-
สองกษัตริย์คู่ปรับจงเอาใจใส่คำพยากรณ์ของดานิเอล
-
-
และผู้สืบบัลลังก์ของท่าน เซอร์เซสที่ 1 กษัตริย์องค์ที่ “สี่.” ท่านคือกษัตริย์อะหัศวะโรศที่สมรสกับพระนางเอศเธระ.—เอศเธระ 1:1; 2:15-17.
6, 7. (ก) กษัตริย์องค์ที่สี่ “ยกทั้งหมดไปต่อสู้อาณาจักรกรีซ” อย่างไร? (ข) การรบของเซอร์เซสกับกรีซมีผลเช่นไร?
6 เซอร์เซสที่ 1 ได้ “ยกทั้งหมดไปต่อสู้อาณาจักรกรีซ” อย่างแท้จริง ซึ่งก็คือกลุ่มนครรัฐกรีกอิสระ. หนังสือชาวมีเดียและชาวเปอร์เซีย—ผู้พิชิตและนักการทูต (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “โดยถูกกระตุ้นจากพวกข้าราชสำนักที่ทะเยอทะยาน เซอร์เซสส่งกองทหารเข้าโจมตีทั้งทางบกและทางทะเล.” เฮโรโดทุส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกในศตวรรษที่ห้า ก.ส.ศ. เขียนว่า “ไม่มีการกรีธาทัพครั้งใดอาจเทียบได้กับครั้งนี้.” เขาบันทึกว่า กองกำลังทางทะเล “รวมทั้งหมดมี 517,610 คน. ทหารบกมีจำนวน 1,700,000 คน ทหารม้ามี 80,000 คน; ซึ่งต้องเพิ่มชาวอาหรับที่ขี่อูฐ และชาวลิเบียที่สู้บนรถรบเทียมม้า ซึ่งข้าพเจ้ากะประมาณว่ามี 20,000 คน. ดังนั้น จำนวนทั้งหมดของกองกำลังทั้งทางทะเลและทางบกรวมกันมี 2,317,610 คน.”
7 เซอร์เซสที่ 1 วางแผนที่จะได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาด ท่านจึงเคลื่อนกองกำลังมหึมาของท่านไปสู้กับกรีซในปี 480 ก.ส.ศ. หลังจากเอาชนะกลยุทธ์ถ่วงเวลาของพวกกรีกที่เทอร์โมพีเล พวกเปอร์เซียจึงปล้นสะดมกรุงเอเธนส์. แต่ที่ช่องแคบซาลามิสพวกเขาพบกับความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน. พวกกรีกได้รับชัยชนะอีกครั้งหนึ่งที่เมืองพลาเทีย ในปี 479 ก.ส.ศ. กษัตริย์เจ็ดองค์ที่สืบต่อจากเซอร์เซสบนบัลลังก์แห่งจักรวรรดิเปอร์เซียในช่วงเวลา 143 ปีต่อมาไม่มีสักองค์เดียวที่รุกรานกรีซ. แต่แล้วก็เกิดมีกษัตริย์ผู้มีอำนาจมากในกรีซ.
อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ถูกแบ่งเป็นสี่ส่วน
8. “กษัตริย์ที่เข้มแข็งองค์หนึ่ง” ที่ยืนขึ้นคือใคร และท่านได้ขึ้นมา “ปกครองด้วยราชอำนาจอันไพศาล” อย่างไร?
8 ทูตสวรรค์กล่าวว่า “กษัตริย์ที่เข้มแข็งองค์หนึ่งจะยืนขึ้นเป็นแน่และปกครองด้วยราชอำนาจอันไพศาลและทำตามใจท่าน.” (ดานิเอล 11:3, ล.ม.) อะเล็กซานเดอร์ในวัยยี่สิบปีได้ “ยืนขึ้น” เป็นกษัตริย์แห่งมาซิโดเนียในปี 336 ก.ส.ศ. ท่านกลายเป็น “กษัตริย์ที่เข้มแข็งองค์หนึ่ง”—อะเล็กซานเดอร์มหาราช. โดยดำเนินตามแผนของฟิลิปที่ 2 บิดาท่าน ท่านยึดแคว้นเปอร์เซียในตะวันออกกลางได้. เมื่อข้ามแม่น้ำยูเฟรทิสและแม่น้ำไทกริส ทหารของท่านจำนวน 47,000 คนตีกองทัพซึ่งมีกำลังพล 250,000 คนของดาระยาศที่ 3 แตกที่เกากาเมลา. ผลคือดาระยาศหนีไปแล้วก็ถูกสังหาร เป็นการจบสิ้นราชวงศ์เปอร์เซีย. ตอนนี้กรีซกลายเป็นมหาอำนาจโลก และอะเล็กซานเดอร์ “ปกครองด้วยราชอำนาจอันไพศาลและทำตามใจท่าน.”
9, 10. คำพยากรณ์ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจริงอย่างไรที่ว่า อาณาจักรของอะเล็กซานเดอร์ไม่ได้ตกเป็นของทายาทของท่าน?
9 อะเล็กซานเดอร์มีอำนาจปกครองโลกเพียงช่วงสั้น ๆ เพราะทูตสวรรค์ของพระเจ้ากล่าวต่อไปว่า “พอท่านยืนขึ้น อาณาจักรของท่านจะถูกทำให้แตกและถูกแบ่งแยกไปทางลมทั้งสี่แห่งฟ้าสวรรค์ แต่จะไม่ตกทอดแก่ทายาทของท่านและไม่มีอำนาจอย่างที่ท่านเคยปกครอง; เพราะอาณาจักรของท่านจะถูกถอนรากถอนโคน เพื่อคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่คนเหล่านี้.” (ดานิเอล 11:4, ล.ม.) อะเล็กซานเดอร์ยังอายุไม่ถึง 33 ปีเต็มเมื่อท่านสิ้นชีวิตด้วยโรคที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันที่บาบูโลนในปี 323 ก.ส.ศ.
10 จักรวรรดิอันกว้างใหญ่ของอะเล็กซานเดอร์ไม่ได้ตกเป็นของ “ทายาทของท่าน.” น้องชายของท่าน ฟิลิปที่ 3 อาร์รีดีอุส ปกครองได้ไม่ถึงเจ็ดปีก็ถูกสังหารตามความต้องการของโอลิมเปียส มารดาของอะเล็กซานเดอร์ ในปี 317 ก.ส.ศ. อะเล็กซานเดอร์ที่ 4 บุตรของอะเล็กซานเดอร์ปกครองจนถึงปี 311 ก.ส.ศ. เมื่อท่านถูกสังหารโดยคัสซันเดอร์ แม่ทัพคนหนึ่งของบิดาท่าน. ฮีราคลีสบุตรนอกกฎหมายของอะเล็กซานเดอร์พยายามจะปกครองในนามของบิดา แต่ก็ถูกสังหารในปี 309 ก.ส.ศ. ด้วยเหตุนี้เชื้อสายของอะเล็กซานเดอร์จึงสิ้นสุดลง “อำนาจอย่างที่ท่านเคยปกครอง” ก็ไม่อยู่กับครอบครัวของท่านอีกต่อไป.
11. อาณาจักรของอะเล็กซานเดอร์ถูก “แบ่งแยกไปทางลมทั้งสี่แห่งฟ้าสวรรค์” อย่างไร?
11 หลังอะเล็กซานเดอร์สิ้นชีวิต อาณาจักรของท่านถูก “แบ่งแยกไปทางลมทั้งสี่.” แม่ทัพหลายคนของท่านวิวาทกันขณะที่แย่งชิงเขตแดน. แม่ทัพอันทิโกนุสที่ 1 ผู้มีตาข้างเดียว พยายามจะควบคุมจักรวรรดิทั้งหมดของอะเล็กซานเดอร์. แต่เขาถูกสังหารในการรบที่อิพซุส ในฟรูเกีย. พอถึงปี 301 ก.ส.ศ. แม่ทัพสี่คนของอะเล็กซานเดอร์ก็มีอำนาจเหนืออาณาเขตอันกว้างใหญ่ที่ผู้บังคับบัญชาของตนพิชิตมาได้. คัสซันเดอร์ปกครองมาซิโดเนียและกรีซ. ลีซิมาคุสได้ควบคุมเอเชียน้อยและเทรส. เซเลอคุสที่ 1 นิคาเตอร์ ยึดเมโสโปเตเมียและซีเรีย. และปโตเลมี ลากุส ปกครองอียิปต์และปาเลสไตน์. สมจริงตามคำพยากรณ์ จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ของอะเล็กซานเดอร์ถูกแบ่งเป็นอาณาจักรกรีกสี่อาณาจักร.
สองกษัตริย์คู่ปรับปรากฏขึ้น
12, 13. (ก) อาณาจักรกรีกสี่อาณาจักรลดลงเหลือสองได้อย่างไร? (ข) เซเลอคุสตั้งราชวงศ์อะไรขึ้นในซีเรีย?
12 ไม่กี่ปีหลังจากขึ้นสู่อำนาจ คัสซันเดอร์ก็สิ้นชีวิต และในปี 285 ก.ส.ศ. ลีซิมาคุสยึดครองส่วนทางยุโรปของอาณาจักรกรีกได้. ในปี 281 ก.ส.ศ. ลีซิมาคุสสิ้นชีวิตในการรบกับเซเลอคุสที่ 1 นิคาเตอร์ จึงทำให้เซเลอคุสได้ครอบครองส่วนใหญ่ของเขตแดนในเอเชีย. อันทิโกนุสที่ 2 โกนาทัส หลานของแม่ทัพคนหนึ่งของอะเล็กซานเดอร์ ได้ขึ้นครองบัลลังก์แห่งมาซิโดเนียในปี 276 ก.ส.ศ. ต่อมา มาซิโดเนียไปพึ่งพาโรมและกลายเป็นแคว้นหนึ่งของโรมในปี 146 ก.ส.ศ.
13 อาณาจักรกรีกเพียงสองในสี่อาณาจักรเท่านั้นที่ยังคงโดดเด่นอยู่—อาณาจักรหนึ่งอยู่ภายใต้เซเลอคุสที่ 1 นิคาเตอร์และอาณาจักรหนึ่งอยู่ภายใต้ปโตเลมี ลากุส. เซเลอคุสได้ตั้งราชวงศ์เซเลอคิดขึ้นในซีเรีย. หนึ่งในบรรดาเมืองที่ท่านวางรากไว้คืออันทิโอก—เมืองหลวงแห่งใหม่ของซีเรีย—และเมืองท่าเซลูเซีย. ต่อมา อัครสาวกเปาโลได้สอนในเมืองอันทิโอก (อันติโอเกีย) ที่ซึ่งผู้ติดตามพระเยซูถูกเรียกว่าคริสเตียนเป็นครั้งแรก. (กิจการ 11:25, 26; 13:1-4) เซเลอคุสถูกลอบสังหารในปี 281 ก.ส.ศ. แต่ราชวงศ์ของท่านปกครองต่อมาจนถึงปี 64 ก.ส.ศ. เมื่อญาเออุส ปอมปีย์ แม่ทัพโรมันได้ยึดซีเรียเป็นแคว้นหนึ่งของโรม.
14. ราชวงศ์ปโตเลมีในอียิปต์ถูกตั้งขึ้นเมื่อไร?
14 อาณาจักรกรีกที่ยืนนานที่สุดในบรรดาสี่อาณาจักรคืออาณาจักรของปโตเลมี ลากุส หรือปโตเลมีที่ 1 ซึ่งตั้งตนเป็นกษัตริย์ในปี 305 ก.ส.ศ. ราชวงศ์ปโตเลมีที่ท่านตั้งขึ้นได้ปกครองอียิปต์ต่อไปจนกระทั่งพ่ายแพ้แก่โรมในปี 30 ก.ส.ศ.
