการรับบัพติสมาซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคมปีนั้น หนังสือพิมพ์รายวันของท้องถิ่นวีเยชอร์ด วรอตส์วาเวีย ตั้งข้อสังเกตดังนี้: “ผู้คนมาที่โรงยิมไม่ขาดสาย มีการทักทายและจับมือกันทั่วหน้า. ไม่มีใครเป็นคนแปลกหน้าที่นั่น. พวกเขาประกอบกันเป็นครอบครัวใหญ่หนึ่งเดียวที่ปรองดองกันในทางความคิด, ในการดำเนินชีวิต, และรับใช้พระเจ้าองค์เดียวคือพระยะโฮวา.” “ครอบครัวใหญ่หนึ่งเดียว” ตอนนั้นมีจำนวน 135 คน นับรวมนักโทษ 50 คน. ให้เรามารู้จักบางคนท่ามกลางพวกเขา.
เยอร์ซี ซึ่งได้รับบัพติสมาเดือนมิถุนายน เล่าว่า “แม้ผมเคยสัมผัสกับความจริงของคัมภีร์ไบเบิลอยู่บ้างเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่สิ่งที่อยู่ในตัวผมจริง ๆ แล้วคือหัวใจแข็งปานหิน. การหลอกลวง, หย่าขาดจากภรรยาคนแรก, อยู่กินกับคริสตินาอย่างไม่ถูกกฎหมาย, ได้ลูกนอกสายสมรสคนหนึ่ง, และต้องโทษติดคุกบ่อยครั้ง—นี่แหละคือรูปแบบชีวิตของผม.” เมื่อมองเห็นอาชญากรอื่น ๆ ที่แข็งกระด้างมาเป็นพยานพระยะโฮวาระหว่างติดคุก เขาเริ่มถามตัวเองว่า ‘ฉันจะกลับตัวเป็นคนดีไม่ได้หรือไง?’ เขาขอให้นำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเขาและได้เริ่มเข้าร่วมการประชุมต่าง ๆ. อย่างไรก็ตาม จุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่แท้จริงนั้นคือเขาได้ทราบจากอัยการว่าคริสตินาได้มาเป็นพยานพระยะโฮวาเมื่อสามปีที่แล้ว. “ผมรู้สึกประหลาดใจเป็นที่สุด!” เยอร์ซีพูด. “ผมคิดอย่างนี้ ‘แล้วผมล่ะ? ผมทำอะไรอยู่เวลานี้?’ ผมสำนึกว่าการจะเป็นที่ชอบจำเพาะพระยะโฮวา ผมจะต้องจัดเรื่องราวในชีวิตให้เรียบร้อย.” ผลที่ตามมา การอยู่ร่วมกันใหม่อย่างมีความสุขเริ่มขึ้นในเรือนจำ—กับคริสตินาพร้อมด้วยมาร์เซนา ลูกสาววัย 11 ขวบ. จากนั้นไม่นาน เขาทั้งสองได้จดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้อง. แม้ยังติดคุกและชีวิตไม่สู้จะราบรื่น แต่เยอร์ซีฝึกหัดเรียนภาษาท่าทางด้วยตนเอง และสามารถช่วยนักโทษหูหนวก.
มีโรสวัฟเข้าไปพัวพันกับการกระทำผิดทางอาญาตั้งแต่สมัยอยู่โรงเรียนชั้นประถม. เขาชื่นชอบสิ่งที่เพื่อน ๆ กระทำ และในไม่ช้าเขาก็ริทำเช่นเดียวกัน. เขาเคยขโมย ตีชิงเจ้าทรัพย์มาแล้วหลายคน. แล้วลงท้ายด้วยการติดคุก. มีโรสวัฟสารภาพว่า “เมื่อต้องโทษจำคุก ผมหันไปพึ่งบาทหลวง. แต่ผมผิดหวังโดยสิ้นเชิง. ดังนั้นผมตัดสินใจจะดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย.” วันที่เขาวางแผนฆ่าตัวตายนั้นเอง เขาถูกย้ายไปขังคุกอีกแดนหนึ่ง. ที่นั่นเขาพบวารสารหอสังเกตการณ์ ฉบับที่พูดเรื่องจุดมุ่งหมายของชีวิต. เขาเล่าต่อดังนี้: “ข้อมูลชัดเจน อ่านเข้าใจง่ายเป็นสิ่งที่ผมต้องการอยู่พอดี. มาถึงตอนนี้ผมต้องการมีชีวิตอยู่! ดังนั้น ผมจึงทูลอธิษฐานต่อพระยะโฮวาและขอพยานฯ นำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับผม.” เขาก้าวหน้าเร็วด้านการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและได้รับบัพติสมาในปี 1991. บัดนี้ ในฐานะไพโอเนียร์สมทบ เขาได้รับสิทธิพิเศษที่จะเผยแพร่ในเรือนจำจากแดนหนึ่งไปอีกแดนหนึ่ง.
