เลือด (จากหนังสือ การหาเหตุผลจากพระคัมภีร์ หน้า 70 ถึง 76)
โปรดเก็บไว้
คำจำกัดความ: ของเหลวที่น่ามหัศจรรย์อย่างแท้จริงซึ่งไหลเวียนอยู่ในระบบโลหิตของมนุษย์และสัตว์หลายเซลล์ส่วนใหญ่ ทำหน้าที่ขนส่งสารอาหารและออกซิเจน, ถ่ายเทของเสีย, และมีบทบาทอันสำคัญในการป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อ. เลือดมีความเกี่ยวพันอย่างแยกไม่ออกกับกระบวนการของชีวิตถึงขนาดที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ชีวิตของเนื้อหนังอยู่ในเลือด.” (เลวี. 17:11, ฉบับแปลใหม่) ในฐานะที่ทรงเป็นบ่อเกิดแห่งชีวิต พระยะโฮวาทรงประทานคำบัญชาที่แน่ชัดในเรื่องการใช้เลือด.
คริสเตียนได้รับพระบัญชาให้ ‘ละเว้นจากเลือด’
กิจ. 15:28, 29 (ล.ม.): “เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ และข้าพเจ้าทั้งหลาย [คณะกรรมการปกครองแห่งประชาคมคริสเตียน] เห็นชอบที่จะไม่เพิ่มภาระให้ท่านอีก นอกจากสิ่งจำเป็นเหล่านี้คือ ละเว้นเสมอจากสิ่งของซึ่งเขาได้บูชาแก่รูปเคารพและจากเลือดและจากสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย [หรือไม่ได้ให้เลือดไหลออกหลังจากฆ่า] และจากการผิดประเวณี. ถ้าท่านทั้งหลายละเว้นจากสิ่งเหล่านี้อย่างระมัดระวังเสมอ ท่านจะเจริญ. ขอให้ท่านมีสุขภาพดี!” (การรับประทานเลือดมีความผิดเท่ากับการไหว้รูปเคารพและการผิดประเวณี สิ่งซึ่งเราไม่ควรต้องการมีส่วนร่วมด้วย.)
รับประทานเนื้อสัตว์ได้ เว้นแต่เลือดของมัน
เย. 9:3, 4: “สารพัตรสัตว์ที่มีชีวิตจะเป็นอาหารของเจ้า, เช่นกับผักสดที่เรายกให้แก่เจ้าแล้วนั้น. เว้นแต่เนื้อที่ยังมีชีวิตอยู่เจ้าอย่ากินเลย, คือยังมีเลือดอยู่นั้น.”
สัตว์ชนิดใดก็ตามที่นำมาทำเป็นอาหารต้องมีการทำให้เลือดไหลออกอย่างเหมาะสม. สัตว์ที่ถูกรัดคอ หรือที่ตายเนื่องจากติดกับดัก หรือที่พบหลังจากที่มันตายแล้ว ไม่เหมาะจะนำมารับประทาน. (กิจ. 15:19, 20; เทียบกับ เลวีติโก 17:13–16.) ในทำนองเดียวกัน ไม่ควรรับประทานอาหารซึ่งปรุงด้วยเลือดหรือแม้แต่มีส่วนใดส่วนหนึ่งของเลือดผสมอยู่.
เฉพาะแต่การใช้เลือดเป็นเครื่องบูชาเท่านั้นที่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า
เลวี. 17:11, 12 (ฉบับแปลใหม่): “ชีวิตของเนื้อหนังอยู่ในเลือด เราได้ให้เลือดแก่เจ้าเพื่อใช้บนแท่น เพื่อจะทำการลบมลทินบาปแห่งวิญญาณจิตของเจ้า เพราะว่าโลหิตเป็นสิ่งที่ทำการลบมลทินบาป ด้วยชีวิตเป็นเหตุ. เพราะฉะนั้นเราจึงได้พูดกับคนอิสราเอลว่า ในพวกเจ้าอย่าให้คนใดรับประทานเลือดเลย หรือคนต่างด้าวผู้อาศัยท่ามกลางเจ้าก็อย่าได้รับประทานเลือด.” (การถวายบูชาสัตว์เหล่านั้นภายใต้พระบัญญัติของโมเซเป็นภาพเล็งถึงการถวายบูชาครั้งเดียวของพระเยซูคริสต์.)
