เหตุผลที่ว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นของประทานที่ได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้า
พระคัมภีร์แจ้งว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก” และถือว่าสติปัญญาและอำนาจเป็นของพระองค์. (1 โยฮัน 4:8; โยบ 12:13; ยะซายา 40:26) พระคัมภีร์บอกเราว่า “ทางทั้งปวงของพระองค์ยุติธรรม.” (พระบัญญัติ 32:4) ตามพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงสำแดงคุณลักษณะเช่นความเมตตาและความสงสาร.—เอ็กโซโด 34:6; โรม 9:15.
เพราะพระคัมภีร์ถือว่าคุณลักษณะดังกล่าวเป็นของพระยะโฮวาพระเจ้า พระคัมภีร์จึงชักนำให้มนุษย์สืบเสาะหาพระองค์. หนังสือนี้กล่าวถึงการทรงสร้าง ต้นเหตุของความบาปและความตาย และวิธีกลับคืนดีกับพระเจ้า. พระคัมภีร์เสนอความหวังที่ดึงดูดใจในเรื่องอุทยานที่ได้รับการฟื้นฟูบนแผ่นดินโลก. แต่ทั้งหมดนี้จะมีคุณค่าเฉพาะถ้าพิสูจน์ได้ว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นของประทานที่ได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้า.
พระคัมภีร์และวิทยาศาสตร์
พระคัมภีร์มีชัยชนะเหนือการวิจารณ์อยู่เสมอมา. อาทิเช่น เมื่ออ่านพระคัมภีร์ด้วยใจที่เปิดกว้าง ก็จะพบว่าพระคัมภีร์ประสานกับวิทยาศาสตร์แท้. แน่นอน คัมภีร์ไบเบิลได้รับการเตรียมไว้เป็นเครื่องนำทางฝ่ายวิญญาณ หาใช่เป็นตำราวิทยาศาสตร์ไม่. แต่ขอให้เราตรวจดูว่าพระคัมภีร์ลงรอยกับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์หรือไม่.
กายวิภาค: พระคัมภีร์บรรยายอย่างถูกต้องว่า ‘ทุกส่วน’ ของตัวอ่อนของเรา “ถูกเขียนลง.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:13-16, ล.ม.) สมอง, หัวใจ, ปอด, ดวงตา—สิ่งเหล่านี้และทุกส่วนแห่งร่างกายถูก ‘บันทึกลงไว้’ ในรหัสพันธุกรรมของไข่ที่ได้รับการผสมแล้วในครรภ์มารดา. มีตารางเวลาในตัว บรรจุอยู่ในรหัสพันธุกรรมเพื่อกำหนดเวลาให้ส่วนต่าง ๆ ปรากฏขึ้นมาในที่ที่เหมาะสมและเป็นระเบียบ. และคิดดูสิ! ข้อเท็จจริงนี้เกี่ยวกับการเจริญเติบโตของร่างกายมนุษย์ได้รับการบันทึกในคัมภีร์ไบเบิลเกือบ 3,000 ปี ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะค้นพบรหัสพันธุกรรม.
ชีวิตสัตว์: ตามพระคัมภีร์แล้ว “กระต่าย . . . บดเอื้องได้.” (เลวีติโก 11:6) ฟรังซัวส์ โบลิเอร์ (ธรรมชาติของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ปี 1964 หน้า 41) กล่าวว่า “นิสัยการส่งอาหารผ่านลำไส้สองครั้ง แทนครั้งเดียวนั้น ดูเหมือนจะเป็นปรากฏการณ์ปกติของกระต่ายเลี้ยงและกระต่ายป่า. ตามปกติกระต่ายบ้านกินและกลืนมูลของมันที่ถ่ายออกมาในเวลากลางคืนโดยไม่เคี้ยว ถึงขนาดที่มีมากถึงครึ่งหนึ่งของสิ่งที่มีอยู่ในกระเพาะในตอนเช้า. กระต่ายป่ากินอาหารซ้ำสองครั้งต่อวัน และมีรายงานว่ากระต่ายป่ายุโรปก็มีนิสัยอย่างเดียวกันนี้.” เกี่ยวกับเรื่องนี้งานวิจัยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมของโลก (โดย อี. พี. วอล์กเกอร์ ปี 1964 เล่ม 2 หน้า 647) กล่าวว่า “นี้อาจคล้าย ๆ กับ ‘การเคี้ยวเอื้อง’ ของสัตว์จำพวกวัวด้วย.”
