พระธรรมเล่มที่ 14—2 โครนิกา
ผู้เขียน: เอษรา
สถานที่เขียน: ยะรูซาเลม (?)
เขียนเสร็จ: ประมาณ 460 ก.ส.ศ.
ครอบคลุมระยะเวลา: 1037-537 ก.ส.ศ.
1. เอษราเขียนพระธรรมโครนิกาเสร็จเมื่อไร และด้วยคำนึงถึงวัตถุประสงค์อะไร?
เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าพระธรรมโครนิกาฉบับต้นและฉบับสองนั้นแต่เดิมเป็นเล่มเดียว เหตุผลต่าง ๆ ที่ให้ในบทก่อนเกี่ยวกับภูมิหลัง, ผู้เขียน, เวลาที่เขียน, การเป็นส่วนแห่งสารบบ, และความเชื่อถือได้ จึงใช้ได้กับทั้งสองเล่ม. ตามหลักฐานที่ได้เสนอไว้ เอษราเขียนโครนิกาฉบับสองเสร็จประมาณปี 460 ก.ส.ศ. อาจเป็นในกรุงยะรูซาเลม. เอษราประสงค์จะรักษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ซึ่งล่อแหลมต่อการสูญหาย. ความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ควบคู่กับความสามารถของท่านในฐานะนักประวัติศาสตร์ในการสืบค้นและเลือกเฟ้นรายละเอียด ทำให้เอษราสามารถจัดทำบันทึกที่ถูกต้องแม่นยำและถาวร. ท่านเก็บรักษาสิ่งที่ท่านถือเป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ไว้สำหรับยุคหลัง ๆ. งานของเอษราเหมาะกับเวลาเป็นที่สุด เนื่องจากตอนนี้มีความจำเป็นเช่นกันที่จะต้องรวบรวมหนังสือศักดิ์สิทธิ์ภาษาฮีบรูทั้งหมดซึ่งได้รับการบันทึกมาแล้วหลายศตวรรษเข้าไว้ด้วยกัน.
2. เหตุใดจึงไม่มีเหตุผลจะสงสัยความถูกต้องแม่นยำของพระธรรมโครนิกา?
2 ชาวยิวในสมัยเอษราได้รับประโยชน์อย่างใหญ่หลวงจากบันทึกเหตุการณ์ตามลำดับเวลาที่เอษราเขียนโดยการดลใจ. พระธรรมนี้ได้รับการเขียนเพื่อสั่งสอนพวกเขาและชูใจให้เพียรอดทน. โดยการปลอบประโลมจากพระคัมภีร์ พวกเขาจึงสามารถมีความหวัง. พวกเขารับเอาพระธรรมโครนิกาเป็นส่วนแห่งสารบบของคัมภีร์ไบเบิล. พวกเขารู้ว่าพระธรรมนี้คู่ควรแก่ความวางใจ. พวกเขาอาจตรวจสอบได้โดยใช้หนังสือที่มีขึ้นโดยการดลใจเล่มอื่น ๆ อีกทั้งโดยประวัติศาสตร์ของทางโลกหลายฉบับที่เอษราอ้างถึง. แม้ว่าพวกเขายอมให้ประวัติศาสตร์ของทางโลกที่มีขึ้นโดยไม่ได้รับการดลใจสูญหายไป แต่พวกเขารักษาพระธรรมโครนิกาไว้อย่างระมัดระวัง. ผู้แปลฉบับเซปตัวจินต์ ได้รวมโครนิกาไว้เป็นส่วนของคัมภีร์ไบเบิลภาคภาษาฮีบรู.
3. พระธรรมเล่มอื่น ๆ แสดงอย่างไรว่าโครนิกาเชื่อถือได้?
3 พระเยซูคริสต์และผู้เขียนพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกยอมรับว่าพระธรรมนี้เชื่อถือได้และถูกเขียนขึ้นโดยการดลใจ. ไม่ต้องสงสัยว่าพระเยซูทรงรำลึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่นที่บันทึกใน 2 โครนิกา 24:21 เมื่อกล่าวโทษยะรูซาเลมว่าเป็นผู้ฆ่าคนและเป็นผู้เอาหินขว้างพวกผู้พยากรณ์กับผู้รับใช้ของพระยะโฮวา. (มัด. 23:35; 5:12; 2 โคร. 36:16) เมื่อยาโกโบกล่าวถึงอับราฮามว่าเป็น “มิตรสหายของพระยะโฮวา” ท่านคงพาดพิงถึงคำพูดของเอษราที่ 2 โครนิกา 20:7. (ยโก. 2:23, ล.ม.) อนึ่ง พระธรรมนี้บรรจุคำพยากรณ์ต่าง ๆ ที่สำเร็จเป็นจริงโดยไม่ผิดพลาดอีกด้วย.—2 โคร. 20:17, 24; 21:14-19; 34:23-28; 36:17-20.
4. การค้นพบทางโบราณคดีอะไรที่สนับสนุนความเชื่อถือได้ของโครนิกาฉบับสอง?
4 โบราณคดีก็สนับสนุนความเชื่อถือได้ของโครนิกาฉบับสองด้วย. การขุดค้นในที่ตั้งเมืองบาบูโลนโบราณได้พบแผ่นดินเหนียวที่กล่าวถึงช่วงการครองราชย์ของนะบูคัดเนซัร แผ่นหนึ่งกล่าวชื่อ “เยาคิน กษัตริย์แห่งแผ่นดินยาฮูด” นั่นก็คือ “ยะโฮยาคิน กษัตริย์แห่งแผ่นดินยูดา.”a เรื่องนี้สอดคล้องอย่างดีกับบันทึกในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับการที่ยะโฮยาคินถูกจับไปเป็นเชลยยังบาบูโลนในปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลของนะบูคัดเนซัร.
5. โครนิกาฉบับสองครอบคลุมช่วงเวลาใด และเหตุใดจึงเน้นประวัติของยูดามากกว่าของอาณาจักรสิบตระกูล?
5 บันทึกในโครนิกาฉบับสองย้อนกล่าวถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในยูดานับจากรัชกาลของซะโลโมตั้งแต่ปี 1037 ก.ส.ศ. จนถึงราชกฤษฎีกาของไซรัสในปี 537 ก.ส.ศ. ที่ให้บูรณะพระวิหารของพระยะโฮวาที่ยะรูซาเลม. ในประวัติศาสตร์ช่วง 500 ปีนี้ ได้มีการอ้างถึงอาณาจักรสิบตระกูลเฉพาะเมื่อเกี่ยวพันกับเรื่องราวของอาณาจักรยูดาเท่านั้น และความพินาศของอาณาจักรทางเหนือนี้ในปี 740 ก.ส.ศ. ก็ไม่มีการเอ่ยถึงด้วยซ้ำ. เพราะเหตุใด? ก็เพราะปุโรหิตเอษราสนใจเรื่องการนมัสการพระยะโฮวา ณ สถานที่อันถูกต้องเป็นประการสำคัญ คือพระวิหารของพระองค์ในยะรูซาเลม และสนใจเรื่องอาณาจักรตามเชื้อวงศ์ของดาวิดซึ่งพระยะโฮวาทรงทำสัญญาไมตรีด้วย. ดังนั้น จึงเป็นอาณาจักรทางใต้ที่เอษรามุ่งสนใจเพื่อสนับสนุนการนมัสการแท้และด้วยความคาดหมายในเรื่องผู้ปกครองซึ่งจะมาจากตระกูลยูดา.—เย. 49:10.
