-
เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติกำลังเป็นที่นิยม!ตื่นเถิด! 2017 | ฉบับที่ 2
-
-
จากปก | อะไรอยู่เบื้องหลังสิ่งลี้ลับ?
เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติกำลังเป็นที่นิยม!
“แวมไพร์ มนุษย์หมาป่า ซอมบี้ต้องหลบไป เพราะตอนนี้เรื่องเกี่ยวกับผีสิงและหมอผีกำลังมาแรง”—หนังสือพิมพ์เดอะ วอลล์ สตรีต เจอร์นัล
พ่อมดน้อย พ่อมดชรา แม่มดเจ้าเสน่ห์ และแวมไพร์รูปหล่อมักเป็นตัวละครที่พบได้ทั่วไปในหนังสือ ภาพยนตร์ และวีดีโอเกม ทำไมผู้คนถึงสนใจเรื่องพวกนี้?a
ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาชื่อ คล็อด ฟิชเชอร์ เขียนว่า “ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา คนเชื่อเรื่องผีกันมากขึ้น จากเดิมมีชาวอเมริกันแค่ 1 ใน 10 คนเชื่อเรื่องนี้ แต่ตอนนี้มีมากถึง 1 ใน 3 คน และเด็กอเมริกันจำนวนมากกว่าสองเท่าของผู้ใหญ่บอกว่าพวกเขาเคยไปหาคนทรง เชื่อเรื่องผี และเชื่อเรื่องบ้านผีสิง”
ไม่น่าแปลกใจที่เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณชั่วเข้าสิงมนุษย์กำลังกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง ไมเคิล คาเลียเขียนไว้ในหนังสือพิมพ์เดอะ วอลล์ สตรีต เจอร์นัล ว่า “ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีเรื่องเกี่ยวกับซอมบี้ มนุษย์หมาป่า และแวมไพร์มากมาย จนทำให้ทุกวันนี้ผู้คนให้ความสนใจและนิยมเรื่องเกี่ยวกับผีสิงอีกครั้ง”
รายงานหนึ่งบอกว่า “ผู้คนทั่วโลก ราว ๆ 25 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์เชื่อเรื่องผี และเรื่องผีมีแพร่หลายอยู่ในงานเขียนแทบจะทุกวัฒนธรรม” และการสำรวจในสหรัฐโดย คริสโตเฟอร์ เบเดอร์ และ คาร์สัน เมนเคน ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาบอกว่า “คนอเมริกันราว ๆ 70 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง”
การยุ่งเกี่ยวกับไสยศาสตร์และเรื่องลี้ลับเป็นแค่ความสนุกที่ไม่มีพิษมีภัยไหม?
a เรื่องลี้ลับ หมายถึง “เรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์หรือกฎของธรรมชาติ”—พจนานุกรมเมอร์เรียม-เว็บสเตอร์
-
-
คัมภีร์ไบเบิลบอกอย่างไรเรื่องวิญญาณและผีปีศาจ?ตื่นเถิด! 2017 | ฉบับที่ 2
-
-
แม้ความบันเทิงจะนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณและผีปีศาจในแบบที่ดึงดูดความสนใจ แต่เราก็ต้องรู้ถึงอันตรายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
จากปก | อะไรอยู่เบื้องหลังสิ่งลี้ลับ?
คัมภีร์ไบเบิลบอกอย่างไรเรื่องวิญญาณและผีปีศาจ?
