จงเติบโตต่อ ๆ ไปในความรู้
“จงเพิ่มความเชื่อของท่านทั้งหลาย . . . ด้วยความรู้.”—2 เปโตร 1:5, ล.ม.
1, 2. (ก) คุณสามารถเรียนอะไรจากการมองดูท้องฟ้า? (โรม 1:20) (ข) ขอบเขตแท้จริงเกี่ยวกับการเพิ่มพูนความรู้ของมนุษย์คืออะไร?
คุณเรียนรู้อะไรได้บ้างโดยการออกไปข้างนอกยามค่ำคืนที่ปลอดโปร่ง และดูดวงจันทร์กระจ่างฟ้าและดวงดาวมากมายเหลือคณนา? คุณสามารถเรียนรู้บางอย่างเกี่ยวกับผู้ที่ได้สร้างบรรดาสิ่งเหล่านี้.—บทเพลงสรรเสริญ 19:1-6; 69:34.
2 ถ้าคุณประสงค์จะเพิ่มพูนความรู้ด้านนั้น คุณจะขึ้นไปอยู่บนหลังคาบ้านและมองไปจากที่ตรงนั้นไหม? คุณคงไม่ทำ. อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ครั้งหนึ่งก็ได้ใช้อุทาหรณ์ดังกล่าวเพื่อชี้จุดที่ว่าพวกนักวิทยาศาสตร์หาได้เพิ่มความรู้เรื่องเอกภพมากขึ้นอย่างแท้จริงไม่ และแน่นอนพวกเขาเพิ่มความรู้น้อยมากเกี่ยวด้วยผู้สร้างเอกภพ.a ดร. เลวิส โทมัส เขียนไว้ว่า “การสัมฤทธิ์ผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งวิทยาศาสตร์ในศตวรรษนี้ซึ่งมีผลผลิตทางวิทยาศาสตร์มากมายได้แก่การค้นพบว่าพวกเราเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย เรารู้เรื่องธรรมชาติน้อยมากและที่เราเข้าใจก็ยิ่งน้อยกว่านั้นอีก.”
3. มีความรู้มากก็โศกเศร้ามากนั้นในแง่ไหน?
3 ถึงแม้คุณจะได้ใช้เวลาหลายปีในช่วงชีวิตโดยปกติที่ยังเหลืออยู่แสวงความรู้ดังกล่าว คุณก็อาจเพียงแต่รับรู้มากขึ้นว่าชีวิตนี้ช่างสั้นเสียจริง และเห็นชัดมากขึ้นว่าการใช้ความรู้ของคนเรานั้นถูกจำกัดเพราะความไม่สมบูรณ์ และเพราะ ‘ความคดโกง’ แห่งโลกนี้. ซะโลโมได้ยกจุดนี้ขึ้นมาเขียน: “มีปัญญามากก็มีความทุกข์เศร้าโศกมาก; และผู้ที่หาความรู้เพิ่มก็ได้ความโศกเศร้าเพิ่มขึ้น.” (ท่านผู้ประกาศ 1:15, 18) ใช่แล้ว การได้มาซึ่งความรู้และสติปัญญาโดยไม่มีการเชื่อมเข้ากับพระประสงค์ของพระเจ้า ปกติแล้วก็รวมเอาความเจ็บปวดและความทุกข์โศกเศร้าเข้าไปด้วย.—ท่านผู้ประกาศ 1:13, 14; 12:12; 1 ติโมเธียว 6:20.
4. เราน่าจะต้องการได้รับความรู้แบบไหน?
4 คัมภีร์ไบเบิลสนับสนุนไหมว่าเราไม่ควรสนใจเพิ่มเติมความรู้ของเรา? อัครสาวกเปโตรเขียนดังนี้: “อย่าให้เป็นเช่นนั้น แต่จงเติบโตต่อ ๆ ไปในพระกรุณาอันไม่พึงได้รับและในความรู้เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรา. ขอให้สง่าราศีเป็นของพระองค์ทั้งขณะนี้และจนตลอดชั่วกัลปาวสาน.” (2 เปโตร 3:18, ล.ม.) พวกเราสามารถและควรรับคำตักเตือนนั้นเป็นคำเตือนแก่เรา เร่งเร้าให้เราเติบโตในความรู้. แต่ในความรู้ประเภทไหนล่ะ? เราจะเพิ่มพูนความรู้นั้นโดยวิธีใด? และพวกเรากำลังทำอย่างนั้นจริง ๆ ไหม?
