หนุ่มสาวถามว่า . . .
ฉันจะเลิกการดำเนินชีวิตแบบตีสองหน้าได้อย่างไร?
“ฉันทำหูทวนลมต่อทุกสิ่งที่พ่อแม่พูด” แอนสารภาพ.a “ฉันดื้อแพ่งและเริ่มโกหกท่าน. ฉันจะบอกท่านว่าไปช็อปปิ้ง แต่ที่แท้ไปหาเพื่อนชาย.”
แอนดำเนินชีวิตแบบตีสองหน้า และในไม่ช้าเธอไม่เพียงเพิกเฉยต่อคุณพ่อคุณแม่ของเธอเท่านั้นแต่ยังไม่นำพาต่อสติรู้สึกผิดชอบที่ได้รับการอบรมตามหลักคัมภีร์ไบเบิลของเธออีกด้วย. แอนได้ลักลอบมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนชายของเธอ. เธอหวนระลึกว่า “ดิฉันพยายามผลักดันพระยะโฮวาให้ออกไปจากความคิดทั้งสิ้นของดิฉัน.” อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าเธอก็เผชิญกับความเป็นจริงอันเจ็บปวดอย่างหนีไม่พ้นที่ว่า ‘ไม่ว่าผู้คนจะหว่านสิ่งใดลง, เขาก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้นด้วย.’ (ฆะลาเตีย 6:7) แอนตั้งครรภ์. เธอกล่าวว่า “ดิฉันรักลูกสุดหัวใจ แต่ไม่น่าเลยที่ใคร ๆ ต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้. ยังไม่สมรส. อยู่อย่างเดียวดาย.”
คุณล่ะ ติดกับดักการดำเนินชีวิตแบบตีสองหน้าในทางใดทางหนึ่งไหม—โดยการปิดบังสภาพแท้จริงของคุณไว้จากคุณพ่อคุณแม่และเพื่อน ๆ คริสเตียน? บางทีเพียงเตร็ดเตร่กับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนซึ่งคุณรู้ว่าเป็นคนที่พ่อแม่ของคุณไม่เห็นด้วย. หรือบางทีคุณได้ตกเข้าสู่การประพฤติผิดที่ร้ายแรงกว่า เช่น การสูบบุหรี่, การใช้แอลกอฮอล์ในทางผิด, หรือการมีเพศสัมพันธ์ก่อนสมรส. จะเป็นกรณีไหนก็ตาม ไม่ช้าก็เร็วผลอันเลวร้ายจะต้องติดตามมาดังกรณีของแอน.b
ถึงกระนั้น เยาวชนบางคนก็ไม่ปล่อยให้ข้อเท็จจริงนี้ยับยั้งเขาไว้จากแนวทางอันดื้อดึงของตน. พวกเขาเป็นเสมือนคนที่ดูตัวเองในกระจกและ “ประเดี๋ยวก็ลืมว่าตัวเป็นอย่างไร.” (ยาโกโบ 1:23, 24) เราหวังว่าคุณจะไม่เป็นคนประเภทนั้น. บางทีคุณได้เริ่มสำรวจตัวเองอย่างถี่ถ้วนมาแล้ว—และไม่ชอบสิ่งที่ได้พบ. คุณต้องการเปลี่ยนแปลง. คุณเห็นความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยน. คำถามคือว่า คุณจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร?
การกลับใจ—ขั้นตอนแรก
ประการแรก คุณจะต้องทำการ ตัดสินใจ อย่างมีสติรู้สำนึกว่าจะเปลี่ยนแปลง. กิจการ 3:19 (ล.ม.) กระตุ้นเตือนว่า “เพราะฉะนั้น จงกลับใจ และหันกลับเพื่อบาปของท่านทั้งหลายจะถูกปลดเปลื้อง เพื่อฤดูแห่งความสดชื่นจะมาจากพระพักตร์ของพระยะโฮวา” อย่างไรก็ตาม การกลับใจไม่ใช่แค่การกระทำทางปัญญาเท่านั้น. การกลับใจหมายถึง “การรู้สึกเสียใจ, สำนึกผิด, หรือระอายใจต่อสิ่งที่ตนได้ทำไป.” ยาโกโบผู้จารึกคัมภีร์ไบเบิลเตือนว่า “จงเปิดทางให้กับความทุกขเวทนาและจงเศร้าโศกและร้องไห้. จงให้การหัวเราะของท่านทั้งหลายกลับกลายเป็นการเศร้าโศก และความยินดีของท่านทั้งหลายจงให้กลับกลายเป็นความเศร้าสลด. จงถ่อมตัวลงในสายพระเนตรของพระยะโฮวา แล้วพระองค์จะทรงยกชูท่านทั้งหลายขึ้น.” (ยาโกโบ 4:9, 10, ล.ม.) คุณจะรู้สึกเป็นทุกข์ต่อสิ่งซึ่งคุณชื่นชมมาถึงปัจจุบันได้อย่างไร? ก็ให้คิดว่าสิ่งนั้นผิดสักเพียงไร. คิดถึงข้อที่ว่ามันทำให้พระเจ้าเสียพระทัยแค่ไหน. คิดถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณเนื่องจากแนวทางแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ และคำโกหกต่าง ๆ ที่คุณต้องพูดเพื่อจะอำพรางเรื่อง. จงเตือนตัวเองว่าพระเจ้าทรงเกลียดชังการปฏิบัติตนแบบตลบตะแลง! (เพลงสรรเสริญ 5:6) การคิดรำพึงถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้สามารถช่วยคุณให้ปฏิเสธการประพฤติผิดซึ่งเป็นการปฏิเสธทั้งทางปัญญาและอารมณ์.
