พระธรรมเล่มที่ 20—สุภาษิต
ผู้กล่าว: ซะโลโม, อาฆูร, ละมูเอล
สถานที่เขียน: ยะรูซาเลม
เขียนเสร็จ: ประมาณปี 717 ก.ส.ศ.
1. จะพบสติปัญญาเช่นไรในพระธรรมสุภาษิต?
เมื่อซะโลโมราชบุตรดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งยิศราเอลในปี 1037 ก.ส.ศ. ท่านทูลอธิษฐานขอ “สติปัญญาและความรู้” จากพระยะโฮวา เพื่อ “ครอบครองพลไพร่พวกใหญ่” นี้. พระยะโฮวาทรงตอบด้วยการประทานให้ท่านมี ‘ความรู้และสติปัญญาและหัวใจที่ประกอบด้วยความเข้าใจ.’ (2 โคร. 1:10-12; 1 กษัต. 3:12; 4:30, 31) ด้วยเหตุนั้น ซะโลโมจึงได้ “ตรัสสุภาษิตสามพันข้อ.” (1 กษัต. 4:32, ฉบับแปลใหม่) ถ้อยคำแห่งสติปัญญานี้บางส่วนถูกบันทึกไว้ในพระธรรมสุภาษิต. เนื่องจากจริง ๆ แล้ว สติปัญญาของท่านนั้น “พระเจ้าได้ทรงบันดาลให้มีในพระทัยของพระองค์” ฉะนั้น เมื่อเราศึกษาพระธรรมสุภาษิต จริง ๆ แล้วเรากำลังศึกษาพระสติปัญญาของพระยะโฮวาพระเจ้า. (1 กษัต. 10:23, 24) สุภาษิตเหล่านี้สรุปสัจธรรมที่ยั่งยืนนิรันดร์. สัจธรรมเหล่านั้นทันกับสมัยนี้เช่นเดียวกับที่ทันกับสมัยที่มีการกล่าวในครั้งแรก.
2. เหตุใดยุคของซะโลโมจึงเหมาะแก่การให้คำชี้แนะที่มาจากพระเจ้าในพระธรรมสุภาษิต?
2 รัชกาลของซะโลโมเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการจัดให้มีคำชี้นำจากพระเจ้าเช่นนี้. กล่าวกันว่าซะโลโม “นั่งบนพระที่นั่งของพระยะโฮวา.” อาณาจักรยิศราเอลตามระบอบของพระเจ้าอยู่ในช่วงรุ่งเรืองสุดยอด และซะโลโมได้รับความโปรดปรานด้วย “เกียรติยศ” ยิ่งกว่าใคร ๆ. (1 โคร. 29:23, 25) นั่นเป็นช่วงแห่งความสงบสุขและความมั่งคั่ง ช่วงแห่งความมั่นคงปลอดภัย. (1 กษัต. 4:20-25) อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอยู่ภายใต้การปกครองตามระบอบของพระเจ้า ประชาชนยังคงมีปัญหาส่วนตัวและความยุ่งยากอันเนื่องจากการเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์. การที่พวกเขามาขอกษัตริย์ซะโลโมผู้ชาญฉลาดให้ช่วยแก้ปัญหาของตนจึงเป็นที่เข้าใจได้. (1 กษัต. 3:16-28) ระหว่างการแถลงคำตัดสินคดีมากมายเหล่านี้ ท่านได้ตรัสถ้อยคำอันเป็นสุภาษิตที่เหมาะกับสภาพการณ์ชีวิตมากมายซึ่งเกิดขึ้นทุกวัน. คำกล่าวที่สั้นแต่ก็ประทับใจเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผู้ซึ่งปรารถนาจะดำเนินชีวิตให้ประสานกับพระทัยประสงค์ของพระเจ้าถือว่าล้ำค่ายิ่ง.
3. พระธรรมสุภาษิตได้รับการรวบรวมอย่างไร?
3 บันทึกไม่ได้บอกว่าซะโลโมเขียน พระธรรมสุภาษิต แต่บอกว่าท่าน ‘ตรัส’ สุภาษิตทั้งบอกด้วยว่า “ท่าน . . . ไตร่ตรองและทำการค้นคว้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อท่านจะได้เรียบเรียงสุภาษิตมากมายให้เข้าเป็นระเบียบ” จึงแสดงว่าท่านสนใจการเก็บรักษาสุภาษิตเหล่านี้ไว้เพื่อใช้ภายหลัง. (1 กษัต. 4:32; ผู้ป. 12:9, ล.ม.) ในสมัยของดาวิดและซะโลโม มีพวกเจ้าหน้าที่เลขานุการในบัญชีรายชื่อข้าราชสำนัก. (2 ซามู. 20:25; 2 กษัต. 12:10) เราไม่ทราบว่าอาลักษณ์เหล่านั้นในราชสำนักของท่านได้จดและรวบรวมสุภาษิตของท่านหรือไม่ แต่คำพูดของนักปกครองคนใดก็ตามที่ทรงความสามารถสูงอย่างท่านย่อมได้รับความนับถืออย่างสูงและตามปกติแล้วก็จะบันทึกไว้. เป็นที่เห็นพ้องกันโดยทั่วไปว่า พระธรรมนี้เป็นการรวบรวมจากหนังสือรวมสุภาษิตเล่มอื่น ๆ.
4. (ก) โดยทั่วไปแล้วพระธรรมสุภาษิตถูกแบ่งออกอย่างไร? (ข) ใครเป็นผู้ริเริ่มสุภาษิตเป็นส่วนใหญ่?
4 พระธรรมสุภาษิตอาจแบ่งเป็นห้าตอนได้แก่: (1) บท 1-9 ซึ่งเริ่มด้วยคำว่า “สุภาษิตของซะโลโมราชบุตรดาวิด”; (2) บท 10-24 ซึ่งมีพรรณนาว่าเป็น “สุภาษิตของซะโลโม”; (3) บท 25-29 ตอนนี้เริ่มต้นว่า “ต่อไปนี้เป็นสุภาษิตของท่านซะโลโมที่พวกอาลักษณ์ของท่านฮิศคียากษัตริย์แผ่นดินยะฮูดาได้คัดลอกไว้”; (4) บท 30 มีคำนำว่าเป็น “ถ้อยคำของอาฆูรบุตรชายของยาเฆ”; และ (5) บท 31 ซึ่งประกอบด้วย “ถ้อยคำของละมูเอลกษัตริย์แผ่นดินมาซา, เป็นข้อหนักใจที่มารดาของท่านได้สอนท่านไว้.” ดังนั้น ซะโลโมจึงเป็นผู้ริเริ่มสุภาษิตเป็นส่วนใหญ่. ส่วนอาฆูรและละมูเอลเป็นใครนั้นไม่ปรากฏหลักฐานแน่นอน. ผู้ให้คำอธิบายพระคัมภีร์บางคนแนะว่า ละมูเอลอาจเป็นอีกชื่อหนึ่งของซะโลโม.