เฮ็บ. 9:11-14, 22: “เมื่อพระคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมหาปุโรหิต . . . พระองค์ไม่ได้ทรงนำเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป, แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เอง, เสด็จเข้าไปในที่บริสุทธิ์นั้นแต่เพียงครั้งเดียว, และทรงได้ความรอดนิรันดร์ไว้. เพราะว่าถ้าเลือดแพะและเลือดวัวตัวผู้และเถ้าลูกโคตัวเมียประพรมหรือโปรยลงบนคนเหล่านั้นที่มลทินแล้ว ยังอาจชำระเนื้อหนังให้บริสุทธิ์ได้, มากยิ่งกว่านั้นสักเท่าไรพระโลหิตของพระเยซูคริสต์, ผู้ประกอบด้วยพระวิญญาณนิรันดร์ได้ทรงถวายพระองค์เองแก่พระเจ้าเป็นเครื่องบูชาอันปราศจากตำหนิ, จะได้ทรงชำระใจวินิจฉัยผิดและชอบของท่านทั้งหลายให้พ้นจากการประพฤติที่ตายแล้ว, เพื่อจะได้ปฏิบัติพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ . . . ถ้าไม่มีโลหิตไหลออกแล้ว ก็จะไม่มีการยกบาป.”
เอเฟ. 1:7: “ในพระองค์นั้น [พระเยซูคริสต์] เราได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระองค์, และได้รับอภัยโทษในความผิดของเราโดยพระกรุณาอันอุดมของพระองค์.”
คนเหล่านั้นที่เรียกตัวเองเป็นคริสเตียนในศตวรรษต้น ๆ แห่งสากลศักราช เข้าใจพระบัญชาแห่งคัมภีร์ไบเบิลในเรื่องเลือดอย่างไร?
เทอร์ทูลเลียน (ประมาณปี ส.ศ. 160-230) กล่าวว่า “ให้แนวทางอันผิดธรรมชาติของพวกท่านปรากฏเป็นที่น่าละอายต่อหน้าชนคริสเตียน. อาหารของเราไม่มีแม้แต่เลือดสัตว์ผสมอยู่ เป็นอาหารธรรมดาโดยทั่วไป. . . . ในการทดลองชนคริสเตียน ท่าน [ชนนอกรีตชาวโรมัน] ชวนพวกเขาให้กินไส้กรอกเลือด. แน่นอน ท่านรู้ดีว่าสิ่งที่ท่านเสนอแก่พวกเขาเพื่อจะทำให้หันเหไปจากแนวทางที่ถูกต้องนั้น เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายสำหรับพวกเขา. เหตุไฉนท่านจึงเชื่อว่า พวกเขาจะกระหายเลือดของมนุษย์ ในเมื่อท่านเองก็มั่นใจอยู่แล้วว่าพวกเขากลัวจนตัวสั่นไม่ยอมรับแม้แต่เลือดของสัตว์?”—เทอร์ทูลเลียน อะโพโลจิทิคัล เวิกส์ แอนด์ มินูเซียส เฟลิกซ์ อ็อกเทเวียส (นิวยอร์ก 1950, ภาษาอังกฤษ) แปลโดยเอมมิลี ดาลี หน้า 33.
มินูเซียส เฟลิกซ์ (ศตวรรษที่สาม): “เราอยู่ไกลห่างจากเลือดมนุษย์ถึงขนาดที่ว่า เราไม่ใช้แม้แต่เลือดของสัตว์ที่กินได้ในการปรุงอาหารของเรา.”—ผู้เขียนคริสเตียนก่อนสภาไนเซีย (แกรนด์ แรปพิดส์ มิชิแกน; 1956, ภาษาอังกฤษ) เรียบเรียงโดย เอ. โรเบิตส์และ เจ. โดนัลด์สัน เล่ม 4 หน้า 192.