15. กษัตริย์ที่เข้มแข็งสององค์ซึ่งปรากฏขึ้นจากอาณาจักรกรีกสี่อาณาจักรคือใคร และพวกเขาเริ่มการต่อสู้อะไร?
15 ด้วยเหตุนี้ ในบรรดาอาณาจักรกรีกทั้งสี่มีกษัตริย์ที่เข้มแข็งสององค์คือ เซเลอคุสที่ 1 นิคาเตอร์กษัตริย์ซีเรียและปโตเลมีที่ 1 กษัตริย์อียิปต์. การต่อสู้ที่ยาวนานระหว่าง “กษัตริย์ทิศเหนือ” และ “กษัตริย์ทิศใต้” ซึ่งพรรณนาในดานิเอลบท 11 เริ่มขึ้นกับกษัตริย์สององค์นี้แหละ. ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาไม่ได้กล่าวถึงชื่อของกษัตริย์สององค์นี้ เพราะกษัตริย์สององค์นี้จะเปลี่ยนตัวและเปลี่ยนเชื้อชาติไปตลอดหลายศตวรรษ. โดยข้ามรายละเอียดที่ไม่จำเป็น ทูตสวรรค์กล่าวถึงเพียงผู้ปกครองและเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้กัน.
การต่อสู้เริ่มขึ้น
16. (ก) กษัตริย์สององค์นี้อยู่ทางเหนือและทางใต้ของใคร? (ข) ใครคือกษัตริย์สององค์แรกที่ได้รับบทบาท “กษัตริย์ทิศเหนือ” และ “กษัตริย์ทิศใต้”?
16 ฟังสิ! ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาพรรณนาจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นนี้ว่า “กษัตริย์ทิศใต้จะเข้มแข็งขึ้น ใช่ เจ้าชายองค์หนึ่งของท่าน [ของอะเล็กซานเดอร์]; และท่าน [กษัตริย์ทิศเหนือ] จะมีอำนาจเหนือท่านและจะปกครองด้วยอำนาจอันไพศาลยิ่งกว่าอำนาจปกครองของผู้นั้นอย่างแน่นอน.” (ดานิเอล 11:5, ล.ม.) ตำแหน่ง “กษัตริย์ทิศเหนือ” และ “กษัตริย์ทิศใต้” หมายถึงกษัตริย์ที่อยู่ทางเหนือและทางใต้ของชนร่วมชาติของดานิเอล ซึ่งตอนนั้นถูกปลดปล่อยจากการเป็นเชลยในบาบูโลนและกลับสู่แผ่นดินยูดาแล้ว. “กษัตริย์ทิศใต้” องค์แรกคือปโตเลมีที่ 1 แห่งอียิปต์. แม่ทัพคนหนึ่งของอะเล็กซานเดอร์ซึ่งเอาชนะปโตเลมีที่ 1 และปกครอง “ด้วยอำนาจอันไพศาล” คือกษัตริย์เซเลอคุสที่ 1 นิคาเตอร์แห่งซีเรีย. ท่านสวมบทบาทเป็น “กษัตริย์ทิศเหนือ.”
17. เมื่อการต่อสู้ระหว่างกษัตริย์ทิศเหนือและกษัตริย์ทิศใต้เริ่มขึ้น แผ่นดินยูดาอยู่ในการปกครองของใคร?
17 เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น แผ่นดินยูดาอยู่ใต้การควบคุมของกษัตริย์ทิศใต้. จากประมาณปี 320 ก.ส.ศ. ปโตเลมีที่ 1 ชักจูงชาวยิวให้มาอียิปต์ในฐานะเป็นผู้ตั้งอาณานิคม. อาณานิคมชาวยิวเจริญรุ่งเรืองในเมืองอะเล็กซานเดรีย ที่ซึ่งปโตเลมีที่ 1 ได้ตั้งห้องสมุดอันเลื่องชื่อไว้. ชาวยิวในยูดายังคงอยู่ใต้การควบคุมของราชวงศ์ปโตเลมีแห่งอียิปต์ กษัตริย์ทิศใต้ จนกระทั่งปี 198 ก.ส.ศ.
18, 19. เมื่อเวลาผ่านไป กษัตริย์คู่ปรับสององค์เข้าสู่ “ข้อตกลงที่ยุติธรรม” อย่างไร?
18 ทูตสวรรค์พยากรณ์เกี่ยวกับกษัตริย์สององค์นี้ว่า “เมื่อผ่านไปหลายปีทั้งสองฝ่ายจะเป็นพันธมิตรกัน และราชธิดาของกษัตริย์ทิศใต้จะมาหากษัตริย์ทิศเหนือเพื่อทำข้อตกลงที่ยุติธรรม. แต่นางจะรักษาพลังแขนของนางไว้ไม่ได้; และท่านจะยืนอยู่ไม่ได้ ทั้งแขนของท่านด้วย; และนางจะถูกทอดทิ้ง ตัวนางเอง และเหล่าคนที่นำนางมา และท่านที่ให้กำเนิดนาง และผู้ที่ทำให้นางแข็งแรงในเวลานั้น.” (ดานิเอล 11:6, ล.ม.) สิ่งเหล่านี้จะเป็นไปอย่างไร?
19 คำพยากรณ์นี้ไม่ได้นับอันทิโอกุสที่ 1 บุตรและผู้สืบบัลลังก์ของเซเลอคุสที่ 1 นิคาเตอร์ เข้าไว้ด้วย เนื่องจากท่านไม่ได้ทำสงครามที่มีผลชี้ขาดกับกษัตริย์ทิศใต้. แต่ผู้สืบตำแหน่งต่อจากท่าน อันทิโอกุสที่ 2 ได้ทำสงครามอันยาวนานกับปโตเลมีที่ 2 บุตรของปโตเลมีที่ 1. อันทิโอกุสที่ 2 และปโตเลมีที่ 2 เป็นกษัตริย์ทิศเหนือและกษัตริย์ทิศใต้ตามลำดับ. อันทิโอกุสที่ 2 สมรสกับนางลาโอดิซี และมีบุตรชื่อเซเลอคุสที่ 2 ขณะที่ปโตเลมีที่ 2 มีบุตรสาวชื่อเบเรนิซี. ในปี 250 ก.ส.ศ. กษัตริย์ทั้งสององค์นี้ได้เข้าสู่ “ข้อตกลงที่ยุติธรรม.” เพื่อแลกกับการเป็นพันธมิตร อันทิโอกุสที่ 2 ได้หย่ากับลาโอดิซี ภรรยาของตนและสมรสกับเบเรนิซี “ราชธิดาของกษัตริย์ทิศใต้.” ท่านมีบุตรกับนางเบเรนิซีซึ่งกลายเป็นรัชทายาทแห่งบัลลังก์ซีเรียแทนบุตรของลาโอดิซี.
20. (ก) “แขน” ของเบเรนิซีจะไม่คงอยู่อย่างไร? (ข) เบเรนิซี, “เหล่าคนที่นำนางมา,” และ “ผู้ที่ทำให้นางแข็งแรง” ถูกทอดทิ้งโดยวิธีใด? (ค) ใครขึ้นเป็นกษัตริย์ซีเรียหลังจากอันทิโอกุสที่ 2 สูญเสีย “แขน” หรืออำนาจของท่าน?
20 “แขน” หรืออำนาจสนับสนุนของนางเบเรนิซีคือ ปโตเลมีที่ 2 บิดาของนาง. เมื่อท่านสิ้นชีวิตในปี 246 ก.ส.ศ. นาง “รักษาพลังแขนของนาง” กับสามีของตนไว้ไม่ได้. อันทิโอกุสที่ 2 ทอดทิ้งนาง แล้วสมรสกับลาโอดิซีอีกครั้ง และตั้งบุตรที่เกิดกับลาโอดิซีเป็นรัชทายาท. นางเบเรนิซีและบุตรถูกสังหารตามที่นางลาโอดิซีได้วางแผนไว้. ดูเหมือนว่า พวกมหาดเล็กซึ่งได้นำนางเบเรนิซีจากอียิปต์มายังซีเรีย—“เหล่าคนที่นำนางมา”—ได้ประสบจุดจบอย่างเดียวกัน. ลาโอดิซีถึงกับวางยาพิษอันทิโอกุสที่ 2 และดังนั้น “แขนของท่าน” หรืออำนาจของท่านก็ “ยืนอยู่ไม่ได้” เช่นกัน. ดังนั้น ทั้งบิดาของเบเรนิซี—“ท่านที่ให้กำเนิดนาง”—และสามีชาวซีเรียของนาง—ซึ่งทำให้นาง “แข็งแรง” ชั่วขณะหนึ่ง—ก็สิ้นชีวิต. จึงเหลือแต่เซเลอคุสที่ 2 บุตรของลาโอดิซีเป็นกษัตริย์แห่งซีเรีย. กษัตริย์ในราชวงศ์ปโตเลมีองค์ต่อไปจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อสิ่งเหล่านี้?
กษัตริย์แก้แค้นแทนน้องสาวที่ถูกสังหาร
21. (ก) ใครคือ “หนึ่งในหน่อ” ของ “ราก” ของเบเรนิซี และท่าน “ยืนขึ้น” อย่างไร? (ข) ปโตเลมีที่ 3 “มาต่อสู้ป้อมปราการของกษัตริย์ทิศเหนือ” และเอาชนะท่านได้อย่างไร?
21 ทูตสวรรค์กล่าวว่า “หนึ่งในหน่อแห่งรากของนางจะยืนขึ้นในตำแหน่งของท่านเป็นแน่ และท่านจะมายังกองทัพและมาต่อสู้ป้อมปราการของกษัตริย์ทิศเหนือและจะต่อสู้พวกเขาและชนะเป็นแน่.” (ดานิเอล 11:7, ล.ม.) “หนึ่งในหน่อ” ของบิดามารดาหรือ “ราก” ของนางเบเรนิซีคือพี่ชายของนาง. เมื่อบิดาสิ้นชีวิต ท่าน “ยืนขึ้น” เป็นกษัตริย์ทิศใต้ คือฟาโรห์ปโตเลมีที่ 3 แห่งอียิปต์. ท่านเตรียมไปแก้แค้นแทนน้องสาวที่ถูกสังหารทันที. ท่านต่อสู้ “ป้อมปราการของกษัตริย์ทิศเหนือ” โดยยกทัพไปรบกับกษัตริย์เซเลอคุสที่ 2 ผู้ซึ่งนางลาโอดิซีใช้ให้สังหารเบเรนิซีและบุตร. ปโตเลมีที่ 3 ยึดส่วนที่เข้มแข็งของเมืองอันทิโอกได้และประหารลาโอดิซี. ท่านเคลื่อนทัพไปทางตะวันออกผ่านอาณาเขตของกษัตริย์ทิศเหนือ แล้วจึงยึดบาบิโลเนียและยกทัพต่อไปยังอินเดีย.
22. ปโตเลมีที่ 3 นำอะไรกลับมาอียิปต์ และทำไมท่านจึง “ไม่ยุ่งเกี่ยวกับกษัตริย์ทิศเหนือเป็นเวลาหลายปี”?