6. ในแง่ไหนบ้างที่โครนิกาฉบับสองเสริมสร้างและกระตุ้นใจ?
6 เอษราหยิบยกแง่คิดที่เสริมสร้างมากล่าว. ใน 36 บทของพระธรรมโครนิกาฉบับสอง 9 บทแรกให้สำหรับเรื่องการครองราชย์ของซะโลโม และ 6 บทในส่วนนี้ล้วนเป็นเรื่องของการตระเตรียมและการอุทิศพระวิหารของพระยะโฮวา. บทบันทึกไม่กล่าวถึงการเอาใจออกห่างของซะโลโม. ใน 27 บทที่เหลือ มี 14 บทเกี่ยวข้องกับกษัตริย์ห้าองค์ซึ่งส่วนใหญ่แล้วพวกเขาติดตามตัวอย่างความเลื่อมใสโดยเฉพาะของดาวิดในการนมัสการพระยะโฮวา ได้แก่ อาซา, ยะโฮซาฟาด, โยธาม, ฮีศคียา, และโยซียา. แม้ในบทอื่นอีก 13 บท เอษราก็ระมัดระวังที่จะเน้นข้อดีของกษัตริย์ชั่ว. ท่านเน้นเสมอในเรื่องเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการบูรณะและการอนุรักษ์การนมัสการแท้. ช่างกระตุ้นใจจริง ๆ!
เนื้อเรื่องในโครนิกาฉบับสอง
7. พระยะโฮวาทรงทำประการใดให้ซะโลโม “มีความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้น”?
7 ความรุ่งเรืองในรัชกาลของซะโลโม (1:1–9:31). ขณะที่โครนิกาฉบับสองเริ่มเรื่อง เราเห็นซะโลโมราชบุตรดาวิดเข้มแข็งยิ่งขึ้นในฐานะกษัตริย์. พระยะโฮวาสถิตอยู่กับท่านและ “ทรงบันดาลให้ท่านมีความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้น.” เมื่อซะโลโมถวายเครื่องบูชาที่ฆิบโอน พระยะโฮวาทรงปรากฏแก่ท่านตอนกลางคืน ตรัสว่า “เจ้าปรารถนาให้เราโปรดประการใดจงขอสิ่งนั้นเถิด.” ซะโลโมทูลขอความรู้และสติปัญญาเพื่อจะปกครองไพร่พลของพระยะโฮวาอย่างถูกต้อง. เนื่องจากคำทูลขออย่างไม่เห็นแก่ตัวนี้ พระเจ้าทรงสัญญาจะประทานไม่เพียงสติปัญญาและความรู้เท่านั้นแก่ซะโลโม แต่ยังจะประทานความมั่งคั่งร่ำรวยและเกียรติยศ “ยิ่งกว่ากษัตริย์ทั้งปวงก่อนเจ้านั้น, ทั้งสืบไปเบื้องหน้ากษัตริย์องค์ใดจะเสมอเหมือนเจ้าไม่มีเลย.” ความมั่งคั่งไหลหลั่งมาในกรุงนี้อย่างมากมาย จนในกาลต่อมาซะโลโม “ได้ทรงกระทำให้มีเงินและทองที่กรุงยะรูซาเลมมากดุจหิน.”—1:1, 7, 12, 15.
8. งานสร้างพระวิหารดำเนินไปอย่างไร และรายละเอียดการก่อสร้างบางประการเป็นอย่างไร?
8 ซะโลโมเกณฑ์แรงงานเพื่องานก่อสร้างพระวิหารของพระยะโฮวา และกษัตริย์ฮีรามแห่งตุโรได้ร่วมมือโดยส่งไม้และนายช่างที่มีความสามารถพิเศษมาคนหนึ่ง. การก่อสร้างเริ่มขึ้น “ในปีที่สี่แห่งแผ่นดินของท่าน” และอีกเจ็ดปีครึ่งต่อมาจึงแล้วเสร็จ คือในปี 1027 ก.ส.ศ. (3:2) ตัวพระวิหารมีเฉลียงใหญ่ด้านหน้าสูง 120 ศอก (53.4 เมตร). เสาทองแดงใหญ่สองต้นตั้งอยู่หน้าเฉลียง ต้นหนึ่งชื่อยาคิน หมายความว่า “ขอ [พระยะโฮวา] ทรงตั้งไว้ให้มั่นคง” และอีกต้นหนึ่งชื่อโบอัศซึ่งดูเหมือนหมายความว่า “ด้วยพลัง.” (3:17) ตัววิหารเองค่อนข้างเล็ก ยาว 60 ศอก (26.7 เมตร), สูง 30 ศอก (13.4 เมตร), และกว้าง 20 ศอก (8.9 เมตร) แต่ผนังและเพดานล้วนแต่ปิดด้วยทองคำ; ห้องชั้นในสุดซึ่งเป็นห้องบริสุทธิ์ที่สุดตกแต่งอย่างประณีตด้วยทองคำ. ในห้องนี้ยังมีคะรูบทองคำสองรูปตั้งอยู่คนละฟาก ซึ่งกางปีกออกและบรรจบกันกลางห้อง.
9. จงพรรณนาถึงเครื่องใช้และภาชนะในลานพระวิหารและพระวิหาร.
9 ในลานพระวิหารชั้นในมีแท่นทองแดงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ กว้างด้านละ 20 ศอก (9 เมตร) และสูง 10 ศอก (4.5 เมตร). อีกสิ่งหนึ่งที่เด่นในลานพระวิหารคือทะเลหล่อ เป็นอ่างทองแดงขนาดใหญ่ตั้งบนหลังวัวทองแดง 12 ตัวที่หันหน้าออกด้านนอกทิศละสามตัว. ทะเลหล่อนี้จุน้ำได้ “สามพันปิ๊บบัธ” (66,000 ลิตร) ซึ่งปุโรหิตจะใช้ชำระตัว. (4:5) นอกจากนั้น ในลานพระวิหารยังมีอ่างทองแดงขนาดเล็กสิบใบตั้งอยู่บนล้อเลื่อนทองแดงที่ตกแต่งไว้ บรรจุน้ำซึ่งใช้ล้างของต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเครื่องบูชาเผา. อ่างเหล่านี้ใส่น้ำจากทะเลหล่อและเข็นไปยังที่ที่จำเป็นต้องใช้น้ำ. นอกจากนี้ยังมีเชิงตะเกียงทองคำสิบอันกับภาชนะอื่น ๆ อีกมาก เป็นทองคำบ้างทองแดงบ้าง เพื่อการนมัสการในพระวิหาร.b
10. เกิดอะไรขึ้นเมื่อนำหีบสัญญาไมตรีเข้าสู่ห้องบริสุทธิ์ที่สุด?