โบราณคดี: บรรดากษัตริย์, เมือง, และชาติต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ได้กลับมาเป็นที่รู้จักโดยการค้นพบแผ่นดินเหนียว, เครื่องปั้นดินเผา, ศิลาจารึก, และอะไร ๆ ทำนองนั้น. อาทิเช่น ชนชาติเช่นชาวเฮธที่มีกล่าวถึงในพระคัมภีร์นั้นเคยมีอยู่จริง. (เอ็กโซโด 3:8) ในหนังสือ คัมภีร์ไบเบิลมีชีวิตขึ้นมา เซอร์ ชาร์ลส มาร์สทัน กล่าวไว้ว่า “คนเหล่านั้นที่ได้ทำให้ความเชื่อหลักของคนทั่วไปที่มีในพระคัมภีร์สั่นคลอนและบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์นั้น ในที่สุดก็ได้รับการบ่อนทำลายเองโดยหลักฐานที่มีการค้นพบ และอำนาจของเขาก็ถูกทำลาย. พลั่วที่ใช้ขุดกำลังไล่คำวิจารณ์ที่เป็นภัยนั้นออกจากขอบเขตของข้อเท็จจริงที่น่าสงสัยไปสู่เรื่องที่เสกสรรปั้นแต่งขึ้นอันเป็นที่ยอมรับ.”
โบราณคดีได้สนับสนุนพระคัมภีร์ในหลายประการ. ตัวอย่างเช่น การค้นพบต่าง ๆ ได้ยืนยันสถานที่และชื่อซึ่งปรากฏในเยเนซิศบท 10. นักขุดค้นได้ค้นพบเมืองอูระของชาวแคลเดีย อันเป็นศูนย์กลางด้านการค้าและด้านศาสนาที่อับราฮามได้กำเนิดมา. (เยเนซิศ 11:27-31) เหนือบ่อน้ำพุฆีโฮนในส่วนทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงยะรูซาเลม นักโบราณคดีได้พบเมืองยะบูศซึ่งกษัตริย์ดาวิดได้ยึดมา. (2 ซามูเอล 5:4-10) ในปี 1880 ได้มีการค้นพบคำจารึกซีโลอามที่สลักอยู่ ณ ปลายด้านหนึ่งของท่อน้ำของกษัตริย์ฮิศคียา. (2 กษัตริย์ 20:20) บันทึกเหตุการณ์ของนะโบไนดัสซึ่งได้บรรยายถึงการที่บาบูโลนตกเป็นของไซรัสมหาราชในปี 539 ก่อนสากลศักราชนั้นได้ถูกขุดค้นพบในศตวรรษที่ 19 สากลศักราช. รายละเอียดต่าง ๆ ในพระธรรมเอศเธระได้รับการยืนยันโดยศิลาจารึกจากเมืองเพอร์เซโพลิส และการค้นพบพระราชวังของกษัตริย์เซอร์เซส (อะหัศวะโรศ) ณ เมืองซูซัร หรือซูซา ระหว่างปี 1880 กับปี 1890 สากลศักราช. บทจารึกที่พบในปี 1961 ในซากปรักหักพังของโรงละครโรมันในเมืองซีซาเรียพิสูจน์การดำรงอยู่ของปนเตียว ปีลาต ผู้สำเร็จราชการชาวโรมันผู้ซึ่งมอบพระเยซูให้เอาไปตรึง.—มัดธาย 27:11-26.
