-
การเตรียมโครงเรื่องการรับประโยชน์จากโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า
-
-
การเตรียมโครงเรื่อง
เมื่อได้รับมอบหมายให้บรรยาย หลายคนเขียนทั้งหมดตั้งแต่คำนำไปจนถึงคำลงท้าย. ก่อนจะขึ้นบรรยาย อาจมีแบบร่างที่เขียนไว้มากมาย. การเตรียมด้วยวิธีนี้อาจต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง.
นั่นเป็นวิธีที่คุณเตรียมคำบรรยายไหม? คุณอยากเรียนรู้วิธีที่ง่ายกว่านี้ไหม? หากรู้วิธีเตรียมโครงเรื่อง คุณจะไม่ต้องเขียนทุกอย่างทั้งหมดอีกต่อไป. โดยวิธีนี้จะทำให้คุณมีเวลามากขึ้นเพื่อฝึกซ้อมการบรรยาย. คุณจะรู้สึกไม่เพียงแต่บรรยายได้ง่ายขึ้นเท่านั้น แต่คำบรรยายของคุณจะน่าฟังและกระตุ้นผู้ฟังมากขึ้นด้วย.
แน่นอน มีการจัดเตรียมโครงเรื่องพื้นฐานสำหรับคำบรรยายสาธารณะในประชาคม. อย่างไรก็ตาม ไม่เป็นอย่างนั้นสำหรับคำบรรยายอื่น ๆ ส่วนใหญ่. คุณอาจได้รับมอบหมายเฉพาะหัวเรื่องหรืออรรถบทหนึ่งให้บรรยาย. หรือคุณอาจถูกขอให้บรรยายเรื่องจากสิ่งพิมพ์. บางครั้งคุณอาจได้รับข้อชี้แนะเพียงไม่กี่อย่าง. ในการมอบหมายดังกล่าวทั้งหมด คุณต้องเตรียมโครงเรื่องของคุณเอง.
ตัวอย่างในหน้า 41 จะให้แนวคิดเกี่ยวกับวิธีเตรียมโครงเรื่องแบบพอสังเขป. ขอสังเกตว่าจุดสำคัญแต่ละจุดเริ่มเขียนที่ขอบซ้ายของหน้ากระดาษ และเขียนเป็นตัวใหญ่หรือตัวหนา. ใต้จุดสำคัญแต่ละจุดจะเขียนแนวคิดที่สนับสนุนจุดสำคัญนั้น. จุดอื่น ๆ ที่จะใช้ขยายแนวคิดเหล่านั้นจะเขียนใต้แนวคิดนั้นและย่อหน้าเข้าไปเล็กน้อย. จงพิจารณาโครงเรื่องนี้ให้ดี ๆ. สังเกตว่าจุดสำคัญสองจุดนั้นสัมพันธ์โดยตรงกับอรรถบท. จงสังเกตด้วยว่าจุดย่อยต่าง ๆ จะไม่ใช่แค่เรื่องที่น่าสนใจเท่านั้น. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น แต่ละจุดที่อยู่ใต้จุดสำคัญจะสนับสนุนจุดสำคัญนั้น ๆ.
เมื่อคุณเตรียมโครงเรื่อง อาจดูไม่เหมือนกับที่เห็นในตัวอย่างเสียทีเดียว. แต่หากคุณเข้าใจหลักพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง สิ่งนี้ก็จะช่วยคุณจัดเนื้อหาให้เป็นระเบียบและเตรียมคำบรรยายที่ดีโดยใช้เวลาเตรียมอย่างเหมาะสม. คุณควรจะเริ่มอย่างไร?
วิเคราะห์, เลือก, และจัดระเบียบ
คุณต้องมีอรรถบท. อรรถบทของคุณไม่ใช่เป็นแค่หัวข้อกว้าง ๆ เช่นเป็นคำคำเดียว. อรรถบทเป็นความคิดหลักที่คุณต้องการถ่ายทอด และอรรถบทชี้ให้เห็นว่าคุณตั้งใจจะพิจารณาเรื่องนั้นในแง่มุมใด. หากมีการกำหนดอรรถบทไว้แล้ว จงวิเคราะห์คำสำคัญแต่ละคำอย่างรอบคอบ. หากคุณต้องขยายอรรถบทที่กำหนดให้โดยอาศัยเนื้อหาจากสิ่งพิมพ์ จงศึกษาเนื้อหาโดยคำนึงถึงอรรถบทนั้น. หากคุณได้รับมอบหมายเฉพาะเนื้อเรื่องเท่านั้น คุณก็ต้องตั้งอรรถบทเอง. อย่างไรก็ตาม ก่อนจะตั้งอรรถบท คุณจะพบว่าเป็นประโยชน์ที่จะทำการค้นคว้าบ้าง. โดยการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ บ่อยครั้งคุณจะได้แนวคิดใหม่ ๆ เพิ่มเติม.
ขณะที่ดำเนินขั้นตอนเหล่านี้ จงถามตัวเองเสมอดังนี้: ‘เหตุใดเรื่องนี้จึงสำคัญต่อผู้ฟัง? เป้าหมายของฉันคืออะไร?’ ไม่ควรมีเป้าหมายเพียงแค่ครอบคลุมเนื้อหาหรือให้คำบรรยายที่มีสีสัน แต่ควรมีเป้าหมายที่จะให้อะไรบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ฟัง. เมื่อกำหนดเป้าหมายของคุณได้แล้ว ก็ให้จดเอาไว้. ขณะที่คุณเตรียมคำบรรยาย จงนึกถึงเป้าหมายนั้นเสมอ.
หลังจากคุณกำหนดเป้าหมายและเลือกอรรถบทที่สอดคล้องกันแล้ว (หรือได้วิเคราะห์แล้วว่าอรรถบทซึ่งกำหนดมาให้นั้นเข้ากันกับเป้าหมายดังกล่าว) คุณก็สามารถทำการค้นคว้าได้อย่างเจาะจงเฉพาะเรื่องมากขึ้น. จงค้นหาข้อมูลที่จะมีค่าโดยเฉพาะสำหรับผู้ฟัง. อย่าให้เป็นเพียงเรื่องกว้าง ๆ แต่ค้นหาจุดที่เฉพาะเจาะจงซึ่งให้ความรู้และเป็นประโยชน์จริง ๆ. จงค้นคว้าหาข้อมูลในปริมาณที่พอเหมาะ. ส่วนใหญ่แล้ว ในไม่ช้าคุณจะมีข้อมูลมากกว่าที่จะใช้ได้ ดังนั้น คุณจำต้องเลือก.
จงเลือกจุดสำคัญต่าง ๆ ที่คุณจำต้องพิจารณาเพื่อขยายอรรถบทและเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของคุณ. จุดสำคัญเหล่านี้จะเป็นโครงเรื่องหลักของคุณ. ควรมีจุดสำคัญสักกี่จุด? บางทีสองจุดก็อาจจะพอหากเป็นการพิจารณาสั้น ๆ และตามปกติห้าจุดก็เพียงพอสำหรับคำบรรยายหนึ่งชั่วโมง. ยิ่งมีจุดสำคัญน้อยจุด ผู้ฟังก็ยิ่งจะจดจำจุดเหล่านั้นได้ง่ายขึ้น.