10 ในที่สุด หลังจากการก่อสร้างเจ็ดปีครึ่ง พระวิหารของพระยะโฮวาก็แล้วเสร็จ. (1 กษัต. 6:1, 38) วันประกอบพิธีเปิดใช้พระวิหารเป็นเวลาที่จะนำสัญลักษณ์แห่งการประทับของพระยะโฮวาเข้ามาไว้ในห้องชั้นในสุดของอาคารอันสง่างามหลังนี้. พวกปุโรหิตนำ “หีบสัญญาไมตรีของพระยะโฮวาขึ้นมาประดิษฐานไว้ในที่สำหรับหีบนั้น, คือที่โบสถ์วิหารห้องในอันบริสุทธิ์ยิ่ง, ใต้ปีกรูปคะรูบีมนั้น.” แล้วเกิดอะไรขึ้น? ขณะที่พวกนักร้องและนักดนตรีชาวเลวีสรรเสริญและขอบพระคุณพระยะโฮวาด้วยบทเพลงที่ประสานกัน พระวิหารเต็มไปด้วยเมฆและปุโรหิตไม่สามารถยืนปฏิบัติหน้าที่เพราะ “รัศมีของพระยะโฮวา” แผ่ปกคลุมพระวิหารแห่งพระเจ้าองค์เที่ยงแท้. (2 โคร. 5:7, 13, 14) ด้วยวิธีนั้น พระยะโฮวาทรงแสดงความพอพระทัยต่อพระวิหารและทรงสำแดงการประทับของพระองค์ที่นั่น.
11. ซะโลโมถวายคำอธิษฐานอะไร และท่านทูลวิงวอนขออะไร?
11 ยกพื้นทองแดงสูงสามศอก (1.3 เมตร) ถูกสร้างสำหรับโอกาสนั้น และตั้งไว้ในลานพระวิหารชั้นในใกล้กับแท่นทองแดงใหญ่. ในตำแหน่งสูงเช่นนี้ ฝูงชนมากมายที่ประชุมกันเพื่อการอุทิศพระวิหารจึงเห็นซะโลโมได้. หลังจากการสำแดงอย่างอัศจรรย์ถึงการประทับของพระยะโฮวาโดยเมฆอันรุ่งโรจน์ ซะโลโมคุกเข่าต่อหน้าฝูงชนและถวายคำอธิษฐานที่กระตุ้นใจเพื่อขอบพระคุณและสรรเสริญ ซึ่งรวมเอาคำทูลขอที่ต่อเนื่องกันอย่างถ่อมใจเพื่อการอภัยและพระพร. ในตอนจบท่านวิงวอนดังนี้: “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า, ขอพระองค์ทรงลืมพระเนตร, โปรดเอียงพระกรรณของพระองค์ทรงสดับฟังคำอธิษฐานในตำบลนี้. ข้าแต่พระยะโฮวาเจ้า, ขอพระองค์อย่าได้เบือนพระพักตร์จากผู้เฉลิมของพระองค์: ขอทรงระลึกถึงพระกรุณาคุณที่ทรงสำแดงแก่ดาวิดผู้ทาสของพระองค์นั้น.”—6:40, 42.
12. พระยะโฮวาทรงตอบคำอธิษฐานของซะโลโมอย่างไร และการฉลอง 15 วันสิ้นสุดลงด้วยความสุขอย่างไร?
12 พระยะโฮวาสดับคำอธิษฐานของซะโลโมไหม? ทันทีที่ท่านอธิษฐานจบ ไฟได้ลงมาจากสวรรค์เผาเครื่องบูชาเผาและเครื่องบูชาต่าง ๆ และ “รัศมีของพระยะโฮวา” แผ่เต็มพระวิหาร. สิ่งนี้ได้ทำให้ประชาชนทั้งปวงซบหน้าขอบพระคุณพระยะโฮวา “เพราะพระองค์ทรงพระกรุณาคุณ; และเพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงอยู่ถาวร.” (7:1, 3) จากนั้น เครื่องบูชาจำนวนมากถูกถวายแด่พระยะโฮวา. มีการเลี้ยงฉลองอุทิศพระวิหารนานหนึ่งสัปดาห์แล้วตามด้วยการเลี้ยงฉลองการเก็บผลอีกหนึ่งสัปดาห์และอีกหนึ่งวันซะบาโตแห่งการหยุดจากงาน. หลังจากการฉลอง 15 วันแห่งความยินดีและเสริมกำลังฝ่ายวิญญาณนี้ ซะโลโมได้ให้ประชาชนกลับไปยังบ้านเรือนของตนด้วยความยินดีและด้วยใจชื่นบาน. (7:10) พระยะโฮวาทรงยินดีเช่นกัน. พระองค์ทรงย้ำสัญญาไมตรีเรื่องราชอาณาจักรกับซะโลโม และในเวลาเดียวกันทรงเตือนถึงผลร้ายแรงของการไม่เชื่อฟัง.
13. (ก) มีงานก่อสร้างอะไรต่อจากการสร้างพระวิหาร? (ข) ราชินีแห่งชีบาตรัสแสดงความรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นอาณาจักรของซะโลโม?
13 ถึงตอนนี้ ซะโลโมดำเนินการก่อสร้างที่ใหญ่โตตลอดทั่วเขตปกครอง ไม่เพียงสร้างราชวังของตนแต่ยังสร้างเมืองที่มีป้อม, เมืองเก็บราชทรัพย์, เมืองเก็บรถรบ, เมืองสำหรับทหารม้า, และทุก ๆ สิ่งที่ท่านต้องการสร้าง. นั่นเป็นช่วงเวลาแห่งความเจริญมั่งคั่งและสันติสุขอันรุ่งโรจน์ เพราะทั้งกษัตริย์และประชาชนต่างใส่ใจในการนมัสการพระยะโฮวา. แม้แต่ราชินีแห่งชีบาซึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 1,900 กิโลเมตรก็ยังได้ยินถึงความเจริญมั่งคั่งและสติปัญญาของซะโลโมและจึงเดินทางไกลด้วยความลำบากเพื่อมาเห็นกับตาตนเอง. นางผิดหวังไหม? ไม่เลย เพราะนางยอมรับว่า “เราหาได้เชื่อข่าวนั้นไม่, จนได้มาเห็นกับตาของตน: แต่ดูกรท่าน, ที่เขาทูลกล่าวด้วยสติปัญญาของท่านว่ามากเท่าใดก็ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่ง; ด้วยท่านประเสริฐยิ่งกว่ากิตติศัพท์ที่ได้ยินนั้นอีก. ข้าราชการและผู้รับใช้ของท่านและพวกที่ยืนเฝ้าอยู่เสมอ, และเคยได้ยินสติปัญญาของท่านก็เป็นสุข.” (9:6, 7) ไม่มีกษัตริย์องค์ใดบนแผ่นดินโลกที่เหนือกว่าซะโลโมในด้านความมั่งคั่งและสติปัญญา. ท่านครองราชย์นาน 40 ปี ที่กรุงยะรูซาเลม.
14. เหตุใดยิศราเอลจึงถูกทำให้สิ้นสง่าราศีในเวลาไม่นาน?