5, 6. เปโตรได้เน้นอย่างไรที่ว่าเราจำต้องได้รับความรู้?
5 การเพิ่มพูนความรู้อันถ่องแท้เกี่ยวด้วยพระผู้สร้างเอกภพ และเรื่องพระเยซูเป็นใจความในจดหมายฉบับที่สองของเปโตร. ในการเริ่มต้นจดหมายฉบับนี้ท่านเขียนว่า “ขอให้พระกรุณาอันไม่พึงได้รับและสันติสุขเพิ่มพูนแก่ท่านทั้งหลายโดยความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับพระเจ้าและพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เพราะโดยเหตุที่อำนาจของพระองค์ได้ประทานทุกสิ่งที่เกี่ยวกับชีวิต และความเลื่อมใสในพระเจ้าให้เราอย่างไม่อั้น โดยทางความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับพระองค์ผู้ทรงเรียกเราด้วยสง่าราศีและคุณความดี.” (2 เปโตร 1:2, 3, ล.ม.) ดังนั้น ท่านเชื่อมการรับเอาพระกรุณาอันไม่พึงได้รับและสันติสุขเข้ากับการที่เราได้มาซึ่งความรู้เกี่ยวด้วยพระเจ้าและพระบุตรของพระองค์. เรื่องนี้ชอบด้วยเหตุผล เนื่องจากพระยะโฮวาพระผู้สร้างทรงเป็นจุดรวมแห่งความรู้แท้. บุคคลผู้เกรงกลัวพระเจ้าสามารถมองเห็นเรื่องราวได้ชัดเจน และมาถึงบทสรุปได้อย่างสมเหตุผล.—สุภาษิต 1:7.
6 ครั้นแล้วเปโตรได้เตือนดังนี้: “จงเพิ่มความเชื่อของท่านทั้งหลายด้วยคุณความดี เพิ่มคุณความดีด้วยความรู้ เพิ่มความรู้ด้วยการรู้จักบังคับตน เพิ่มการรู้จักบังคับตนด้วยความอดทน เพิ่มความอดทนด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า เพิ่มความเลื่อมใสในพระเจ้าด้วยความรักชอบฉันพี่น้อง เพิ่มความรักชอบฉันพี่น้องด้วยความรัก. เพราะถ้าสิ่งเหล่านี้มีอยู่ในท่านทั้งหลาย และมีอยู่ล้นเหลือ นั่นจะป้องกันท่านไว้จากการอยู่เฉย ๆ หรือไม่เกิดผลเกี่ยวกับความรู้ถ่องแท้ในเรื่องพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา.” (2 เปโตร 1:5-8, ล.ม.)b ที่บทถัดไป เราอ่านว่าการเสาะหาความรู้ช่วยผู้คนหลุดพ้นมลทินแห่งโลกนี้. (2 เปโตร 2:20) ด้วยเหตุนี้ เปโตรได้ชี้ชัดว่าคนเหล่านั้นที่เข้ามาเป็นคริสเตียนจำต้องมีความรู้ เช่นเดียวกับคนที่ได้ปฏิบัติพระยะโฮวาอยู่แล้ว. คุณเป็นคนหนึ่งในจำพวกนั้นไหม?
เรียน, กล่าวซ้ำ, ใช้
7. หลายคนได้รับความรู้ถ่องแท้เกี่ยวด้วยความจริงแห่งคัมภีร์ไบเบิลอันเป็นพื้นฐานนั้นโดยวิธีใด?
7 คุณอาจจะกำลังศึกษาพระคัมภีร์กับพยานพระยะโฮวา เพราะคุณสำนึกว่าข่าวสารที่เขานำออกไปเป็นเสียงบ่งบอกความจริง. สัปดาห์ละครั้ง ประมาณหนึ่งชั่วโมง คุณพิจารณาหัวข้อหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิลโดยใช้คู่มือศึกษา เช่น หนังสือท่านจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลก. ดีมากทีเดียว! หลายคนซึ่งได้มีการศึกษาเช่นนั้นกับพยานพระยะโฮวาต่างก็รับความรู้ถ่องแท้. แต่คุณจะทำอย่างไรเพื่อจะเพิ่มพูนสิ่งที่คุณกำลังเรียนเป็นส่วนตัว? ต่อไปนี้เป็นข้อเสนอแนะบางประการ.c
8. ขณะเตรียมตัวสำหรับการศึกษา นักศึกษาพึงทำประการใดเพื่อจะเรียนรู้มากขึ้น?