ดาราศาสตร์: ราว ๆ 2,700 ปีมาแล้ว—เป็นเวลานานก่อนที่ประชาชนทั่วไปทราบว่าโลกกลม—ผู้พยากรณ์ยะซายาได้เขียนว่า “มีองค์ซึ่งประทับอยู่เหนือวงกลมแห่งแผ่นดินโลก.” (ยะซายา 40:22, ล.ม.) คำภาษาฮีบรู ชุก ซึ่งในที่นี้แปลว่า “วงกลม” นั้น อาจแปลได้ว่า “รูปทรงกลม.” (ดรรชนีพระคัมภีร์ฮีบรูและแคลดี, โดย บี. เดวิดสัน) นอกจากนี้ “วงกลม” แห่งขอบฟ้าของแผ่นดินโลกก็ยังเห็นได้ชัดจากอวกาศชั้นนอกด้วย และบางครั้งระหว่างการเดินทางบนเครื่องบินในระดับสูง. อนึ่ง โยบ 26:7 บอกว่าพระเจ้าทรง “ให้โลกห้อยอยู่โดยมิได้ติดกับอะไร.” เรื่องนี้เป็นความจริง เพราะนักดาราศาสตร์ทราบว่าโลกไม่มีสิ่งค้ำยันที่เห็นได้.
พฤกษศาสตร์: บางคนลงความเห็นอย่างผิด ๆ ว่าพระคัมภีร์ไม่ถูกต้องเพราะพระเยซูคริสต์ตรัสถึง “พันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง” ว่า “เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง.” (มาระโก 4:30-32) พระเยซูคงทรงหมายถึงเมล็ดของต้นมัสตาร์ดดำ (บราสสิคา นิกรา หรือ ซินาพิส นิกรา) ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงราว ๆ 0.039 ถึง 0.063 นิ้ว. ถึงแม้มีเมล็ดพืชที่เล็กกว่า เช่นเมล็ดของกล้วยไม้ที่ละเอียดเหมือนแป้งก็ตาม พระเยซูมิได้ตรัสกับคนที่ปลูกกล้วยไม้. ชาวยิวในฆาลิลายเหล่านั้นรู้ว่าในท่ามกลาง ๆ เมล็ดพืชชนิดต่าง ๆ ที่กสิกรในท้องถิ่นหว่าน เมล็ดพันธุ์ผักกาดนับว่าเล็กที่สุด. พระเยซูกำลังตรัสถึงเรื่องราชอาณาจักร มิใช่สอนบทเรียนในเรื่องพฤกษศาสตร์.
ธรณีวิทยา: วอลเลซ แพรตต์ นักธรณีวิทยาผู้มีชื่อเสียง ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องราวการทรงสร้างในพระคัมภีร์ว่า “หากผมในฐานะนักธรณีวิทยาได้รับเชิญให้อธิบายย่อ ๆ ถึงความเห็นสมัยปัจจุบันของเราในเรื่องต้นกำเนิดของแผ่นดินโลกและพัฒนาการของชีวิตบนโลกแก่คนเลี้ยงแกะที่ไม่รู้อะไรเลย เช่น เผ่าต่าง ๆ ที่พระธรรมเยเนซิศได้กล่าวถึงนั้น ผมไม่อาจทำได้ดีไปกว่าการติดตามภาษาของเยเนซิศบทแรกอย่างใกล้ชิด.” แพรตต์ได้ให้อรรถาธิบายไว้ว่าลำดับของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเยเนซิศ—ต้นกำเนิดของมหาสมุทร การโผล่ของแผ่นดิน และครั้นแล้วการปรากฏของชีวิตในทะเล นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม—ในขั้นพื้นฐานแล้วเป็นลำดับของการแบ่งแยกที่สำคัญของยุคทางธรณีวิทยา.