14 การครองราชย์ของระฮับอามและอะบียา (10:1–13:22). การปกครองที่แข็งกร้าวกดขี่ของระฮับอามราชบุตรของซะโลโมทำให้สิบตระกูลทางเหนือภายใต้การนำของยาระบะอามกบฏในปี 997 ก.ส.ศ. อย่างไรก็ตาม พวกปุโรหิตและพวกเลวีในทั้งสองอาณาจักรเลือกอยู่ข้างระฮับอาม แสดงความภักดีต่อสัญญาไมตรีเรื่องราชอาณาจักรมากกว่าชาตินิยม. ต่อมาไม่นานระฮับอามละทิ้งกฎหมายของพระยะโฮวาและชีชัคกษัตริย์อียิปต์ได้บุกเข้ายะรูซาเลมและยึดเอาทรัพย์สมบัติในพระวิหารของพระยะโฮวาไปจนหมด. น่าเศร้าจริง ๆ ที่แค่สามสิบกว่าปีภายหลังการสร้าง อาคารที่ตกแต่งไว้อย่างสง่างามเหล่านี้ก็ถูกทำให้สิ้นสง่าราศี! สาเหตุก็คือ: ชาตินี้ “พากันล่วงละเมิดต่อพระยะโฮวา.” ระฮับอามถ่อมตัวลงทันเวลา พระยะโฮวาจึงไม่ทรงทำให้ชาตินี้พินาศโดยสิ้นเชิง.—12:2.
15. เกิดการสู้รบอะไรขึ้นบ้างหลังจากระฮับอามสิ้นชีวิต และเหตุใดยูดาจึงเหนือกว่ายิศราเอล?
15 เมื่อระฮับอามสิ้นชีวิต อะบียา หนึ่งในโอรส 28 องค์ของท่านถูกตั้งเป็นกษัตริย์. ในช่วงการครองราชย์สามปีของอะบียาได้เกิดสงครามนองเลือดกับยิศราเอลที่อยู่ทางเหนือ. อาณาจักรยูดามีจำนวนน้อยกว่าครึ่งต่อครึ่ง คือมีทหาร 400,000 คนต่อทหารของยาระบะอาม 800,000 คน. ระหว่างสงครามใหญ่ ๆ ที่ตามมานั้นนักรบยิศราเอลลดเหลือน้อยกว่าครึ่ง และผู้นมัสการวัวเกือบห้าแสนคนถูกสังหาร. ลูกหลานฝ่ายยูดาได้ชัยเพราะพวกเขาได้พึ่ง “อาศัยพระยะโฮวาพระเจ้าแห่งปู่ย่าตายาย.”—13:18.
16. พระยะโฮวาทรงตอบคำอธิษฐานเร่งด่วนของอาซาอย่างไร?
16 กษัตริย์อาซาผู้เกรงกลัวพระเจ้า (14:1–16:14). ราชบุตรอาซาครองราชย์สืบต่อจากอะบียา. อาซาเป็นผู้ส่งเสริมการนมัสการแท้. ท่านรณรงค์ชำระแผ่นดินให้ปราศจากการนมัสการรูปเคารพ. แต่ดูเถิด! ยูดาถูกคุกคามโดยกองทัพเอธิโอเปียที่มีมากท่วมท้นถึงหนึ่งล้านคน. อาซาอธิษฐานดังนี้ “ข้าแต่พระยะโฮวา, พระเจ้าของพวกข้าพเจ้า, ขอพระองค์ทรงโปรดช่วย, เพราะข้าพเจ้ายึดถือพระองค์เป็นที่พึ่ง, และได้ออกมาต่อสู้หมู่คณะใหญ่นี้ในพระนามของพระองค์.” พระยะโฮวาทรงตอบโดยให้ท่านชนะอย่างเด็ดขาด.—14:11.
17. อาซาได้รับการชูใจอย่างไรให้ปฏิรูปการนมัสการในยูดา แต่ท่านถูกตำหนิในเรื่องใด?
17 พระวิญญาณของพระเจ้าสวมทับอะซาระยาให้แจ้งแก่อาซาว่า “พระยะโฮวาทรงสถิตอยู่ฝ่ายพวกท่าน, เมื่อท่านอยู่ฝ่ายพระองค์; ถ้าพวกท่านแสวงหาพระองค์ ๆ จะทรงโปรดให้พวกท่านประสบ.” (15:2) โดยได้รับการชูใจมากมาย อาซาปฏิรูปการนมัสการในยูดา และประชาชนได้ทำสัญญาไมตรีว่า คนใดที่ไม่แสวงหาพระยะโฮวาจะต้องถูกลงโทษถึงตาย. อย่างไรก็ตาม เมื่อบาอะซากษัตริย์ยิศราเอลตั้งสิ่งกีดขวางไม่ให้ชาวยิศราเอลหลั่งไหลเข้าสู่ยูดา อาซาก็ได้ทำความผิดร้ายแรงโดยจ้างเบ็นฮะดัดกษัตริย์ซีเรียให้มารบกับยิศราเอลแทนที่จะแสวงหาความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา. ด้วยเหตุนี้พระยะโฮวาทรงตำหนิท่าน. แต่กระนั้น หัวใจของอาซา “ทรงซื่อสัตย์ตลอดเวลารัชกาลของท่าน.” (15:17) ท่านสิ้นชีวิตในปีที่ 41 แห่งการครองราชย์.
18. (ก) ยะโฮซาฟาดรณรงค์อย่างไรเพื่อการนมัสการแท้ และยังผลประการใด? (ข) เป็นไปอย่างไรที่การทำพันธไมตรีโดยการอภิเษกสมรสของท่านนำไปสู่วิบัติ?
18 การปกครองที่ดีของยะโฮซาฟาด (17:1–20:37). ยะโฮซาฟาดราชบุตรอาซาต่อสู้การนมัสการรูปเคารพต่อไปและเริ่มรณรงค์เป็นพิเศษด้านการศึกษา โดยให้มีผู้สอนเดินทางทั่วแว่นแคว้นยูดาเพื่อสอนประชาชนจากหนังสือพระบัญญัติของพระยะโฮวา. ยุคแห่งความเจริญมั่งคั่งและสันติสุขติดตามมา และยะโฮซาฟาด “ได้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้น.” (17:12) แต่ต่อมาท่านทำพันธไมตรีกับกษัตริย์อาฮาบผู้ชั่วช้าแห่งยิศราเอลโดยการอภิเษกสมรสและร่วมมือกับอาฮาบต่อสู้กับซีเรียที่มีอำนาจเข้มแข็งขึ้น โดยละเลยต่อคำเตือนจากมีคาผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวา และเกือบเอาชีวิตไม่รอดเมื่ออาฮาบถูกฆ่าในการรบที่ราโมธฆีละอาด. เยฮูผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวาตำหนิยะโฮซาฟาดที่ร่วมมือกับอาฮาบผู้ชั่วช้า. หลังจากนั้นยะโฮซาฟาดแต่งตั้งผู้วินิจฉัยทั่วดินแดนและสั่งพวกเขาให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเกรงกลัวพระเจ้า.
19. ในเหตุการณ์สำคัญสุดยอดแห่งการปกครองของยะโฮซาฟาด ปรากฏอย่างไรว่าการสงครามเป็นของพระเจ้า?