8 ก่อนอื่น ขณะคุณเตรียมตัวเพื่อศึกษา จงสำรวจดูเนื้อหาที่จะเรียนคราวนั้น. นั้นหมายถึงการดูชื่อบท หัวข้อย่อย และภาพประกอบใด ๆ ที่ใช้กับเรื่องนั้น ๆ. แล้วขณะที่คุณอ่านวรรคหนึ่งหรือตอนหนึ่งในหนังสือ จงพยายามเจาะเอาแนวคิดสำคัญออกมา รวมทั้งข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ที่สนับสนุน ขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญหรือทำเครื่องหมายไว้. เพื่อจะรู้ว่าคุณได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ อันเป็นความจริงซึ่งกล่าวไว้ในหนังสือนั้น จงพยายามตอบคำถามต่าง ๆ ที่จัดไว้สำหรับแต่ละวรรค. ในการทำเช่นนี้ จงพยายามตอบเป็นคำพูดของคุณเอง. ท้ายสุด ทบทวนบทเรียน โดยพยายามนึกถึงจุดสำคัญและข้อโต้แย้งที่เป็นการสนับสนุน.
9. การปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องการศึกษาจะช่วยคนเราเรียนรู้ได้อย่างไร?
9 คุณสามารถคาดหมายได้ว่าคุณจะมีความรู้เพิ่มขึ้นถ้าคุณใช้ข้อเสนอแนะเหล่านี้. ทำไมเป็นเช่นนั้น? เหตุผลอย่างหนึ่งคือคุณกำลังเข้าถึงเนื้อเรื่องพร้อมด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเรียนรู้ ประหนึ่งคุณกำลังเตรียมดินเพาะปลูก. โดยการมองอย่างกว้าง ๆ แล้วมองหาจุดหรือแนวการหาเหตุผลที่สำคัญ คุณก็จะเห็นข้อปลีกย่อยเหล่านั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไรกับใจความหรือข้อสรุป. การทบทวนตอนท้ายจะช่วยคุณจำสิ่งที่คุณได้เรียนรู้. อะไรจะช่วยคุณในเวลาต่อมาระหว่างที่คุณศึกษาคัมภีร์ไบเบิล?
10. (ก) ทำไมเพียงแต่การกล่าวซ้ำข้อเท็จจริงหรือความรู้ใหม่ ๆ มีประโยชน์จำกัด? (ข) ใน “การนึกย้อนเป็นช่วง ๆ ตามลำดับ” นั้นมีอะไรรวมอยู่ด้วย? (ค) บุตรชายทั้งหลายแห่งชาวยิศราเอลอาจได้รับประโยชน์อย่างไรจากการกล่าวซ้ำ?
10 ผู้เชี่ยวชาญในวงการศึกษารู้คุณค่าการทำซ้ำ ๆ ที่ถูกกาลและด้วยจุดมุ่งหมาย. ทั้งนี้ไม่ใช่แค่การกล่าวซ้ำคำพูดอย่างนกแก้ว ซึ่งคุณอาจเคยฝึกมาแล้วที่โรงเรียนขณะเรียนชื่อ, ข้อเท็จจริง, หรือแนวความคิดโดยการท่องจำ. กระนั้น คุณพบมิใช่หรือว่าสิ่งที่คุณท่องขึ้นใจนั้นในไม่ช้าคุณก็ลืม มันเลือนไปจากความทรงจำอย่างรวดเร็ว? เพราะเหตุใด? เนื่องจากการท่องจำคำใหม่หรือข้อเท็จจริงใหม่ ๆ อาจเป็นสิ่งน่าเบื่อ และผลก็คืออยู่ได้ไม่นาน. อะไรจะเปลี่ยนสิ่งนั้นได้? ความต้องการของคุณที่อยากเรียนรู้อย่างจริงจังจะช่วยได้. เคล็ดอีกอย่างหนึ่งได้แก่การกล่าวซ้ำด้วยมีจุดมุ่งหมาย. หลังจากคุณเรียนจุดสำคัญแล้วเพียงไม่กี่นาที ก่อนเรื่องนั้นจะเลือนไปจากความทรงจำ จงพยายามดึงเอาสิ่งที่คุณได้เรียนออกมาจากภายในตัวคุณ. การทำเช่นนี้เรียกว่า “การระลึกถึงสิ่งใหม่ ๆ เป็นช่วง ๆ ตามลำดับ.” โดยการฟื้นความจำของคุณให้สดชื่นก่อนที่มันจะลบเลือนไปนั้น เท่ากับว่าคุณยืดเวลาให้ความจำคงอยู่. ในแผ่นดินยิศราเอล ผู้เป็นบิดาจำต้องพร่ำสอนข้อบัญญัติต่าง ๆ ของพระเจ้าแก่บุตรชายของเขา. (พระบัญญัติ 6:6, 7) “พร่ำสอน” หมายถึงสอนโดยให้กล่าวซ้ำ. เป็นไปได้ที่หลายคนในบรรดาบิดาเหล่านั้นทีแรกก็บอกกล่าวข้อกฎหมายแก่บุตรของตน ต่อจากนั้นพวกเขากล่าวซ้ำข้อความนั้น ครั้นแล้วพวกเขาก็ตั้งคำถามถามบุตรเกี่ยวกับสิ่งที่บุตรได้เรียน.