การแพทย์: ในหนังสือ แพทย์ตรวจสอบคัมภีร์ไบเบิล ซี. ไรเมอร์ สมิทได้เขียนว่า “เป็นเรื่องน่าประหลาดทีเดียวสำหรับผมที่คัมภีร์ไบเบิลถูกต้องจริง ๆ จากทัศนะทางการแพทย์. . . . เมื่อมีการกล่าวถึงการรักษา ในเรื่องฝี, บาดแผล ฯลฯ พระคัมภีร์นับว่าถูกต้องแม้ตามมาตรฐานสมัยปัจจุบัน. . . . ประชาชนมากมายยังคงเชื่อในการถือโชคลางหลายอย่างอยู่ เช่นที่ว่าเมล็ดตากวางในกระเป๋าจะป้องกันโรคไขข้อ การจับต้องคางคกจะทำให้เป็นหูด การสวมใส่ผ้าสักหลาดสีแดงไว้รอบคอจะรักษาคออักเสบให้หาย การใส่ถุงมหาหิงค์จะป้องกันโรค ทุกครั้งที่เด็กป่วยก็เพราะมีพยาธิ ฯลฯ แต่ถ้อยแถลงดังกล่าวไม่ปรากฏในพระคัมภีร์. เรื่องนี้ในตัวมันเองก็นับว่าน่าทึ่ง และสำหรับผมแล้วเป็นข้อพิสูจน์อีกอย่างหนึ่งว่าพระคัมภีร์มีต้นกำเนิดจากพระเจ้า.”
น่าเชื่อถือในเรื่องรายละเอียดทางประวัติศาสตร์
ในหนังสือ นักกฎหมายตรวจสอบคัมภีร์ไบเบิล ทนายความเออร์วิน เอ็ช. ลินทันได้กล่าวว่า “ขณะที่เทพนิยาย, ตำนาน, และคำพยานที่ไม่จริง ระมัดระวังในการจัดให้เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องด้วยนั้นอยู่ในสถานที่อันห่างไกลบางแห่งและเวลาที่ไม่แน่นอน โดยวิธีนี้ จึงละเมิดกฎข้อแรกที่เรานักกฎหมายเรียนรู้มาในเรื่องการแก้คดีอย่างถูกต้องตามกฎหมายที่ว่า ‘คำแถลงต้องบอกเวลาและสถานที่’ การบรรยายของพระคัมภีร์บอกเราถึงวันเวลาและสถานที่ของเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องด้วยโดยความถูกต้องในระดับสูงสุด.”
เพื่อพิสูจน์จุดสำคัญข้อนี้ ลินทันได้อ้างอิงถึงลูกา 3:1, 2. ที่นั่นผู้เขียนกิตติคุณได้กล่าวถึงข้าราชการเจ็ดคนเพื่อที่จะกำหนดเวลาที่พระเยซูคริสต์เริ่มต้นงานประกาศของพระองค์. โปรดสังเกตรายละเอียดที่ลูกาเสนอไว้ในถ้อยคำเหล่านี้: “เมื่อปีที่สิบห้าในรัชกาลติเบเรียวกายะซา, ปนเตียว ปีลาตเป็นเจ้าเมืองยูดาย, เฮโรดเป็นเจ้าเมืองฆาลิลาย, ฟีลิปน้องชายของเฮโรดเป็นเจ้าเมืองอิตูรายะกับเมืองตราโคนิต, ลุซาเนียเป็นเจ้าเมืองอะบีเลน, และอันนาศกับกายะฟาเป็นมหาปุโรหิต, คราวนั้นคำของพระเจ้ามาถึงโยฮันบุตรซะคาเรียในป่า.”
พระคัมภีร์เต็มไปด้วยรายละเอียดอย่างเดียวกัน. นอกจากนั้น ส่วนของพระคัมภีร์อย่างเช่น กิตติคุณนั้น ได้รับการเขียนระหว่างยุคที่วัฒนธรรมของยิว, กรีก, และโรมันเจริญมาก. นั่นเป็นสมัยแห่งนักกฎหมาย, นักเขียน, นักบริหาร, และคนที่มีอาชีพคล้าย ๆ กัน. แน่นอน ถ้าหากรายละเอียดที่ปรากฏในกิตติคุณและส่วนอื่น ๆ ของพระคัมภีร์ไม่เป็นเรื่องจริงแล้ว ก็คงจะมีการเปิดโปงเรื่องเหล่านั้นว่ามีลักษณะหลอกลวงแน่ ๆ. แต่นักประวัติศาสตร์ฝ่ายโลกยืนยันจุดสำคัญอย่างเช่น การดำรงอยู่ของพระเยซูคริสต์. ตัวอย่างเช่น ทาซิทุส นักประวัติศาสตร์โรมัน ได้เขียนเกี่ยวกับพระเยซูและพวกสาวกของพระองค์ว่า “คริสทุสอันเป็นที่มาของชื่อนี้ [คริสเตียน] ทนรับโทษประหารชีวิตในรัชกาลติเบริอุส ด้วยน้ำมือของเจ้าเมืองคนหนึ่งของพวกเรา ปนเตียว ปีลาต.” (หนังสือแอนนัลส์ เล่ม 15 หมวด 44) ความถูกต้องแม่นยำทางประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์ช่วยพิสูจน์ว่า พระคัมภีร์เป็นของประทานจากพระเจ้าสำหรับมนุษยชาติ.