19 บัดนี้มาถึงเหตุการณ์สำคัญสุดยอดแห่งการครองราชย์ของยะโฮซาฟาด. กองทัพผสมของโมอาบ, อัมโมน, และแถบเขตภูเขาเซอีร ได้ยกมาต่อสู้ยูดาด้วยกำลังพลมากมาย. พวกเขายกกำลังผ่านถิ่นทุรกันดารเอนฆะดี. คนทั้งชาติต่างหวาดกลัว. ยะโฮซาฟาดและชาวยูดาทั้งปวงพร้อมกับ “ลูกเล็กเด็กน้อยกับภรรยา” ต่างยืนเฉพาะพระพักตร์พระยะโฮวาและแสวงหาพระองค์ด้วยคำอธิษฐาน. พระวิญญาณของพระยะโฮวาสวมทับยะฮะซีเอ็ลชาวเลวี ซึ่งกล่าวแก่ฝูงชนที่ชุมนุมนั้นว่า “ข้าแต่กษัตริย์ยะโฮซาฟาดกับชาวยูดา, และชาวกรุงยะรูซาเลมทั้งปวง, จงฟังเถิด, พระยะโฮวาทรงตรัสแก่ท่านทั้งหลายดังนี้ว่า, ‘อย่ากลัว, อย่าตกใจเพราะเหตุหมู่คนคณะใหญ่นั้น; เพราะการสู้รบครั้งนี้มิใช่พนักงานของพวกท่าน, แต่เป็นกิจธุระของพระเจ้า. พรุ่งนี้ท่านทั้งหลายจงลงไปหาพวกนั้น. . . . พระยะโฮวาจะทรงสถิตอยู่ด้วย.’” ชาวยูดาลุกขึ้นแต่เช้า เดินเป็นขบวนโดยมีนักร้องชาวเลวีนำหน้า. ยะโฮซาฟาดให้กำลังใจพวกเขาว่า “จงเชื่อพึ่งพระยะโฮวา . . . จงเชื่อผู้พยากรณ์ของพระองค์, พวกเจ้าจึงจะมีความเจริญ.” พวกนักร้องต่างร้องเพลงยกยอพระยะโฮวาด้วยความยินดี “เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์.” (20:13, 15-17, 20, 21) พระยะโฮวาทรงสำแดงความรักกรุณาของพระองค์ในแนวทางอัศจรรย์ โดยจัดให้มีการซุ่มโจมตีกองทัพที่รุกรานให้พวกเขาฆ่าฟันกันเอง. เมื่อมาถึงหอคอยในถิ่นทุรกันดาร ชาวยูดาที่ลิงโลดยินดีก็เห็นแต่ซากศพ. จริงทีเดียว การรบเป็นของพระเจ้า! ยะโฮซาฟาดดำเนินอย่างซื่อสัตย์เฉพาะพระพักตร์พระยะโฮวาเสมอไปจนสิ้นสุดการครองราชย์ 25 ปีของท่าน.
20. ความหายนะอะไรบ้างที่เกิดขึ้นในช่วงการปกครองของยะโฮราม?
20 การปกครองที่ชั่วร้ายของยะโฮราม, อาฮัศยา, และอะธัลยา (21:1–23:21). ยะโฮรามโอรสยะโฮซาฟาดเริ่มต้นอย่างเลวร้ายด้วยการฆ่าอนุชาของตนจนสิ้น. แต่พระยะโฮวาทรงไว้ชีวิตท่านเพราะเห็นแก่สัญญาไมตรีที่ทำกับดาวิด. อะโดมเริ่มกบฏ. เอลียาได้ส่งจดหมายจากที่ใดที่หนึ่งเตือนยะโฮรามว่าพระยะโฮวาจะบันดาลภัยใหญ่เหนือราชวงศ์ของท่านและตัวท่านเองจะตายอย่างน่าสยดสยอง. (21:12-15) จริงตามคำพยากรณ์ ชาวฟะลิศตีมและพวกอาหรับได้บุกปล้นกรุงยะรูซาเลม และกษัตริย์ตายเพราะโรคร้ายในลำไส้หลังจากการครองราชย์ได้ 8 ปี.
21. สิ่งเลวร้ายอะไรบ้างที่เป็นผลจากการยึดอำนาจของอะธัลยาในยูดา และยะโฮยาดาประสบความสำเร็จอย่างไรในการกู้บัลลังก์ของดาวิด?
21 อาฮัศยา (ยะโฮอาฮัศ) โอรสองค์เดียวที่รอดชีวิตของยะโฮรามได้ครองราชย์สืบต่อมา แต่ท่านได้รับอิทธิพลที่ไม่ดีจากมารดาคืออะธัลยาซึ่งเป็นธิดาของอาฮาบกับอีซาเบล. การครองราชย์ของท่านถูกทำให้ยุติลงหลังจากหนึ่งปีเนื่องจากเยฮูกวาดล้างราชวงศ์ของอาฮาบ. ตอนนี้อะธัลยาสังหารหลาน ๆ ของนางและยึดบัลลังก์. อย่างไรก็ตาม โอรสองค์หนึ่งของอาฮัศยารอดชีวิต. ท่านคือโยอาศ [ยะโฮอาศ] วัยหนึ่งขวบซึ่งถูกยะโฮเซบาผู้เป็นป้าลอบพาไปอยู่ในพระวิหารของพระยะโฮวา. อะธัลยาครองราชย์เป็นเวลา 6 ปี แล้วด้วยความกล้าหาญ ยะโฮยาดามหาปุโรหิตซึ่งเป็นสามีของยะโฮเซบาได้พาโยอาศผู้เยาว์วัยไปประกาศแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ในฐานะผู้หนึ่งแห่ง “พงศ์พันธุ์ดาวิด.” เมื่อมาถึงพระวิหารของพระยะโฮวา อะธัลยาได้ฉีกเสื้อผ้าของตนร้องว่า “กบฏ, กบฏ.” แต่ไม่เป็นผล. ยะโฮยาดาสั่งให้ลากนางออกจากพระวิหารและประหารเสีย.—23:3, 13-15.
22. เป็นไปอย่างไรที่การปกครองของโยอาศเริ่มต้นอย่างดี แต่จบลงอย่างเลวร้าย?
22 การครองราชย์ของโยอาศ, อามาซียา, และอุซียา ตอนต้นดีแต่ตอนปลายร้าย (24:1–26:23). โยอาศครองราชย์ 40 ปี และตราบที่ยะโฮยาดามีชีวิตอยู่และให้การชักจูงที่ดี ท่านก็ทำสิ่งที่ถูกต้อง. ท่านถึงกับเอาใจใส่และบูรณะพระวิหารของพระยะโฮวาด้วยซ้ำ. อย่างไรก็ตาม เมื่อยะโฮยาดาสิ้นชีพ โยอาศถูกพวกเจ้าชายแห่งยูดาชักนำให้หันเหจากการนมัสการพระยะโฮวาไปนมัสการเสาศักดิ์สิทธิ์และรูปเคารพ. เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้ากระตุ้นซะคาระยาบุตรยะโฮยาดาให้ว่ากล่าวกษัตริย์ โยอาศก็สั่งให้เอาหินขว้างผู้พยากรณ์คนนี้จนตาย. ไม่นานหลังจากนั้นกองทัพขนาดเล็กของซีเรียได้รุกราน และกองทัพยูดาที่ใหญ่กว่ามากไม่อาจขับไล่กองทัพซีเรียให้กลับไปได้เพราะพวกเขา “ได้ละทิ้งพระยะโฮวาพระเจ้าแห่งปู่ย่าตายาย.” (24:24) ตอนนี้มหาดเล็กของโยอาศคิดการร้ายและลอบสังหารท่าน.