11. ระหว่างการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอาจทำอะไรได้บ้างเพื่อจะเรียนรู้มากขึ้น?
11 ถ้าพยานฯนำการศึกษาพระคัมภีร์กับคุณ เขาอาจช่วยคุณให้เรียนรู้โดยสรุปเรื่องตามลำดับเป็นช่วง ๆ ไประหว่างที่การศึกษายังดำเนินอยู่. ทั้งนี้ไม่ใช่วิธีการแบบเด็ก. เป็นวิธีการที่ปรับปรุงการเรียนให้ดีขึ้น ฉะนั้น จงยินดีตอบการทบทวนที่จัดขึ้นเป็นระยะ ๆ. ครั้นแล้ว ตอนจบของการศึกษาจงตอบการทบทวนรอบสุดท้ายโดยที่คุณตอบจากความจำ. ด้วยคำพูดของคุณเอง คุณอาจจะอธิบายจุดต่าง ๆ เหมือนกับว่าคุณกำลังชี้แจงเมื่อสั่งสอนคนอื่น. (1 เปโตร 3:15) นี้แหละจะช่วยทำให้สิ่งที่คุณได้เรียนรู้นั้นคงอยู่ในความทรงจำระยะยาวของคุณ.—เทียบกับบทเพลงสรรเสริญ 119:1, 2, 125; 2 เปโตร 3:1.
12. นักศึกษาเองอาจทำอย่างไรเพื่อปรับปรุงความจำของตน?
12 ขั้นตอนที่ยังประโยชน์แก่คุณอีกอย่างหนึ่งก็คือ ภายในวันสองวันก็บอกเล่าสิ่งที่คุณเรียนให้คนอื่นฟัง อาจเป็นเพื่อนนักเรียน คนทำงานในที่เดียวกันหรือเพื่อนบ้าน. คุณอาจเอ่ยชื่อเรื่องแล้วบอกว่าคุณอยากดูว่าตัวเองยังจำแนวการหาเหตุผลที่สำคัญหรือข้อคัมภีร์ที่ใช้สนับสนุนจากพระคัมภีร์ได้หรือไม่. นั่นอาจเป็นชนวนให้ผู้อื่นเกิดความสนใจ. ถึงแม้นไม่เป็นเช่นนั้น วิธีการของคุณในการกล่าวซ้ำความรู้ใหม่ภายหลังได้ว่างเว้นไปหนึ่งหรือสองวันจะช่วยให้ความรู้นั้นติดแน่นอยู่ในความทรงจำของคุณ. ตอนนี้แหละคุณจะได้เรียนรู้อย่างแท้จริง คือทำตามที่ 2 เปโตร 3:18 แนะนำไว้.
การเรียนอย่างขยันขันแข็ง
13, 14. ทำไมเราจึงควรอยากก้าวไปไกลไม่ใช่เพียงแต่การได้รับความรู้และจดจำไว้เท่านั้น?