เมื่อคุณมีอรรถบทและจุดสำคัญต่าง ๆ ในใจแล้ว ก็ต้องจัดข้อมูลที่ได้จากการค้นคว้าให้เป็นระเบียบ. จงเลือกเนื้อหาที่สัมพันธ์กันโดยตรงกับจุดสำคัญ. เลือกรายละเอียดต่าง ๆ ที่จะทำให้คำบรรยายของคุณมีอะไรใหม่ ๆ. เมื่อเลือกข้อคัมภีร์เพื่อสนับสนุนจุดสำคัญ ขอให้สังเกตแนวคิดที่จะช่วยคุณหาเหตุผลจากข้อคัมภีร์เหล่านั้นอย่างมีความหมาย. จงเขียนข้อมูลแต่ละอย่างใต้จุดสำคัญที่ข้อมูลนั้นเกี่ยวข้อง. หากข้อมูลบางอย่างไม่เข้ากันกับจุดสำคัญใด ๆ เลย จงทิ้งไป แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากก็ตาม หรือไม่ก็เก็บไว้ในแฟ้มเพื่อใช้ในโอกาสอื่น. จงเลือกเอาเฉพาะข้อมูลที่ดีที่สุด. หากคุณพยายามครอบคลุมให้ได้เนื้อหามาก ๆ คุณก็จะต้องพูดเร็วมากและจะไม่สามารถครอบคลุมเนื้อหาได้ละเอียดพอ. นับว่าดีกว่าที่จะถ่ายทอดไม่กี่จุดที่เป็นประโยชน์จริง ๆ ต่อผู้ฟัง แล้วขยายจุดเหล่านั้นให้ละเอียด. อย่าบรรยายเกินเวลา.
มาถึงตอนนี้ ก็จงจัดเรียงข้อมูลของคุณตามลำดับที่ถูกต้อง ถ้ายังไม่ได้ทำ. ลูกาผู้เขียนพระธรรมกิตติคุณได้ทำเช่นนี้. ท่านรวบรวมข้อเท็จจริงมากมายที่เกี่ยวข้องกัน จากนั้นท่านเรียบเรียง “ตามลำดับเหตุการณ์.” (ลูกา 1:3, ล.ม.) คุณอาจเรียบเรียงเรื่องตามลำดับเวลาหรือเหตุการณ์, บางทีเรียงตามเหตุและผล, หรือปัญหาและทางแก้ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าวิธีใดจะทำให้คุณบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด. ไม่ควรเปลี่ยนความคิดหนึ่งไปยังอีกความคิดหนึ่งโดยกะทันหัน. ควรนำความคิดของผู้ฟังจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งอย่างง่าย ๆ โดยอย่าให้มีช่องว่างที่ข้ามได้ยาก. หลักฐานที่ยกขึ้นมาควรชักนำผู้ฟังให้ได้ข้อสรุปที่สมเหตุสมผล. ขณะที่คุณเตรียมจุดต่าง ๆ จงคิดว่าจะเสนอเรื่องราวอย่างไรจึงจะน่าฟัง. ผู้ฟังจะติดตามแนวความคิดของคุณได้ง่าย ๆ ไหม? ผู้ฟังจะถูกกระตุ้นให้ทำตามในสิ่งที่ได้ยินซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่คุณตั้งไว้ไหม?
ถัดจากนั้น จงเตรียมคำนำที่เร้าความสนใจให้ติดตามเรื่องของคุณและที่แสดงให้ผู้ฟังเห็นว่าเรื่องนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อเขาจริง ๆ. อาจดีที่จะเขียนสองสามประโยคแรกไว้. ท้ายที่สุด จงคิดถึงคำลงท้ายที่กระตุ้นใจซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของคุณ.
หากคุณเตรียมโครงเรื่องแต่เนิ่น ๆ คุณก็จะมีเวลาเพื่อขัดเกลาเรื่องก่อนที่คุณจะขึ้นบรรยาย. คุณอาจเห็นว่าจำต้องสนับสนุนแนวคิดบางอย่างด้วยสถิติ, ตัวอย่าง, หรือประสบการณ์. การใช้เหตุการณ์ปัจจุบันหรือหัวข้อข่าวบางเรื่องซึ่งเป็นที่สนใจในท้องถิ่นอาจช่วยผู้ฟังให้เห็นความสำคัญของเรื่องที่พิจารณาได้ง่ายขึ้น. ขณะที่ทบทวนคำบรรยาย คุณก็มีโอกาสมากขึ้นที่จะปรับข้อมูลให้เหมาะกับผู้ฟัง. ขั้นตอนของการวิเคราะห์และการขัดเกลาเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเตรียมเนื้อหาที่ดีให้เป็นคำบรรยายที่มีประสิทธิภาพ.
ผู้บรรยายบางคนอาจต้องมีบันทึกที่ละเอียดมากกว่าผู้บรรยายคนอื่น ๆ. แต่ถ้าคุณจัดเนื้อหาให้เป็นระเบียบโดยให้มีจุดสำคัญเพียงสองสามจุด, ตัดเนื้อหาที่ไม่สนับสนุนจุดสำคัญออกไป, และจัดเรียงแนวคิดตามลำดับเหตุผล คุณจะพบว่า ด้วยประสบการณ์เพียงเล็กน้อย คุณจะไม่ต้องเขียนทุกอย่างทั้งหมดอีกต่อไป. จะเป็นการประหยัดเวลาได้มากสักแค่ไหน! และคุณภาพของคำบรรยายของคุณก็จะดีขึ้น. จะเห็นได้ชัดว่าคุณได้รับประโยชน์จริง ๆ จากการศึกษาในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า.
-
-
การเตรียมส่วนมอบหมายนักเรียนในรายการโรงเรียนการรับประโยชน์จากโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า
-
-
การเตรียมส่วนมอบหมายนักเรียนในรายการโรงเรียน
การมอบหมายแต่ละครั้งในโรงเรียนนี้เป็นโอกาสที่จะทำความก้าวหน้า. จงทุ่มเทตัวอย่างเต็มที่ และทีละเล็กทีละน้อย ความก้าวหน้าของคุณก็จะปรากฏแจ้งต่อทั้งตัวคุณเองและคนอื่น ๆ. (1 ติโม. 4:15) โรงเรียนนี้จะช่วยคุณพัฒนาความสามารถได้เต็มที่มากขึ้น.
คุณรู้สึกกลัวไหมเมื่อนึกถึงการพูดต่อหน้าพี่น้องในประชาคม? นี่เป็นเรื่องปกติ แม้ว่าคุณจะเข้าร่วมโรงเรียนนี้มานานก็ตาม. อย่างไรก็ดี บางสิ่งบางอย่างอาจช่วยลดความกังวลของคุณได้. เมื่ออยู่ที่บ้าน จงทำให้เป็นนิสัยที่จะอ่านออกเสียงบ่อย ๆ. ณ การประชุมประชาคม จงออกความคิดเห็นบ่อย ๆ และหากคุณเป็นผู้ประกาศ จงเข้าส่วนร่วมในงานประกาศเป็นประจำ. การทำเช่นนี้จะทำให้คุณมีประสบการณ์ในการพูดต่อหน้าคนอื่น. นอกจากนั้น จงเตรียมส่วนมอบหมายนักเรียนล่วงหน้าอย่างดี และฝึกซ้อมการเสนอเรื่องนั้นโดยพูดออกเสียง. จงจำไว้ว่าคุณจะขึ้นไปพูดต่อหน้าผู้ฟังที่เป็นมิตร. ก่อนจะบรรยายเรื่องใด ๆ จงอธิษฐานถึงพระยะโฮวา. พระองค์ทรงยินดีประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้แก่ผู้รับใช้ที่ทูลขอพระองค์.—ลูกา 11:13; ฟิลิป. 4:6, 7.