23. อะมาซียาติดตามแบบอย่างความไม่ซื่อสัตย์อย่างไร?
23 อะมาซียาสืบตำแหน่งจากโยอาศราชบิดา. ท่านเริ่มต้นการครองราชย์ 29 ปีอย่างดี แต่ต่อมาไม่ได้รับความโปรดปรานจากพระยะโฮวาเพราะท่านตั้งและนมัสการรูปเคารพของชาวอะโดม. ผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวาเตือนท่านว่า “พระเจ้าทรงดำริจะประหารท่านเสีย.” (25:16) อย่างไรก็ตาม อะมาซียารู้สึกหยิ่งผยองและท้าทายยิศราเอลทางเหนือ. จริงตามพระคำของพระเจ้า ท่านประสบความพ่ายแพ้อย่างน่าอดสูแก่พวกยิศราเอล. หลังจากนั้นพวกกบฏได้คบคิดกันสังหารท่าน.
24. ความเข้มแข็งของอุซียากลายเป็นจุดอ่อนอย่างไร และยังผลประการใด?
24 อุซียาโอรสอะมาซียาติดตามแนวทางของราชบิดา. ท่านครองราชย์อย่างดีเกือบตลอด 52 ปี และมีชื่อเสียงว่าเป็นอัจฉริยะทางทหาร, เป็นผู้สร้างหอคอยหลายแห่ง, และ “โปรดในการทำนา.” (26:10) ท่านเตรียมกองทัพไว้พร้อมและทำให้มีเครื่องรบครบครัน. อย่างไรก็ตาม ความเข้มแข็งกลายเป็นจุดอ่อนของท่าน. ท่านกลายเป็นผู้หยิ่งทะนงและทึกทักเอาหน้าที่ของปุโรหิตในการถวายเครื่องหอมในพระวิหารของพระยะโฮวา. เพราะเหตุนี้พระยะโฮวาจึงทรงลงโทษท่านให้เป็นโรคเรื้อน. ผลก็คือ ท่านต้องอยู่ต่างหาก ห่างไกลจากพระวิหารของพระยะโฮวาและจากราชวัง ที่ซึ่งโยธามราชบุตรของท่านได้พิพากษาประชาชนแทนท่าน.
25. ทำไมโยธามจึงประสบผลสำเร็จ?
25 โยธามรับใช้พระยะโฮวา (27:1-9). ไม่เหมือนราชบิดา โยธาม “มิได้เข้าไป [“ล่วงล้ำ,” ล.ม.] ในโบสถ์วิหารของพระยะโฮวา.” แต่ “ท่านได้ประพฤติเป็นการชอบต่อพระเนตรพระยะโฮวา.” (27:2) ระหว่างการครองราชย์ 16 ปี ท่านทำการก่อสร้างมากมายและประสบผลสำเร็จในการปราบกบฏชาวอำโมน.
26. อาฮาศได้ถลำสู่ความชั่วช้าอะไรอย่างไม่เคยมีมาก่อน?
26 กษัตริย์อาฮาศผู้ชั่วช้า (28:1-27). อาฮาศราชบุตรโยธามปรากฏว่าเป็นหนึ่งในกษัตริย์ชั่วช้าที่สุด 21 องค์ของยูดา. ท่านดำเนินถึงขีดสุดด้วยการถวายบุตรชายของตนเป็นเครื่องบูชาเผาแก่พระนอกรีต. พระยะโฮวาจึงละทิ้งท่านให้แก่กองทัพซีเรีย, ยิศราเอล, อะโดม, และฟิลิสเตียตามลำดับ. ดังนั้น พระยะโฮวาทรงทำให้ยูดาอ่อนกำลังลงเพราะอาฮาศปล่อยให้ “เกิดกบฏในแผ่นดินยูดา, และได้ล่วงละเมิดเป็นการใหญ่ต่อพระยะโฮวา.” (28:19) เหตุการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น อาฮาศถวายบูชาแก่พระของซีเรียเพราะชาวซีเรียชนะท่านในการรบ. ท่านปิดประตูพระวิหารของพระยะโฮวาและเอาการนมัสการพระนอกรีตมาแทนการนมัสการพระยะโฮวา. ในไม่ช้า การครองราชย์ของอาฮาศสิ้นสุดหลังจาก 16 ปี.
27. ฮิศคียาสำแดงใจแรงกล้าต่อการนมัสการพระยะโฮวาอย่างไร?
27 กษัตริย์ฮิศคียาผู้ซื่อสัตย์ (29:1–32:33). ฮิศคียาโอรสอาฮาศครองราชย์ 29 ปีที่กรุงยะรูซาเลม. งานชิ้นแรกของท่านคือเปิดประตูพระวิหารของพระยะโฮวาอีกครั้งหนึ่งและทำการซ่อมแซม. จากนั้นท่านชุมนุมเหล่าปุโรหิตและพวกเลวีและบัญชาพวกเขาให้ชำระพระวิหารและทำให้บริสุทธิ์สำหรับการรับใช้พระยะโฮวา. ท่านประกาศว่าท่านต้องการจะทำสัญญาไมตรีกับพระยะโฮวาเพื่อจะให้พระพิโรธกล้าของพระองค์คลายลง. การนมัสการพระยะโฮวาได้รับการฟื้นฟูอย่างยิ่งใหญ่.
28. ฮิศคียาได้จัดงานเลี้ยงอะไรอย่างใหญ่โตในยะรูซาเลม และประชาชนแสดงความยินดีออกมาอย่างไร?
28 มีการวางแผนจัดปัศคาอย่างใหญ่โต แต่เนื่องจากไม่มีเวลาเตรียมในเดือนแรก จึงได้อาศัยการจัดเตรียมตามพระบัญญัติ และมีการฉลองปัศคาในเดือนที่สองของปีแรกแห่งการครองราชย์ของฮิศคียา. (2 โคร. 30:2, 3; อาฤ. 9:10, 11) กษัตริย์ไม่เพียงเชิญพวกยูดาทั้งสิ้นให้เข้าร่วมเท่านั้น แต่เชิญพวกยิศราเอลด้วย และในขณะที่บางคนจากเอฟรายิม, มะนาเซ, และซะบูโลนเยาะเย้ยการเชิญนั้น คนอื่น ๆ ถ่อมใจและมายังยะรูซาเลมพร้อมกับชาวยูดาทั้งปวง. หลังจากปัศคาแล้วก็ได้มีเทศกาลขนมปังไม่มีเชื้อ. นับเป็นการเลี้ยงเจ็ดวันที่น่ายินดีจริง ๆ! ช่างเป็นการเสริมสร้างอย่างแท้จริงจนพวกเขายืดการเลี้ยงออกไปอีกเจ็ดวัน. มีความ “โสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่ง: ด้วยตั้งแต่แผ่นดินซะโลโมราชบุตรของดาวิดกษัตริย์ยิศราเอลยังไม่เคยมีการเช่นนี้ที่กรุงยะรูซาเลม.” (2 โคร. 30:26) ต่อจากนั้นประชาชนที่ได้รับการฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณพากันรณรงค์กวาดล้างการไหว้รูปเคารพทั้งในยูดาและยิศราเอล ขณะที่ฮิศคียาเองได้ฟื้นฟูการบริจาคด้านวัตถุสำหรับพวกเลวีและการรับใช้ที่พระวิหาร.