13 การเรียนไม่ใช่เพียงแต่การรับข้อเท็จจริงหรือสามารถรำลึกถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้. ศาสนิกชนสมัยพระเยซูได้กระทำเช่นนั้นด้วยการอธิษฐานซ้ำ ๆ ซาก ๆ ของเขา. (มัดธาย 6:5-7) แต่พวกเขาได้รับผลกระทบอย่างไรจากความรู้นั้น? เขาบังเกิดผลแห่งความชอบธรรมไหม? เปล่าเลย. (มัดธาย 7:15-17; ลูกา 3:7, 8) ส่วนของปัญหาอยู่ที่ว่าความรู้ไม่ได้ซึมซาบไปถึงหัวใจและกระทบเขาให้เกิดผลอันเป็นคุณประโยชน์.
14 ตามที่เปโตรกล่าว เรื่องนี้จึงควรต่างออกไปสำหรับคริสเตียนในสมัยนั้นและสมัยนี้. ท่านกระตุ้นพวกเราให้เพิ่มความเชื่อด้วยความรู้ซึ่งจะช่วยเรามิให้เป็นคนเฉื่อยช้าหรือไม่เกิดผล. (2 เปโตร 1:5, 8) เพื่อเรื่องนี้จะเป็นจริงในกรณีของเรา เราจึงต้องมีความประสงค์จะเติบโตในความรู้นั้นและต้องการให้ความรู้กระทบเราลึกลงไป จนสัมผัสกับหัวใจอันแท้จริงของเรา. นั่นอาจไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป.
15. เกิดปัญหาอะไรขึ้นกับคริสเตียนชาวฮีบรูบางคน?
15 ในสมัยของเปาโลคริสเตียนชาวฮีบรูเคยมีปัญหาในเรื่องนี้. เนื่องจากเป็นคนยิว คนเหล่านั้นมีความรู้ทางคัมภีร์ไบเบิลอยู่บ้าง. พวกเขารู้จักพระยะโฮวาและข้อกำหนดเรียกร้องบางประการของพระองค์. ในเวลาต่อมา พวกเขาได้ความรู้มากขึ้นเรื่องพระมาซีฮา สำแดงความเชื่อ และรับบัพติสมาเป็นคริสเตียน. (กิจการ 2:22, 37-41; 8:26-36) นานเป็นเดือนเป็นปี พวกเขาคงได้เข้าร่วมการประชุมต่าง ๆ แห่งประชาคมคริสเตียน ณ ที่นั่น เขาคงมีส่วนในการอ่านข้อพระคัมภีร์และแสดงข้อคิดเห็น. ถึงกระนั้น บางคนก็ไม่ได้เติบโตในความรู้. เปาโลเขียนดังนี้: “ด้วยว่าครั้นท่านทั้งหลายควรจะเป็นครูได้แล้ว, แต่ท่านก็ยังต้องการให้คนอื่นสอนท่านอีกให้รู้ถึงประถมโอวาทตอนต้น ๆ ของพระเจ้า, และท่านทั้งหลายกลายเป็นคนที่ยังต้องการกินน้ำนมไม่ใช่อาหารแข็ง.” (เฮ็บราย 5:12) นั้นเป็นไปได้อย่างไร? มันจะเกิดขึ้นกับพวกเราได้ไหม?
16. ชั้นดินเย็นแข็งคงตัวคืออะไร และสิ่งนี้กระทบกระเทือนพืชอย่างไร?
16 ขอพิจารณาชั้นดินเย็นแข็งคงตัวเป็นตัวอย่างประกอบ ชั้นดินที่เย็นและแข็งตัวอยู่ตลอดทางแถบอาร์กติกและในภูมิภาคที่อุณหภูมิโดยเฉลี่ยต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง. ดิน, หิน, และน้ำใต้ดินเย็นจนกลายเป็นมวลสารแน่นแข็ง บางครั้งลึกลงไปถึง 900 เมตร. ในฤดูร้อน อากาศอุ่นอาจทำให้ผิวหน้าดินอ่อนตัวลง (เรียกว่าแอ็กทีฟเลเยอร์ หรือชั้นดินที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่). อย่างไรก็ดี ชั้นบาง ๆ ของดินที่อ่อนตัวลงนี้ปกติแล้วเป็นโคลน เนื่องจากความชื้นไม่อาจไหลซึมผ่านลงในชั้นดินเย็นแข็งคงตัวที่อยู่เบื้องล่าง. พืชซึ่งขึ้นบนดินชั้นบาง ๆ ข้างบนมักจะเล็กหรือแกร็น รากไม่สามารถชอนไปในชั้นดินเย็นแข็งคงตัว. ‘อะไรกัน’ คุณอาจแปลกใจ ‘ชั้นดินเย็นแข็งคงตัวอย่างนั้นเกี่ยวข้องอย่างไรกับการที่ฉันจะเติบโตในความรู้เกี่ยวกับความจริงแห่งคัมภีร์ไบเบิลหรือไม่?’