จวบจนบัดนี้ นักโทษที่รับบัพติสมารวมทั้งสิ้นมี 15 คน. โทษจำคุกของพวกเขารวมกันแล้วเกือบ 260 ปี. บางคนพ้นโทษก่อนครบกำหนด. นักโทษคนหนึ่งต้องโทษจำคุก 25 ปี แต่ได้ลด 10 ปี. และหลายคนที่แสดงความสนใจระหว่างติดคุกได้มาเป็นพยานฯ ที่รับบัพติสมาหลังจากรับการปลดปล่อย. นอกจากนี้ มีนักโทษอีก 4 คนในเรือนจำเตรียมตัวจะรับบัพติสมา.
ได้รับการยอมรับจากเจ้าหน้าที่เรือนจำ
รายงานของเรือนจำระบุว่า “การเปลี่ยนทัศนคติของนักโทษเป็นที่สังเกตได้ชัดเป็นพิเศษ หลายคนเลิกสูบบุหรี่ และพวกเขาดูแลห้องขังที่เขาอยู่ให้สะอาดเสมอ. การเปลี่ยนความประพฤติดังกล่าวเห็นได้ชัดกับนักโทษหลายคน.”
หนังสือพิมพ์เซเค วอร์ซอ รายงานว่า ฝ่ายบริหารของทัณฑสถานในโววูฟได้ยอมรับว่า “พวกที่เปลี่ยนศาสนาเป็นคนมีวินัย; เขาไม่ก่อปัญหาแก่ผู้คุมเรือนจำ.” บทความกล่าวต่อไปว่าพวกที่ถูกปล่อยพ้นโทษก่อนครบกำหนดนั้นต่างก็ร่วมประสานกันเป็นอย่างดีในแวดวงของพยานพระยะโฮวาและไม่ได้หวนกลับไปกระทำผิดกฎหมาย.
และพัศดีให้ความเห็นอย่างไร? เขาบอกว่า “การงานของพยานพระยะโฮวาในทัณฑสถานแห่งนี้เป็นที่น่าปรารถนาอย่างยิ่งและเป็นคุณประโยชน์.” พัศดียอมรับว่า “ในระหว่างที่มีการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล [กับพยานพระยะโฮวา] ค่านิยมและมาตรฐานของนักโทษได้เปลี่ยนไปทำให้พวกเขามีพลังชี้นำแบบใหม่ในชีวิตของเขา. ความประพฤติของเขาเป็นแบบที่รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวและสุภาพ. พวกเขาเป็นคนทำงานอย่างขยันขันแข็ง แทบจะไม่มีปัญหา.” คำชมเชยจากเจ้าหน้าที่ย่อมเป็นสิ่งน่ายินดีอย่างแน่นอนสำหรับเหล่าพยานฯ ผู้ซึ่งทำงานร่วมกับนักโทษในเรือนจำโววูฟ.
พยานพระยะโฮวาที่ไปเยี่ยมหยั่งรู้ค่าคำตรัสของพระเยซูอย่างเต็มที่ที่ว่า “เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา. . . . แกะเหล่านั้นจะฟังเสียงของเรา และจะรวมเป็นฝูงเดียวมีผู้เลี้ยงผู้เดียว.” (โยฮัน 10:14, 16, ล.ม.) กำแพงคุกไม่อาจเป็นอุปสรรคขวางกั้นพระเยซูคริสต์ ผู้เลี้ยงที่ดีที่จะรวบรวมผู้คนเยี่ยงแกะ. เหล่าพยานฯ ในโววูฟรู้สึกขอบคุณที่พวกเขามีสิทธิพิเศษได้ร่วมงานรับใช้ที่น่ายินดีนี้. และพวกเขาหมายพึ่งพระยะโฮวาที่พระองค์จะอวยพรความพยายามของเขาต่อไปที่จะช่วยคนใจแข็งปานหินอีกหลายคนตอบรับข่าวดีแห่งราชอาณาจักรก่อนอวสานมาถึง.—มัดธาย 24:14.
[กรอบหน้า 27]
โตแล้วแต่มีปัญหา “แบบเด็ก”
พยานฯ ที่ทำงานในทัณฑสถานโววูฟตั้งข้อสังเกตว่า “ภายหลังติดคุกมานาน นักโทษมักจะไม่สำนึกถึงความหมายของการอยู่อย่างอิสระหรือการอยู่ด้วยตัวเอง. ในทางมูลฐาน เราพบว่าผู้ใหญ่มีปัญหา ‘แบบเด็ก’ เมื่อนักโทษได้รับการปลดปล่อยจากคุกไม่รู้วิธีดูแลตัวเอง. อันนี้แหละทำให้บทบาทการดำเนินงานของประชาคมไม่เพียงแต่สอนความจริงของคัมภีร์ไบเบิล. เรายังต้องเตรียมเขาให้พร้อมเพื่อจะอยู่ร่วมกับชุมชนได้ เตือนเขาให้รู้อันตรายและการล่อใจแบบใหม่ซึ่งเขาอาจต้องเผชิญ. แม้เราคอยระมัดระวังจะไม่ให้เป็นการพิทักษ์คุ้มครองมากเกินไป แต่เราต้องช่วยเขาให้เริ่มชีวิตใหม่.”