คุณควรคาดหมายอย่างสมเหตุสมผล. เพื่อจะมีประสบการณ์เป็นผู้บรรยายและผู้สอนที่มีประสิทธิภาพจำต้องใช้เวลา. (มีคา 6:8) หากคุณเพิ่งสมัครเข้าโรงเรียนนี้ อย่าคาดหมายว่าจะบรรยายได้สมบูรณ์แบบในทันที. แทนที่จะคิดเช่นนั้น จงเอาใจใส่จุดหนึ่งจากแบบฟอร์มคำแนะนำในแต่ละครั้ง. ศึกษาบทเรียนในหนังสือเล่มนี้ที่พิจารณาลักษณะการพูดที่ต้องเอาใจใส่. ถ้าเป็นได้ จงทำแบบฝึกหัดที่อยู่ในบทเรียนนั้น. การทำเช่นนี้จะทำให้คุณมีประสบการณ์เกี่ยวกับลักษณะการพูดนั้นก่อนที่คุณจะทำส่วนที่ได้รับมอบหมายในประชาคม. ความก้าวหน้าก็จะตามมา.
วิธีเตรียมการอ่านที่ได้รับมอบหมาย
การเตรียมตัวเพื่ออ่านต่อหน้าผู้ฟังเกี่ยวข้องไม่เพียงแต่การมีความสามารถที่จะอ่านคำต่าง ๆ ในเรื่องที่กำหนดไว้เท่านั้น. จงพยายามเข้าใจความหมายของเรื่องที่อ่านอย่างชัดเจน. เมื่อคุณได้รับส่วนมอบหมาย อย่ารอช้าที่จะอ่านเรื่องนั้นตั้งแต่ต้นจนจบโดยมีเป้าหมายจะเข้าใจเรื่องนั้น. จงพยายามเข้าใจจุดสำคัญของแต่ละประโยคและแนวคิดที่มีการขยายในแต่ละย่อหน้า เพื่อว่าคุณจะสามารถถ่ายทอดแนวคิดนั้นได้อย่างถูกต้องและด้วยความรู้สึกที่เหมาะสม. เมื่อพบคำที่ไม่คุ้นเคย ถ้าทำได้ จงเปิดพจนานุกรมเพื่อตรวจดูการออกเสียงที่ถูกต้อง. จงทำความเข้าใจเนื้อหาเป็นอย่างดี. บิดามารดาอาจต้องช่วยบุตรที่ยังเล็กอยู่ให้ทำเช่นนี้.
คุณได้รับมอบหมายให้อ่านส่วนหนึ่งจากคัมภีร์ไบเบิลหรือบางทีอ่านวรรคต่าง ๆ จากบทความในวารสารหอสังเกตการณ์ ไหม? หากมีตลับเทปบันทึกเสียงสิ่งพิมพ์นั้นในภาษาของคุณ อาจเป็นประโยชน์มากที่จะฟังการอ่านและสังเกตองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น การออกเสียง, การหยุดตามวรรคตอน, การเน้น, และท่วงทำนอง. จากนั้นพยายามฝึกซ้อมให้การอ่านของคุณมีลักษณะเหล่านี้ด้วย.
เมื่อคุณเริ่มเตรียมส่วนที่ได้รับมอบหมาย จงศึกษาบทเรียนที่พิจารณาลักษณะการพูดที่คุณต้องเอาใจใส่อย่างถี่ถ้วน. ถ้าเป็นได้ จงทบทวนบทเรียนนั้นอีกครั้งหลังจากได้ฝึกซ้อมโดยพูดออกเสียงหลายครั้งแล้ว. พยายามนำคำแนะนำที่ให้ไว้ไปใช้อย่างเต็มที่เท่าที่เป็นไปได้.
การฝึกอบรมนี้จะเป็นประโยชน์มากในงานรับใช้. ขณะที่เข้าร่วมงานประกาศ คุณจะมีโอกาสมากมายที่จะอ่านให้คนอื่นฟัง. เนื่องจากพระคำของพระเจ้ามีพลังเปลี่ยนชีวิตคนเราได้ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะอ่านอย่างดี. (เฮ็บ. 4:12) อย่าคาดหมายว่าจะอ่านได้ดีในทุกแง่มุมของการอ่านอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อได้รับส่วนมอบหมายแค่ครั้งหรือสองครั้ง. อัครสาวกเปาโลเขียนถึงคริสเตียนผู้ปกครองคนหนึ่งซึ่งมีประสบการณ์หลายปีดังนี้: “จงเอาใจใส่ต่อ ๆ ไปในการอ่านต่อหน้าผู้ฟัง.”—1 ติโม. 4:13, ล.ม.
การดำเนินเรื่องและฉาก
เมื่อได้รับส่วนมอบหมายในรายการโรงเรียนซึ่งมีฉากเข้ามาเกี่ยวข้อง คุณควรเตรียมส่วนนี้อย่างไร?
มีสามสิ่งหลัก ๆ ที่ต้องพิจารณา: (1) เรื่องที่คุณได้รับมอบหมาย, (2) ฉากและบุคคลที่คุณจะสนทนาด้วย, และ (3) ลักษณะการพูดที่คุณได้รับมอบหมายให้เอาใจใส่.
คุณต้องรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่ได้รับมอบหมาย. แต่ก่อนจะรวบรวมข้อมูลมากเกินไป จงคิดให้ดี ๆ ในเรื่องฉากและบุคคลที่คุณจะสนทนาด้วย เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้จะกำหนดลักษณะของข้อมูลที่คุณจะยกขึ้นมาพิจารณาและวิธีที่คุณจะเสนอเรื่อง. คุณจะใช้ฉากอะไร? คุณจะสาธิตให้เห็นวิธีเสนอข่าวดีให้แก่คนที่คุณรู้จักไหม? หรือคุณจะแสดงให้เห็นไหมว่าอาจเกิดอะไรขึ้นเมื่อพบผู้คนเป็นครั้งแรก? คนนั้นอายุมากหรือน้อยกว่าคุณ? เขามีทัศนะอย่างไรในเรื่องที่คุณจะพิจารณา? เขารู้เรื่องนั้นมากแค่ไหนแล้ว? เป้าหมายอะไรที่คุณหวังจะบรรลุอันเป็นผลจากการพิจารณาครั้งนี้? คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้จะให้แนวสำคัญสำหรับการเตรียมเรื่อง.
คุณจะหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่ได้รับมอบหมายจากที่ไหน? ในหนังสือเล่มนี้หน้า 33 ถึง 38 มีการพิจารณา “วิธีค้นคว้า.” จงอ่านบทนั้นและใช้เครื่องมือค้นคว้าที่คุณมี. ส่วนใหญ่แล้ว ในไม่ช้าคุณจะพบว่ามีข้อมูลมากเกินกว่าจะใช้ได้จริง ๆ. จงอ่านให้พอเพื่อจะทราบว่ามีข้อมูลอะไรบ้างที่อาจใช้ได้. อย่างไรก็ตาม ขณะที่คุณทำเช่นนี้ จงนึกถึงฉากที่คุณจะใช้ในการเสนอรวมทั้งบุคคลที่จะสนทนาด้วย. หมายจุดต่าง ๆ ซึ่งเหมาะที่จะใช้.
ก่อนที่คุณจะจัดคำบรรยายให้เป็นระเบียบและเลือกรายละเอียดต่าง ๆ ขั้นสุดท้าย จงใช้เวลาอ่านบทเรียนที่อธิบายลักษณะการพูดที่คุณได้รับมอบหมาย. เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งที่คุณได้รับส่วนมอบหมายก็คือเพื่อนำคำแนะนำนั้นไปใช้.