17, 18. ชั้นดินเย็นแข็งคงตัวและชั้นของดินที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่อาจนำมาใช้เป็นตัวอย่างประกอบอย่างไรกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับคริสเตียนชาวฮีบรูบางคน?
17 ชั้นดินเย็นแข็งคงตัวเป็นอุทาหรณ์ได้เป็นอย่างดีถึงสภาพของผู้ซึ่งความสามารถในการคิดของตนไม่ประสานงานอย่างฉับไวกับการรับเอา, การจดจำ, และการใช้ความรู้ถ่องแท้นั้น. (เทียบกับมัดธาย 13:5, 20, 21.) เฉกเช่นคนนั้นมีความสามารถทางมันสมองจะเรียนวิชาต่าง ๆ ได้ รวมทั้งความจริงของคัมภีร์ไบเบิลด้วย. เขาได้ศึกษา “ประถมโอวาทตอนต้น ๆ ของพระเจ้า” และอาจมีคุณสมบัติจะรับบัพติสมา เช่นเดียวกับคริสเตียนชาวฮีบรูเหล่านั้น. ถึงกระนั้น เขาอาจจะไม่ “รุดหน้าสู่ความอาวุโส” ไปสู่สิ่งต่าง ๆ ซึ่งนอกเหนือไปจาก “หลักคำสอนเบื้องต้นเกี่ยวกับพระคริสต์.”—เฮ็บราย 5:12; 6:1, ล.ม.
18 ลองนึกภาพคริสเตียนเหล่านั้นบางคน ณ ที่ประชุมสมัยนั้นก็แล้วกัน. เขาเข้าร่วมประชุมและตื่นอยู่ แต่ใจของเขาจดจ่อการเรียนไหม? พวกเขาเติบโตในความรู้นั้นอย่างขยันขันแข็งและเอาจริงเอาจังไหม? อาจไม่เป็นเช่นนั้น. สำหรับคนที่ไม่อาวุโส การเข้าส่วนใด ๆ ในการประชุมได้เกิดขึ้นที่ชั้นบาง ๆ ของผิวหน้าดินที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ ขณะที่ลึกลงไปใต้นั้นเป็นชั้นเย็นแข็ง. รากแห่งความจริงที่แน่นแฟ้นหรือซับซ้อนมากกว่าจึงไม่อาจชอนลงไปในชั้นดินเย็นแข็งคงตัวด้านจิตใจได้.—เทียบยะซายา 40:24.
19. คริสเตียนที่มีประสบการณ์สมัยนี้อาจกลายเป็นเหมือนคริสเตียนชาวฮีบรูในทางใด?
19 อาจเป็นในทำนองเดียวกันกับคริสเตียนสมัยนี้ก็ได้. ขณะอยู่ที่การประชุมต่าง ๆ เขาอาจจะไม่ใช้โอกาสเหล่านั้นเพื่อจะเติบโตในความรู้. ส่วนการเข้าร่วมอย่างขยันขันแข็งในโอกาสเช่นนั้นจะว่าอย่างไร? สำหรับคนใหม่หรือผู้เยาว์จะสมัครอ่านข้อคัมภีร์หรือออกความคิดเห็นในถ้อยคำของวรรคนั้นคงต้องบากบั่นพอสมควร เป็นการสะท้อนถึงการฝึกฝนความสามารถอันดีและน่าชมเชยของเขา. แต่เปาโลได้ชี้ให้เห็นว่า สำหรับคนอื่น เมื่อคำนึงถึงเวลานับแต่ที่เขาเข้ามาเป็นคริสเตียน เขาน่าจะก้าวหน้าไม่ใช่แต่การมีส่วนร่วมในขั้นเริ่มต้น หากว่าเขาต้องการเติบโตในความรู้ต่อ ๆ ไป.—เฮ็บราย 5:14.
20. พวกเราแต่ละคนน่าจะวิเคราะห์ตัวเองอย่างไร?