22 เกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น? ทูตสวรรค์ของพระเจ้าบอกเราว่า “ท่านจะมายังอียิปต์พร้อมกับพระทั้งหลายของพวกเขา, พร้อมกับรูปหล่อของพวกเขา, พร้อมกับสิ่งน่าปรารถนาที่เป็นเงินและทองของพวกเขา, และพร้อมกับพวกเชลยด้วย. และท่านเองจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกษัตริย์ทิศเหนือเป็นเวลาหลายปี.” (ดานิเอล 11:8, ล.ม.) ก่อนหน้านั้นกว่า 200 ปี กษัตริย์แคมบีซิสที่ 2 แห่งเปอร์เซียได้พิชิตอียิปต์และนำ “รูปหล่อของพวกเขา” คือพระทั้งหลายของอียิปต์กลับไป. เมื่อปโตเลมีที่ 3 ยึดกรุงซูซาอดีตเมืองหลวงของเปอร์เซียได้ ท่านจึงยึดพระเหล่านั้นคืนและเอาเป็นทรัพย์ “เชลย” มายังอียิปต์. ท่านยังยึด “สิ่งน่าปรารถนาที่เป็นเงินและทอง” มาอย่างมากมาย. เนื่องจากท่านต้องมาปราบกบฏภายในประเทศ ปโตเลมีที่ 3 จึง “ไม่ยุ่งเกี่ยวกับกษัตริย์ทิศเหนือ” หรือไม่ได้ก่อความเสียหายแก่กษัตริย์ทิศเหนืออีกต่อไป.
กษัตริย์ซีเรียตอบโต้
23. ทำไมกษัตริย์ทิศเหนือ “กลับไปยังแผ่นดินของท่านเอง” หลังจากเข้ามาในอาณาจักรของกษัตริย์ทิศใต้?
23 กษัตริย์ทิศเหนือตอบโต้อย่างไร? ทูตสวรรค์บอกดานิเอลว่า “ท่านจะเข้ามาในอาณาจักรของกษัตริย์ทิศใต้จริง ๆ และกลับไปยังแผ่นดินของท่านเอง.” (ดานิเอล 11:9, ล.ม.) กษัตริย์ทิศเหนือ—กษัตริย์เซเลอคุสที่ 2 แห่งซีเรีย—ตอบโต้. ท่านเข้ามาใน “อาณาจักร” หรืออาณาเขตของกษัตริย์ทิศใต้แห่งอียิปต์ แต่ก็พบกับความพ่ายแพ้. พร้อมกับกองทัพเดนตายกลุ่มเล็ก ๆ เซเลอคุสที่ 2 “กลับไปยังแผ่นดินของท่านเอง” หรือถอยทัพกลับไปยังอันทิโอก เมืองหลวงของซีเรียในประมาณปี 242 ก.ส.ศ. เมื่อท่านสิ้นชีวิต เซเลอคุสที่ 3 บุตรของท่านครองราชย์ต่อจากท่าน.
24. (ก) เกิดอะไรกับเซเลอคุสที่ 3? (ข) กษัตริย์อันทิโอกุสที่ 3 แห่งซีเรีย “มา . . . และไหลท่วมและผ่าน” เขตแดนของกษัตริย์ทิศใต้อย่างไร?
24 มีอะไรบอกไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับทายาทของกษัตริย์เซเลอคุสที่ 2 แห่งซีเรีย? ทูตสวรรค์บอกดานิเอลว่า “ส่วนเหล่าบุตรของท่าน พวกเขาจะเร้าใจตนเองและรวบรวมกองทัพใหญ่อย่างแท้จริง. และเมื่อมาท่านก็จะมาจริง ๆ และไหลท่วมและผ่านไป. แต่ท่านจะกลับไป และท่านจะเร้าใจท่านเองไปจนถึงป้อมปราการของท่านทีเดียว.” (ดานิเอล 11:10, ล.ม.) เซเลอคุสที่ 3 ถูกลอบสังหารเมื่อครองราชย์ได้ไม่ถึงสามปี. น้องชายของท่าน อันทิโอกุสที่ 3 สืบบัลลังก์แห่งซีเรียต่อไป. บุตรคนนี้ของเซเลอคุสที่ 2 รวบรวมกองกำลังที่ยิ่งใหญ่เพื่อโจมตีกษัตริย์ทิศใต้ ซึ่งตอนนั้นก็คือปโตเลมีที่ 4. กษัตริย์ทิศเหนือแห่งซีเรียองค์ใหม่ประสบความสำเร็จในการสู้รบกับอียิปต์และยึดเมืองท่าเซลูเซีย, แคว้นซีลี-ซีเรีย, เมืองตุโรและทอลเลเมอิส, และเมืองใกล้เคียงคืนมาได้. ท่านทำลายกองทัพของกษัตริย์ปโตเลมีที่ 4 อย่างย่อยยับและยึดเมืองของยูดาไว้ได้หลายเมือง. ในฤดูใบไม้ผลิปี 217 ก.ส.ศ. อันทิโอกุสที่ 3 ออกจากเมืองทอลเลเมอิสและขึ้นเหนือ “ไปตลอดทางจนถึงป้อมปราการของท่าน” ในซีเรีย. แต่การเปลี่ยนแปลงกำลังจะเกิดขึ้น.
สถานการณ์ผันแปร
25. ปโตเลมีที่ 4 ปะทะกับอันทิโอกุสที่ 3 ในการรบที่ไหน และอะไร “ถูกมอบไว้ในมือ” ของกษัตริย์ทิศใต้แห่งอียิปต์?
25 เช่นเดียวกับดานิเอล เราฟังด้วยความคาดหวังในขณะที่ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาบอกล่วงหน้าต่อไปดังนี้: “กษัตริย์ทิศใต้จะรู้สึกขมขื่นและจะต้องออกไปและต่อสู้กับท่าน คือกับกษัตริย์ทิศเหนือ; และท่านจะให้คนฝูงใหญ่ยืนขึ้นเป็นแน่ และคนฝูงนี้จะถูกมอบไว้ในมือของผู้นั้นอย่างแท้จริง.” (ดานิเอล 11:11, ล.ม.) ด้วยทหาร 75,000 คน ปโตเลมีที่ 4 กษัตริย์ทิศใต้เคลื่อนพลขึ้นไปทางเหนือเพื่อสู้กับศัตรู. อันทิโอกุสที่ 3 กษัตริย์ทิศเหนือแห่งซีเรียได้ตั้ง “คนฝูงใหญ่” จำนวน 68,000 คนเข้าสู้. แต่ “คนฝูงนี้” ได้ “ถูกมอบไว้ในมือ” ของกษัตริย์ทิศใต้ในยุทธการที่ราเฟีย เมืองแถบชายทะเลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพรมแดนของอียิปต์.
26. (ก) “คนฝูงใหญ่” พวกใดที่ถูกประหารโดยกษัตริย์ทิศใต้ในการรบที่ราเฟีย และสนธิสัญญาสันติภาพที่ทำขึ้นที่นั่นมีเงื่อนไขอะไร? (ข) โดยวิธีใดที่ปโตเลมีที่ 4 “ไม่ฉวยประโยชน์จากฐานะอันเข้มแข็งของท่าน”? (ค) ใครเป็นกษัตริย์ทิศใต้องค์ต่อไป?
26 คำพยากรณ์ดำเนินต่อไปว่า “และคนฝูงใหญ่นี้จะถูกพาไปแน่. หัวใจของท่านจะลำพอง และแท้จริงท่านจะทำให้หลายหมื่นคนล้มลง; แต่ท่านจะไม่ฉวยประโยชน์จากฐานะอันเข้มแข็งของท่าน.” (ดานิเอล 11:12, ล.ม.) ปโตเลมีที่ 4 กษัตริย์ทิศใต้ได้ “พา” กองทหารราบซีเรีย 10,000 คนและทหารม้า 300 คนไปสู่ความตายและจับทหาร 4,000 คนเป็นเชลย. แล้วกษัตริย์จึงทำสนธิสัญญากัน ให้อันทิโอกุสที่ 3 รักษาเมืองท่าเซลูเซียไว้ แต่ต้องเสียฟีนิเซียและซีลี-ซีเรียไป. เนื่องด้วยชัยชนะครั้งนี้ หัวใจของกษัตริย์ทิศใต้แห่งอียิปต์จึง “ลำพอง” โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อพระยะโฮวา. ยูดายังคงอยู่ใต้การควบคุมของปโตเลมีที่ 4. อย่างไรก็ตาม ท่านไม่ได้ “ฉวยประโยชน์จากฐานะอันเข้มแข็งของท่าน” เพื่อจะสานต่อชัยชนะที่มีต่อกษัตริย์ทิศเหนือแห่งซีเรีย. แต่ปโตเลมีที่ 4 กลับไปใช้ชีวิตอย่างสำมะเลเทเมา และปโตเลมีที่ 5 บุตรอายุห้าปีของท่านได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ทิศใต้องค์ต่อไปเป็นเวลาหลายปีก่อนที่อันทิโอกุสที่ 3 จะสิ้นชีวิต.
วีรบุรุษกลับมาอีกครั้ง
27. กษัตริย์ทิศเหนือกลับมา “ในตอนสิ้นสุดของเวลา” อย่างไรเพื่อจะยึดเขตแดนคืนจากอียิปต์?
27 เนื่องจากวีรกรรมทั้งสิ้นของท่าน อันทิโอกุสที่ 3 จึงถูกเรียกว่า อันทิโอกุสมหาราช. ทูตสวรรค์กล่าวเกี่ยวกับท่านว่า “กษัตริย์ทิศเหนือต้องกลับมาและจัดคนฝูงหนึ่งที่ใหญ่กว่าฝูงแรก; และในตอนสิ้นสุดของเวลา หลายปี ท่านจะมา มาพร้อมกับกองทัพใหญ่และสิ่งของมากมาย.” (ดานิเอล 11:13, ล.ม.) ช่วง “เวลา” เหล่านี้ก็คือ 16 ปีหรือกว่านั้นหลังจากพวกอียิปต์ได้เอาชนะพวกซีเรียที่เมืองราเฟีย. เมื่อกษัตริย์ปโตเลมีที่ 5 ผู้เยาว์วัยขึ้นเป็นกษัตริย์ทิศใต้ อันทิโอกุสที่ 3 ยกทัพไปพร้อมด้วย “คนฝูงหนึ่งที่ใหญ่กว่าฝูงแรก” เพื่อจะทวงเขตแดนที่ท่านเสียให้แก่กษัตริย์ทิศใต้แห่งอียิปต์. เพื่อวัตถุประสงค์นั้น ท่านรวมพลเข้ากับกษัตริย์ฟิลิปที่ 5 แห่งมาซิโดเนีย.
28. กษัตริย์ทิศใต้วัยเยาว์มีความยุ่งยากอะไรบ้าง?
28 กษัตริย์ทิศใต้ยังมีปัญหาภายในอาณาจักรของท่านด้วย. ทูตสวรรค์กล่าวว่า “ในเวลานั้นจะมีหลายคนยืนขึ้นต่อสู้กษัตริย์ทิศใต้.” (ดานิเอล 11:14ก, ล.ม.) มีหลายคนได้ “ยืนขึ้นต่อสู้กษัตริย์ทิศใต้.” นอกจากจะเผชิญกับกองกำลังของอันทิโอกุสที่ 3 และมาซิโดเนียที่เป็นพันธมิตรแล้ว กษัตริย์ทิศใต้วัยเยาว์ยังต้องเผชิญปัญหาภายในอียิปต์อีกด้วย. เนื่องจากอะกาโทเคลส ผู้สำเร็จราชการที่ปกครองในนามของท่าน ได้ปฏิบัติอย่างหยิ่งผยองกับชาวอียิปต์ หลายคนจึงกบฏ. ทูตสวรรค์กล่าวเพิ่มว่า “และส่วนเหล่าบุตรของพวกโจรซึ่งเป็นคนร่วมชาติของท่านจะถูกเร้าใจให้พยายามทำให้นิมิตเป็นจริง; และพวกเขาจะต้องสะดุดล้ม.” (ดานิเอล 11:14ข, ล.ม.) แม้แต่ชนร่วมชาติของดานิเอลบางคนก็จะกลายเป็น “เหล่าบุตรของพวกโจร” หรือนักปฏิวัติ. แต่ “นิมิต” ใด ๆ ที่ชาวยิวพวกนี้ได้เห็นเกี่ยวกับการยุติการปกครองของต่างชาติเหนือมาตุภูมิของตนก็เป็นนิมิตเท็จ และพวกเขาจะล้มเหลวหรือ “สะดุด.”