5. พระธรรมสุภาษิตได้รับการเขียนและรวบรวมเมื่อไร?
5 พระธรรมสุภาษิตถูกเขียนและรวบรวมเมื่อไร? ไม่ต้องสงสัยว่าสุภาษิตส่วนใหญ่ถูกเขียนไว้ระหว่างรัชกาลของซะโลโม (ปี 1037-998 ก.ส.ศ.) ก่อนท่านออกหาก. เนื่องจากไม่รู้แน่ว่าอาฆูรและละมูเอลเป็นใคร จึงไม่อาจกำหนดเวลาของข้อความที่ทั้งสองเขียน. เนื่องจากมีตอนหนึ่งถูกรวบรวมในรัชกาลของฮิศคียา (ปี 745-717 ก.ส.ศ.) การรวบรวมตอนสุดท้ายจึงไม่อาจเสร็จก่อนการครองราชย์ของท่าน. สองตอนหลังก็ถูกรวบรวมภายใต้การดูแลของฮิศคียาเช่นเดียวกันไหม? เพื่อจะได้คำตอบ มีเชิงอรรถที่ให้ความกระจ่างที่สุภาษิต 31:31 ในพระคัมภีร์บริสุทธิ์ฉบับแปลโลกใหม่พร้อมด้วยข้ออ้างอิง (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “ข้อความภาษาฮีบรูบางฉบับมีอักขระสามตัว เชธ, เซʹยิน, โคฟ (חזק) ซึ่งเป็นพระปรมาภิไธยที่กษัตริย์ฮิศคียาลงไว้ในฉบับสำเนาที่พวกอาลักษณ์ของท่านคัดลอกเพื่อรับรองว่างานได้เสร็จสมบูรณ์.”
6. สุภาษิตคืออะไร และเพราะเหตุใดชื่อพระธรรมนี้ในภาษาฮีบรูจึงเหมาะสม?
6 ในคัมภีร์ไบเบิลภาษาฮีบรู ทีแรกพระธรรมนี้มีชื่อเรียกตามคำแรกของพระธรรมนี้ คือ มิชเลห์ʹ หมายความว่า “สุภาษิต.” มิชเลห์ʹ เป็นคำพหูพจน์ที่แผลงมาจากคำนามภาษาฮีบรู มาชาลʹ ซึ่งคำนามนี้เชื่อกันโดยทั่วไปว่า ได้มาจากรากคำที่หมายความว่า “เสมือน” หรือ “เปรียบเทียบได้.” คำเหล่านี้อธิบายเนื้อหาของพระธรรมนี้อย่างดี เนื่องจากสุภาษิตเป็นคำกล่าวที่รวบรัดได้ใจความซึ่งมักเป็นคำเปรียบเปรยหรืออุปมาอุปไมยและถูกคิดขึ้นเพื่อทำให้ผู้ฟังคิด. รูปแบบที่รวบรัดของสุภาษิตทำให้ติดตามได้ง่ายและน่าสนใจ และด้วยรูปแบบนี้เองทำให้สอนง่าย, เรียนรู้ง่าย, และจำง่าย. แนวคิดก็ฝังแน่น.
7. ควรสังเกตอะไรเกี่ยวกับลีลาการเขียนของพระธรรมสุภาษิต?
7 ลีลาการเขียนในพระธรรมนี้เป็นที่น่าสนใจยิ่งเช่นกันคือเป็นแบบกลอนภาษาฮีบรู. โครงสร้างของพระธรรมสุภาษิตส่วนใหญ่เป็นกลอนเปรียบ. กลอนแบบนี้ไม่มีคำท้ายบาทหรือท้ายบทที่สัมผัสเสียงกัน. กลอนแบบนี้ประกอบด้วยการทำให้บาทต่าง ๆ ที่มีท่วงทำนองนั้นให้ข้อคิดหรือแนวคิดเปรียบเทียบ. ความไพเราะและพลังแห่งคำสั่งสอนแฝงอยู่ในท่วงทำนองของความคิดแบบนี้. ความคิดอาจสอดคล้องกันหรือตรงข้ามกัน แต่พลังของการเปรียบเทียบนั้นมีไว้เพื่อขยายแนวคิด, เพื่อทำให้แนวคิดกว้างขึ้น, และเพื่อทำให้แน่ใจในเรื่องการถ่ายทอดความหมายของข้อคิดนั้น. ตัวอย่างข้อคิดที่สอดคล้องกันพบได้ที่สุภาษิต 11:25; 16:18; และ 18:15, และตัวอย่างข้อคิดตรงข้ามกันซึ่งมีมากมายมีอยู่ที่สุภาษิต 10:7, 30; 12:25; 13:25; และ 15:8. โครงสร้างอีกแบบหนึ่งพบที่ตอนจบของพระธรรมนี้. (สุภา. 31:10-31) ทั้ง 22 ข้อนั้นถูกเรียบเรียงไว้เพื่อว่าในภาษาฮีบรู แต่ละข้อจะเริ่มด้วยอักขระฮีบรูเรียงตามลำดับอักษร นี่เป็นแบบอะครอสติกซึ่งมีการใช้เช่นกันในเพลงสรรเสริญหลายบท. ลีลาการเขียนที่สละสลวยเช่นนี้ไม่มีข้อเขียนโบราณชิ้นใดเทียบได้.
8. การที่คริสเตียนรุ่นแรกใช้พระธรรมสุภาษิตยืนยันอย่างไรถึงความเชื่อถือได้ของพระธรรมนี้?
8 นอกจากนี้ ความเชื่อถือได้ของพระธรรมสุภาษิตมีแสดงให้เห็นโดยการที่คริสเตียนรุ่นแรกใช้พระธรรมสุภาษิตอย่างกว้างขวางเมื่อพูดถึงกฎเกณฑ์ความประพฤติ. ปรากฏชัดว่ายาโกโบคุ้นเคยดีกับพระธรรมสุภาษิตและใช้หลักการพื้นฐานของพระธรรมนี้ในคำแนะนำอันดีที่ท่านให้ในเรื่องความประพฤติแบบคริสเตียน. (เทียบสุภาษิต 14:29; 17:27 กับยาโกโบ 1:19, 20; สุภาษิต 3:34 กับยาโกโบ 4:6; สุภาษิต 27:1 กับยาโกโบ 4:13, 14.) การยกข้อความจากพระธรรมสุภาษิตไปกล่าวโดยตรงก็พบได้เช่นกันในข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้: โรม 12:20—สุภาษิต 25:21, 22; เฮ็บราย 12:5, 6—สุภาษิต 3:11, 12; 2 เปโตร 2:22—สุภาษิต 26:11.