กระนั้น แค่การรู้สึกเป็นทุกข์เนื่องจากสิ่งที่คุณกำลังกระทำอยู่นั้นยังไม่พอ. ชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อโรเบิร์ต ซึ่งเข้าไปพัวพันกับการใช้ยาเสพย์ติดแบบลับ ๆ ยอมรับว่า “ผมรู้สึกเป็นทุกข์. ผมรู้ว่าอะไรควรและอะไรไม่ควร. กระนั้นผมก็ยังดำเนินชีวิตแบบตีสองหน้าต่อไป.” ฉะนั้นจำเป็นต้องมีการลงมือปฏิบัติอย่างกล้าหาญ! ที่ 2 โครนิกา 7:14 พระเจ้าทรงตรัสว่า หากคนบาป “จะถ่อมใจลงอธิษฐานแสวงหา [พระพักตร์ของ, ล.ม.] เรา และจะกลับเสียจากทางชั่วของตน เมื่อนั้นเราจะสดับฟังจากสวรรค์ยกบาปผิดของเขา.”
‘การแสวงหาพระพักตร์ของพระเจ้า’ หมายถึงการเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยคำอธิษฐาน สารภาพความผิดของคุณและอ้อนวอนขอการอภัยโทษ. สิ่งนี้อาจไม่ง่าย แต่ไม่ต้องสงสัยคุณจะรู้สึกโล่งอกอย่างยิ่งเมื่อได้กระทำเช่นนั้น. ผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญกล่าวว่า “ครั้นข้าพเจ้านิ่งอยู่ กระดูกก็เหี่ยวแห้งไปโดยข้าพเจ้าครางอยู่ตลอดวัน. พระหัตถ์ของพระองค์ทรงพาดลงถ่วงข้าพเจ้าทั้งกลางวันกลางคืน . . . บาปของข้าพเจ้า ๆ ทูลรับสารภาพต่อพระองค์ และไม่ได้ปิดบังซ่อนการอสัตย์อธรรมของข้าพเจ้าไว้.”—บทเพลงสรรเสริญ 32:3–5.
การบอกบิดามารดา
จำต้องมีใครคนหนึ่งรับทราบปัญหาต่าง ๆ ของคุณ. แต่ใครล่ะ? เยาวชนคนหนึ่งชื่อไบรอันสารภาพว่า “ข้อผิดพลาดประการหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดซึ่งผมได้กระทำไปก็คือการปรึกษาปัญหาต่าง ๆ กับพวกที่เรียกกันว่าเพื่อนแทนที่จะปรึกษากับคุณแม่ที่เป็นคริสเตียน. แต่ผมไม่กล้าคุยกับท่านเนื่องจากคิดเอาเองว่าท่านคงมีปฏิกิริยาบางอย่าง ดังนั้น ผมจึงหันเข้าหาเพื่อน ๆ ซึ่งมีแต่ชักพาให้เหินห่างความจริงออกไปเรื่อย ๆ.” อย่าทำผิดแบบเดียวกันนี้. จงมอบหัวใจของคุณแก่บิดามารดาผู้เลื่อมใสพระเจ้า. (เทียบกับสุภาษิต 23:26.) ท่านมีสิทธิที่จะทราบว่าคุณได้ทำอะไรลงไป. หนังสือ ปัญหาต่าง ๆ ที่หนุ่มสาวถาม—คำตอบที่ใช้การได้ (ภาษาอังกฤษ) ในบทที่ 2 มีข้อเสนอแนะหลายประการเกี่ยวด้วยวิธีที่คุณจะเข้าหาคุณพ่อคุณแม่ของคุณได้ในเรื่องนี้.c
เป็นธรรมดา ท่านจะไม่พอใจแน่ ๆ ที่คุณได้โกหกท่าน. แต่บิดามารดามีความรู้สึกรักใคร่แนบแน่นอย่างไม่เปลี่ยนแปลงต่อลูก ๆ ของพวกเขา. นักเขียนชื่อเคลย์ตัน บาร์โบว ให้ข้อสังเกตว่า “ใช่ว่าพวกท่านจะตัดพ่อตัดลูกกับคุณเพราะคุณผิดพลาดหรือเข้าไปพัวพันกับความยุ่งยากบางอย่าง. ลูกบางคนตั้งครรภ์ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ติดสุราหรือยาเสพย์ติดหรือมีปัญหาอื่น ๆ และคาดการณ์ว่าพ่อแม่ของพวกเขาคงต้องตกใจสุดขีดและแสดงความไม่พอใจ ระเบิดบ้านทิ้งและย้ายไปอยู่รัฐอื่น. แต่เมื่อพวกเขาบอกพ่อแม่ให้รู้ พวกเขากลับพบว่าได้รับการกอดหรือโอบไหล่และท่านบอกว่า ‘ลูกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่จริง ๆ และเราลองมาดูซิว่าจะช่วยลูกพ้นสภาพนี้ได้อย่างไร.’” ถูกแล้ว เมื่อความรู้สึกตกใจและความโกรธที่มีในตอนแรกจางหายไป บิดามารดาส่วนใหญ่พยายามจะช่วยเหลือเกื้อหนุน. ข้อนี้จะเป็นความจริงยิ่งขึ้นสักเพียงไรเมื่อบิดามารดาเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้า! ความห่วงใยประการแรกของพวกเขาควรจะเป็นเพื่อจัดเรื่องราวต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ไม่ใช่เพื่อให้คุณได้รับความอับอายหรือเพื่อให้คุณรับความเจ็บแสบ. (เทียบกับยะซายา 1:18.) เกี่ยวด้วยเรื่องนี้ท่านอาจจัดให้คุณพูดคุยกับพวกผู้ปกครองในประชาคมอีกด้วย.—ยาโกโบ 5:14, 15.
จริงอยู่ คุณจำต้องอดทนต่อการถูกลงโทษซึ่งคุณสมควรได้รับจากพ่อแม่และบางทีอาจมีการวางข้อจำกัดเข้มงวดมากขึ้นในบางเรื่อง. แต่สิ่งนี้อาจจะช่วยคุณอย่างแท้จริงไม่ให้กลับไปประพฤติตัวเช่นเดิมอีก. นอกจากนี้ การที่คุณสนทนาเรื่องราว ๆ ต่าง ๆ กับคุณพ่อคุณแม่และได้เห็นการห่วงใยด้วยความรักของท่านอาจเปลี่ยนความรู้สึกที่คุณมีต่อท่านก็เป็นได้. จนถึงบัดนี้ อาจเป็นได้ว่าคุณไม่พอใจต่อกฎและข้อจำกัดที่มาจากท่าน. เด็กสาวคนหนึ่งชื่อพอลเล็ตยอมรับว่า “มันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับคำแนะนำและการชี้แนะที่บิดามารดาให้กับเรา. แต่มาบัดนี้ดิฉันตระหนักแล้วว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขถาวรของเราเอง.”
เปลี่ยนการคบหาสมาคมของคุณ
มีเยาวชนน้อยคนนักที่สมัครใจรับเอาชีวิตแบบตีสองหน้าด้วยตนเอง. คุณอาจถึงกับมีกลุ่มเพื่อนฝูงวัยเดียวกันคอยเป็นกองเชียร์ให้ทำการแข็งข้อขัดขืน! เพื่อที่คุณจะหลีกเลี่ยงการกลับไปดำเนินชีวิตแบบซ่อนเร้นอีก คุณจะต้องเปลี่ยนการคบหาสมาคม. ผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้เคยนั่งร่วมกับผู้พูดมุสา และจะไม่สมาคมกับคนทำกลมารยา.” (บทเพลงสรรเสริญ 26:4) การเลิกคบหากับเพื่อนเก่า ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย. คุณอาจต้องอธิษฐานเช่นเดียวกับผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญที่ว่า “ขอพระองค์ . . . ทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากคนมารยาและคนอสัตย์อธรรม.” (บทเพลงสรรเสริญ 43:1) จงปฏิบัติให้ประสานกับคำอธิษฐานนี้โดยบอกพวกเพื่อนที่คุณเคยคบหาแต่ก่อน ๆ ว่าคุณได้ทำการเปลี่ยนแปลงแล้วและมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำสิ่งถูกต้อง. แทนที่จะเป็นสาวกของพระเยซูแบบปกปิดซ่อนเร้น จงเล่าให้คนอื่น ๆ ฟังเรื่องความเชื่อของคุณ. (เทียบกับโยฮัน 19:38.) ตามปกติแล้ว เพื่อน ๆ ที่ไม่ดีจะรีบเสาะหาคนอื่นมาเป็นเพื่อนต่อไป.