29, 30. (ก) “แขนของฝ่ายใต้” พ่ายแพ้การโจมตีจากฝ่ายเหนืออย่างไร? (ข) กษัตริย์ทิศเหนือได้มา “ยืนในดินแดนแห่งสิ่งประดับ” อย่างไร?
29 ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาบอกล่วงหน้าต่อไปว่า “กษัตริย์ทิศเหนือจะมาและก่อเนินดินล้อมเมืองและยึดเมืองที่มีป้อมปราการได้. และส่วนแขนของฝ่ายใต้จะยืนหยัดไม่ได้ ทั้งผู้ที่ท่านเลือกเฟ้นก็เช่นกัน; และจะไม่มีพลังยืนหยัดต่อไป. และผู้ที่จะมาต่อสู้ท่านจะทำตามใจท่าน และจะไม่มีใครทนอยู่ได้ต่อหน้าท่าน. และท่านจะยืนในดินแดนแห่งสิ่งประดับ และจะมีการทำลายล้างในมือท่าน.”—ดานิเอล 11:15, 16, ล.ม.
30 กองทหารของปโตเลมีที่ 5 หรือ “แขนของฝ่ายใต้” พ่ายแพ้การโจมตีจากฝ่ายเหนือ. ที่พานีอาส (กายซาไรอาฟีลิปปอย) อันทิโอกุสที่ 3 ขับไล่แม่ทัพสโคพาสแห่งอียิปต์และกำลังพลที่เลือกไว้ หรือ ‘คนที่ท่านเลือกเฟ้น’ 10,000 คนเข้าไปในเมืองซีโดน ซึ่งเป็น “เมืองที่มีป้อมปราการ.” ที่นั่น อันทิโอกุสที่ 3 “ก่อเนินดินล้อมเมือง” ยึดเมืองท่าของฟีนิเซียได้ในปี 198 ก.ส.ศ. ท่านทำ “ตามใจของท่าน” เพราะว่ากองกำลังของกษัตริย์ทิศใต้แห่งอียิปต์ไม่สามารถต่อต้านท่านได้. อันทิโอกุสที่ 3 จึงยกทัพมาต่อสู้กับกรุงยะรูซาเลม เมืองหลวงของ “ดินแดนแห่งสิ่งประดับ” คือยูดา. ในปี 198 ก.ส.ศ. กรุงยะรูซาเลมและยูดาเปลี่ยนผู้ครอบครองจากกษัตริย์ทิศใต้แห่งอียิปต์ไปเป็นกษัตริย์ทิศเหนือแห่งซีเรีย. และอันทิโอกุสที่ 3 กษัตริย์ทิศเหนือ เริ่ม “ยืนในดินแดนแห่งสิ่งประดับ.” มี “การทำลายล้างในมือท่าน” สำหรับชาวยิวและชาวอียิปต์ที่ต่อต้านทั้งปวง. กษัตริย์ทิศเหนือจะทำตามใจอยู่ได้นานสักเท่าไร?
โรมบังคับวีรบุรุษ
31, 32. ทำไมกษัตริย์ทิศเหนือกลับทำ “ข้อตกลงที่ยุติธรรม” แห่งสันติภาพกับกษัตริย์ทิศใต้?
31 ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาให้คำตอบเราดังนี้: “ท่าน [กษัตริย์ทิศเหนือ] จะตั้งหน้าของท่านมาด้วยความแข็งแกร่งของอาณาจักรทั้งหมดของท่าน และจะมีข้อตกลงที่ยุติธรรมกับท่าน; และท่านจะปฏิบัติอย่างบังเกิดผล. ส่วนธิดาของสตรีเพศ จะยอมให้ท่านทำลายนาง. และนางจะยืนหยัดอยู่ไม่ได้ และนางจะไม่เป็นของท่านอีกต่อไป.”—ดานิเอล 11:17, ล.ม.
32 กษัตริย์ทิศเหนือ อันทิโอกุสที่ 3 “ตั้งหน้าของท่าน” เพื่อยึดครองอียิปต์ “ด้วยความแข็งแกร่งของอาณาจักรทั้งหมดของท่าน.” แต่ท่านกลับทำ “ข้อตกลงที่ยุติธรรม” แห่งสันติภาพกับปโตเลมีที่ 5 กษัตริย์ทิศใต้. ข้อเรียกร้องของโรมทำให้อันทิโอกุสที่ 3 เปลี่ยนแผน. เมื่อท่านและกษัตริย์ฟิลิปที่ 5 แห่งมาซิโดเนียร่วมมือกันต่อสู้กษัตริย์ผู้เยาว์แห่งอียิปต์เพื่อจะยึดอาณาเขตของท่าน ผู้สำเร็จราชการของปโตเลมีที่ 5 หันไปพึ่งโรมเพื่อการคุ้มครอง. โรมจึงฉวยโอกาสขยายอิทธิพลโดยแสดงพลังของตนให้เห็น.
33. (ก) ข้อตกลงสันติภาพระหว่างอันทิโอกุสที่ 3 และปโตเลมีที่ 5 เป็นอย่างไร? (ข) อะไรคือวัตถุประสงค์ของการสมรสระหว่างคลีโอพัตราที่ 1 และปโตเลมีที่ 5 และทำไมแผนการจึงล้มเหลว?
33 โดยถูกโรมบังคับ อันทิโอกุสที่ 3 จึงนำข้อตกลงสันติภาพไปให้กษัตริย์ทิศใต้. แต่แทนที่จะคืนอาณาเขตที่พิชิตมาได้ ดังที่โรมต้องการ อันทิโอกุสที่ 3 วางแผนทำทีว่าคืนอาณาเขตเหล่านั้นโดยให้คลีโอพัตราที่ 1 บุตรสาวของตน—“ธิดาของสตรีเพศ”—สมรสกับปโตเลมีที่ 5. จะมีการให้แคว้นต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงยูดา “ดินแดนแห่งสิ่งประดับ” เป็นสินเดิมของเจ้าสาว. อย่างไรก็ตาม ในการสมรสในปี 193 ก.ส.ศ. กษัตริย์ซีเรียไม่ได้ให้แคว้นต่าง ๆ เหล่านี้แก่ปโตเลมีที่ 5. นี่เป็นการสมรสทางการเมือง เพื่อให้อียิปต์อยู่ใต้ซีเรีย. แต่แผนการนั้นล้มเหลวเพราะคลีโอพัตราที่ 1 “ไม่เป็นของท่านอีกต่อไป” เนื่องจากต่อมานางเข้าข้างสามีของนาง. เมื่อเกิดสงครามขึ้นระหว่างอันทิโอกุสที่ 3 กับพวกโรมัน อียิปต์เข้าข้างโรม.
34, 35. (ก) “ดินแดนชายฝั่งทะเล” ที่กษัตริย์ทิศเหนือมุ่งหน้าไปคือดินแดนอะไร? (ข) โรมทำให้ “ความขายหน้า” ที่มาจากกษัตริย์ทิศเหนือยุติลงอย่างไร? (ค) อันทิโอกุสที่ 3 สิ้นชีวิตอย่างไร และใครเป็นกษัตริย์ทิศเหนือองค์ต่อไป?
34 ทูตสวรรค์กล่าวต่อเกี่ยวกับความพ่ายแพ้ของกษัตริย์ทิศเหนือว่า “และท่าน [อันทิโอกุสที่ 3] จะหันหน้ากลับไปยังดินแดนชายฝั่งทะเลและยึดเอาหลายแห่งอย่างแท้จริง. และผู้บัญชาการ [โรม] จะต้องทำให้ความขายหน้าที่มาจากท่านหมดไปจากตนเอง [โรม] เพื่อความขายหน้าของท่าน [ที่มาจากอันทิโอกุสที่ 3] จะไม่มี. ท่าน [โรม] จะทำให้ความขายหน้ากลับไปสู่ผู้นั้น. และท่าน [อันทิโอกุสที่ 3] จะหันหน้ากลับไปยังป้อมปราการของแผ่นดินของท่านเอง และท่านจะสะดุดและล้มลงเป็นแน่ และจะไม่มีใครพบเห็นท่าน.”—ดานิเอล 11:18, 19, ล.ม.
35 “ดินแดนชายฝั่งทะเล” คือดินแดนของมาซิโดเนีย, กรีซ, และเอเชียน้อย. ปี 192 ก.ส.ศ. สงครามปะทุขึ้นในกรีซ และอันทิโอกุสที่ 3 ได้รับแรงจูงใจให้ไปรุกรานกรีซ. เพราะไม่พอใจที่กษัตริย์ซีเรียพยายามจะยึดอาณาเขตที่นั่นเพิ่มอีก โรมจึงประกาศสงครามอย่างเป็นทางการกับท่าน. ท่านพ่ายแพ้แก่โรมที่เทอร์โมพีเล. ประมาณหนึ่งปีหลังจากความพ่ายแพ้ในยุทธการแมกนีเซียในปี 190 ก.ส.ศ. ท่านจำต้องถอนการยึดครองออกจากกรีซ, เอเชียน้อย, และบริเวณทางตะวันตกของเทือกเขาทอรัส. โรมเรียกค่าบรรณาการอย่างหนักและสถาปนาการปกครองเหนือกษัตริย์ทิศเหนือแห่งซีเรีย. เมื่อท่านถูกขับออกจากกรีซและเอเชียน้อยและสูญเสียกองเรือเกือบทั้งหมดไป อันทิโอกุสที่ 3 จึง “หันหน้ากลับไปยังป้อมปราการของแผ่นดินของท่านเอง” คือที่ซีเรีย. พวกโรมันได้ ‘ทำให้ความขายหน้าที่ท่านทำกับพวกเขากลับไปสู่ท่าน.’ อันทิโอกุสที่ 3 สิ้นชีวิตขณะที่พยายามจะปล้นวิหารที่เขตเอลีเมอิส ในเปอร์เซีย ในปี 187 ก.ส.ศ. ท่านจึง “ล้มลง” ในความตาย และเซเลอคุสที่ 4 บุตรของท่านสืบตำแหน่งกษัตริย์ทิศเหนือองค์ต่อไป.
การต่อสู้ดำเนินต่อไป
36. (ก) กษัตริย์ทิศใต้พยายามดิ้นรนต่อไปอย่างไร แต่ตัวท่านกลับเป็นเช่นไร? (ข) เซเลอคุสที่ 4 ล้มลงอย่างไร และใครสืบตำแหน่งต่อจากท่าน?
36 ในฐานะกษัตริย์ทิศใต้ ปโตเลมีที่ 5 ได้พยายามยึดแคว้นต่าง ๆ ซึ่งควรจะเป็นของท่านเพราะเป็นสินเดิมของคลีโอพัตรา แต่ความพยายามนั้นล้มเหลวเมื่อท่านถูกวางยาพิษ. ปโตเลมีที่ 6 สืบตำแหน่งต่อจากท่าน. แล้วเซเลอคุสที่ 4 ล่ะเป็นอย่างไร? เนื่องจากต้องการเงินมาจ่ายค่าบรรณาการแก่โรม ท่านจึงส่งฮีลีโอโดรุส เจ้าพนักงานคลังของท่านไปยึดทรัพย์สมบัติซึ่งว่ากันว่าเก็บไว้ที่พระวิหารในกรุงยะรูซาเลม. เนื่องจากต้องการขึ้นเป็นกษัตริย์ ฮีลีโอโดรุสจึงสังหารเซเลอคุสที่ 4. อย่างไรก็ดี กษัตริย์ยูเมนีสแห่งเปอร์กามัมและแอตตาลุสผู้เป็นน้องชาย แต่งตั้งอันทิโอกุสที่ 4 น้องชายของกษัตริย์ที่ถูกสังหารขึ้นเป็นกษัตริย์.