โดยทำส่วนมอบหมายภายในเวลาที่กำหนด คุณจะรู้สึกยินดีเมื่อคำลงท้ายของคุณจบก่อนที่สัญญาณหมดเวลาจะดังขึ้น. อย่างไรก็ดี ในงานรับใช้เผยแพร่ของเรา เวลาไม่ใช่ปัญหาสำคัญเสมอไป. ดังนั้น เมื่อคุณเตรียมตัว จงคำนึงถึงเวลาที่กำหนดให้ แต่ก็ให้เน้นประสิทธิภาพของการสอนเสมอ.
ฉาก. จงพิจารณาข้อเสนอแนะในหน้า 82 และเลือกเอาฉากหนึ่งที่ใช้ได้จริงในงานรับใช้ของคุณและใช้ได้จริงกับเรื่องที่ได้รับมอบหมาย. หากคุณมีส่วนร่วมในโรงเรียนนี้มาระยะหนึ่งแล้ว จงถือว่านี่เป็นโอกาสพัฒนาทักษะอื่น ๆ เพิ่มเติมสำหรับงานรับใช้.
หากผู้ดูแลโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้ากำหนดฉากให้ จงรับข้อท้าทายนี้. ฉากส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการให้คำพยาน. หากคุณไม่เคยให้คำพยานในสภาพการณ์ที่กำหนดให้ จงสนทนากับผู้ประกาศซึ่งมีประสบการณ์นั้นเพื่อจะได้แนวคิด. หากเป็นไปได้ จงพยายามสนทนาถึงเรื่องที่ได้รับมอบหมายในฉากคล้าย ๆ กับฉากที่จะใช้ในโรงเรียน. การทำเช่นนี้จะช่วยคุณบรรลุเป้าหมายสำคัญอย่างหนึ่งของการฝึกอบรม.
เมื่อเสนอเรื่องแบบการบรรยาย
หากคุณเป็นผู้ชาย คุณอาจได้รับมอบหมายให้บรรยายสั้น ๆ ต่อพี่น้องในประชาคม. ในการเตรียมคำบรรยายเหล่านี้ สิ่งสำคัญที่ต้องเอาใจใส่ก็คล้ายคลึงกับสิ่งหลัก ๆ ที่กล่าวข้างต้นสำหรับการมอบหมายนักเรียนในแบบการสาธิต. ที่ต่างกันก็คือผู้ฟังและรูปแบบการนำเสนอ.
โดยทั่วไป คงดีที่จะเตรียมเนื้อหาในแบบที่ผู้ฟังทุกคนจะได้รับประโยชน์จากคำบรรยายนั้น. ผู้ฟังส่วนใหญ่รู้ความจริงพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิลอยู่ก่อนแล้ว. พวกเขาอาจคุ้นกับเรื่องที่คุณจะบรรยายเป็นอย่างดี. จงคำนึงถึงสิ่งที่ผู้ฟังรู้อยู่แล้ว และพยายามเสนอเรื่องในแบบที่ให้ประโยชน์ในทางใดทางหนึ่งแก่พวกเขา. จงถามตัวเองดังนี้: ‘ผมจะใช้เรื่องนี้เพื่อทำให้ผมและผู้ฟังมีความหยั่งรู้ค่าลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อพระยะโฮวาฐานะเป็นบุคคลได้อย่างไร? ในเนื้อหานั้นมีจุดไหนบ้างที่จะช่วยเราเข้าใจพระทัยประสงค์ของพระเจ้า? เรื่องนี้จะช่วยเราทำการตัดสินใจที่ดีได้อย่างไรในขณะที่อยู่ท่ามกลางโลกซึ่งถูกครอบงำด้วยความปรารถนาฝ่ายเนื้อหนัง?’ (เอเฟ. 2:3) เพื่อจะได้คำตอบที่น่าพอใจสำหรับคำถามเหล่านี้ต้องมีการค้นคว้า. เมื่อใช้คัมภีร์ไบเบิล อย่าเพียงแต่อ่านข้อคัมภีร์เท่านั้น. จงพยายามหาเหตุผลเกี่ยวกับข้อคัมภีร์ที่คุณใช้ และแสดงให้เห็นว่าข้อคัมภีร์เหล่านั้นวางพื้นฐานที่นำไปสู่ข้อสรุปต่าง ๆ อย่างไร. (กิจ. 17:2, 3) อย่าพยายามครอบคลุมเนื้อหามากเกินไป. จงเสนอเรื่องในวิธีที่ง่ายแก่การจดจำ.
การเตรียมควรหมายรวมถึงการใส่ใจวิธีนำเสนอด้วย. อย่าดูเบาในเรื่องนี้. จงฝึกซ้อมการบรรยายโดยพูดออกเสียง. ความพยายามที่คุณใช้ไปในการศึกษาและนำคำแนะนำต่าง ๆ เกี่ยวกับลักษณะการพูดไปใช้จะส่งเสริมให้คุณก้าวหน้าเป็นอย่างดี. ไม่ว่าคุณเป็นผู้บรรยายใหม่หรือเป็นผู้บรรยายที่มีประสบการณ์แล้วก็ตาม จงเตรียมตัวอย่างดีเพื่อคุณจะบรรยายด้วยความมั่นใจและแสดงความรู้สึกที่เหมาะกับเรื่อง. ขณะที่คุณทำส่วนมอบหมายแต่ละครั้งในโรงเรียนนี้ จงระลึกเสมอถึงเป้าหมายของการใช้ของประทานด้านการพูดที่ได้รับจากพระเจ้าเพื่อถวายเกียรติแด่พระยะโฮวา.—เพลง. 150:6.
-
-
การเตรียมคำบรรยายสำหรับประชาคมการรับประโยชน์จากโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า
-
-
การเตรียมคำบรรยายสำหรับประชาคม
รายการโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้าถูกเตรียมไว้เพื่อประโยชน์ของทั้งประชาคม. ในการประชุมรายการอื่น ๆ ของประชาคมรวมทั้งในการประชุมหมวดและการประชุมภาคมีการให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ด้วย. หากคุณได้รับมอบหมายส่วนใดส่วนหนึ่งในระเบียบวาระเหล่านี้ คุณก็ได้รับหน้าที่รับผิดชอบที่สำคัญ. อัครสาวกเปาโลกระตุ้นท่านติโมเธียวซึ่งเป็นคริสเตียนผู้ดูแลให้เอาใจใส่การสอนของตนอยู่เสมอ. (1 ติโม. 4:16) ผู้เข้าร่วมการประชุมคริสเตียนจัดเวลาที่มีค่าไว้ และบางคนต้องใช้ความพยายามมากในการเข้าร่วมประชุมเพื่อรับคำสอนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสัมพันธภาพของเขากับพระเจ้า. นับเป็นสิทธิพิเศษอันใหญ่ยิ่งจริง ๆ ที่จะให้การสอนเช่นนั้น! คุณจะเอาใจใส่อย่างเหมาะสมต่อสิทธิพิเศษนี้ได้อย่างไร?
จุดเด่นจากการอ่านพระคัมภีร์
ส่วนนี้ของโรงเรียนอาศัยเนื้อหาจากการอ่านคัมภีร์ไบเบิลที่กำหนดไว้สำหรับสัปดาห์นั้น. ควรทำส่วนนี้โดยเน้นว่าเนื้อหาส่วนนั้นในพระคัมภีร์มีผลกระทบต่อเราอย่างไรในทุกวันนี้. ดังรายงานที่นะเฮมยา 8:8 ท่านเอษราและผู้สมทบกับท่านอ่านพระคำของพระเจ้าต่อหน้าผู้ฟัง, ‘อธิบายให้รู้เนื้อความที่อ่าน,’ และให้ความเข้าใจ. การทำส่วนจุดเด่นจากพระคัมภีร์เปิดโอกาสให้คุณทำอย่างนั้นเช่นกัน.