จากนั้น คุณต้องทดแทนการคบหาสมาคมที่ไม่ดีโดยการมีเพื่อนที่ดีงาม. เยาวชนที่เกรงกลัวพระเจ้า ขาดแคลนกระนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้น จงระลึกถึงท่านยิระมะยาซึ่งกล่าวว่า “ข้าพเจ้าหาได้นั่งลงในที่ชุมนุมของจำพวกเยาะเย้ยไม่ แลข้าพเจ้าไม่ยินดีด้วยเขา. ข้าพเจ้าได้นั่งลงอยู่คนเดียว เพราะพระหัตถ์ของพระองค์.” (ยิระมะยา 15:17) คงเป็นการดีกว่าที่คุณจะอยู่คนเดียวแทนที่จะข้องแวะกับพวกเยาวชนซึ่งมีแต่จะฉุดคุณให้ตกต่ำฝ่ายวิญญาณ. กระนั้น ตามปกติแล้วหากคุณออกความพยายามคุณก็จะพบเพื่อนแท้. ดูแทมมีเป็นตัวอย่าง เธอเริ่มคบหากับลูกพี่ลูกน้องของเธอซึ่งเป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลา. “เราสนิทสนมกันมาก” แทมมีหวนรำลึก. “วันไหนที่ฉันไม่ได้ไปโรงเรียน ฉันก็จะออกไปในงานเผยแพร่กับเธอ. สิ่งนี้ได้ช่วยฉันเปลี่ยนแปลงชีวิต.”
เยาวชนชาวเยอรมันคนหนึ่งกล่าวว่า แต่ “เครื่องป้องกันเยี่ยมที่สุดคือการมีสติรู้สึกผิดชอบที่ดี ซึ่งเป็นผลจากการมีสัมพันธภาพใกล้ชิดกับพระยะโฮวาเจ้า.” หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งตกเข้าสู่การดำเนินชีวิตแบบตีสองหน้ายอมรับว่า “ดิฉันไม่เคยพัฒนาสัมพันธภาพอันใกล้ชิดกับพระยะโฮวาพระบิดาของดิฉัน.” โดยการอธิษฐานและการศึกษาส่วนตัว เธอเริ่มทำการเปลี่ยนแปลง. “บัดนี้ดิฉันมีสัมพันธภาพกับพระยะโฮวาอย่างที่ไม่มีใครอาจชิงเอาไปได้” เธอกล่าวอย่างภูมิใจ. คุณก็เช่นกันสามารถมีมิตรภาพอันใกล้ชิดแบบนั้นกับพระเจ้าได้. พระองค์จะทรงนำและหนุนหลังคุณ แม้ในยามที่คุณรู้สึกว่าการเปลี่ยนจากแนวทางเก่าเป็นเรื่องยาก. บทเพลงสรรเสริญ 37:24 กล่าวถึงผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้าว่า “ส่วนผู้นั้นแม้ว่าพลาดลง ก็จะไม่ถึงแก่ล้มทีเดียว; เพราะพระยะโฮวาทรงพยุงเขาไว้ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์.” ใช่แล้ว ด้วยความช่วยเหลือของพระยะโฮวาคุณสามารถเลิกการดำเนินชีวิตแบบตีสองหน้าได้.
[เชิงอรรถ]
a บางชื่อได้รับการเปลี่ยน.
b ดูบทความ “หนุ่มสาวถามว่า . . . ” ในอะเวก! ฉบับ 22 ธันวาคม 1993 และตื่นเถิด! 8 มกราคม 1994.
c จัดพิมพ์โดย สมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ ออฟ นิวยอร์ก
[จุดเด่นหน้า 15]
“ดิฉันพยายามผลักดันพระยะโฮวาให้ออกไปจากความคิดทั้งสิ้นของดิฉัน”
[จุดเด่นหน้า 15]
คุณจะต้องทำการตัดสินใจอย่างมีสติรู้สำนึกว่าจะเปลี่ยนแปลง
[รูปภาพหน้า 16]
อธิบายให้เพื่อนเก่า ๆ ฟังว่าคุณได้ทำการเปลี่ยนแปลงแล้ว และจะไม่เข้าร่วมกับพวกเขาอีกในการกระทำผิด