หลายคนอาจไม่แน่ใจว่าเรื่องลี้ลับและผีปีศาจที่มีอยู่รอบตัวเป็นเรื่องหลอกลวง เป็นแค่จินตนาการของผู้เขียนบทภาพยนตร์ หรือเป็นเรื่องจริงกันแน่ แต่คัมภีร์ไบเบิลเตือนอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่น ที่เฉลยธรรมบัญญัติ 18:10-13 บอกว่า “อย่าให้ใคร . . . เป็นผู้ทำนายโชคชะตา ใช้เวทมนตร์ ถือโชคลาง และทำตัวเป็นพ่อมด อย่าให้มีคนทำคาถาอาคม ปรึกษาคนทรงหรือหมอดู และอย่าติดต่อคนตาย” เพราะอะไร? คัมภีร์ไบเบิลบอกอีกว่า “พระยะโฮวาเกลียดคนที่ทำอย่างนี้ . . . คุณต้องเป็นคนที่ไม่มีตำหนิสำหรับพระยะโฮวาพระเจ้า”
ทำไมคัมภีร์ไบเบิลตำหนิการยุ่งเกี่ยวกับวิญญาณและผีปีศาจอย่างรุนแรง?
ต้นกำเนิดที่น่ารังเกียจ
คัมภีร์ไบเบิลบอกเราให้รู้ว่านานก่อนที่พระเจ้าเริ่มสร้างโลก พระองค์สร้างทูตสวรรค์หลายล้านองค์ (โยบ 38:4, 7; วิวรณ์ 5:11) พระเจ้าให้พวกเขามีอิสระในการเลือก เขาเลือกได้ว่าจะทำดีหรือทำชั่ว แต่มีทูตสวรรค์บางองค์เลือกที่จะกบฏต่อพระเจ้า ทิ้งหน้าที่ในสวรรค์แล้วมาก่อความวุ่นวายในโลก ผลก็คือโลก ‘มีแต่ความรุนแรง’—ปฐมกาล 6:2-5, 11; ยูดา 6
คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าทูตสวรรค์ชั่วพวกนั้นมีอิทธิพลมากเพราะมันหลอกลวงผู้คนหลายล้านคนอยู่ (วิวรณ์ 12:9) พวกมันรู้ว่าตามปกติแล้วมนุษย์มักจะอยากรู้อนาคต มันจึงใช้เรื่องนี้เพื่อหลอกลวงผู้คน—1 ซามูเอล 28:5, 7; 1 ทิโมธี 4:1
แม้อำนาจลึกลับพวกนี้ดูเหมือนมีประโยชน์ต่อผู้คน (2 โครินธ์ 11:14) แต่จริง ๆ แล้ว ทูตสวรรค์ชั่วตั้งใจปิดหูปิดตาผู้คนไม่ให้รู้ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า—2 โครินธ์ 4:4
เหมือนที่คัมภีร์ไบเบิลบอกไว้ การติดต่อกับพวกวิญญาณชั่วไม่ใช่เรื่องสนุกที่ไม่มีพิษมีภัย ดังนั้น เมื่อสาวกของพระเยซูได้เข้าใจความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขา “หลายคนที่เคยใช้เวทมนตร์คาถาก็เอาม้วนหนังสือของเขามากองรวมกันแล้วเผาต่อหน้าทุกคน” แม้การทำอย่างนั้นเป็นการสูญเสียเงินมากมายก็ตาม—กิจการ 19:19
หลายคนในทุกวันนี้ก็เช่นกัน พวกเขาปฏิเสธความบันเทิงหรืออะไรก็ตามที่มีต้นตอมาจากวิญญาณและผีปีศาจ ตัวอย่างเช่น ตอนที่มาเรียa อายุ 12 ปี ดูเหมือนเธอจะมีความสามารถในการทำนายอนาคตและทำนายเรื่องร้าย ๆ ได้ เธอใช้ไพ่ทาโร่ต์ทำนายให้เพื่อนที่โรงเรียน และเมื่อเรื่องนั้นเกิดขึ้นจริง ก็ทำให้เธอยิ่งสนใจเรื่องลี้ลับมากขึ้น
“มีวัยรุ่นผู้หญิงมากขึ้นที่เชื่อเรื่องเวทมนตร์คาถา นี่เป็นเพราะแม่มดที่ดูน่าดึงดูดและมีเสน่ห์ในทีวี ภาพยนตร์ และหนังสือต่าง ๆ”—การสำรวจของแกลลัป ปี ค.ศ. 2014