คุณควรเตรียมส่วนมอบหมายนี้อย่างไร? ถ้าเป็นไปได้ จงอ่านคัมภีร์ไบเบิลในส่วนที่ได้รับมอบหมายล่วงหน้าสักหนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่านั้น. จากนั้น จงคิดถึงประชาคมและความจำเป็นในประชาคมของคุณ. อธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องนั้น. เนื้อหาส่วนนั้นในพระคำของพระเจ้ามีคำแนะนำ, ตัวอย่าง, หรือหลักการอะไรที่เหมาะกับความจำเป็นเหล่านั้น?
การค้นคว้าเป็นสิ่งสำคัญ. คุณมีห้องสมุดว็อชเทาเวอร์ ในแผ่นซีดี หรือดัชนีสรรพหนังสือของว็อชเทาเวอร์ (ภาษาอังกฤษ) ไหม? ถ้ามี จงใช้สิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์. หรือไม่ก็ใช้สารบัญหัวเรื่องซึ่งอยู่ในวารสารหอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด! ฉบับสุดท้ายของแต่ละปี. โดยการค้นคว้าเรื่องที่เคยตีพิมพ์ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อคัมภีร์ที่คุณเลือกจะเน้น คุณอาจพบความกระจ่างเรื่องภูมิหลัง, คำอธิบายเกี่ยวกับความสำเร็จเป็นจริงของคำพยากรณ์, การวิเคราะห์สิ่งที่ข้อคัมภีร์บางข้อเปิดเผยเกี่ยวกับพระยะโฮวา, หรือการพิจารณาเกี่ยวกับหลักการต่าง ๆ. อย่าพยายามครอบคลุมหลาย ๆ จุด. จงเพ่งเล็งข้อคัมภีร์เพียงไม่กี่ข้อที่ได้เลือกไว้. นับว่าดีกว่าที่จะครอบคลุมเพียงไม่กี่ข้อและอธิบายข้อเหล่านั้นให้ดี.
นอกจากนั้น ในส่วนมอบหมายนี้ คุณอาจเชิญผู้ฟังออกความเห็นว่าพวกเขาได้รับประโยชน์อย่างไรจากการอ่านพระคัมภีร์ประจำสัปดาห์. พวกเขาพบอะไรบ้างที่จะเป็นประโยชน์ในการศึกษาเป็นส่วนตัวและเป็นครอบครัว หรือเป็นประโยชน์ในงานรับใช้หรือในการดำเนินชีวิต? คุณลักษณะใดของพระยะโฮวาที่มีการแสดงให้เห็นเมื่อพระองค์ติดต่อกับประชาชนและชาติต่าง ๆ? ผู้ฟังได้เรียนรู้อะไรที่เสริมความเชื่อและเพิ่มพูนความหยั่งรู้ค่าในพระยะโฮวา? อย่าเสียเวลากับรายละเอียดและจุดที่ซับซ้อน. จงเน้นความหมายและคุณค่าที่ใช้ได้จริงของจุดต่าง ๆ ที่ได้เลือกไว้.
คำบรรยายแนะนำ
ส่วนนี้อาศัยสิ่งพิมพ์อย่างเช่น บทความในวารสารหอสังเกตการณ์ หรือตื่นเถิด! หรืออาจจะเป็นส่วนหนึ่งในหนังสือเล่มอื่น. ส่วนใหญ่แล้วจะมีเนื้อหามากกว่าที่จะใช้ได้ในเวลาที่กำหนดไว้. คุณควรทำส่วนมอบหมายนี้อย่างไร? ฐานะเป็นผู้สอน ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ที่พูดครอบคลุมเนื้อหาเท่านั้น. ผู้ดูแลต้อง “มีคุณวุฒิที่จะสั่งสอน.”—1 ติโม. 3:2, ล.ม.
จงเริ่มเตรียมส่วนของคุณโดยศึกษาเรื่องที่ได้รับมอบหมาย. เปิดดูข้อคัมภีร์ต่าง ๆ. ตรึกตรอง. พยายามเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างดีก่อนถึงวันที่คุณจะบรรยาย. อย่าลืมว่าพี่น้องได้รับการสนับสนุนให้อ่านเรื่องที่คุณจะบรรยายมาก่อนล่วงหน้า. ส่วนมอบหมายของคุณจึงไม่เป็นเพียงแค่การทบทวนหรือการย่อเรื่อง แต่แสดงให้เห็นวิธีที่จะนำเรื่องนั้นไปใช้. จงใช้ส่วนที่เหมาะสมจากเนื้อหานั้นในแบบที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาคมจริง ๆ.
เช่นเดียวกับที่เด็กแต่ละคนมีบุคลิกภาพของตนเอง แต่ละประชาคมก็มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน. บิดาหรือมารดาที่สอนอย่างมีประสิทธิภาพจะไม่เพียงแค่พร่ำบอกคำสอนเรื่องศีลธรรมแก่บุตรของตนเท่านั้น. เขาหาเหตุผลกับบุตร. เขาคำนึงถึงบุคลิกภาพและปัญหาต่าง ๆ ที่บุตรต้องต่อสู้. ในวิธีที่คล้ายกัน ผู้สอนในประชาคมพยายามเข้าใจและสนใจความจำเป็นของกลุ่มพี่น้องที่เขาให้คำบรรยาย. อย่างไรก็ดี ผู้สอนที่มีความสังเกตเข้าใจจะหลีกเลี่ยงการใช้ตัวอย่างที่อาจทำให้ผู้ฟังบางคนรู้สึกอับอาย. เขาจะชี้ให้เห็นประโยชน์ที่ได้รับอยู่แล้วซึ่งเป็นผลจากการดำเนินชีวิตในวิถีทางของพระยะโฮวา และจะเน้นคำแนะนำจากพระคัมภีร์ที่จะช่วยพี่น้องในประชาคมให้รับมือกับปัญหาต่าง ๆ ที่ต้องเผชิญอย่างประสบผลสำเร็จ.
การสอนที่ดีจะเข้าถึงหัวใจผู้ฟัง. เพื่อจะเข้าถึงหัวใจต้องไม่เพียงแต่ให้ข้อเท็จจริงเท่านั้น แต่ยังต้องช่วยผู้ฟังให้หยั่งรู้เข้าใจด้วยว่าข้อเท็จจริงเหล่านั้นมีความหมายอย่างไร. เพื่อจะทำเช่นนี้ต้องห่วงใยผู้ที่ได้รับการสอนจริง ๆ. ผู้บำรุงเลี้ยงฝ่ายวิญญาณควรรู้จักฝูงแกะ. หากผู้บำรุงเลี้ยงคำนึงถึงด้วยความรักเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ที่แต่ละคนต้องเผชิญ พวกเขาจะสามารถบรรยายอย่างที่ให้การหนุนกำลังใจ, แสดงความเข้าใจ, ความเมตตา, และความร่วมรู้สึก.
อย่างที่รู้กันในหมู่ผู้สอนที่มีประสิทธิภาพคือ คำบรรยายต้องมีเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน. ควรเสนอเรื่องในแบบที่จุดสำคัญจะเด่นชัดและจดจำได้. ผู้ฟังควรสามารถจดจำแนวคิดที่นำไปใช้ได้ที่จะมีผลกระทบต่อชีวิตของเขา.