การถ่ายเลือด
พระบัญชาห้ามในคัมภีร์ไบเบิลรวมเอาเลือดของมนุษย์ด้วยไหม?
ถูกแล้ว และชนคริสเตียนรุ่นแรกก็ได้เข้าใจเช่นนั้นด้วย. กิจการ 15:29 (ล.ม.) บอกให้ “ละเว้นเสมอจาก . . . เลือด.” ข้อนี้ไม่ได้บอกให้ละเว้นจากเลือดสัตว์ เท่านั้น. (เปรียบเทียบ เลวีติโก 17:10 ซึ่งห้ามการกิน “โลหิตอย่างหนึ่งอย่างใด.”) เทอร์ทูลเลียน (ผู้ซึ่งได้เขียนปกป้องความเชื่อของคริสเตียนรุ่นแรก) ได้แจ้งว่า “เราเข้าใจคำสั่งห้ามในเรื่อง ‘เลือด’ ว่าเป็น (คำสั่งห้าม) ที่เน้นหนักอยู่ที่เลือดของมนุษย์ มากยิ่งกว่า.”—ผู้เขียนคริสเตียนก่อนสภาไนเซีย (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 4 หน้า 86.
การถ่ายเลือดเหมือนการกินเลือดจริง ๆ หรือ?
หากมีคนไข้คนใดในโรงพยาบาลกินอาหารทางปากไม่ได้ เขาจะได้รับอาหารทางเส้นเลือด. ดังนั้น คนหนึ่งคนใดซึ่งแม้จะไม่เคยเอาเลือดเข้าปาก แต่รับเอาการถ่ายเลือดจะถือว่าเขาเป็นผู้ที่เชื่อฟังพระบัญชาที่ให้ “ละเว้นเสมอจาก . . . เลือด” อย่างแท้จริงไหม? (กิจการ 15:29, ล.ม.) ในเชิงเปรียบเทียบ ขอให้พิจารณาชายคนหนึ่งซึ่งหมอห้ามไม่ให้เขาดื่มสุรา. จะถือว่าเขาเชื่อฟังหมอได้ไหมหากเขาเลิกดื่มสุราแต่กลับฉีดสุราเข้าไปในเส้นเลือดของตน?
ในกรณีที่คนไข้ปฏิเสธการถ่ายเลือด มีการรักษาแบบอื่นแทนการถ่ายเลือดไหม?
บ่อยครั้งเพียงแต่น้ำเกลือ, สารละลายริงเกอร์, และเดกซ์แทรน ก็อาจนำมาใช้เป็นสารขยายปริมาตรพลาสมาได้ และสารน้ำเหล่านี้มีใช้ตามโรงพยาบาลสมัยใหม่เกือบทุกแห่ง. ที่จริง จะหลีกเลี่ยงการเสี่ยงอันตรายจากการถ่ายเลือด โดยการใช้สารน้ำเหล่านี้. วารสารสมาคมวิสัญญีแพทย์แห่งแคนาดา (ฉบับมกราคม 1975 หน้า 12, ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “ข้อได้เปรียบของสารที่ใช้ทดแทนปริมาตรพลาสมา คือลดการเสี่ยงต่ออันตรายที่มาจากการถ่ายเลือด เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส และปฏิกิริยาระหว่างเลือดต่างหมู่กัน.” พยานพระยะโฮวาไม่มีข้อคัดค้านทางด้านศาสนาหากจะมีการใช้สารขยายปริมาตรพลาสมาที่ไม่มีส่วนประกอบของเลือด.