มาเรียคิดว่าความสามารถนี้มาจากพระเจ้าซึ่งทำให้เธอช่วยคนอื่นได้ แต่เธอบอกว่า “ฉันไม่เข้าใจอยู่อย่างนึง ฉันใช้ไพ่ทำนายเรื่องคนอื่นได้ แต่กลับทำนายเรื่องของตัวเองไม่ได้ แม้ฉันจะอยากรู้อนาคตของตัวเองมากแค่ไหนก็ตาม”
คำถามหลายข้อที่ยังหาคำตอบไม่ได้ ทำให้มาเรียรู้สึกไม่สบายใจ เธอจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า และต่อมาก็มีพยานพระยะโฮวามาหาเธอ และเธอเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพวกเขา มาเรียเลยได้รู้ว่าความสามารถในการทำนายอนาคตของเธอไม่ได้มาจากพระเจ้า และเธอยังได้รู้อีกว่าคนที่อยากเป็นเพื่อนกับพระเจ้าต้องกำจัดทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณและผีปีศาจ (1 โครินธ์ 10:21) ผลเป็นอย่างไร? มาเรียทิ้งสิ่งของต่าง ๆ และหนังสือทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ และตอนนี้เธอบอกความจริงที่ได้เรียนรู้จากคัมภีร์ไบเบิลให้คนอื่นได้รู้ด้วย
ตอนที่ไมเคิลเป็นวัยรุ่น เขาติดนิยายแนวแฟนตาซีที่ตัวละครมีเวทมนตร์ เขาเล่าว่า “ผมชอบคิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่ในเรื่องที่ผจญภัยไปในโลกแห่งจินตนาการ” ทีละเล็กทีละน้อย ไมเคิลก็เริ่มชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับเวทมนตร์และสิ่งที่เกี่ยวกับซาตาน เขายอมรับว่า “ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ผมอยากอ่านหนังสือและดูหนังที่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้”
อย่างไรก็ตาม การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลทำให้ไมเคิลเห็นว่าเขาจำเป็นต้องคิดจริงจังเกี่ยวกับสิ่งที่เขาอ่าน เขาบอกว่า “ผมเขียนรายชื่อหนังสือทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องวิญญาณและผีปีศาจ แล้วผมก็เอาทั้งหมดไปทิ้ง ผมได้บทเรียนสำคัญจาก 1 โครินธ์ 10:31 ว่าคัมภีร์ไบเบิลบอกให้ ‘ทำทุกสิ่งแบบที่จะทำให้พระเจ้าได้รับการยกย่องสรรเสริญ’ ตอนนี้ผมเลยถามตัวเองว่า ‘การที่ผมอ่านหนังสือแบบนี้ทำให้พระเจ้าได้รับการยกย่องสรรเสริญรึเปล่า?’ ถ้าไม่ ผมก็ไม่อ่าน”
มีการเปรียบเทียบอย่างเหมาะสมว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นเหมือนตะเกียง ซึ่งเป็นแหล่งแห่งแสงสว่างที่ช่วยเปิดโปงให้เรารู้ว่าเรื่องวิญญาณและผีปีศาจเป็นอย่างไรจริง ๆ (สดุดี 119:105) และคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอกแค่นั้น แต่ยังบอกเกี่ยวกับคำสัญญาที่ยอดเยี่ยมว่าโลกนี้จะหลุดพ้นจากอำนาจของพวกผีปีศาจ ซึ่งจะส่งผลต่อมนุษยชาติอย่างมาก เช่น สดุดี 37:10, 11 บอกว่า “อีกหน่อยจะไม่มีคนชั่วเลย ถึงจะมองหาในที่ที่พวกเขาเคยอยู่ คุณก็จะไม่เจอพวกเขา แต่คนที่อ่อนน้อมถ่อมตนจะได้อยู่ในโลก พวกเขาจะชื่นชมยินดีและมีแต่ความสงบสุข”
a ชื่อสมมุติ
-