หลักฐานที่หนักแน่นที่สุด
ถึงแม้โบราณคดี, ดาราศาสตร์, ประวัติศาสตร์, และขอบเขตอื่น ๆ ของความรู้สนับสนุนพระคัมภีร์ก็ตาม ความเชื่อในพระคัมภีร์มิได้อาศัยพยานหลักฐานดังกล่าว. ในบรรดาหลักฐานหลายประการที่ว่าพระคัมภีร์เป็นของประทานที่ได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้าสำหรับพวกเรานั้น ไม่อาจเสนอหลักฐานอะไรที่หนักแน่นยิ่งไปกว่าความสมจริงของคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์นั้นได้.
พระยะโฮวาพระเจ้าทรงเป็นบ่อเกิดแห่งคำพยากรณ์แท้. พระองค์ตรัสโดยทางยะซายาผู้พยากรณ์ของพระองค์ว่า “นี่แน่ะ บรรดาสิ่งที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นก็สำเร็จไปหมดแล้ว และเราบอกล่วงหน้าถึงสิ่งใหม่ ๆ. เราประกาศสิ่งเหล่านั้นให้เจ้ารู้ก่อนสิ่งเหล่านั้นได้เกิดขึ้น.” (ยะซายา 42:9) นอกจากนั้น พระคัมภีร์แจ้งว่าผู้เขียนได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้าโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือพลังปฏิบัติการของพระองค์. ตัวอย่างเช่น คริสเตียนอัครสาวกเปาโลได้เขียนว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้า.” (2 ติโมเธียว 3:16, ล.ม.) อัครสาวกเปโตรเขียนว่า “ไม่มีคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ที่เกิดจากการแปลความหมายตามอำเภอใจแต่อย่างใด. เพราะไม่มีคราวใดที่มีการนำคำพยากรณ์ออกมาตามน้ำใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้กล่าวมาจากพระเจ้า ตามที่เขาได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์.” (2 เปโตร 1:20, 21, ล.ม.) ดังนั้น ขอให้เราพิจารณาดูคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์.
ในบรรดาคำพยากรณ์หลายร้อยข้อในพระคัมภีร์ก็มีเรื่องเกี่ยวกับนีนะเว เมืองหลวงของอัสซีเรีย “นครอันแปดเปื้อนไปด้วยโลหิต” ซึ่งทำให้ความหวาดกลัวแทรกซึมไปทั่วตะวันออกกลางในสมัยโบราณเป็นเวลา 1,500 กว่าปี. (นาฮูม 3:1) กระนั้น ณ จุดสุดยอดแห่งอำนาจของนีนะเว พระคัมภีร์ได้บอกล่วงหน้าไว้ว่า “[พระเจ้า] จะกระทำเมืองนีนะเวให้เป็นที่ชำรุดร้างแห้งแล้งดุจป่าดอน. บรรดาฝูงสัตว์ป่าต่าง ๆ จะนอนลง ณ ท่ามกลางที่นั่น. ทั้งนกกระทุงและเม่นจะอาศัยอยู่ในขอบประตูเบื้องบน. จะมีสำเนียงร้องเป็นอันดังที่หน้าต่าง. จะมีความทำลายร้างที่ธรณี ด้วยว่าพระองค์ได้เปิดรื้อเครื่องบนอันทำด้วยไม้สน.” (ซะฟันยา 2:13, 14) ปัจจุบัน ผู้มาเยือนพบเห็นว่ามีแต่เนินดินเท่านั้นที่ทิ้งร่องรอยสถานที่อันรกร้างของเมืองนีนะเวโบราณไว้. นอกจากนี้ ฝูงแกะกินหญ้าอยู่ที่นั่น ตามที่บอกไว้ล่วงหน้า.