ที่จริงพยานพระยะโฮวาได้รับประโยชน์จากการรักษาที่ดีกว่าทางการแพทย์ เนื่องจากพวกเขาไม่รับเลือด. แพทย์ท่านหนึ่งเขียนลงในวารสารสูติ-นรีเวชแห่งอเมริกา (ฉบับ 1 มิถุนายน 1968 หน้า 395) ยอมรับว่า “ไม่มีข้อสงสัยเลยว่า หากคุณ [ศัลยแพทย์] ต้องทำการผ่าตัดโดยที่ไม่มีการถ่ายเลือด นั่นย่อมมีส่วนเสริมให้คุณเป็นศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญยิ่งขึ้น. ทำให้คุณเด็ดขาดยิ่งขึ้นในการหนีบหลอดเลือดทุกหลอดที่มีเลือดไหลออก.”
การผ่าตัดทุกรูปแบบกระทำได้อย่างสำเร็จผลโดยไม่มีการถ่ายเลือด. นี่รวมถึงการผ่าตัดเปิดหัวใจ, การผ่าตัดสมอง, การตัดแขนขา, และการตัดทิ้งอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายที่เป็นมะเร็ง. นายแพทย์ฟิลิป โรเอน เขียนลงในวารสารการแพทย์แห่งมลรัฐนิวยอร์ก (ฉบับ 15 ตุลาคม 1972 หน้า 2527, ภาษาอังกฤษ) ว่า “เราไม่เคยลังเลใจที่จะทำการผ่าตัดใด ๆ แม้แต่เมื่อมีการสั่งห้ามไม่ให้เติมเลือด.” นายแพทย์เด็นตัน คูลีย์จากสถาบันโรคหัวใจแห่งมลรัฐเทกซัสกล่าวว่า “เราเกิดความประทับใจมากจากผลที่เกิดขึ้น [จากการใช้สารขยายปริมาตรพลาสมาที่ไม่มีส่วนประกอบของเลือด] กับพวกพยานพระยะโฮวาถึงขนาดที่เราเริ่มใช้วิธีการเดียวกันนี้กับคนไข้โรคหัวใจทุกคนที่มาหาเรา.” (เดอะ แซนดิเอโก ยูเนียน, 27 ธันวาคม 1970 หน้า เอ–10, ภาษาอังกฤษ) “การผ่าตัดเปิดหัวใจ ‘โดยไม่ใช้เลือด’ ซึ่งเดิมพัฒนาขึ้นเพื่อให้บริการแก่ผู้ใหญ่ที่เป็นพยานพระยะโฮวาเนื่องจากศาสนาของพวกเขาห้ามการถ่ายเลือด บัดนี้ได้รับการปรับปรุงถึงขั้นที่ปลอดภัยเพื่อจะใช้ในการผ่าตัดหัวใจทารกและเด็ก ๆ ซึ่งต้องใช้ความละเอียดอ่อน.”—คาดิโอแว็สคิวละ นิวส์, (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ กุมภาพันธ์ 1984 หน้า 5.
หากบางคนพูดว่า—
‘คุณยอมให้ลูกของคุณเสียชีวิตเพราะคุณไม่ยอมรับการถ่ายเลือด. ผม [ดิฉัน] คิดว่านั่นเป็นสิ่งที่แย่มาก’
คุณอาจตอบว่า: ‘แต่เรายอมให้พวกเขารับสารน้ำผ่านทางเส้นเลือดซึ่งปลอดภัยกว่า. การรับสารน้ำที่ไม่ใช่เลือดทำให้ไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อต่าง ๆ อย่างเช่น เอดส์, ตับอักเสบ, และมาลาเรีย. เราต้องการการรักษาที่ดีที่สุด เพื่อลูก ๆ ของเรา และผม [ดิฉัน] ก็แน่ใจด้วยว่านี่เป็นความประสงค์ของบิดามารดาทุกคนที่รักลูก.’ จากนั้นอาจเสริมว่า: (1) ‘เมื่อเกิดการสูญเสียเลือดเป็นจำนวนมาก สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือการทดแทนปริมาตรพลาสมาที่เสียไป. คุณคงรู้ว่า เลือดของเราประกอบไปด้วยน้ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์; แล้วก็มีเม็ดเลือดแดง, เม็ดเลือดขาว, และอื่น ๆ. เมื่อเสียเลือดไปจำนวนมาก ร่างกายสามารถสร้างเม็ดเลือดใหม่ ๆ ขึ้นมาแล้วส่งเข้าสู่กระแสเลือดของร่างกาย แต่ต้องมีการทดแทนปริมาตรพลาสมา. สารขยายปริมาตรพลาสมาที่ไม่มีส่วนประกอบของเลือดนำมาใช้เพื่อสนองความจำเป็นในเรื่องนี้ได้ และพวกเรายอมรับสารเหล่านั้น.’ (2) ‘มีการใช้สารขยายปริมาตรพลาสมากับผู้คนเป็นจำนวนพัน ๆ มาแล้ว พร้อมกับผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม.’ (3) ‘เหตุผลสำคัญยิ่งกว่านี้อีกสำหรับพวกเราก็คือข้อความที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ที่กิจการ 15:28, 29.’