29. พระยะโฮวาได้ประทานบำเหน็จแก่ความไว้วางใจเต็มเปี่ยมที่ฮิศคียามีในพระองค์อย่างไร?
29 ต่อมาซันเฮริบกษัตริย์อัสซีเรียรุกรานยูดาและคุกคามยะรูซาเลม. ฮิศคียาซ่อมแซมแนวป้องกันเมืองและต่อต้านการเยาะเย้ยของศัตรูด้วยใจกล้า. โดยมอบความไว้วางใจทั้งสิ้นในพระยะโฮวา ท่านอธิษฐานขอความช่วยเหลือเสมอ. พระยะโฮวาทรงตอบคำอธิษฐานด้วยความเชื่อนี้อย่างน่าทึ่ง. พระองค์ “ทรงใช้ทูตองค์หนึ่งให้ทรงล้างผลาญทหารเข้มแข็งกับนายหมวดนายกองในกองทัพกษัตริย์อาซูเรีย.” (32:21) ซันเฮริบกลับไปด้วยความอับอาย. แม้พระของท่านก็ไม่อาจช่วยท่านรักษาหน้าไว้ได้ เพราะต่อมาซันเฮริบถูกราชบุตรของตนเองฆ่าที่แท่นบูชาของพวกเขา. (2 กษัต. 19:7) พระยะโฮวาทรงยืดชีวิตฮิศคียาอย่างอัศจรรย์ และท่านได้รับความมั่งคั่งและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ ชาวยูดาทั้งปวงได้จัดงานศพของท่านอย่างสมเกียรติ.
30. (ก) มะนาเซได้หันไปสู่ความชั่วช้าประการใด และเกิดอะไรขึ้นหลังจากท่านกลับใจ? (ข) เกิดอะไรขึ้นในการปกครองช่วงสั้น ๆ ของอาโมน?
30 มะนาเซและอาโมน [เอโมน] ปกครองอย่างชั่วร้าย (33:1-25). มะนาเซโอรสของฮิศคียาหันกลับสู่แนวทางชั่วช้าของอาฮาศพระอัยกา รื้อทำลายการดีทั้งปวงที่ได้ทำกันระหว่างรัชกาลของฮิศคียา. ท่านสร้างที่สูง, ตั้งเสาศักดิ์สิทธิ์, และกระทั่งเผาบุตรของตนแก่พระเท็จ. ในที่สุดพระยะโฮวานำกษัตริย์อัสซีเรียมาต่อสู้ยูดาและมะนาเซถูกจับไปเป็นเชลยที่บาบูโลน. ที่นั่นท่านกลับใจจากการผิดของตน. เมื่อพระยะโฮวาทรงสำแดงพระเมตตาโดยนำท่านกลับสู่ฐานะกษัตริย์ ท่านก็พยายามถอนรากการนมัสการผีปิศาจและฟื้นฟูศาสนาแท้. อย่างไรก็ตาม เมื่อมะนาเซสิ้นชีพหลังจากปกครองนาน 55 ปี อาโมนราชบุตรได้ขึ้นครองบัลลังก์และส่งเสริมการนมัสการเท็จอย่างชั่วช้าอีก. หลังจากสองปีพวกข้าราชการได้สังหารท่าน.
31. สิ่งเด่น ๆ ในช่วงการปกครองที่กล้าหาญของโยซียามีอะไรบ้าง?
31 การครองราชย์อย่างกล้าหาญของโยซียา (34:1–35:27). โยซียาราชโอรสผู้เยาว์วัยของอาโมนพยายามด้วยความกล้าหาญเพื่อจะฟื้นฟูการนมัสการแท้. ท่านรื้อทำลายแท่นของบาละและรูปแกะสลัก รวมทั้งซ่อมแซมพระวิหารของพระยะโฮวา ซึ่งได้พบ “หนังสือพระบัญญัติของพระยะโฮวาซึ่ง (ประกาศ) โดยโมเซ” ที่นั่น ซึ่งคงเป็นฉบับเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย. (34:14) กระนั้น โยซียาผู้ชอบธรรมได้รับแจ้งว่าจะเกิดวิบัติแก่แผ่นดินนี้เนื่องด้วยความไม่สัตย์ซื่อที่เกิดขึ้นก่อนนั้น แต่ไม่ใช่ในสมัยของท่าน. ในปีที่ 18 แห่งการครองราชย์ ท่านได้จัดการฉลองปัศคาอย่างใหญ่โต. หลังจากปกครองได้ 31 ปี โยซียาพบวาระสุดท้ายในการพยายามอย่างไร้ผลเพื่อขัดขวางกองทัพอียิปต์ไม่ให้ข้ามดินแดนไปยังยูเฟรทิส.
32. กษัตริย์สี่องค์สุดท้ายนำยูดาสู่จุดจบด้วยความหายนะอย่างไร?
32 ยะโฮอาฮัศ, ยะโฮยาคิม, ยะโฮยาคิน, ซิดคียา, และความร้างเปล่าของยะรูซาเลม (36:1-23). ความชั่วช้าของกษัตริย์ยูดาสี่องค์สุดท้ายนำชาติไปสู่จุดจบด้วยความหายนะอย่างรวดเร็ว. ยะโฮอาฮัศโอรสโยซียาปกครองได้เพียงสามเดือนก็ถูกปลดโดยฟาโรห์นะโคแห่งอียิปต์. เอ็ลยาคิมอนุชาได้ครองแทนและถูกเปลี่ยนชื่อเป็นยะโฮยาคิมซึ่งในช่วงการปกครองของท่าน ยูดาตกอยู่ใต้มหาอำนาจใหม่คือบาบูโลน. (2 กษัต. 24:1) เมื่อยะโฮยาคิมกบฏ นะบูคัดเนซัรจึงยกมายังยะรูซาเลมเพื่อลงโทษท่านในปี 618 ก.ส.ศ. แต่ยะโฮยาคิมสิ้นชีพในปีเดียวกันนี้หลังจากครองราชย์ได้ 11 ปี. โอรสวัย 18 ปีของท่านคือยะโฮยาคินได้ขึ้นครองแทน. หลังจากปกครองแค่ไม่ถึงสามเดือน ยะโฮยาคินก็ได้ยอมแพ้ต่อนะบูคัดเนซัรและถูกนำไปเป็นเชลยที่บาบูโลน. บัดนี้ นะบูคัดเนซัรได้ตั้งโอรสองค์ที่สามของโยซียาคือซิดคียาซึ่งเป็นพระปิตุลาของยะโฮยาคินขึ้นครองบัลลังก์. ซิดคียาปกครองอย่างชั่วร้ายเป็นเวลา 11 ปี ไม่ยอม “ถ่อมพระทัยลงต่อยิระมะยาผู้กล่าวคำพยากรณ์ซึ่งมาจากพระโอษฐ์พระยะโฮวา.” (2 โคร. 36:12) ปุโรหิตและประชาชนด้วยได้ทำให้พระวิหารของพระยะโฮวาเป็นมลทินโดยการประพฤติไม่ซื่อสัตย์กันยกใหญ่.