9. พระธรรมสุภาษิตสอดคล้องกับพระธรรมอื่น ๆ ของคัมภีร์ไบเบิลอย่างไร?
9 นอกจากนั้น พระธรรมสุภาษิตยังสอดคล้องกับส่วนอื่น ๆ ของคัมภีร์ไบเบิล จึงพิสูจน์ว่าพระธรรมสุภาษิตเป็นส่วนหนึ่งของ “พระคัมภีร์ทุกตอน.” พระธรรมสุภาษิตแสดงแนวคิดเดียวกันอย่างน่าทึ่งเมื่อเทียบกับพระบัญญัติของโมเซ, คำสอนของพระเยซู, และข้อเขียนของพวกสาวกและอัครสาวกของพระเยซู. (ดูสุภาษิต 10:16—1 โกรินโธ 15:58 และฆะลาเตีย 6:8, 9; สุภาษิต 12:25—มัดธาย 6:25; สุภาษิต 20:20—เอ็กโซโด 20:12 และมัดธาย 15:4.) แม้แต่เมื่อกล่าวถึงเรื่องสำคัญเช่น การเตรียมแผ่นดินโลกให้พร้อมสำหรับเป็นที่อาศัยของมนุษย์ ก็มีแนวคิดแบบเดียวกับผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลคนอื่น ๆ.—สุภา. 3:19, 20; เย. 1:6, 7; โยบ 38:4-11; เพลง. 104:5-9.
10, 11. มีอะไรอีกบ้างที่ยืนยันว่า พระธรรมสุภาษิตมีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า?
10 ความแม่นยำทางวิทยาศาสตร์ก็ยืนยันว่าที่พระธรรมสุภาษิตมีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้าเช่นกัน ไม่ว่าสุภาษิตจะกล่าวถึงเรื่องหลักการด้านเคมี, การแพทย์, หรือสุขภาพ. ปรากฏว่าสุภาษิต 25:20 บอกถึงปฏิกิริยาของกรดและด่าง. สุภาษิต 31:4, 5 สอดคล้องกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่ว่า แอลกอฮอล์ทำให้กระบวนการคิดเชื่องช้า. แพทย์และโภชนากรหลายคนเห็นพ้องว่า น้ำผึ้งเป็นอาหารบำรุงสุขภาพ ทำให้ระลึกถึงสุภาษิตข้อที่ว่า “ศิษย์ของเราเอ๋ย, จงกินน้ำผึ้งเถิด, เพราะเป็นของดี.” (สุภา. 24:13) ข้อสังเกตในสมัยปัจจุบันเกี่ยวกับอาการทางจิตที่ส่งผลต่อร่างกายไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับพระธรรมสุภาษิต. “ใจที่ร่าเริงเป็นเหมือนโอสถวิเศษ.”—17:22; 15:17.
11 จริง ๆ แล้ว พระธรรมสุภาษิตครอบคลุมความจำเป็นและสถานการณ์ทุกอย่างของมนุษย์อย่างทั่วถ้วนจนบุคคลสำคัญผู้หนึ่งได้กล่าวว่า “ไม่มีความสัมพันธ์แบบใดในชีวิตที่ไม่มีคำสั่งสอนอย่างเหมาะสม ไม่มีแนวโน้มใดไม่ว่าดีหรือชั่วที่ไม่มีเหตุกระตุ้นใจหรือการแก้ไขอย่างถูกต้อง. จิตสำนึกของมนุษย์ถูกนำมาสู่ความสัมพันธ์โดยตรงในทุกด้านกับพระเจ้า . . . และมนุษย์ดำเนินชีวิตเสมือนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้างและผู้พิพากษาของเขา . . . จะพบมนุษย์ทุกแบบได้ในหนังสือโบราณนี้; และแม้ว่าถูกเขียนไว้สามพันปีมาแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นความจริงเหมือนกับนำมาจากผู้มีชีวิตในปัจจุบัน.”—พจนานุกรมคัมภีร์ไบเบิล ของสมิท (ภาษาอังกฤษ) ปี 1890 เล่มสาม หน้า 2616.
เนื้อเรื่องในสุภาษิต
12. (ก) บทร้อยกรองอะไรที่ต่อเนื่องกันซึ่งประกอบกันเป็นส่วนแรกของพระธรรมสุภาษิต? (ข) ตอนนี้สอนอะไรในเรื่องสติปัญญาและความประพฤติของมนุษย์? (ค) สุภาษิต 1:7 วางรูปแบบสำหรับพระธรรมนี้ทั้งหมดอย่างไร?
12 ตอนแรก (1:1–9:18). ตอนนี้เป็นบทร้อยกรองต่อเนื่องกันประกอบด้วยคำกล่าวสั้น ๆ ประหนึ่งพ่อพูดกับลูก ซึ่งกล่าวถึงความจำเป็นที่ต้องมีสติปัญญาเพื่อชี้นำหัวใจ หรือบุคคลแท้ ๆ ภายใน และเพื่อควบคุมความปรารถนา. ตอนนี้สอนคุณค่าของสติปัญญาและผลดีจากสติปัญญา คือ ความสุข, ความยินดี, สันติสุข, และชีวิต. (1:33; 3:13-18; 8:32-35) พระธรรมสุภาษิตเทียบเรื่องนี้กับการขาดสติปัญญาและผลที่เกิดคือความทุกข์และสุดท้ายก็ความตาย. (1:28-32; 7:24-27; 8:36) เมื่อพิจารณาสถานการณ์และความเป็นไปได้ในชีวิตที่มีนับไม่ถ้วน พระธรรมสุภาษิตตอนแรกให้ความรู้ขั้นพื้นฐานในเรื่องความประพฤติของมนุษย์และผลในปัจจุบันและอนาคตของการประพฤตินั้น. ถ้อยคำในสุภาษิต 1:7 วางรูปแบบไว้สำหรับพระธรรมนี้ทั้งหมดคือ: “ความยำเกรงพระยะโฮวาเป็นบ่อเกิดแห่งความรู้.” การกระทำทุกอย่างต้องแสดงว่ามีการคำนึงถึงพระยะโฮวา. มีการกล่าวซ้ำอย่างสม่ำเสมอถึงความจำเป็นต้องไม่ลืมข้อกฎหมายของพระเจ้า ต้องรักษาพระบัญญัติของพระองค์อย่างใกล้ชิดและไม่ละทิ้งเลย.
13. จงกล่าวถึงแนวคิดอันโดดเด่นที่เชื่อมโยงตลอดเนื้อหาตอนแรกของพระธรรมสุภาษิต.