หรือคุณอาจพูดว่า: ‘ผม [ดิฉัน] เข้าใจแง่คิดของคุณในเรื่องนี้. ผม [ดิฉัน] สันนิษฐานว่าคุณกำลังนึกภาพว่าลูกของคุณอยู่ในสถานการณ์นี้. ในฐานะบิดามารดา เราย่อมทำทุกสิ่งที่เราทำได้เพื่อปกป้องสวัสดิภาพแห่งลูก ๆ ของเรามิใช่หรือ? ดังนั้น หากคนอย่างคุณและผม [ดิฉัน] ปฏิเสธไม่ยอมให้ลูกของเรารับการรักษาทางการแพทย์บางอย่าง นั่นย่อมแสดงว่าต้องมีเหตุผลหนักแน่นบางอย่างที่กระตุ้นให้เราทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน.’ จากนั้นอาจเสริมว่า: (1) ‘คุณคิดว่า จะมีบิดามารดาบางคนไหมที่ได้รับแรงกระตุ้นเนื่องด้วยสิ่งที่พระคำของพระเจ้ากล่าวไว้ที่นี่ที่กิจการ 15:28, 29?’ (2) ‘ดังนั้นมีคำถามว่า เรามีความเชื่อพอที่จะทำตามพระบัญชาของพระเจ้าไหม?’
‘พวกคุณไม่ยอมรับการถ่ายเลือด’
คุณอาจพูดว่า: ‘หนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ได้ลงเรื่องเกี่ยวกับบางสภาพการณ์ซึ่งพวกเขาคิดว่า ในบางกรณีพวกพยานฯ คงจะตายถ้าเขาไม่ยอมรับเลือด. ไม่ทราบว่าคุณหมายถึงสิ่งนี้ไหม? . . . ทำไมพวกเราจึงมีจุดยืนเช่นนี้?’ จากนั้นอาจเสริมว่า: (1) ‘คุณรักภรรยา [สามี] ของคุณพอที่จะยอมเสี่ยงชีวิตของคุณเพื่อเธอ [เขา] ไหม? . . . ยังมีชายบางคนที่ยอมเสี่ยงชีวิตของตนเพื่อประเทศชาติ และพวกเขาก็ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นวีรบุรุษมิใช่หรือ? ถึงกระนั้น มีผู้หนึ่งซึ่งยิ่งใหญ่กว่าทุกคนหรือทุกสิ่งบนโลกนี้ และผู้นั้นก็คือพระเจ้า. คุณจะยอมเสี่ยงชีวิตของคุณเพื่อพระองค์ เนื่องจากคุณมีความรักและความภักดีต่อการปกครองของพระองค์ไหม?’ (2) ‘ประเด็นที่แท้จริงในที่นี้ก็คือความภักดีต่อพระเจ้า. พระคำของพระเจ้าเองบอกเราให้ละเว้นจากเลือด. (กิจการ 15:28, 29)’