33. (ก) ความร้างเปล่า 70 ปีเริ่มขึ้นอย่างไร “เพื่อคำที่พระยะโฮวาทรงตรัสไว้. . . จะได้สำเร็จ”? (ข) กฤษฎีกาอะไรอันเป็นประวัติการณ์ที่บันทึกไว้ในสองข้อสุดท้ายของโครนิกาฉบับสอง?
33 ในที่สุด ซิดคียากบฏต่อแอกของบาบูโลน และครั้งนี้นะบูคัดเนซัรไม่แสดงความเมตตา. ความพิโรธของพระยะโฮวาถึงขีดสุด และไม่มีทางทำให้หาย. ยะรูซาเลมแตก พระวิหารถูกบุกรุกและเผา อีกทั้งผู้รอดตายจากการล้อม 18 เดือนก็ถูกพาไปเป็นเชลยยังบาบูโลน. ยูดาถูกทิ้งให้ร้างเปล่า. ดังนั้น ในปี 607 ก.ส.ศ. นี้เอง ความร้างเปล่าจึงเริ่มต้น “เพื่อคำที่พระยะโฮวาทรงตรัสไว้โดยปากของยิระมายานั้นจะได้สำเร็จ . . . จนถึงครบเจ็ดสิบปี.” (36:21) ผู้เขียนโครนิกาจึงรวบรัดช่วงเวลาเกือบ 70 ปีนี้เพื่อบันทึกในสองข้อสุดท้ายเกี่ยวกับราชโองการอันเป็นประวัติการณ์ของไซรัสในปี 537 ก.ส.ศ. เชลยชาวยิวจะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ! ยะรูซาเลมจะต้องตั้งขึ้นอีกครั้ง!
เหตุที่เป็นประโยชน์
34. เรื่องราวที่เอษราคัดเลือกได้เน้นอะไร และสิ่งนี้เป็นประโยชน์แก่ชาติยิศราเอลอย่างไร?
34 โครนิกาฉบับสองเพิ่มพยานหลักฐานอันหนักแน่นแก่พยานผู้รู้เห็นคนอื่น ๆ เกี่ยวข้องกับระยะเวลาที่เต็มด้วยเหตุการณ์สำคัญนี้ คือช่วงปี 1037-537 ก.ส.ศ. นอกจากนั้น พระธรรมนี้ยังให้ข้อมูลเสริมอันทรงค่าที่ไม่มีในบันทึกทางประวัติศาสตร์อื่น ๆ ในสารบบ ตัวอย่างเช่น ที่โครนิกาฉบับสองบท 19, 20 และ 29 ถึง 31. เรื่องราวที่เอษราคัดเลือกนั้นเน้นองค์ประกอบพื้นฐานและถาวรแห่งประวัติศาสตร์ของชาติยิศราเอล เช่น คณะปุโรหิตและหน้าที่ของปุโรหิต, พระวิหาร, และสัญญาไมตรีเรื่องราชอาณาจักร. เรื่องเหล่านี้เป็นประโยชน์ในการยึดชาตินี้ไว้ด้วยกันในความหวังเรื่องพระมาซีฮาและราชอาณาจักรของพระองค์.
35. เรื่องสำคัญอะไรบ้างที่ได้รับการพิสูจน์ในข้อท้าย ๆ ของโครนิกาฉบับสอง?
35 ข้อท้าย ๆ ของโครนิกาฉบับสอง (36:17-23) ให้ข้อพิสูจน์แน่ชัดถึงความสำเร็จเป็นจริงของยิระมะยา 25:12 และนอกจากนั้น ยังแสดงว่า 70 ปีเต็ม จะต้องนับตั้งแต่ความร้างเปล่าอย่างสิ้นเชิงของแผ่นดินไปจนถึงการฟื้นฟูการนมัสการพระยะโฮวาที่ยะรูซาเลมในปี 537 ก.ส.ศ. ความร้างเปล่านี้จึงเริ่มในปี 607 ก.ส.ศ.c—ยิระ. 29:10; 2 กษัต. 25:1-26; เอษรา 3:1-6.
36. (ก) โครนิกาฉบับสองมีคำเตือนสติอันทรงพลังอะไร? (ข) พระธรรมนี้เสริมความคาดหวังในเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าให้เข้มแข็งขึ้นอย่างไร?
36 โครนิกาฉบับสองมีคำเตือนสติอันทรงพลังสำหรับผู้ที่ดำเนินในความเชื่อแบบคริสเตียน. กษัตริย์ยูดาหลายองค์เริ่มต้นอย่างดีแต่แล้วก็ถลำเข้าสู่ทางชั่ว. บันทึกทางประวัติศาสตร์นี้แสดงให้เห็นอย่างทรงพลังจริง ๆ ว่า ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า! ฉะนั้น เราจึงควรได้รับคำเตือนเพื่อจะไม่เป็น “คนชนิดที่ถอยกลับไปสู่ความพินาศ แต่เป็นชนิดที่มีความเชื่อที่จะรักษาจิตวิญญาณให้มีชีวิตอยู่.” (เฮ็บ. 10:39, ล.ม.) แม้แต่กษัตริย์ฮิศคียาผู้ซื่อสัตย์ยังกลายเป็นคนหยิ่งทะนงเมื่อหายจากประชวร และเพียงเพราะท่านถ่อมใจอย่างรวดเร็วเท่านั้นจึงสามารถพ้นจากพระพิโรธของพระยะโฮวา. โครนิกาฉบับสองทำให้เห็นชัดขึ้นอีกถึงคุณลักษณะอันยอดเยี่ยมของพระยะโฮวา และยกย่องพระนามและพระบรมเดชานุภาพของพระองค์. ประวัติศาสตร์ทั้งหมดได้รับการเสนอจากแง่คิดแห่งความเลื่อมใสโดยเฉพาะต่อพระยะโฮวา. ขณะเดียวกับที่เน้นเรื่องราชวงศ์ยูดา พระธรรมนี้ยังเสริมความเข้มแข็งแก่ความคาดหวังของเราในเรื่องการจะได้เห็นการนมัสการบริสุทธิ์ได้รับการยกย่องภายใต้ราชอาณาจักรถาวรของพระเยซูคริสต์ “ราชบุตรของดาวิด” ผู้ภักดี.—มัด. 1:1, ล.ม.; กิจ. 15:16, 17.
[เชิงอรรถ]
a การหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 1 หน้า 147.
b การหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 1 หน้า 750-751; เล่ม 2 หน้า 1076-1078.
c การหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ เล่ม 1 หน้า 463; เล่ม 2 หน้า 326.