13 แนวคิดอันโดดเด่นที่เชื่อมโยงกันตลอดเนื้อหาของตอนแรกนี้ได้แก่ สติปัญญาที่ใช้ได้จริง, ความรู้, ความเกรงกลัวพระยะโฮวา, การตีสอน, และการสังเกตเข้าใจ. มีคำเตือนให้ระวังเพื่อนไม่ดี, การปฏิเสธการตีสอนจากพระยะโฮวา, และความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมกับหญิงแปลกหน้า. (1:10-19; 3:11, 12; 5:3-14; 7:1-27) มีพรรณนาถึงสติปัญญาสองครั้งว่ามีอยู่ในที่สาธารณะ ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่หามาได้และมีอยู่พร้อม. (1:20, 21; 8:1-11) มีการกล่าวถึงสติปัญญาเสมือนเป็นบุคคลและพูดโน้มน้าวใจผู้ขาดประสบการณ์ ให้แม้กระทั่งความกระจ่างบางประการเกี่ยวกับการทรงสร้างแผ่นดินโลก. (1:22-33; 8:4-36) พระธรรมนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ! ตอนนี้ปิดท้ายด้วยอรรถบทที่เริ่มเรื่อง คือ “ความยำเกรงพระยะโฮวาเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา.” (9:10) พระธรรมตอนนี้ให้เหตุผลโดยตลอดว่า การยอมรับพระยะโฮวาในทางทั้งหลายของเรา พร้อมกับการยึดมั่นในความชอบธรรมของพระองค์ เป็นทางแห่งชีวิตและสามารถป้องกันเราจากหลายสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา.
14. การเทียบกันในทางตรงข้ามอะไรบ้างทำให้คำสอนที่ใช้ได้จริงในพระธรรมสุภาษิตโดดเด่น?
14 ตอนสอง (10:1–24:34). ในตอนนี้เราพบหลักการหลายข้อที่ไม่ต่อเนื่องกันซึ่งใช้สติปัญญากับสถานการณ์ยุ่งยากในชีวิต. โดยสอนให้เรานำไปใช้อย่างเหมาะสม สุภาษิตตอนนี้มุ่งหมายจะส่งเสริมให้มีความสุขมากขึ้นและดำเนินชีวิตที่น่าความยินดี. การเทียบกันในทางตรงข้ามทำให้คำสอนเหล่านี้เด่นในความคิดของเรา. ต่อไปนี้เป็นรายการของบางหัวเรื่องที่มีการพิจารณาในบท 10, 11 และ 12:
ความรักกับความชัง
สติปัญญากับความโง่เขลา
ความซื่อตรงกับการคดโกง
ความซื่อสัตย์กับการให้ร้าย
ความจริงกับความเท็จ
ความเอื้อเฟื้อกับความตระหนี่
ความขยันกับความเกียจคร้าน
การดำเนินด้วยความซื่อสัตย์มั่นคงกับแนวทางคดโกง
คำแนะนำที่ดีกับการขาดคำชี้แนะที่ชำนาญ
ภรรยาที่มีความสามารถกับภรรยาที่น่าขายหน้า
ความชอบธรรมกับความชั่ว
ความเจียมตนกับความเย่อหยิ่ง
การพิจารณารายการนี้โดยเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันย่อมต้องทำให้เรามั่นใจว่าสุภาษิตเป็นพระธรรมที่ใช้ได้ผลจริง ๆ!
15. จงบอกถึงบางตัวอย่างของสถานการณ์หลายหลากของมนุษย์ที่มีกล่าวถึงในพระธรรมสุภาษิต.
15 ส่วนที่เหลือของตอนนี้ (13:1–24:34) ดำเนินต่อไปด้วยข้อเตือนใจในเรื่องมาตรฐานของพระยะโฮวาเพื่อเราจะมีความหยั่งเห็นและการสังเกตเข้าใจ. รายการที่กล่าวถึงสถานการณ์อันหลายหลากของมนุษย์จะแสดงให้เห็นว่า พระธรรมสุภาษิตครอบคลุมขอบเขตที่กว้างขวางจริง ๆ. เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่มีคำแนะนำเหล่านี้ในคัมภีร์ไบเบิลอันเกี่ยวกับการเสแสร้ง, การทำโดยพลการ, การรักษาคำพูด, ความเฉียบแหลม, การคบหา, การดัดนิสัยและอบรมเด็ก ๆ, ทัศนะของคนเราต่อสิ่งที่ถูกต้อง, การไม่โกรธง่าย, การช่วยเหลือคนทุกข์ยาก, การฉ้อฉล, คำอธิษฐาน, การดูถูก, ความอิ่มใจพอใจกับสิ่งจำเป็นในชีวิต, ความหยิ่ง, ผลกำไรอันมิชอบ, การติดสินบน, การชิงดีชิงเด่น, การบังคับตัว, การแยกตัวอยู่โดดเดี่ยว, ความเงียบ, ความลำเอียง, การทะเลาะ, ความถ่อม, ความฟุ่มเฟือย, การเอาใจใส่บิดามารดา, เครื่องดื่มมึนเมา, การฉ้อโกง, คุณสมบัติของภรรยา, ของกำนัล, การยืม, การให้ยืม, ความกรุณา, ความมั่นใจ, เขตที่ดิน, การเสริมสร้างครัวเรือน, ความอิจฉา, การแก้เผ็ด, ความไร้ประโยชน์, คำตอบอ่อนโยน, การไตร่ตรอง, และเพื่อนแท้. มีคำแนะนำมากมายจริง ๆ ที่พึงอ่านเพื่อจะได้เครื่องชี้นำดี ๆ ในชีวิตประจำวัน! สำหรับบางคน คำแนะนำเหล่านี้อาจมีหลายข้อที่ดูเหมือนไม่สำคัญ แต่ในที่นี้เราสังเกตเห็นว่า คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้มองข้ามความจำเป็นของเราแม้แต่ในเรื่องที่ดูเหมือนเล็กน้อย. ด้วยเหตุนี้พระธรรมสุภาษิตจึงมีค่าไม่อาจประมาณได้.
16. คำแนะนำอะไรที่เสริมสร้างซึ่งมีให้ไว้ในตอนสามของพระธรรมสุภาษิต?
16 ตอนสาม (25:1–29:27). มีการให้คำแนะนำที่เสริมสร้างเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เช่น เกียรติ, ความอดทน, ศัตรู, การปฏิบัติกับคนโง่, การสนุกสนาน, การสอพลอ, ความริษยา, ความเจ็บใจเพราะเพื่อน, ความหิว, การให้ร้ายป้ายสี, การเอาใจใส่หน้าที่รับผิดชอบ, ดอกเบี้ย, การสารภาพ, ผลของการปกครองที่ชั่วร้าย, การถือตัว, ผลดีต่าง ๆ จากการปกครองที่ชอบธรรม, ความเสเพลของเด็ก, การปฏิบัติต่อคนรับใช้, การหยั่งเห็น, และวิสัยทัศน์.