หรือคุณอาจพูดว่า: ‘มีหลายสิ่งในทุกวันนี้ที่ถือกันว่าเป็นเรื่องธรรมดาและที่พยานพระยะโฮวาหลีกเลี่ยง เช่น การโกหก, การเล่นชู้, การขโมย, การสูบบุหรี่, และอย่างที่คุณกล่าวมาคือการใช้เลือด. ทำไมล่ะ? ก็เพราะเราดำเนินชีวิตตามการชี้นำแห่งพระคำของพระเจ้า.’ จากนั้นอาจเสริมว่า: (1) ‘คุณทราบไหมว่าคัมภีร์ไบเบิล บอกว่าเราต้อง ‘ละเว้นจากเลือด’? ผม [ดิฉัน] อยากจะเปิดให้คุณดู. (กิจ. 15:28, 29)’ (2) ‘คุณคงจำได้ว่าพระเจ้าทรงบัญชาแก่อาดามกับฮาวาบิดามารดาคู่แรกของเราว่า เขาจะกินผลไม้ในสวนเอเดนได้ทุกต้นเว้นไว้ต้นเดียว. แต่เขาไม่ได้เชื่อฟังและกินผลไม้ที่ต้องห้ามนั้น จึงสูญเสียทุกสิ่ง. ไม่ฉลาดสุขุมอะไรเช่นนี้! แน่นอน ในทุกวันนี้ไม่มีต้นไม้ที่มีผลไม้ที่ต้องห้าม. แต่หลังจากน้ำท่วมในสมัยของโนฮา อีกครั้งหนึ่งที่พระเจ้าทรงมีพระบัญชาห้ามข้อหนึ่งสำหรับมนุษยชาติ. คราวนี้เกี่ยวข้องกับเลือด. (เย. 9:3, 4)’ (3) ‘ดังนั้น ปัญหาที่แท้จริงก็คือเรามีความเชื่อในพระเจ้าไหม? หากเราเชื่อฟังพระองค์ เรามีความหวังที่จะมีชีวิตนิรันดร์ในสภาพสมบูรณ์ภายใต้ราชอาณาจักรของพระองค์อยู่ต่อหน้าเรา. แม้เราจะตาย พระองค์ทรงรับรองกับเราในเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย.’
‘จะว่าอย่างไรหากหมอบอกว่า “คุณจะตายถ้าไม่รับการถ่ายเลือด”?’
คุณอาจตอบว่า: ‘ถ้าสถานการณ์ร้ายแรงถึงขั้นนี้แล้ว หมอคนนั้นจะรับประกันได้ไหมว่าคนไข้จะไม่ตายถ้ามีการเติมเลือด?’ จากนั้นอาจเสริมว่า: ‘แต่มีผู้หนึ่งซึ่งอาจทำให้คนเรามีชีวิตอีก และผู้นั้นก็คือพระเจ้า. คุณไม่เห็นด้วยหรือที่ว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย การหันหลังให้กับพระเจ้าโดยการละเมิดกฎหมายของพระองค์ย่อมเป็นการตัดสินใจที่ไม่ฉลาดสุขุม? ผม [ดิฉัน] มีความเชื่ออย่างแท้จริงในพระเจ้า. คุณล่ะครับ/คะ? พระคำของพระองค์ให้คำมั่นสัญญาในเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตายสำหรับคนเหล่านั้นที่แสดงความเชื่อในพระบุตรของพระองค์. คุณเชื่ออย่างนั้นไหม? (โยฮัน 11:25)’
หรือคุณอาจพูดว่า: ‘อาจหมายความว่าหมอคนนั้นไม่ทราบวิธีรักษาที่ไม่จำเป็นต้องใช้เลือด. หากเป็นไปได้ เราจะพยายามให้เขาติดต่อกับหมอที่เคยมีประสบการณ์ที่จำเป็นในด้านนี้มาแล้ว หรือไม่เราก็จะขอรับการรักษาจากหมออื่น.’