20 ถ้าคริสเตียนที่มีประสบการณ์ไม่ได้ก้าวไกลเกินกว่าแค่การอ่านข้อคัมภีร์หรือแสดงความคิดเห็นพื้น ๆ โดยตรงจากวรรค ก็เหมือนกับว่าการมีส่วนร่วมของเขามาจากจิตใจอันเป็นแค่ “ผิวหน้าดินที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่.” การประชุมครั้งแล้วครั้งเล่าอาจผ่านไป พร้อมกับศักยภาพทางความคิดของเขายังจมอยู่ในระดับเย็นแข็ง ตามอุทาหรณ์เรื่องชั้นดินเย็นแข็งคงตัว. เราน่าจะถามตัวเองว่า ‘ฉันเป็นเช่นนั้นไหม? ฉันปล่อยให้สภาพทางใจเป็นเหมือนชั้นดินเย็นแข็งคงตัวไหม? ในทางจิตใจนั้นฉันตื่นตัวและสนใจการเรียนรู้เพียงใด?’ ถึงแม้เรารู้สึกไม่สบายใจนักกับคำตอบที่จริงใจของเรา เราสามารถเริ่มต้นก้าวต่อไปเพื่อเติบโตในความรู้ได้ตั้งแต่เวลานี้.
21. คุณอาจนำขั้นตอนใดบ้างที่ได้พิจารณาตอนต้น ๆ มาใช้เมื่อเตรียมตัวสำหรับการประชุมหรือเข้าร่วม?
21 เราแต่ละคนสามารถนำเอาคำแนะนำในวรรค 8 ไปใช้ปฏิบัติได้. ไม่ว่าเราได้สมทบกับประชาคมนานสักแค่ไหน เราสามารถตัดสินใจจะรุดหน้าไปสู่ความอาวุโสและมีความรู้มากยิ่งขึ้น. สำหรับบางคน นั่นย่อมหมายถึงการขยันเตรียมตัวสำหรับการประชุมมากกว่าที่แล้ว ๆ มา บางทีต้องฟื้นฟูนิสัยที่เคยปฏิบัติหลายปีมาแล้วแต่ได้ค่อย ๆ ขาดไป. ขณะที่คุณเตรียมตัว พยายามที่จะหาจุดสำคัญและเข้าใจข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ที่ไม่ค่อยคุ้นซึ่งใช้ขยายแนวการหาเหตุผล. มองหาแง่มุมใหม่ ๆ ในเรื่องที่ศึกษา. ทำนองเดียวกัน ในระหว่างการประชุม จงพยายามใช้คำแนะนำต่าง ๆ ที่ได้กล่าวไว้ในวรรค 10 และ 11 กับตัวเอง. จงพยายามปลุกจิตใจให้ตื่นอยู่ ประหนึ่งคุณรักษาระดับอุณหภูมิทางความคิดให้สูง. การทำเช่นนั้นจะลบล้างแนวโน้มใด ๆ ที่เริ่มเข้ามาเปลี่ยนสภาพให้เป็น “ชั้นดินเย็นแข็งคงตัว” อนึ่ง ความมุ่งมั่นด้วยจิตสำนึกเช่นนี้ย่อมจะละลายสภาพ “เย็นแข็ง” ซึ่งอาจได้ก่อตัวเป็นรูปร่างอยู่แล้ว.—สุภาษิต 8:12, 32-34.
ความรู้, สิ่งที่ช่วยให้บังเกิดผล
22. เราจะได้ประโยชน์อย่างไรถ้าเราพยายามเพิ่มพูนความรู้?
22 พวกเราแต่ละคนจะรับประโยชน์โดยวิธีใดหากเรามุ่งมั่นที่จะเจริญเติบโตในพระกรุณาอันไม่พึงได้รับและในความรู้เกี่ยวด้วยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าและผู้ช่วยให้รอดของเรา? โดยการที่เรามุ่งมั่นด้วยจิตสำนึกจะรักษาความสามารถในการคิดของเราให้ตื่นอยู่เสมอ เตรียมพร้อมจะรับความรู้ เมล็ดความจริงแห่งคัมภีร์ไบเบิลที่ใหม่และละเอียดซับซ้อนจะหยั่งรากลึกลงไป และความเข้าใจของเราก็จะมากขึ้นและยั่งยืน. เรื่องนี้พอเทียบได้กับสิ่งที่พระเยซูตรัสในอุทาหรณ์เกี่ยวกับหัวใจ. (ลูกา 8:5-12) เมล็ดซึ่งตกบนดินดีก็แตกรากที่แข็งแรงเพื่อค้ำจุนลำต้นให้เจริญเติบโตและก็เกิดผล.—มัดธาย 13:8, 23.