การประชุมวิธีปฏิบัติงาน
เมื่อคุณให้คำบรรยายโดยอาศัยบทความจากพระราชกิจของเรา มีข้อท้าทายที่ต่างกันอยู่บ้าง. ในส่วนนี้คุณจะพบว่า บ่อยครั้งสิ่งที่ต้องทำคือ ถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในพระราชกิจของเรา แก่ผู้ฟังอย่างครบถ้วน ไม่ใช่คัดเลือกเอาจุดที่เหมาะสมที่สุด. จงช่วยผู้ฟังหาเหตุผลจากข้อคัมภีร์ที่ใช้เป็นพื้นฐานของคำแนะนำใด ๆ ก็ตามที่ได้ให้ไว้. (ติโต 1:9) เวลามีจำกัด และส่วนใหญ่แล้ว ไม่มีเวลาพอที่จะยกเนื้อหาอื่นเพิ่มเติม.
ในอีกด้านหนึ่ง คุณอาจได้รับมอบหมายให้บรรยายเรื่องที่ไม่มีในพระราชกิจของเรา. ส่วนมอบหมายนั้นอาจอ้างบทความในหอสังเกตการณ์, หรืออาจมีหัวข้อสั้น ๆ ไม่กี่หัวข้อ. คุณซึ่งเป็นผู้สอนต้องคำนึงถึงความจำเป็นของประชาคมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ได้รับมอบหมาย. คุณอาจต้องใช้ตัวอย่างที่สั้นและตรงจุด หรือเล่าประสบการณ์ที่เหมาะสม. จงจำไว้ว่าคุณได้รับมอบหมายไม่เพียงแต่ให้พูดเรื่องนั้นเท่านั้น แต่ให้ดำเนินเรื่องในแบบที่จะช่วยพี่น้องในประชาคมให้บรรลุผลสำเร็จในงานที่พระคำของพระเจ้าได้กำหนดไว้และให้ประสบความชื่นชมยินดีในการทำเช่นนั้น.—กิจ. 20:20, 21.
ขณะที่คุณเตรียมส่วนมอบหมาย จงคิดถึงสภาพการณ์ของคนเหล่านั้นที่ประกอบกันเป็นประชาคม. จงชมเชยพวกเขาในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่. การที่พวกเขาใช้คำแนะนำที่อยู่ในบทความนั้นจะช่วยพวกเขาอย่างไรให้มีประสิทธิภาพและมีความชื่นชมยินดีมากขึ้นในงานรับใช้?
ส่วนมอบหมายของคุณมีการสาธิตหรือการสัมภาษณ์ไหม? หากมี ควรเตรียมการสาธิตหรือการสัมภาษณ์ล่วงหน้า. อาจมีแนวโน้มที่จะขอใครบางคนให้เตรียมส่วนนี้มาเลย แต่นั่นอาจไม่ให้ผลดีที่สุดเสมอไป. เท่าที่เป็นไปได้ จงฝึกซ้อมการสาธิตหรือการสัมภาษณ์ก่อนถึงวันที่มีการประชุม. จงให้แน่ใจว่าส่วนสาธิตหรือสัมภาษณ์จะดำเนินไปในแบบที่เสริมการสอนของคุณอย่างแท้จริง.
การประชุมหมวดและการประชุมภาค
บางครั้ง พี่น้องชายที่พัฒนาคุณวุฒิทางฝ่ายวิญญาณอย่างดีและเป็นผู้บรรยายสาธารณะและผู้สอนที่มีประสิทธิภาพอาจถูกขอให้ทำส่วนในระเบียบวาระการประชุมหมวดหรือการประชุมภาค. นี่เป็นโอกาสพิเศษอย่างแท้จริงสำหรับการให้ความรู้ตามระบอบของพระเจ้า. ส่วนมอบหมายในการประชุมดังกล่าวอาจอยู่ในรูปของบทบรรยายอ่าน, การบรรยายจากโครงเรื่อง, คำแนะนำสำหรับละครที่เกี่ยวกับเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลพร้อมกับการประยุกต์ใช้กับสมัยปัจจุบัน, หรือคำแนะนำอื่น ๆ. หากคุณได้รับสิทธิพิเศษในระเบียบวาระเหล่านั้น จงศึกษาเนื้อหาที่เตรียมไว้ให้คุณอย่างละเอียด. จงอ่านและเตรียมจนคุณเห็นคุณค่าของเรื่องนั้น.
ผู้ได้รับมอบหมายให้อ่านจากบทบรรยายควรอ่านเรื่องนั้นคำต่อคำ. พวกเขาต้องไม่เปลี่ยนสำนวนหรือเปลี่ยนลำดับเนื้อหา. พวกเขาศึกษาเรื่องนั้นเพื่อจะเข้าใจชัดเจนว่าจุดสำคัญคืออะไรบ้างและมีการขยายจุดเหล่านั้นออกมาอย่างไร. พวกเขาฝึกอ่านออกเสียงจนสามารถบรรยายโดยมีการเน้นถูกที่อย่างเหมาะสม, มีความกระตือรือร้น, ความอบอุ่น, ความรู้สึก, ความจริงจัง, และความมั่นใจ รวมทั้งความดังและพลังของเสียงที่เหมาะกับผู้ฟังจำนวนมากด้วย.
พี่น้องชายซึ่งได้รับมอบหมายให้บรรยายจากโครงเรื่องมีหน้าที่รับผิดชอบขยายเรื่องของตนในแบบที่สอดคล้องอย่างใกล้ชิดกับโครงเรื่อง. ในการบรรยาย แทนที่จะอ่านจากโครงเรื่องหรือเตรียมโครงเรื่องให้เป็นคำบรรยายแบบอ่าน ผู้บรรยายควรเสนอเรื่องโดยไม่ได้เรียงคำไว้ก่อน คือบรรยายจากหัวใจ. เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำตามเวลาที่กำหนดไว้ในโครงเรื่องเพื่อจะเสนอจุดสำคัญแต่ละจุดอย่างชัดเจน. ผู้บรรยายควรใช้แนวคิดและข้อคัมภีร์ที่อยู่ภายใต้จุดสำคัญเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์. เขาไม่ควรเพิ่มจุดอื่น ๆ ที่ตัวเองชอบจนบดบังเรื่องต่าง ๆ ที่อยู่ในโครงเรื่อง. แน่นอน พื้นฐานของการสอนคือพระคำของพระเจ้า. หน้าที่รับผิดชอบของคริสเตียนผู้ปกครองคือ “ประกาศพระคำ.” (2 ติโม. 4:1, 2) ดังนั้น ผู้บรรยายควรเอาใจใส่เป็นพิเศษต่อข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ที่อยู่ในโครงเรื่องโดยหาเหตุผลและแสดงให้เห็นวิธีนำข้อคัมภีร์นั้นไปใช้.
อย่าผัดวันประกันพรุ่ง
คุณรับใช้ในประชาคมที่มีโอกาสได้บรรยายบ่อย ๆ ไหม? คุณจะทำอย่างไรเพื่อให้ความเอาใจใส่ต่อโอกาสเหล่านั้นให้มากพอ ๆ กัน? จงหลีกเลี่ยงการเตรียมส่วนในนาทีสุดท้าย.
คำบรรยายที่เป็นประโยชน์จริง ๆ ต่อประชาคมจะต้องมีการคิดล่วงหน้าอย่างเพียงพอ. ดังนั้น จงปลูกฝังนิสัยที่จะอ่านเรื่องนั้นทันทีเมื่อได้รับส่วนมอบหมายในแต่ละครั้ง. การทำเช่นนี้จะทำให้คุณสามารถไตร่ตรองเรื่องนั้นขณะที่คุณทำกิจกรรมอื่น ๆ. ในระหว่างวันหรือสัปดาห์ก่อนถึงวันที่จะบรรยาย คุณอาจได้ยินข้อคิดเห็นที่ช่วยคุณเห็นวิธีใช้ข้อมูลนั้นอย่างดีที่สุด. อาจเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นซึ่งแสดงให้เห็นว่าข้อมูลในคำบรรยายนั้นทันเวลาทีเดียว. การอ่านและคิดเรื่องที่คุณได้รับมอบหมายทันทีต้องใช้เวลา แต่เป็นการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์อย่างสูง. ในที่สุด เมื่อคุณนั่งลงขยายโครงเรื่อง คุณจะเกี่ยวเก็บผลประโยชน์จากการที่คุณคิดไว้ก่อนแล้วเป็นอย่างดี. การเตรียมส่วนมอบหมายในวิธีนี้จะลดความเครียดได้มากและจะช่วยคุณบรรยายในแบบที่สามารถนำเรื่องนั้นไปใช้ได้จริง ๆ และเข้าถึงหัวใจของผู้ฟังในประชาคม.