37. (ก) อันทิโอกุสที่ 4 พยายามสำแดงตัวว่าแข็งแกร่งกว่าพระยะโฮวาพระเจ้าอย่างไร? (ข) การทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของพระวิหารในกรุงยะรูซาเลมโดยอันทิโอกุสที่ 4 นำไปสู่อะไร?
37 กษัตริย์ทิศเหนือองค์ใหม่ อันทิโอกุสที่ 4 พยายามสำแดงตัวว่าแข็งแกร่งกว่าพระเจ้าโดยถอนรากถอนโคนการจัดเตรียมเรื่องการนมัสการของพระยะโฮวา. ท่านท้าทายพระยะโฮวาโดยอุทิศพระวิหารในกรุงยะรูซาเลมให้แก่พระซูส หรือจูปีเตอร์. ในเดือนธันวาคมปี 167 ก.ส.ศ. แท่นบูชานอกรีตถูกตั้งขึ้นบนแท่นบูชาใหญ่ในลานพระวิหารซึ่งเคยมีการถวายเครื่องเผาบูชาประจำวันแด่พระยะโฮวา. สิบวันต่อมา มีการถวายเครื่องบูชาแก่พระซูสบนแท่นนอกรีตนั้น. การทำลายความศักดิ์สิทธินี้ทำให้ชาวยิวลุกฮือขึ้นโดยการนำของพวกแมกคาบี. อันทิโอกุสที่ 4 สู้กับพวกเขานานสามปี. ในปี 164 ก.ส.ศ. ในวันครบรอบปีแห่งการทำลายความศักดิ์สิทธิ์ จูดาส แมกคาบีอุส ได้อุทิศพระวิหารแด่พระยะโฮวาอีกครั้งหนึ่งและงานฉลองการอุทิศ—ฮานุกกาห์—ก็ถูกก่อตั้งขึ้น.—โยฮัน 10:22.
38. การปกครองโดยพวกแมกคาบีจบลงอย่างไร?
38 พวกแมกคาบีอาจได้ทำสนธิสัญญากับโรมในปี 161 ก.ส.ศ. และตั้งอาณาจักรในปี 104 ก.ส.ศ. แต่ความขัดแย้งระหว่างพวกเขากับกษัตริย์ทิศเหนือแห่งซีเรียยังคงดำเนินต่อไป. ในที่สุด มีการร้องขอให้โรมเข้าแทรกแซง. แม่ทัพโรมันญาเออุส ปอมปีย์ ยึดกรุงยะรูซาเลมในปี 63 ก.ส.ศ. หลังจากการล้อมนานสามเดือน. ในปี 39 ก.ส.ศ. สภาสูงโรมันแต่งตั้งเฮโรด—ซึ่งเป็นชาวอะโดม—เป็นกษัตริย์แห่งยูเดีย. ท่านยุติการปกครองของพวกแมกคาบีโดยยึดกรุงยะรูซาเลมในปี 37 ก.ส.ศ.
39. คุณได้ประโยชน์อย่างไรจากการพิจารณาดานิเอล 11:1-19?
39 ช่างน่าตื่นเต้นเพียงไรที่ได้เห็นรายละเอียดของความสำเร็จเป็นจริงของส่วนแรกแห่งคำพยากรณ์เรื่องกษัตริย์สององค์ที่สู้รบกัน! ที่จริง ช่างน่าตื่นเต้นสักเพียงไรที่ได้ตรวจสอบเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ประมาณ 500 ปีหลังจากมีการให้ข่าวสารเชิงพยากรณ์แก่ดานิเอลและมองออกว่าใครเป็นผู้ครอบครองที่อยู่ในตำแหน่งกษัตริย์ทิศเหนือและกษัตริย์ทิศใต้! อย่างไรก็ดี เอกลักษณ์ทางการเมืองของกษัตริย์สององค์นี้เปลี่ยนไปในขณะที่การสู้รบกันระหว่างทั้งสองดำเนินไปตลอดช่วงเวลาที่พระเยซูอยู่บนแผ่นดินโลกและดำเนินเรื่อยมาจนถึงสมัยของเรา. โดยเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่าง ๆ ทางประวัติศาสตร์เข้ากับรายละเอียดที่น่าสนใจซึ่งมีการเปิดเผยในคำพยากรณ์นี้ เราจะสามารถระบุตัวกษัตริย์คู่ปรับสององค์นี้ได้.
คุณได้เรียนรู้อะไร?
• เชื้อสายกษัตริย์ที่เข้มแข็งสองเชื้อสายอะไรที่แตกออกมาจากอาณาจักรกรีก และกษัตริย์เหล่านั้นเริ่มการต่อสู้อะไร?
• ดังที่มีบอกล่วงหน้าที่ดานิเอล 11:6 กษัตริย์สององค์เข้าสู่ “ข้อตกลงที่ยุติธรรม” อย่างไร?
• การต่อสู้ดำเนินต่อไปอย่างไรระหว่าง
เซเลอคุสที่ 2 และปโตเลมีที่ 3 (ดานิเอล 11:7-9)?
อันทิโอกุสที่ 3 และปโตเลมีที่ 4 (ดานิเอล 11:10-12)?
อันทิโอกุสที่ 3 และปโตเลมีที่ 5 (ดานิเอล 11:13-16)?
• อะไรคือวัตถุประสงค์ของการสมรสระหว่างคลีโอพัตราที่ 1 กับปโตเลมีที่ 5 และทำไมแผนการจึงล้มเหลว (ดานิเอล 11:17-19)?
• การเอาใจใส่ต่อดานิเอล 11:1-19 เป็นประโยชน์ต่อคุณอย่างไร?
-
-
สองกษัตริย์เปลี่ยนตัวไปจงเอาใจใส่คำพยากรณ์ของดานิเอล
-
-
บทสิบสี่
สองกษัตริย์เปลี่ยนตัวไป
1, 2. (ก) อะไรนำไปสู่การที่อันทิโอกุสที่ 4 ยอมทำตามข้อเรียกร้องของโรม? (ข) ซีเรียกลายเป็นแคว้นของโรมเมื่อไร?
อันทิโอกุสที่ 4 กษัตริย์ชาวซีเรียบุกเข้าโจมตีอียิปต์และตั้งตนเองเป็นกษัตริย์แห่งอียิปต์. ตามคำขอร้องของกษัตริย์ปโตเลมีที่ 6 แห่งอียิปต์ โรมจึงส่งเอกอัครราชทูต ไกอุส โปปิลิอุส ไลนาส ไปยังอียิปต์. ไลนาสยกกองทัพเรือที่ใหญ่โตไปพร้อมด้วยคำสั่งจากสภาสูงแห่งโรมที่ให้อันทิโอกุสที่ 4 สละบัลลังก์แห่งอียิปต์และถอนทัพออกไปจากประเทศนั้น. ณ เอลูซิส ชานเมืองอะเล็กซานเดรีย กษัตริย์แห่งซีเรียและเอกอัครราชทูตแห่งโรมเผชิญหน้ากัน. อันทิโอกุสที่ 4 ขอเวลาเพื่อปรึกษากับเหล่าที่ปรึกษา แต่ไลนาสขีดวงกลมล้อมรอบตัวกษัตริย์และบอกให้ท่านให้คำตอบก่อนที่จะก้าวออกจากวงกลมนั้น. ด้วยความอัปยศ อันทิโอกุสที่ 4 ทำตามข้อเรียกร้องของโรมแล้วกลับไปซีเรียในปี 168 ก.ส.ศ. นี่จึงเป็นการยุติการเผชิญหน้ากันระหว่างกษัตริย์ทิศเหนือแห่งซีเรียและกษัตริย์ทิศใต้แห่งอียิปต์.
2 เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในเรื่องต่าง ๆ ทางแถบตะวันออกกลาง โรมจึงเข้าควบคุมซีเรีย. ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ว่ากษัตริย์ของราชวงศ์เซเลอคิดองค์อื่น ๆ ปกครองซีเรียหลังจากอันทิโอกุสที่ 4 สิ้นชีวิตในปี 163 ก.ส.ศ. ก็ตาม พวกเขาไม่ได้มีฐานะเป็น “กษัตริย์ทิศเหนือ.” (ดานิเอล 11:15, ล.ม.) ในที่สุด ซีเรียก็กลายเป็นแคว้นหนึ่งของโรมในปี 64 ก.ส.ศ.
3. โรมมีอำนาจเหนืออียิปต์เมื่อไรและโดยวิธีใด?
3 ราชวงศ์ปโตเลมีของอียิปต์อยู่ในฐานะ “กษัตริย์ทิศใต้” ต่อไปอีก 130 กว่าปีหลังจากอันทิโอกุสที่ 4 สิ้นชีวิต. (ดานิเอล 11:14, ล.ม.) ในยุทธการแห่งแอคทิอุม ในปี 31 ก.ส.ศ. ออกทาเวียน ผู้ปกครองโรมันเอาชนะกองกำลังผสมของราชินีองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ปโตเลมี—พระนางคลีโอพัตราที่ 7—และมาร์ก แอนโทนี คู่รักชาวโรมันของพระนาง. หลังจากที่พระนางคลีโอพัตราฆ่าตัวตายในปีต่อมา อียิปต์ก็กลายเป็นแคว้นของโรมด้วยและไม่มีบทบาทฐานะเป็นกษัตริย์ทิศใต้อีกต่อไป. พอถึงปี 30 ก.ส.ศ. โรมมีอำนาจเหนือทั้งซีเรียและอียิปต์. ตอนนี้เราควรคาดหมายว่าจะมีอำนาจปกครองอื่นแสดงบทบาทเป็นกษัตริย์ทิศเหนือและกษัตริย์ทิศใต้ไหม?
กษัตริย์องค์ใหม่ส่ง “ผู้เก็บภาษี” ออกไป
4. ทำไมเราควรคาดหมายว่าจะมีอำนาจปกครองอีกอำนาจหนึ่งเข้ามารับบทบาทเป็นกษัตริย์ทิศเหนือ?
4 ในฤดูใบไม้ผลิปี ส.ศ. 33 พระเยซูคริสต์ทรงบอกพวกสาวกว่า “เมื่อเจ้าทั้งหลายมองเห็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียนซึ่งทำให้ร้างเปล่า ดังที่ดานิเอลผู้พยากรณ์ได้กล่าวไว้นั้น ตั้งอยู่ในสถานบริสุทธิ์ . . . ครั้นแล้วให้คนที่อยู่ในแคว้นยูเดียเริ่มหนีไปยังภูเขา.” (มัดธาย 24:15, 16, ล.ม.) โดยยกข้อความจากดานิเอล 11:31 (ล.ม.) พระเยซูทรงเตือนเหล่าผู้ติดตามพระองค์เรื่อง “สิ่งน่าสะอิดสะเอียนซึ่งทำให้ร้างเปล่า” ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต. มีการกล่าวคำพยากรณ์นี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับกษัตริย์ทิศเหนือประมาณ 195 ปีหลังการสิ้นชีวิตของอันทิโอกุสที่ 4 กษัตริย์ซีเรียองค์สุดท้ายที่อยู่ในบทบาทนั้น. แน่นอน ต้องมีอำนาจปกครองอีกอำนาจหนึ่งมารับเอาบทบาทกษัตริย์ทิศเหนือ. เขาจะเป็นผู้ใด?