17. (ก) “ข้อความหนักใจ” อะไรที่อาฆูรพูดถึง? (ข) ท่านพรรณนาถึงสิ่งต่าง ๆ ที่มีชุดละสี่สิ่งอะไรบ้าง?
17 ตอนสี่ (30:1-33). ตอนนี้เป็น “ข้อความหนักใจ” ที่เชื่อกันว่าอาฆูรเป็นผู้เขียน. หลังจากถ่อมใจยอมรับความไม่สลักสำคัญของตน ผู้เขียนกล่าวถึงการที่มนุษย์ไร้ความสามารถจะสร้างแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งในโลก. ท่านเรียกพระคำของพระเจ้าว่าเป็นสิ่งบริสุทธิ์และอ้างถึงพระเจ้าว่าเป็นโล่. ท่านขอให้เอาคำมุสาไปให้ไกลจากท่านและขออย่าให้ท่านเป็นคนมั่งมีหรือยากจน. ท่านพรรณนาถึงคนชั่วอายุที่เป็นมลทิน, หยิ่งทะนง, และโลภ ซึ่งแช่งด่าบิดามารดาของตน. มีการระบุสี่สิ่งที่ไม่เคยบอกว่า “พอแล้ว” พร้อมกับอีกสี่สิ่งที่ยากเกินจะเข้าใจ. (30:15, 16) การแก้ตัวอย่างน่าละอายของหญิงเล่นชู้ก็มีกล่าวไว้. แล้วก็มีการพรรณนาถึงสี่สิ่งที่แผ่นดินโลกทนไม่ได้, สี่สิ่งเล็ก ๆ ที่ฉลาดโดยสัญชาตญาณ, และอีกสี่สิ่งที่ย่างเยื้องดูโดดเด่นเป็นสง่า. โดยคำเปรียบอันเหมาะเจาะ ผู้เขียนเตือนว่า “เมื่อกวนโทโสก็ได้การทะเลาะวิวาท.”—30:33.
18. กษัตริย์ละมูเอลกล่าวอะไรบ้างเกี่ยวกับ (ก) หญิงชั่ว และ (ข) ภรรยาที่ทรงความสามารถ?
18 ตอนห้า (31:1-31). นี่เป็น “ข้อหนักใจ” อีกตอนหนึ่งซึ่งเป็นของกษัตริย์ละมูเอล. ตอนนี้เป็นการเขียนสองแบบ. ส่วนแรกพูดถึงความหายนะที่เกิดขึ้นเนื่องจากหญิงชั่ว, เตือนว่าเครื่องดื่มมึนเมาสามารถบิดเบือนคำพิพากษาได้อย่างไร, และเรียกร้องการพิพากษาที่ชอบธรรม. เนื้อความแบบอะครอสติกในส่วนหลังอุทิศให้กับคำพรรณนาที่ดีเยี่ยมเกี่ยวกับภรรยาที่มีความสามารถ. รายละเอียดบางอย่างในตอนนี้แสดงถึงค่าของเธอ ชี้ว่าเธอเป็นคนไว้วางใจได้และเป็นบำเหน็จแก่ผู้เป็นเจ้าของตัวเธอ. คุณสมบัติของเธอรวมถึงการเป็นผู้ที่อุตสาหะ, ตื่นแต่เช้า, ซื้อของอย่างระมัดระวัง, กรุณาคนยากจน, รวมทั้งเป็นคนมองการณ์ไกลและพูดจาอย่างมีสติปัญญา. นอกจากนั้น เธอเป็นคนตื่นตัว, ลูก ๆ นับถือ, และสามียกย่อง. ที่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เธอยำเกรงพระยะโฮวา.
เหตุที่เป็นประโยชน์
19. พระธรรมสุภาษิตเองบอกให้ทราบวัตถุประสงค์อันเป็นประโยชน์ของพระธรรมนี้ไว้อย่างไร?
19 วัตถุประสงค์อันเป็นประโยชน์ของพระธรรมสุภาษิตมีกล่าวไว้ในตอนต้น ๆ ว่า “เพื่อจะให้คนรู้จักปัญญาและคำสั่งสอน; เพื่อจะให้เห็นแจ้งในคำทั้งหลายที่เข้าใจมาแล้ว; เพื่อจะให้รับโอวาทอันเกี่ยวกับการประพฤติชอบ, ด้วยสุจริตธรรมยุติธรรมและด้วยสิทธิธรรม. เพื่อจะให้เกิดความเฉลียวฉลาดแก่คนโง่ [“ผู้ที่ขาดประสบการณ์,” ล.ม.], เพื่อจะให้เกิดความรู้และสติปัญญาแก่ยุวชน.” (1:2-4) สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ดังกล่าว พระธรรมสุภาษิตเน้นความรู้, สติปัญญา, และความเข้าใจ ซึ่งแต่ละอย่างต่างก็ก่อประโยชน์เฉพาะทาง.
20. พระธรรมสุภาษิตกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับความรู้?
20 (1) ความรู้ เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการอย่างยิ่ง เพราะย่อมไม่เป็นผลดีที่คนเราจะไม่มีความรู้. คนเราไม่มีทางได้รับความรู้ถ่องแท้โดยปราศจากความเกรงกลัวพระยะโฮวา เพราะความรู้เริ่มต้นจากความเกรงกลัวเช่นนั้น. ความรู้เป็นที่น่าปรารถนายิ่งกว่าทองคำแท้. เพราะเหตุใด? โดยความรู้ คนชอบธรรมจึงได้รับการช่วยให้รอด; ความรู้ยับยั้งเราไว้จากการผลีผลามทำบาป. นับว่าจำเป็นจริง ๆ ที่เราจะค้นหาความรู้ และรับเอาความรู้! ความรู้เป็นสิ่งที่ล้ำค่า. ฉะนั้น “จงเอียงหูของเจ้าฟังถ้อยคำของผู้มีปัญญา; และจงสนใจในเรื่องความรู้ของเรา.”—22:17; 1:7; 8:10; 11:9; 18:15; 19:2; 20:15.
21. คำสั่งสอนของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญาคืออย่างไร?