คุณหยั่งรู้ค่าของประทานที่มอบไว้กับคุณซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงการของพระยะโฮวาในการสอนไพร่พลของพระองค์มากขนาดไหน คุณก็จะถวายเกียรติแด่พระองค์และจะพิสูจน์ตัวว่าคุณเป็นพระพรแก่ผู้ที่รักพระองค์มากขนาดนั้น.—ยซา. 54:13; โรม 12:6-8.
-
-
การเตรียมคำบรรยายสาธารณะการรับประโยชน์จากโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า
-
-
การเตรียมคำบรรยายสาธารณะ
แต่ละสัปดาห์ ประชาคมของพยานพระยะโฮวาส่วนใหญ่จัดให้มีคำบรรยายสาธารณะที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับพระคัมภีร์. หากคุณเป็นผู้ปกครองหรือผู้ช่วยงานรับใช้ คุณให้หลักฐานไหมว่าคุณเป็นผู้บรรยายสาธารณะและเป็นผู้สอนที่มีประสิทธิภาพ? ถ้าใช่ คุณอาจได้รับเชิญให้บรรยายสาธารณะ. โรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้าช่วยพี่น้องชายหลายแสนคนให้มีคุณวุฒิสำหรับสิทธิพิเศษแห่งงานรับใช้นี้. เมื่อได้รับมอบหมายให้บรรยายสาธารณะ คุณควรเริ่มจากตรงไหน?
จงศึกษาโครงเรื่อง
ก่อนจะทำการค้นคว้าใด ๆ จงอ่านโครงเรื่องและไตร่ตรองเรื่องนั้นจนกว่าคุณจะเข้าใจความหมายของเรื่อง. จดจำอรรถบทไว้ ซึ่งก็คือหัวเรื่องของคำบรรยายนั่นเอง. คุณจะสอนอะไรแก่ผู้ฟัง? เป้าหมายของคุณคืออะไร?
จงทำความคุ้นเคยกับหัวข้อหลักต่าง ๆ. จงวิเคราะห์จุดสำคัญเหล่านั้น. แต่ละจุดเชื่อมโยงเข้ากับอรรถบทอย่างไร? ภายใต้จุดสำคัญแต่ละจุดก็จะมีจุดย่อยต่าง ๆ. ใต้จุดย่อยเหล่านี้ก็จะมีจุดที่สนับสนุนจุดย่อยนั้น ๆ. จงพิจารณาว่าแต่ละส่วนของโครงเรื่องดำเนินเรื่องต่อจากจุดก่อน, นำไปสู่จุดถัดไป, และช่วยให้บรรลุเป้าหมายของคำบรรยายอย่างไร. เมื่อคุณเข้าใจอรรถบท, เป้าหมายของคำบรรยาย, และวิธีที่จุดสำคัญต่าง ๆ ทำให้เป้าหมายนั้นบรรลุผลแล้ว คุณก็พร้อมจะเริ่มเตรียมคำบรรยาย.
ทีแรก คุณอาจพบว่าเป็นประโยชน์ที่จะคิดว่าคำบรรยายของคุณเป็นคำบรรยายสั้น ๆ สี่หรือห้าเรื่อง แต่ละเรื่องมีจุดสำคัญหนึ่งจุด. จงเตรียมคำบรรยายสั้น ๆ เหล่านั้นทีละเรื่อง.
โครงเรื่องที่จัดเตรียมไว้ให้เป็นเครื่องช่วยในการเตรียม. โครงเรื่องจึงไม่ใช่บันทึกที่คุณจะใช้พูดในการบรรยาย. โครงเรื่องก็เป็นเหมือนโครงกระดูก. คุณจะต้องเติมเนื้อเติมหนัง, ใส่หัวใจและให้ลมหายใจเข้าไป.
การใช้พระคัมภีร์
พระเยซูคริสต์และเหล่าสาวกของพระองค์ใช้พระคัมภีร์เป็นพื้นฐานในการสอน. (ลูกา 4:16-21; 24:27; กิจ. 17:2, 3) คุณสามารถทำเช่นเดียวกันได้. พระคัมภีร์ควรเป็นพื้นฐานในคำบรรยายของคุณ. แทนที่จะเพียงแต่อธิบายและใช้ข้อความที่อยู่ในโครงเรื่องนั้น จงสังเกตว่าข้อคัมภีร์ต่าง ๆ สนับสนุนข้อความเหล่านั้นอย่างไร และจากนั้นจึงสอนโดยใช้พระคัมภีร์.
ขณะที่คุณเตรียมคำบรรยาย จงตรวจดูข้อคัมภีร์แต่ละข้อที่อยู่ในโครงเรื่อง. จงสังเกตบริบทของข้อคัมภีร์นั้น. ข้อคัมภีร์บางข้ออาจให้แค่ข้อมูลภูมิหลังที่เป็นประโยชน์. ไม่จำเป็นต้องอ่านหรืออ้างข้อคัมภีร์ทุกข้อในระหว่างที่บรรยาย. จงเลือกข้อที่ดีที่สุดสำหรับผู้ฟัง. หากคุณมุ่งสนใจไปยังข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ที่อยู่ในโครงเรื่อง คุณอาจไม่จำเป็นต้องใช้ข้อคัมภีร์อื่น ๆ เพื่ออ้างอิงเพิ่มเติม.
การที่คำบรรยายของคุณจะบังเกิดผลนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนข้อคัมภีร์ที่ใช้ แต่ขึ้นอยู่กับคุณภาพของการสอน. เมื่อยกข้อคัมภีร์ขึ้นมา จงแสดงให้เห็นว่าทำไมจึงใช้ข้อนั้น. จงใช้เวลาเพื่ออธิบายข้อคัมภีร์นั้น. หลังจากอ่านข้อคัมภีร์ จงเปิดพระคัมภีร์ค้างไว้ขณะที่อธิบายข้อนั้น. ผู้ฟังก็คงจะทำเช่นเดียวกัน. คุณจะเร้าความสนใจของผู้ฟังและช่วยเขาให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ยิ่งขึ้นจากพระคำของพระเจ้าได้อย่างไร? (นเฮม. 8:8, 12) คุณทำได้โดยการอธิบาย, การใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบ, และแนะวิธีนำความรู้นั้นไปใช้.
การอธิบาย. เมื่อเตรียมจะอธิบายข้อคัมภีร์หลัก จงถามตัวเองดังนี้: ‘ข้อคัมภีร์นี้มีความหมายอย่างไร? เหตุใดผมจึงใช้ข้อนี้ในคำบรรยาย? ผู้ฟังอาจถามตัวเองอย่างไรเกี่ยวกับข้อคัมภีร์นี้?’ คุณอาจต้องวิเคราะห์บริบท, ภูมิหลัง, ฉากเหตุการณ์, พลังที่ดึงดูดใจของถ้อยคำต่าง ๆ, รวมทั้งจุดประสงค์ของผู้เขียนซึ่งได้รับการดลใจ. เพื่อจะทำเช่นนั้น คุณต้องค้นคว้า. คุณจะพบข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมายจากสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ที่จัดเตรียมโดย “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม.” (มัด. 24:45-47, ล.ม.) อย่าพยายามอธิบายทุกแง่ของข้อคัมภีร์นั้น แต่จงอธิบายถึงเหตุผลที่คุณให้ผู้ฟังอ่านข้อนั้นซึ่งเกี่ยวข้องกับจุดที่มีการพิจารณา.
การใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบ. จุดประสงค์ของการใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบคือ เพื่อช่วยผู้ฟังให้เข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นหรือช่วยพวกเขาให้จำจุดสำคัญหรือหลักการที่คุณได้พิจารณา. การใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบช่วยผู้คนให้เข้าใจเรื่องที่คุณบอกเขาและเชื่อมโยงเรื่องนั้นเข้ากับบางสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว. พระเยซูทรงทำเช่นนี้เมื่อพระองค์ให้คำเทศน์บนภูเขาอันลือชื่อ. “ฝูงนกในอากาศ,” “ดอกไม้ที่ทุ่งนา,” “ประตูคับแคบ,” ‘เรือนบนศิลา,’ และอีกหลายถ้อยคำทำนองนี้ที่ทำให้การสอนของพระองค์มีพลัง, ชัดเจน, และยากจะลืมเลือน.—มัด. บท 5-7.
วิธีนำความรู้ไปใช้. การอธิบายข้อคัมภีร์และการใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบเป็นการให้ความรู้ แต่การนำความรู้นั้นไปใช้ต่างหากที่ทำให้เกิดประโยชน์. จริงอยู่ เป็นหน้าที่ของผู้ฟังที่จะปฏิบัติตามความรู้ในคัมภีร์ไบเบิล แต่คุณสามารถช่วยพวกเขาให้เห็นว่าอะไรเป็นสิ่งที่ต้องทำ. เมื่อคุณแน่ใจแล้วว่าผู้ฟังเข้าใจข้อคัมภีร์ที่มีการพิจารณา และเขาเห็นความเกี่ยวข้องกันของข้อคัมภีร์กับจุดสำคัญที่ยกขึ้นมา จงใช้เวลาเพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเรื่องนั้นมีผลกระทบต่อความเชื่อและความประพฤติ. จงเน้นประโยชน์ของการละทิ้งความคิดผิด ๆ หรือความประพฤติที่ไม่ถูกต้องซึ่งไม่สอดคล้องกับความจริงที่มีการพิจารณา.
ขณะที่คุณไตร่ตรองเกี่ยวกับวิธีนำข้อคัมภีร์ไปใช้ จงจำไว้ว่าผู้ฟังมาจากหลายภูมิหลังและเผชิญสภาพการณ์ที่แตกต่างกัน. ณ การประชุมอาจมีคนสนใจใหม่ ๆ, เยาวชน, คนสูงอายุ, และผู้ที่กำลังต่อสู้กับปัญหาส่วนตัวในรูปแบบต่าง ๆ. จงทำให้คำบรรยายของคุณสามารถนำไปใช้ได้จริงและตรงกับความเป็นจริง. จงหลีกเลี่ยงการให้คำแนะนำที่ดูราวกับว่าคุณคิดถึงแค่สองสามคน.
การตัดสินใจเลือกของผู้บรรยาย
มีการกำหนดบางอย่างไว้แล้วเกี่ยวกับบทบรรยาย. มีการแสดงให้เห็นจุดสำคัญต่าง ๆ อย่างชัดเจน และมีการบอกเวลาที่คุณควรจะใช้ในแต่ละหัวข้อหลักอย่างชัดเจนด้วย. ส่วนในเรื่องอื่น คุณต้องตัดสินใจเอง. คุณอาจเลือกใช้เวลากับจุดย่อยบางจุดมากขึ้นและใช้เวลากับจุดย่อยอื่น ๆ น้อยกว่า. อย่าคิดว่าคุณจะต้องครอบคลุมจุดย่อยทุกจุดโดยถือว่ามีความสำคัญเท่ากันหมด. การทำเช่นนั้นอาจเป็นเหตุให้คุณต้องบรรยายอย่างเร่งรีบตลอดเรื่องและผู้ฟังจะไม่ค่อยได้รับประโยชน์. คุณจะตัดสินใจได้อย่างไรว่าจุดไหนควรจะขยายให้มากขึ้นและจุดไหนเพียงแต่กล่าวสั้น ๆ หรือกล่าวอย่างผ่าน ๆ? จงถามตัวเองดังนี้: ‘จุดไหนที่จะช่วยผมให้ถ่ายทอดแนวคิดหลักของคำบรรยายออกมา? จุดไหนที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ฟังมากที่สุด? การไม่ยกข้อคัมภีร์บางข้อที่อ้างถึงและจุดที่เกี่ยวข้องด้วยจะทำให้หลักฐานที่เสนอนั้นอ่อนลงไปไหม?’
จงหลีกเลี่ยงการใส่สิ่งที่คาดเดาหรือความเห็นส่วนตัวลงไป. แม้แต่พระบุตรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ก็ยังทรงหลีกเลี่ยงการกล่าว ‘จากตัวพระองค์เอง.’ (โย. 14:10, ล.ม.) จงตระหนักว่าผู้คนเข้ามายังการประชุมของพยานพระยะโฮวาก็เพื่อฟังการพิจารณาคัมภีร์ไบเบิล. หากคุณได้ชื่อว่าเป็นผู้บรรยายที่ดี ก็น่าจะเป็นเพราะคุณไม่นำความสนใจมาสู่ตัวเอง แต่นำความสนใจไปสู่พระคำของพระเจ้า. เมื่อทำเช่นนี้ คำบรรยายของคุณจะเป็นที่หยั่งรู้ค่า.—ฟิลิป. 1:10, 11.
เมื่อคุณได้ทำให้โครงเรื่องที่มีเพียงแต่รายการหัวข้อสำคัญ ๆ นั้นเต็มไปด้วยคำอธิบายจากข้อคัมภีร์แล้ว บัดนี้คุณจำต้องซ้อมการบรรยาย. เป็นประโยชน์ที่จะซ้อมโดยพูดออกเสียง. สิ่งสำคัญคือทำให้แน่ใจว่าคุณจำทุกจุดได้เป็นอย่างดี. คุณต้องสามารถบรรยายด้วยความมั่นใจ, ทำให้การบรรยายมีชีวิตชีวา, และเสนอความจริงอย่างกระตือรือร้น. ก่อนที่คุณจะบรรยาย จงถามตัวเองดังนี้: ‘ผมหวังจะบรรลุผลอะไร? จุดสำคัญเด่นขึ้นไหม? ผมทำให้พระคัมภีร์เป็นพื้นฐานของคำบรรยายจริง ๆ ไหม? จุดสำคัญแต่ละจุดนำไปสู่จุดถัดไปอย่างราบรื่นไหม? คำบรรยายนี้เสริมสร้างความหยั่งรู้ค่าต่อพระยะโฮวาและการจัดเตรียมของพระองค์ไหม? คำลงท้ายเกี่ยวข้องโดยตรงกับอรรถบท, บอกให้ผู้ฟังทราบถึงสิ่งที่ต้องทำ, และกระตุ้นผู้ฟังให้ลงมือปฏิบัติไหม?’ หากคุณตอบคำถามเหล่านี้ได้ว่า ใช่ คุณก็ย่อมอยู่ในฐานะที่จะ “กล่าวความรู้ที่ถูกต้อง” เพื่อประโยชน์ของประชาคมและเพื่อสรรเสริญพระยะโฮวา!—สุภา. 15:2.
-