5. ใครยืนขึ้นในฐานะกษัตริย์ทิศเหนือ รับเอาตำแหน่งที่เคยเป็นของอันทิโอกุสที่ 4?
5 ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาพระเจ้าบอกล่วงหน้าว่า “จะต้องมีผู้หนึ่งยืนขึ้นในตำแหน่งของท่าน [ของอันทิโอกุสที่ 4] ซึ่งทำให้ผู้เก็บภาษีผ่านไปทั่วอาณาจักรอันรุ่งโรจน์ และในไม่กี่วันท่านจะถูกหักทำลาย แต่ไม่ใช่ด้วยความโกรธหรือในสงคราม.” (ดานิเอล 11:20, ล.ม.) ผู้ที่ “ยืนขึ้น” เช่นนั้นปรากฏว่าคือออกทาเวียน จักรพรรดิโรมันองค์แรก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า ซีซาร์เอากุสตุส.—ดู “ผู้หนึ่งได้รับเกียรติ อีกผู้หนึ่งถูกดูหมิ่น” ในหน้า 248.
6. (ก) เมื่อไรที่ “ผู้เก็บภาษี” ผ่านไปทั่ว “อาณาจักรอันรุ่งโรจน์” และเหตุการณ์นี้สำคัญอย่างไร? (ข) ทำไมจึงกล่าวได้ว่า เอากุสตุสสิ้นชีวิต “ไม่ใช่ด้วยความโกรธหรือในสงคราม”? (ค) เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรเกี่ยวกับตัวผู้เป็นกษัตริย์ทิศเหนือ?
6 “อาณาจักรอันรุ่งโรจน์” ของเอากุสตุสรวมเอา “ดินแดนแห่งสิ่งประดับ” เข้าไว้ด้วย นั่นคือแคว้นยูเดียของจักรวรรดิโรมัน. (ดานิเอล 11:16, ล.ม.) ในปี 2 ก.ส.ศ. เอากุสตุสส่ง “ผู้เก็บภาษี” ออกไปโดยสั่งให้มีการจดทะเบียน หรือสำรวจสำมะโนประชากร บางทีเพื่อท่านจะได้รู้จำนวนประชากรโดยมีจุดประสงค์เพื่อการเก็บภาษีและการเกณฑ์ทหาร. เนื่องจากกฤษฎีกานี้ โยเซฟและมาเรียจึงเดินทางไปเมืองเบธเลเฮ็มเพื่อจดทะเบียน ส่งผลให้พระเยซูประสูติที่นั่นตามที่บอกไว้ล่วงหน้า. (มีคา 5:2; มัดธาย 2:1-12) ในเดือนสิงหาคม ส.ศ. 14—“ในไม่กี่วัน” หรือไม่นานหลังจากออกกฤษฎีกาให้จดทะเบียนนั้น—เอากุสตุสสิ้นชีวิตในวัย 76 ปี ไม่ใช่ “ด้วยความโกรธ” โดยมือของผู้ลอบสังหารและก็ไม่ใช่ “ในสงคราม” แต่เนื่องจากความเจ็บป่วย. กษัตริย์ทิศเหนือเปลี่ยนตัวไปแล้วอย่างแท้จริง! ตอนนี้กษัตริย์ทิศเหนือกลายเป็นจักรวรรดิโรมัน โดยมีจักรพรรดิต่าง ๆ ของจักรวรรดิเป็นตัวแทน.
“ผู้ซึ่งจะต้องเป็นที่ดูหมิ่นยืนขึ้น”
7, 8. (ก) ใครยืนขึ้นในตำแหน่งของเอากุสตุสฐานะกษัตริย์ทิศเหนือ? (ข) ทำไม “ความสง่าผ่าเผยแห่งตำแหน่งกษัตริย์” ถูกมอบให้ผู้สืบตำแหน่งของเอากุสตุส ซีซาร์อย่างไม่เต็มใจ?
7 ทูตสวรรค์พยากรณ์ต่อไปว่า “จะต้องมีผู้หนึ่งยืนขึ้นในตำแหน่งของท่าน [เอากุสตุส] ผู้ซึ่งจะต้องเป็นที่ดูหมิ่น และพวกเขาจะไม่มอบความสง่าผ่าเผยแห่งตำแหน่งกษัตริย์แก่ท่านเป็นแน่; และท่านจะมาในช่วงที่ปราศจากความกังวลและยึดเอาอาณาจักรด้วยคำพูดหว่านล้อม. และส่วนแขนของน้ำท่วม จะถูกท่วมเนื่องจากท่าน และจะถูกหักทำลาย; เช่นเดียวกับผู้นำแห่งสัญญาไมตรี.”—ดานิเอล 11:21, 22, ล.ม.
8 “ผู้ซึ่งจะต้องเป็นที่ดูหมิ่น” คือติเบริอุส ซีซาร์ บุตรของลิเวีย ภรรยาคนที่สามของเอากุสตุส. (ดู “ผู้หนึ่งได้รับเกียรติ อีกผู้หนึ่งถูกดูหมิ่น” ในหน้า 248.) เอากุสตุสเกลียดลูกเลี้ยงคนนี้เพราะนิสัยไม่ดีและไม่ต้องการให้เขาขึ้นเป็นซีซาร์องค์ต่อไป. “ความสง่าผ่าเผยแห่งตำแหน่งกษัตริย์” ถูกมอบให้ท่านอย่างไม่เต็มใจก็ต่อเมื่อผู้ที่น่าจะเป็นผู้สืบทอดคนอื่น ๆ สิ้นชีวิตไปหมดแล้ว. เอากุสตุสรับติเบริอุสเป็นบุตรบุญธรรมในปี ส.ศ. 4 และตั้งเป็นรัชทายาทสืบบัลลังก์. หลังจากเอากุสตุสสิ้นชีวิต ติเบริอุสในวัย 54 ปี—ผู้ซึ่งถูกดูหมิ่น—“ยืนขึ้น” รับอำนาจฐานะจักรพรรดิโรมันและกษัตริย์ทิศเหนือ.
9. ติเบริอุส “ยึดเอาอาณาจักรด้วยคำพูดหว่านล้อม” โดยวิธีใด?
9 สารานุกรมบริแทนนิกาฉบับใหม่ กล่าวว่า “ติเบริอุสใช้เล่ห์เหลี่ยมกับสภาสูงและไม่ยอมให้สภาประกาศตั้งตนเป็นจักรพรรดินานเกือบหนึ่งเดือน [หลังจากเอากุสตุสสิ้นชีวิต].” ท่านบอกสภาว่า ไม่มีใครนอกจากเอากุสตุสที่สามารถแบกภาระของการปกครองจักรวรรดิโรมันได้ และขอให้สมาชิกสภาฟื้นฟูสาธารณรัฐโดยมอบอำนาจให้แก่กลุ่มบุคคลแทนที่จะเป็นบุคคลเดียว. วิลล์ ดูแรนต์ นักประวัติศาสตร์เขียนว่า “สภาไม่กล้ายอมรับสิ่งที่ท่านพูด จึงผลัดกันคุกเข่าอ้อนวอนจนในที่สุดท่านก็ยอมรับอำนาจ.” ดูแรนต์เสริมว่า “ทั้งสองฝ่ายเล่นละครกันได้อย่างแนบเนียน. ติเบริอุสต้องการตำแหน่งสูงสุด ไม่เช่นนั้นท่านก็คงจะหาทางเลี่ยงไปแล้ว; สภาทั้งเกลียดและกลัวท่าน แต่ก็ไม่กล้าสถาปนาสาธารณรัฐแบบเก่า ซึ่งอาศัยที่ประชุมที่มีอำนาจสูงสุดทางทฤษฎี.” ดังนั้น ติเบริอุส “ยึดเอาอาณาจักรด้วยคำพูดหว่านล้อม.”
10. ‘แขนของน้ำท่วมถูกหักทำลาย’ อย่างไร?
10 ทูตสวรรค์กล่าวว่า “ส่วนแขนของน้ำท่วม”—กองกำลังทางทหารของอาณาจักรข้างเคียง—‘จะถูกท่วมและจะถูกหักทำลาย.’ เมื่อติเบริอุสกลายเป็นกษัตริย์ทิศเหนือ เกอร์มานิคุส ซีซาร์หลานของท่านเป็นผู้บัญชาการทหารโรมันที่แม่น้ำไรน์. ในปี ส.ศ. 15 เกอร์มานิคุสนำกองกำลังไปต่อสู้กับอาร์มีนีอุส วีรบุรุษชาวเยอรมัน และประสบความสำเร็จอยู่บ้าง. อย่างไรก็ตาม ชัยชนะที่ได้มาเพียงจำกัดนั้นต้องแลกกับการทุ่มเทอย่างมาก และหลังจากนั้นติเบริอุสยกเลิกปฏิบัติการในเยอรมนี. แต่ท่านกลับพยายามป้องกันไม่ให้ชนเผ่าเยอรมันรวมตัวกันได้โดยส่งเสริมให้เกิดสงครามกลางเมือง. ตามปกติ ติเบริอุสชอบนโยบายต่างประเทศเชิงป้องกันและมุ่งอยู่กับการเสริมกำลังตามชายแดน. นโยบายนี้ประสบความสำเร็จอย่างดี. โดยวิธีนี้ “แขนของน้ำท่วม” จึงถูกควบคุมและถูก “หักทำลาย.”
11. ‘ผู้นำแห่งสัญญาไมตรีถูกหักทำลาย’ อย่างไร?
11 “ผู้นำแห่งสัญญาไมตรี” ที่พระยะโฮวาพระเจ้าทรงทำกับอับราฮามเพื่อพระพรสำหรับทุกครอบครัวบนแผ่นดินโลกก็ถูก “หักทำลาย” ด้วย. พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพงศ์พันธุ์แห่งคำสัญญาที่ให้กับอับราฮามในคำสัญญาไมตรีนั้น. (เยเนซิศ 22:18; ฆะลาเตีย 3:16) ในวันที่ 14 เดือนไนซาน ส.ศ. 33 พระเยซูทรงยืนอยู่ต่อหน้าปอนเตียวปีลาตในทำเนียบผู้สำเร็จราชการในกรุงยะรูซาเลม. พวกปุโรหิตชาวยิวได้กล่าวหาพระเยซูด้วยข้อหากบฏต่อองค์จักรพรรดิ. แต่พระเยซูทรงบอกปีลาตว่า “ราชอาณาจักรของเรามิได้เป็นส่วนของโลกนี้. . . . ราชอาณาจักรของเรามิได้มาจากแหล่งนี้.” เพื่อผู้สำเร็จราชการโรมันจะไม่ปล่อยพระเยซูผู้ไร้ความผิดให้เป็นอิสระ พวกยิวตะโกนว่า “ถ้าท่านปล่อยคนนี้ ท่านก็ไม่ใช่มิตรของซีซาร์. ทุกคนที่ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ก็พูดต่อต้านซีซาร์.” หลังจากเรียกร้องให้ประหารพระเยซู พวกเขาร้องว่า “พวกเราไม่มีกษัตริย์เว้นแต่ซีซาร์.” ตามกฎหมายว่าด้วยการ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ที่ติเบริอุสขยายขอบเขตให้รวมถึงการหมิ่นประมาทแทบทุกรูปแบบต่อซีซาร์ ปีลาตได้มอบพระเยซูให้ถูก “หักทำลาย” หรือตรึงบนหลักทรมาน.—โยฮัน 18:36; 19:12-16, ล.ม.; มาระโก 15:14-20.
ทรราชคนหนึ่ง ‘ออกอุบาย’
12. (ก) ใครเป็นพันธมิตรกับติเบริอุส? (ข) ติเบริอุส ‘เข้มแข็งขึ้นโดยชาติเล็กชาติหนึ่ง’ อย่างไร?