23. ผลอาจจะเป็นประการใดเมื่อเราจำ 2 เปโตร 3:18 ใส่ใจไว้? (โกโลซาย 1:9-12)
23 อุทาหรณ์ของพระเยซูแตกต่างไปบ้าง กระนั้น ผลต่าง ๆ ที่ดีก็ยังคงคล้ายกันกับสิ่งที่เปโตรได้สัญญาว่า “ด้วยเหตุผลนี้ทีเดียวแหละ โดยการที่ท่านทั้งหลายมีส่วนในการตอบรับความพยายามอย่างจริงจังทุกอย่าง จงเพิ่มความเชื่อของท่านทั้งหลายด้วยคุณความดี เพิ่มคุณความดีด้วยความรู้ . . . เพราะถ้าสิ่งเหล่านี้มีอยู่ในท่านทั้งหลาย และมีอยู่ล้นเหลือ นั่นจะป้องกันท่านไว้จากการอยู่เฉย ๆ หรือไม่เกิดผลเกี่ยวกับความรู้ถ่องแท้ในเรื่องพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา.” (2 เปโตร 1:5-8, ล.ม.) ใช่แล้ว ความเติบโตของเราในความรู้จะทำให้เราเป็นคนที่บังเกิดผล. เราจะประสบว่าการรับเอาความรู้มากขึ้น จะยิ่งน่าเพลิดเพลิน. (สุภาษิต 2:2-5) คุณจะจำสิ่งที่คุณเรียนได้ง่ายขึ้น และเป็นประโยชน์เมื่อคุณสอนคนอื่นให้เข้ามาเป็นสาวก. ฉะนั้น โดยวิธีนี้เช่นกัน คุณจะบังเกิดผลมากขึ้นและนำสง่าราศีมาสู่พระเจ้าและพระบุตรของพระองค์. เปโตรจบจดหมายฉบับที่สองของท่านดังนี้: “จงเติบโตต่อ ๆ ไปในพระกรุณาอันไม่พึงได้รับและในความรู้เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรา. ขอให้สง่าราศีเป็นของพระองค์ทั้งขณะนี้และจนตลอดชั่วกัลปาวสาน.”—2 เปโตร 3:18, ล.ม.
[เชิงอรรถ]
a “การเพิ่มพูนของเราในความรู้เปรียบเทียบกับการที่คนหนึ่ง ซึ่งสนใจเรียนรู้มากขึ้นเรื่องดวงจันทร์ ได้รับเมื่อเขาปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านตัวเองเพื่อจับตามองดวงจันทร์ในระยะใกล้เข้าไปอีก.”
b ความเชื่อและคุณความดี คุณสมบัติสองประการแรกแห่งข้อความตอนนี้ได้พิจารณาไปแล้วในวารสารของเราฉบับวันที่ 15 กรกฎาคม 1993.
c ข้อเสนอแนะเหล่านี้จะส่งเสริมบุคคลที่เป็นคริสเตียนมานานหลายปีเช่นกันให้ได้ประโยชน์มากขึ้นจากการศึกษาส่วนตัวและการเตรียมตัวสำหรับการประชุมต่าง ๆ.
คุณจำได้ไหม?
▫ ทำไมคุณควรสนใจในการเพิ่มพูนความรู้ของคุณ?
▫ โดยวิธีใดนักศึกษาพระคัมภีร์คนใหม่ ๆ จะได้รับประโยชน์มากขึ้นจากการศึกษา?
▫ คุณต้องการหลีกเลี่ยงอันตรายอะไร ดังชั้นดินเย็นแข็งคงตัวเป็นตัวอย่างเปรียบเทียบ?
▫ เพราะเหตุใดคุณควรตั้งใจจะปรับปรุงความสามารถของคุณเพื่อเพิ่มพูนความรู้?
[รูปภาพหน้า 15]
ฉันมีปัญหาไหมเกี่ยวกับจิตใจที่เป็นเสมือนชั้นดินเย็นแข็งคงตัว?