21 (2) สติปัญญา ความสามารถในการใช้ความรู้อย่างถูกต้องเพื่อสรรเสริญพระยะโฮวา “เป็นหลักเอก.” จงได้มาซึ่งสติปัญญา. พระยะโฮวาเป็นบ่อเกิดของปัญญา สติปัญญาที่ให้ชีวิตมีจุดเริ่มต้นที่การรู้จักและเกรงกลัวพระยะโฮวาพระเจ้า—นั่นเป็นเคล็ดลับสำคัญยิ่งแห่งสติปัญญา. ฉะนั้น จงเกรงกลัวพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์. สติปัญญาที่เปรียบเสมือนบุคคลทำการป่าวประกาศ เร่งเร้าทุกคนให้แก้ไขวิถีทางของตน. สติปัญญาเปล่งเสียงก้องตามถนนหนทาง. พระยะโฮวาทรงร้องเรียกผู้ที่ขาดประสบการณ์ทั้งปวงและผู้ที่ขาดเจตนาที่ดีให้หันกลับและเลี้ยงตัวเองด้วยขนมปังแห่งสติปัญญา. ครั้นแล้ว ด้วยความเกรงกลัวพระยะโฮวา พวกเขาจะมีความสุขแม้ว่ามีทรัพย์สมบัติไม่มาก. พระพรแห่งปัญญามีหลายประการ; ผลของสติปัญญามีประโยชน์มากมาย. สติปัญญาและความรู้—สองอย่างนี้แหละเป็นปัจจัยสำคัญเบื้องต้นของความสามารถในการคิดชนิดที่ปกป้องเราได้. น้ำผึ้งเป็นประโยชน์และน่ารับประทานฉันใด สติปัญญาก็ฉันนั้น. สติปัญญามีค่ายิ่งกว่าทอง; เป็นต้นไม้แห่งชีวิต. ประชาชนพินาศไปเมื่อขาดสติปัญญา เพราะสติปัญญารักษาชีวิต; สติปัญญาหมายถึงชีวิต.—4:7; 1:7, 20-23; 2:6, 7, 10, 11; 3:13-18, 21-26; 8:1-36; 9:1-6, 10; 10:8; 13:14; 15:16, 24; 16:16, 20-24; 24:13, 14.
22. จะพบการคุ้มครองเช่นไรในความเข้าใจ?
22 (3) นอกจากความรู้และสติปัญญา ความเข้าใจ ก็สำคัญยิ่ง; ฉะนั้น “พร้อมกับสรรพสิ่งที่เจ้าได้มา จงได้มาซึ่งความเข้าใจ.” ความเข้าใจเป็นความสามารถที่จะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง; ความเข้าใจหมายถึงการสังเกตเข้าใจ คำนึงถึงพระเจ้าเสมอ เพราะมนุษย์ไม่อาจหมายพึ่งความเข้าใจของตนเองได้. เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะมีความเข้าใจหรือการสังเกตเข้าใจถ้าคนเราดำเนินในทางตรงข้ามกับพระยะโฮวา! เราต้องแสวงหาความเข้าใจด้วยความตั้งใจแรงกล้าเหมือนเป็นทรัพย์ที่ซ่อนอยู่เพื่อจะได้มาเป็นของเราเอง. เพื่อจะเข้าใจ เราต้องมีความรู้. การที่ผู้มีความเข้าใจค้นหาความรู้ย่อมมีผลตอบแทน และสติปัญญาอยู่ตรงหน้าเขา. เขาได้รับการคุ้มครองให้พ้นจากหลุมพรางมากมายจนนับไม่ไหวของโลก เช่น จากคนชั่วนับไม่ถ้วนซึ่งคงพยายามหลอกล่อคนเราให้เดินไปกับเขาในทางแห่งความมืด. ขอบพระคุณพระยะโฮวา—บ่อเกิดแห่งความรู้, สติปัญญา, และความเข้าใจซึ่งนำไปสู่ชีวิต!—4:7, ล.ม.; 2:3, 4; 3:5; 15:14; 17:24; 19:8; 21:30.
23. จะมีการพิจารณาคำแนะนำอันสุขุมชนิดใดต่อไป?
23 สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่เป็นประโยชน์ของพระธรรมสุภาษิต พระธรรมนี้ให้คำแนะนำอันสุขุมที่มีขึ้นโดยการดลใจไว้มากมายเพื่อช่วยเราให้ได้มาซึ่งความเข้าใจและคุ้มครองหัวใจ “เพราะแหล่งแห่งชีวิตเกิดจากหัวใจ.” (4:23, ล.ม.) ต่อไปนี้เป็นส่วนที่เลือกมาจากคำแนะนำอันสุขุมที่มีการเน้นตลอดพระธรรมนี้.
24. มีกล่าวไว้อย่างไรเกี่ยวกับคนชั่วและคนชอบธรรม?
24 ข้อแตกต่างระหว่างคนชั่วกับคนชอบธรรม: คนชั่วจะติดอยู่ในหนทางคดโกงของตน และทรัพย์สมบัติของเขาจะไม่ช่วยชีวิตเขาในวันแห่งความพิโรธ. คนชอบธรรมอยู่ในเส้นทางที่จะได้รับชีวิตและพระยะโฮวาจะทรงประทานบำเหน็จ.—2:21, 22; 10:6, 7, 9, 24, 25, 27-32; 11:3-7, 18-21, 23, 30, 31; 12:2, 3, 7, 28; 13:6, 9; 14:2, 11; 15:3, 8, 29; 29:16.
25. พระธรรมสุภาษิตเตือนอย่างไรในเรื่องการผิดศีลธรรม?
25 ความจำเป็นต้องมีศีลธรรมที่สะอาด: ซะโลโมเตือนอยู่เสมอให้ระวังการผิดศีลธรรม. คนเล่นชู้จะประสบความหายนะ และความอับอาย และความอับอายขายหน้าของเขาจะไม่มีการลบออก. “น้ำที่ขโมยมา” (ฉบับแปลใหม่) อาจดูเหมือนหวานสำหรับคนหนุ่ม แต่หญิงโสเภณีลงไปสู่ความตายและพาเหยื่อที่ไร้ประสบการณ์ไปด้วย. พระยะโฮวาทรงตำหนิคนที่ตกสู่หลุมลึกแห่งการผิดศีลธรรม.—2:16-19; 5:1-23; 6:20-35; 7:4-27; 9:13-18; 22:14; 23:27, 28.
26. มีกล่าวไว้อย่างไรเกี่ยวกับการรู้จักบังคับตน?
26 ความจำเป็นต้องมีการรู้จักบังคับตน: การเมาเหล้าและการตะกละถูกตำหนิ. ทุกคนที่จะได้รับความพอพระทัยของพระเจ้าต้องประมาณตนในการกินและดื่ม. (20:1; 21:17; 23:21, 29-35; 25:16; 31:4, 5) คนที่ไม่โกรธเร็วเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยความสังเกตเข้าใจและยิ่งใหญ่กว่าคนมีกำลังมากที่ยึดเมือง. (14:17, 29; 15:1, 18; 16:32; 19:11; 25:15, 28; 29:11, 22) จำเป็นต้องมีการรู้จักบังคับตนเช่นกันเพื่อหลีกเลี่ยงความอิจฉาและความริษยาซึ่งเป็นความผุพังแก่กระดูก.—14:30; 24:1; 27:4; 28:22.