12 ทูตสวรรค์ยังคงพยากรณ์เกี่ยวกับติเบริอุสโดยกล่าวว่า “เนื่องจากพวกเขาเป็นพันธมิตรกับท่าน ท่านจะทำการหลอกลวงต่อไปและขึ้นมาและเข้มแข็งขึ้นอย่างแท้จริงโดยชาติเล็กชาติหนึ่ง.” (ดานิเอล 11:23, ล.ม.) สมาชิกสภาสูงแห่งโรม “เป็นพันธมิตร” กับติเบริอุสตามรัฐธรรมนูญ และท่านก็พึ่งพาพวกเขาอย่างเป็นทางการ. แต่ท่านหลอกลวง ที่แท้แล้วท่าน ‘เข้มแข็งขึ้นโดยชาติเล็กชาติหนึ่ง.’ ชาติเล็กนี้คือกองทหารพรีทอเรียน ที่ให้ความอารักขาจักรพรรดิ ซึ่งตั้งค่ายอยู่ใกล้กำแพงกรุงโรม. ทหารกองนี้อยู่ใกล้มากจนทำให้สภาเกรงกลัวและช่วยติเบริอุสควบคุมการลุกฮือขึ้นต่อต้านอำนาจของท่านในหมู่ประชาชน. ดังนั้น โดยทหาร 10,000 นาย ติเบริอุสจึงรักษาความเข้มแข็งไว้ได้.
13. ติเบริอุสทำมากกว่าบรรพบุรุษของท่านในทางใด?
13 ทูตสวรรค์พยากรณ์เพิ่มเติมว่า “ในช่วงที่ปราศจากความกังวล ท่านจะเข้าไปกระทั่งในความอุดมสมบูรณ์แห่งเขตอำนาจและถึงกับทำสิ่งที่เหล่าบิดาของท่านและเหล่าบิดาของเหล่าบิดาท่านไม่ได้ทำ. ท่านจะแจกจ่ายของปล้นและของที่แย่งชิงและสิ่งของต่าง ๆ ท่ามกลางพวกเขา; และท่านจะคิดแผนร้ายของท่านต่อสู้ที่ที่มีป้อมเข้มแข็ง แต่ก็จนถึงเวลาหนึ่งเท่านั้น.” (ดานิเอล 11:24, ล.ม.) ติเบริอุสเป็นคนขี้ระแวงอย่างมากและรัชกาลของท่านเต็มไปด้วยการประหารตามคำสั่ง. ส่วนใหญ่เนื่องมาจากอิทธิพลของเซยานุส ผู้บัญชาการกองทหารพรีทอเรียน ช่วงปลายรัชกาลของท่านจึงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว. ในที่สุด เซยานุสเองก็ถูกระแวงและถูกประหาร. ในด้านการบริหารอย่างทรราชแล้ว ติเบริอุสทำมากกว่าบรรพบุรุษของท่าน.
14. (ก) ติเบริอุสแจก “ของปล้นและของที่แย่งชิงและสิ่งของต่าง ๆ” ตลอดทั่วแคว้นโรมันอย่างไร? (ข) ติเบริอุสถูกมองในทางใดเมื่อท่านสิ้นชีวิต?
14 อย่างไรก็ตาม ติเบริอุสแจก “ของปล้นและของที่แย่งชิงและสิ่งของต่าง ๆ” ตลอดทั่วแว่นแคว้นโรมัน. พอถึงเวลาที่ท่านสิ้นชีวิต ราษฎรของท่านทุกคนก็มีความเป็นอยู่ที่ดี. ภาษีถูก และท่านสามารถเอื้อเฟื้อต่อคนที่อยู่ในเขตที่มีความยากลำบาก. ถ้าทหารหรือเจ้าหน้าที่ข่มเหงคนใด ๆ หรือส่งเสริมการประพฤติมิชอบในการจัดการเรื่องราวต่าง ๆ พวกเขาคาดได้ว่าจะถูกลงโทษจากจักรพรรดิ. การยึดอำนาจไว้อย่างเหนียวแน่นช่วยรักษาความมั่นคงของสาธารณชน และการปรับปรุงเครือข่ายการคมนาคมช่วยในการพาณิชย์. ติเบริอุสคอยดูแลให้มีการบริหารเรื่องต่าง ๆ อย่างยุติธรรมและถูกต้องทั้งภายในและภายนอกกรุงโรม. มีการปรับปรุงกฎหมาย และมีการพัฒนาประมวลกฎหมายทางสังคมและศีลธรรมโดยเพิ่มเติมการปฏิรูปที่เอากุสตุส ซีซาร์ตั้งขึ้น. กระนั้น ติเบริอุส “คิดแผนร้าย” ถึงขนาดที่ทาซิทุส นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันพรรณนาถึงท่านว่าเป็นคนหน้าซื่อใจคด และถนัดในการสวมหน้ากาก. พอท่านสิ้นชีวิตในเดือนมีนาคม ส.ศ. 37 ติเบริอุสถูกมองว่าเป็นทรราช.
15. โรมเป็นอย่างไรในช่วงปลายศตวรรษที่หนึ่งและต้นศตวรรษที่สอง ส.ศ.?
15 ผู้สืบตำแหน่งต่อจากติเบริอุสซึ่งมีบทบาทเป็นกษัตริย์ทิศเหนือรวมไปถึงไกอุส ซีซาร์ (คาลิกูลา), เกลาดิอุสที่ 1, เนโร, เวสปาเซียน, ทิทุส, โดมิเทียน, เนร์วา, ทรายัน, และฮาเดรียน. สารานุกรมบริแทนนิกาฉบับใหม่ กล่าวว่า “ส่วนใหญ่แล้ว ผู้สืบตำแหน่งจากเอากุสตุสดำเนินนโยบายการบริหารและโครงการก่อสร้างของท่านต่อไป แม้ว่าจะมีความคิดใหม่ ๆ น้อยลงและมีการโอ้อวดมากขึ้น.” แหล่งอ้างอิงเดียวกันนี้อธิบายต่อไปว่า “ในช่วงปลายศตวรรษที่ 1 และต้นศตวรรษที่ 2 โรมอยู่บนจุดสูงสุดของความสง่างามและในด้านประชากร.” แม้ว่าโรมมีปัญหาบ้างเกี่ยวกับพรมแดนของจักรวรรดิในเวลานั้น การเผชิญหน้าที่มีบอกไว้ล่วงหน้ากับกษัตริย์ทิศใต้ยังไม่เกิดขึ้นจนกระทั่งศตวรรษที่สาม ส.ศ.
ปลุกใจต่อสู้กษัตริย์ทิศใต้
16, 17. (ก) ใครรับบทบาทเป็นกษัตริย์ทิศเหนือที่มีกล่าวถึงในดานิเอล 11:25? (ข) ใครเข้ามาอยู่ในฐานะกษัตริย์ทิศใต้ และเรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างไร?
16 ทูตสวรรค์ของพระเจ้าพยากรณ์ต่อไปว่า “ท่าน [กษัตริย์ทิศเหนือ] จะปลุกพลังและหัวใจของท่านต่อสู้กษัตริย์ทิศใต้ด้วยกองทัพใหญ่; และส่วนกษัตริย์ทิศใต้ ท่านจะปลุกใจตนเองให้ทำสงครามด้วยกองทัพใหญ่ยิ่งและเข้มแข็ง. และท่าน [กษัตริย์ทิศเหนือ] จะยืนอยู่ไม่ได้ เพราะว่าพวกเขาจะคิดอุบายใช้กับท่านหลายประการ. และเหล่าผู้ที่รับประทานอาหารอันเลิศรสของท่านนั้นแหละจะทำให้ท่านพังทลาย. และส่วนกองทัพของท่าน จะถูกกวาดออกไป และหลายคนจะล้มตายเป็นแน่.”—ดานิเอล 11:25, 26, ล.ม.
17 ประมาณ 300 ปี หลังจากออกทาเวียนยึดอียิปต์เป็นแคว้นหนึ่งของโรม เอาเรเลียน จักรพรรดิโรมันรับบทบาทเป็นกษัตริย์ทิศเหนือ. ขณะเดียวกัน ราชินีเซปติเมีย เซโนเบียแห่งอาณานิคมพัลมีราของโรมอยู่ในฐานะกษัตริย์ทิศใต้.a (ดู “เซโนเบีย—ราชินีนักรบแห่งพัลมีรา” ในหน้า 252.) กองทัพชาวพัลมีรายึดอียิปต์ในปี ส.ศ. 269 ด้วยข้ออ้างที่จะทำให้อียิปต์ภักดีต่อโรม. พระนางเซโนเบียต้องการทำให้พัลมีราเป็นเมืองสำคัญทางตะวันออกและต้องการปกครองเหนือแคว้นทางตะวันออกของโรม. โดยที่กังวลกับความทะเยอทะยานของพระนาง เอาเรเลียนปลุก “พลังและหัวใจของท่าน” เพื่อต่อสู้กับพระนางเซโนเบีย.
18. ผลของการต่อสู้ระหว่างจักรพรรดิเอาเรเลียน กษัตริย์ทิศเหนือและราชินีเซโนเบียกษัตริย์ทิศใต้เป็นเช่นไร?
18 ในฐานะเป็นอำนาจปกครองที่มีพระนางเซโนเบียเป็นผู้นำ กษัตริย์ทิศใต้ “ปลุกใจตนเอง” เพื่อทำสงครามกับกษัตริย์ทิศเหนือ “ด้วยกองทัพใหญ่ยิ่งและเข้มแข็ง” ภายใต้แม่ทัพสองคน คือซาบดาสและซาบไบ. แต่เอาเรเลียนยึดอียิปต์ได้และกรีธาทัพเข้าไปในเอเชียน้อยและซีเรีย. พระนางเซโนเบียพ่ายแพ้ที่เมืองเอเมซา (ปัจจุบันคือฮอมส์) แล้วพระนางก็ล่าถอยกลับไปเมืองพัลมีรา. เมื่อเอาเรเลียนล้อมเมืองนั้น พระนางเซโนเบียต่อสู้ป้องกันเมืองอย่างกล้าหาญแต่ไม่ประสบความสำเร็จ. พระนางและบุตรหนีไปทางเปอร์เซีย แต่ถูกพวกโรมันจับที่แม่น้ำยูเฟรทิส. ชาวพัลมีรายอมแพ้ในปี ส.ศ. 272. เอาเรเลียนไว้ชีวิตพระนางเซโนเบีย ทำให้พระนางเป็นจุดรวมความสนใจในขบวนฉลองชัยชนะของท่านในกรุงโรมในปี ส.ศ. 274. พระนางใช้ชีวิตที่เหลือในฐานะคุณหญิงคนหนึ่งแห่งโรม.
19. เอาเรเลียนสิ้นชีวิต ‘เพราะว่ามีการใช้อุบายกับท่านหลายประการ’ อย่างไร?
19 เอาเรเลียนเอง ‘ยืนอยู่ไม่ได้ เพราะว่ามีการใช้อุบายกับท่านหลายประการ.’ ในปี ส.ศ. 275 ท่านกรีธาทัพไปสู้กับพวกเปอร์เซีย. ขณะที่ท่านกำลังรอในแคว้นเทรสเพื่อหาโอกาสข้ามช่องแคบเข้าไปในเอเชียน้อย พวกคนที่ ‘รับประทานอาหารของท่าน’ วางแผนร้ายต่อท่านและทำให้ท่าน “พังทลาย.” ท่านกำลังจะลงโทษเอรอส เลขานุการของท่านเพราะความไม่ซื่อสัตย์. แต่เอรอสทำรายชื่อปลอมของข้าราชการบางคนว่าถูกหมายไว้สำหรับการประหาร. พอเห็นรายชื่อนี้ พวกข้าราชการก็ถูกกระตุ้นให้วางแผนลอบสังหารเอาเรเลียนและสังหารท่าน.
20. “กองทัพ” ของกษัตริย์ทิศเหนือ “ถูกกวาดออกไป” อย่างไร?
20 วิถีของกษัตริย์ทิศเหนือไม่ได้จบลงเมื่อจักรพรรดิเอาเรเลียนสิ้นชีวิต. ผู้ปกครองชาวโรมันคนอื่น ๆ ติดตามมา. ช่วงเวลาหนึ่ง มีจักรพรรดิองค์หนึ่งทางตะวันตกและอีกองค์หนึ่งทางตะวันออก. ภายใต้บุคคลเหล่านี้ “กองทัพ” ของกษัตริย์ทิศเหนือ “ถูกกวาดออกไป” หรือ “กระจัดกระจายไป”b และหลายคน “ล้มตาย” เนื่องจากการโจมตีของเผ่าเยอรมันจากทางเหนือ. ชาวกอทบุกผ่านพรมแดนโรมันเข้ามาในศตวรรษที่สี่ ส.ศ. หลังจากนั้น การโจมตีดำเนินต่อไป และมีตามมาอีกหลายครั้ง. ในปี ส.ศ. 476 โอโดอาเคอร์ ผู้นำชาวเยอรมันถอดจักรพรรดิองค์สุดท้ายที่ปกครองในกรุงโรม. พอถึงต้นศตวรรษที่หก จักรวรรดิโรมันทางตะวันตกก็ล่มสลาย และกษัตริย์ชาวเยอรมันปกครองบริแทนเนีย, กอล, อิตาลี, แอฟริกาเหนือ, และสเปน. จักรวรรดิทางตะวันออกดำรงอยู่จนถึงศตวรรษที่ 15.
จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ถูกแบ่งแยก
21, 22. คอนสแตนตินก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรในศตวรรษที่สี่ ส.ศ.?
21 โดยไม่บอกรายละเอียดที่ไม่จำเป็นเกี่ยวกับการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน ซึ่งกินเวลานานหลายศตวรรษ ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาบอกล่วงหน้าต่อไปเกี่ยวกับกิจการของกษัตริย์ทิศเหนือและกษัตริย์ทิศใต้. อย่างไรก็ตาม การทบทวนสั้น ๆ ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในจักรวรรดิโรมันจะช่วยเราระบุตัวกษัตริย์คู่ปรับสององค์ในยุคต่อมาได้.
22 ในศตวรรษที่สี่ จักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งจักรวรรดิโรมันให้การรับรองศาสนาคริสเตียนที่ออกหาก. ท่านถึงกับเรียกประชุมและเป็นประธานสภาคริสตจักรที่เมืองนีเซียในเอเชียน้อยด้วยตนเองในปี ส.ศ. 325. ต่อมา คอนสแตนตินย้ายราชฐานจากกรุงโรมไปยังกรุงไบแซนติอุม หรือคอนสแตนติโนเปิล ตั้งเมืองนั้นเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของท่าน. จักรวรรดิโรมันอยู่ภายใต้จักรพรรดิองค์เดียวต่อไปจนกระทั่งจักรพรรดิทีโอโดซีอุสที่ 1 สิ้นชีวิตในวันที่ 17 มกราคม ส.ศ. 395.
23. (ก) เกิดการแบ่งแยกอะไรขึ้นในจักรวรรดิโรมันหลังจากทีโอโดซีอุสสิ้นชีวิต? (ข) จักรวรรดิฝั่งตะวันออกมาถึงจุดจบเมื่อไร? (ค) พอถึงปี 1517 ใครปกครองอียิปต์?
23 หลังจากทีโอโดซีอุสสิ้นชีวิต จักรวรรดิโรมันถูกแบ่งแยกระหว่างบุตรสองคนของท่าน. โฮโนรีอุสได้รับจักรวรรดิฝั่งตะวันตก และอาร์คาดีอุสได้รับจักรวรรดิฝั่งตะวันออก และมีกรุงคอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองหลวงของท่าน. บริแทนเนีย, กอล, อิตาลี, สเปน, และแอฟริกาเหนือเป็นแคว้นของจักรวรรดิฝั่งตะวันตก. มาซิโดเนีย, เทรส, เอเชียน้อย, ซีเรีย, และอียิปต์เป็นแคว้นทางฝั่งตะวันออก. ในปี ส.ศ. 642 อะเล็กซานเดรีย เมืองหลวงของอียิปต์ ล่มจมลงโดยพวกซาราเซน (พวกอาหรับ) และอียิปต์กลายเป็นแคว้นหนึ่งของพวกกาหลิบ. ในเดือนมกราคม 1449 คอนสแตนตินที่ 11 กลายเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจักรวรรดิฝั่งตะวันออก. ชาวตุรกีแห่งจักรวรรดิออตโตมันภายใต้การนำของสุลต่านเมฮ์เมดที่ 2 พิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลในวันที่ 29 พฤษภาคม 1453 นำจุดจบมาสู่จักรวรรดิโรมันฝั่งตะวันออก. ในปี 1517 อียิปต์กลายเป็นแคว้นหนึ่งของตุรกี. กระนั้น ในที่สุดดินแดนนี้ของกษัตริย์ทิศใต้จะอยู่ภายใต้การควบคุมของอีกจักรวรรดิหนึ่งจากทางตะวันตก.
24, 25. (ก) ตามที่นักประวัติศาสตร์บางคนกล่าวไว้ อะไรกำหนดจุดเริ่มต้นของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์? (ข) ในที่สุดเกิดอะไรขึ้นกับตำแหน่ง “จักรพรรดิ” ของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์?
24 ในจักรวรรดิโรมันฝั่งตะวันตกมีบิชอปคาทอลิกแห่งโรมขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปป ลีโอที่ 1 ซึ่งโดดเด่นเนื่องจากเป็นผู้ที่ยืนยันสิทธิอำนาจของโปปในศตวรรษที่ห้า ส.ศ. ต่อมา โปปอ้างสิทธิ์ในการแต่งตั้งจักรพรรดิของจักรวรรดิฝั่งตะวันตก. เรื่องนี้เกิดขึ้นที่กรุงโรมในวันคริสต์มาสปี ส.ศ. 800 เมื่อโปป ลีโอที่ 3 แต่งตั้งกษัตริย์ชาลส์ชาวแฟรงก์ (ชาร์เลเมน) ขึ้นเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิโรมันใหม่ฝั่งตะวันตก. การขึ้นครองราชย์นี้ฟื้นฟูสถาบันจักรพรรดิในกรุงโรมและ ตามที่นักประวัติศาสตร์บางคนกล่าว เป็นการกำหนดจุดเริ่มต้นของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์. ตั้งแต่นั้นมาจึงมีจักรวรรดิฝั่งตะวันออกและจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ทางฝั่งตะวันตก ทั้งสองจักรวรรดิอ้างว่าเป็นคริสเตียน.
25 เมื่อเวลาผ่านไป ผู้สืบตำแหน่งของชาร์เลเมนปรากฏว่าเป็นผู้ปกครองที่ใช้ไม่ได้. ตำแหน่งจักรพรรดิถึงกับว่างลงในช่วงหนึ่ง. ขณะเดียวกัน กษัตริย์ออทโทที่ 1 แห่งเยอรมนีเข้าควบคุมส่วนใหญ่ของภาคเหนือและภาคกลางของอิตาลี. ท่านประกาศตนเป็นกษัตริย์แห่งอิตาลี. ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ส.ศ. 962 โปปจอห์นที่ 12 แต่งตั้งออทโทที่ 1 เป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์. เมืองหลวงของจักรวรรดินี้อยู่ในเยอรมนี และจักรพรรดิเป็นชาวเยอรมัน ราษฎรส่วนใหญ่ก็เป็นชาวเยอรมันด้วย. ห้าศตวรรษต่อมาราชวงศ์ฮัพสบูร์กแห่งออสเตรียได้รับตำแหน่ง “จักรพรรดิ” และดำรงอยู่ในฐานะนี้ตลอดเวลาที่เหลืออยู่ของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์.
กษัตริย์สององค์ถูกระบุตัวอย่างชัดเจนอีกครั้ง
26. (ก) อาจกล่าวได้อย่างไรเกี่ยวกับจุดจบของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์? (ข) ใครขึ้นมาเป็นกษัตริย์ทิศเหนือ?
26 นะโปเลียนที่ 1 ทำให้จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์สิ้นสุดลงโดยปฏิเสธที่จะยอมรับสถานะของจักรวรรดินั้นภายหลังได้ชัยชนะในเยอรมนีในปี 1805. เนื่องจากไม่สามารถป้องกันตำแหน่งไว้ได้ จักรพรรดิฟรานซิสที่ 2 จึงลาออกจากฐานะจักรพรรดิโรมันในวันที่ 6 สิงหาคม 1806 และถอนกลับไปยังรัฐบาลแห่งชาติของตนในฐานะจักรพรรดิแห่งออสเตรีย. หลังจาก 1,006 ปีผ่านไป จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์—ซึ่งถูกก่อตั้งโดยลีโอที่ 3 โปปนิกายโรมันคาทอลิก และชาร์เลเมน กษัตริย์ชาวแฟรงก์—ก็ถึงจุดจบ. ในปี 1870 โรมกลายเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรอิตาลีซึ่งไม่ขึ้นกับวาติกัน. ในปีต่อมา จักรวรรดิเยอรมันกำเนิดขึ้นโดยวิลเฮล์มที่ 1 ได้รับการแต่งตั้งเป็นซีซาร์ หรือไคเซอร์. โดยวิธีนี้ กษัตริย์ทิศเหนือสมัยใหม่—เยอรมนี—ปรากฏบนฉากของโลก.
27. (ก) อียิปต์กลายเป็นรัฐในอารักขาของบริเตนได้อย่างไร? (ข) ใครขึ้นมาดำรงตำแหน่งกษัตริย์ทิศใต้?
27 แต่กษัตริย์ทิศใต้สมัยใหม่เป็นใคร? ประวัติศาสตร์แสดงว่าบริเตนเริ่มแสดงอำนาจแบบจักรวรรดิในศตวรรษที่ 17. โดยต้องการจะตัดเส้นทางการค้าของบริเตน นะโปเลียนที่ 1 พิชิตอียิปต์ได้ในปี 1798. มีสงครามเกิดขึ้น และพันธมิตรอังกฤษ-ออตโตมันบังคับให้พวกฝรั่งเศสถอนกำลังออกจากประเทศอียิปต์ ซึ่งเคยเป็นกษัตริย์ทิศใต้ในตอนเริ่มต้นของการต่อสู้. ระหว่างศตวรรษต่อมา อิทธิพลของบริเตนในอียิปต์ก็เพิ่มขึ้น. หลังปี 1882 อียิปต์ขึ้นกับบริเตนอย่างแท้จริง. ตอนที่สงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มขึ้นในปี 1914 อียิปต์เป็นของตุรกีและถูกปกครองโดยเคดิฟ หรืออุปราช. อย่างไรก็ดี หลังจากตุรกีเข้าข้างเยอรมนีในสงครามนั้น บริเตนถอดเคดิฟออกและประกาศให้อียิปต์เป็นรัฐในอารักขาของบริเตน. โดยที่ค่อย ๆ สร้างความสัมพันธ์อันใกล้ชิด บริเตนและสหรัฐอเมริกากลายเป็นมหาอำนาจโลกแองโกล-อเมริกัน. รวมกัน ทั้งสองขึ้นดำรงตำแหน่งของกษัตริย์ทิศใต้.
-