27. (ก) การใช้คำพูดอย่างไม่สุขุมคืออย่างไร? (ข) เหตุใดการใช้ลิ้นและปากอย่างสุขุมจึงสำคัญยิ่ง?
27 การใช้คำพูดอย่างสุขุมและไม่สุขุม: คำพูดคดโกง, คนพูดให้ร้าย, พยานเท็จ, และคนพูดโกหกจะถูกเปิดโปง เพราะพวกเขาเป็นที่สะอิดสะเอียนต่อพระยะโฮวา. (4:24; 6:16-19; 11:13; 12:17, 22; 14:5, 25; 17:4; 19:5, 9; 20:17; 24:28; 25:18) ถ้าปากของเราพูดเรื่องดีก็เป็นบ่อเกิดแห่งชีวิต; แต่ปากของคนโง่เร่งให้ความพิบัติของเขามาเร็วขึ้น. “ความตายและชีวิตอยู่ในอำนาจลิ้น; ผู้ที่รักใช้ลิ้นจะได้กินผลแห่งลิ้นนั้น.” (18:21) การให้ร้าย, คำพูดหลอกลวง, การสอพลอ, และคำพูดโดยหุนหันเป็นสิ่งที่ถูกตำหนิ. เป็นแนวทางแห่งปัญญาที่จะพูดความจริง และถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า.—10:11, 13, 14; 12:13, 14, 18, 19; 13:3; 14:3; 16:27-30; 17:27, 28; 18:6-8, 20; 26:28; 29:20; 31:26.
28. ความหยิ่งจองหองก่อความเสียหายอย่างไร แต่ความถ่อมก่อประโยชน์เช่นไร?
28 ความโง่เขลาของความจองหองและความจำเป็นต้องมีความถ่อมใจ: คนจองหองยกตัวเองขึ้นสู่ฐานะสูงที่จริง ๆ แล้วเขาไม่มี ดังนั้นเขาจึงย่อยยับ. คนที่มีใจหยิ่งยโสเป็นที่พระยะโฮวาทรงสะอิดสะเอียน แต่พระองค์ทรงประทานสติปัญญา, เกียรติยศ, ความมั่งคั่ง, และชีวิตแก่ผู้ที่ถ่อมใจ.—3:7; 11:2; 12:9; 13:10; 15:33; 16:5, 18, 19; 18:12; 21:4; 22:4; 26:12; 28:25, 26; 29:23.
29. ควรมองดูความเกียจคร้านอย่างไร และความขยันมีคุณค่าเช่นไร?
29 ความขยัน ไม่ใช่ความเกียจคร้านเฉื่อยชา: หลายข้อเป็นคำพรรณนาถึงคนเกียจคร้าน. เขาควรไปดูบทเรียนจากมดและเป็นคนฉลาดขึ้น. แต่สำหรับคนขยัน—เขาจะเจริญ!—1:32; 6:6-11; 10:4, 5, 26; 12:24; 13:4; 15:19; 18:9; 19:15, 24; 20:4, 13; 21:25, 26; 22:13; 24:30-34; 26:13-16; 31:24, 25.
30. พระธรรมสุภาษิตเน้นอย่างไรในเรื่องการคบหาที่ถูกต้อง?
30 การคบหาที่ถูกต้อง: นับว่าโง่ถ้าคบคนที่ไม่เกรงกลัวพระยะโฮวา, คนชั่วหรือคนโง่เขลา, คนอารมณ์ร้อน, คนแพร่ข่าวลือ, หรือคนตะกละ. แต่จงคบคนฉลาดและคุณจะฉลาดยิ่งขึ้น.—1:10-19; 4:14-19; 13:20; 14:7; 20:19; 22:24, 25; 28:7.
31. คำแนะนำที่สุขุมในเรื่องการว่ากล่าวคืออย่างไร?
31 ความจำเป็นต้องรับการว่ากล่าวและการแก้ไข: “ผู้ใดที่พระยะโฮวาทรงรักพระองค์ทรงเตือนสอนผู้นั้น” และคนที่เอาใจใส่ฟังการตีสอนก็อยู่บนหนทางสู่เกียรติยศและชีวิต. คนที่เกลียดการว่ากล่าวจะได้รับความอับอาย.—3:11, 12; 10:17; 12:1; 13:18; 15:5, 31-33; 17:10; 19:25; 29:1.
32. คำเตือนสติที่ดีอะไรมีให้ไว้ในพระธรรมสุภาษิตที่เกี่ยวกับการเป็นภรรยาที่ดี?
32 คำแนะนำเรื่องการเป็นภรรยาที่ดี: พระธรรมสุภาษิตเตือนซ้ำแล้วซ้ำอีกให้ภรรยาระวังการเป็นคนชอบโต้เถียงและทำสิ่งน่าละอาย. ภรรยาที่เกรงกลัวพระเจ้าซึ่งมีความสามารถและสุขุม มีกฎหมายแห่งความรักกรุณาบนลิ้นของเธอ; ใครก็ตามที่พบภรรยาเช่นนั้นก็ได้รับความโปรดปรานจากพระยะโฮวา.—12:4; 18:22; 19:13, 14; 21:9, 19; 27:15, 16; 31:10-31.
33. มีการให้คำแนะนำอะไรที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการอบรมบุตร?
33 การเลี้ยงดูบุตร: จงสอนพระบัญชาของพระเจ้าแก่พวกเขาเป็นประจำเพื่อพวกเขาจะ ‘ไม่ลืม.’ จงเลี้ยงดูพวกเขาตั้งแต่เป็นทารกด้วยพระโอวาทของพระยะโฮวา. อย่าลังเลที่จะใช้ไม้เรียวเมื่อจำเป็น; ไม้เรียวและการว่ากล่าวเป็นการแสดงออกซึ่งความรักทางหนึ่งที่ทำให้เด็กชายมีปัญญา. ผู้ที่เลี้ยงดูบุตรในทางของพระเจ้าจะมีบุตรที่ฉลาดซึ่งจะนำความปีติยินดีและความสุขมากมายมาสู่บิดามารดา.—4:1-9; 13:24; 17:21; 22:6, 15; 23:13, 14, 22, 24, 25; 29:15, 17.
34. มีผลประโยชน์อะไรในการรับเอาหน้าที่รับผิดชอบในการช่วยคนอื่น ๆ?
34 ความรับผิดชอบที่จะช่วยคนอื่น: มีการเน้นเรื่องนี้บ่อยครั้งในพระธรรมสุภาษิต. คนฉลาดต้องแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของคนอื่น. คนเราต้องใจกว้างด้วยในการแสดงความกรุณาผู้ยากไร้ และเมื่อทำเช่นนั้น ที่แท้เขาก็กำลังให้พระยะโฮวายืม ผู้ซึ่งรับรองว่าจะใช้คืนให้.—11:24-26; 15:7; 19:17; 24:11, 12; 28:27.
35. พระธรรมสุภาษิตให้คำแนะนำอะไรที่เข้าถึงแก่นของปัญหาของเรา?
35 การไว้วางใจพระยะโฮวา: พระธรรมสุภาษิตเข้าถึงแก่นของปัญหาของเราโดยแนะนำให้เราไว้วางใจพระเจ้าอย่างเต็มที่. เราต้องคำนึงถึงพระยะโฮวาในการดำเนินชีวิตทั้งสิ้นของเรา. คนเราอาจวางแผนแนวทางของตน แต่พระยะโฮวาต้องชี้นำก้าวเท้าของเขา. พระนามยะโฮวาเป็นป้อมเข้มแข็งที่ผู้ชอบธรรมวิ่งเข้าไปและได้รับการคุ้มครอง. จงหวังในพระยะโฮวาและพึ่งพระคำของพระองค์เพื่อการชี้นำ.—3:1, 5, 6; 16:1-9; 18:10; 20:22; 28:25, 26; 30:5, 6.
36. จากทัศนะเช่นไรบ้างที่อาจพรรณนาถึงพระธรรมสุภาษิตว่าทันสมัย, ใช้ได้จริง, และเป็นประโยชน์?
36 พระธรรมสุภาษิตเป็นประโยชน์จริง ๆ สำหรับการสอนและการตีสอนตัวเราและคนอื่น! ดูเหมือนไม่มีการมองข้ามขั้นใดเลยในเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์. มีใครไหมที่แยกตัวจากเพื่อน ๆ ผู้นมัสการพระเจ้า? (18:1) เราเป็นคนในตำแหน่งสูงที่ลงความเห็นก่อนฟังความทั้งสองฝ่ายไหม? (18:17) เราเป็นคนชอบล้อเลียนจนก่ออันตรายไหม? (26:18, 19) เราเป็นคนที่มีแนวโน้มจะลำเอียงไหม? (28:21) พ่อค้าในร้าน, เกษตรกรในไร่นา, สามีภรรยา, และบุตร—ทุกคนได้รับคำสั่งสอนที่ก่อประโยชน์. บิดามารดาได้รับการช่วยเหลือเพื่อพวกเขาจะสามารถเปิดโปงกับดักหลายอย่างที่แฝงเร้นอยู่ในแนวทางของเยาวชน. คนมีปัญญาสามารถสอนผู้อ่อนประสบการณ์. พระธรรมสุภาษิตใช้ได้ผลไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน; คำสั่งสอนและคำแนะนำในพระธรรมนี้ไม่เคยล้าสมัย: ครั้งหนึ่งวิลเลียม ลีออง เฟลป์ส ครูชาวอเมริกันกล่าวไว้ว่า “พระธรรมสุภาษิตทันสมัยกว่าหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าวันนี้.”a พระธรรมสุภาษิตทันสมัย, ใช้ได้ผลจริง, และเป็นประโยชน์สำหรับการสั่งสอน เพราะพระธรรมนี้มีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า.
37. พระธรรมสุภาษิตสอดคล้องอย่างไรกับคำสอนต่าง ๆ ของซะโลโมผู้ยิ่งใหญ่?
37 เนื่องจากเป็นประโยชน์เพื่อจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย พระธรรมสุภาษิต ซึ่งส่วนใหญ่ซะโลโมเป็นผู้กล่าว จึงทำให้มนุษย์หันมาหาพระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการ. พระเยซูคริสต์ก็ทรงทำเช่นเดียวกัน พระองค์คือผู้ซึ่งมัดธาย 12:42 กล่าวถึงว่าเป็น “ผู้ใหญ่กว่าซะโลโม.”
38. โดยวิธีใดที่พระธรรมสุภาษิตเสริมความหยั่งรู้ค่าที่เรามีต่อราชอาณาจักรของพระเจ้าและหลักการอันชอบธรรมของราชอาณาจักรนั้น?
38 เรารู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่ผู้ชาญฉลาดองค์สำคัญยิ่งนี้เป็นผู้ที่พระยะโฮวาทรงเลือกให้เป็นพงศ์พันธุ์แห่งราชอาณาจักร! ราชบัลลังก์ของพระองค์ “ก็จะยืนยงอยู่ในความยุติธรรม” เพราะการปกครองด้วยสันติสุขของพระองค์รุ่งโรจน์ยิ่งกว่าของกษัตริย์ซะโลโมมากมายนัก. เกี่ยวกับการปกครองแห่งราชอาณาจักรนั้นมีกล่าวไว้ว่า “ความเมตตาและความสัตย์จริงเป็นเครื่องป้องกันกษัตริย์ไว้, และพระที่นั่งของท่านจะดำรงอยู่ได้โดยพระกรุณา.” นั่นจะเป็นการเริ่มต้นการปกครองอันชอบธรรมตลอดกาลเพื่อมนุษยชาติ ซึ่งพระธรรมสุภาษิตก็กล่าวถึงเช่นกันว่า “กษัตริย์ผู้ทรงพิพากษาความของคนจนโดยยุติธรรม, พระที่นั่งของกษัตริย์นั้นจะดำรงถาวร.” ดังนั้น เราจึงได้มาหยั่งรู้ค่าด้วยความยินดีว่า พระธรรมสุภาษิตไม่เพียงส่องทางเราสู่ความรู้, สติปัญญา, และความเข้าใจ, อีกทั้งสู่ชีวิตถาวรเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้น พระธรรมสุภาษิตยกย่องพระยะโฮวาว่าเป็นบ่อเกิดแห่งสติปัญญาแท้ ซึ่งพระองค์ทรงโปรดประทานผ่านทางพระคริสต์เยซูรัชทายาทแห่งราชอาณาจักร. พระธรรมสุภาษิตเสริมความหยั่งรู้ค่าที่เรามีต่อราชอาณาจักรของพระเจ้าและหลักการอันชอบธรรมซึ่งราชอาณาจักรดำเนินการตามอยู่ในขณะนี้.—สุภา. 25:5; 16:12; 20:28; 29:14.
[เชิงอรรถ]
a ขุมทรัพย์แห่งความเชื่อของคริสเตียน (ภาษาอังกฤษ) 1949 เรียบเรียงโดย สตูเบอร์ และ คลาร์ก หน้า 48.