ดานิเอล ผู้พยากรณ์ของพระเจ้าได้แลเห็นแกะตัวผู้ที่มีสองเขา และแพะตัวผู้ที่มีเขาใหญ่อยู่ระหว่างตาสองข้างในนิมิต. แพะนั้นชนแกะ ทำให้เขาทั้งสองของแกะหัก. หลังจากนั้น เขาใหญ่ของแพะนั้นก็หัก แล้วมีอีกสี่เขาขึ้นมาแทนที่. (ดานิเอล 8:1-8) ทูตสวรรค์ฆับริเอลได้อธิบายว่า “แกะตัวผู้ซึ่งท่านเห็นมีสองเขานั้น คือราชาของมาดายและฟารัศ [เปอร์เซีย]. แพะตัวผู้นั้น คือราชาของเฮเลน [กรีซ] และเขาสัตว์อันใหญ่ระหว่างลูกตาสองข้างนั้น คือราชาองค์แรก. พอเขาสัตว์หักลงแล้ว และสี่เขาขึ้นมาแทนที่นั้น ก็ได้แก่สี่อาณาจักรจะบังเกิดขึ้นจากประเทศของเขา แต่ก็ไม่เรืองนามเหมือนดังตัวเขา.” (ดานิเอล 8:20-22) ดังที่ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์นั้น แกะตัวผู้ที่มีสองเขา—จักรภพมิโด-เปอร์เซีย—ได้ถูกโค่นล้มโดย “ราชาของเฮเลน [กรีซ].” แพะตัวผู้โดยอุปมานั้นมี “เขาสัตว์อันใหญ่” นั้นเล็งถึงอะเล็กซานเดอร์มหาราช. หลังจากความตายของเขา นายพลสี่คนของเขาได้เข้ามาแทนที่ “เขาสัตว์อันใหญ่” นั้น โดยสถาปนาตัวเองมีอำนาจใน “สี่อาณาจักร.”
คำพยากรณ์จำนวนมากมายในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู (“พระคริสต์ธรรมเดิม”) ได้สมจริงในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระเยซูคริสต์. ข้อเหล่านี้บางข้อได้ถูกนำมาใช้กับพระองค์โดยผู้เขียนพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก (“พระคริสต์ธรรมใหม่”) ที่ได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้า. อาทิเช่น มัดธายผู้เขียนกิตติคุณชี้ถึงความสมจริงของคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ในเรื่องการประสูติของพระเยซูโดยทางสาวพรหมจารี, เรื่องการที่พระองค์มีผู้เบิกทาง, และในการที่พระองค์เสด็จเข้าสู่กรุงยะรูซาเลมบนหลังลูกลา. (เทียบมัดธาย 1:18-23; 3:1-3; 21:1-9 กับยะซายา 7:14; 40:3; ซะคาระยา 9:9.) คำพยากรณ์ที่สมจริงดังกล่าวช่วยพิสูจน์ว่าพระคัมภีร์เป็นของประทานที่ได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้าจริง ๆ.
ความสมจริงของคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์สมัยปัจจุบันพิสูจน์ว่าเราดำรงชีวิตอยู่ใน “สมัยสุดท้าย.” (2 ติโมเธียว 3:1-5) สงคราม, การขาดแคลนอาหาร, โรคระบาด, และแผ่นดินไหว ในขอบข่ายใหญ่โตอย่างที่ไม่มีใดเทียบนั้นเป็นส่วนหนึ่งใน “สัญลักษณ์” แห่ง “การประทับ” ของพระเยซู ด้วยอำนาจแห่งราชอาณาจักร. สัญลักษณ์นั้นนับรวมเอากิจการงานทั่วโลกของพยานพระยะโฮวามากกว่าสี่ล้านคน ผู้ซึ่งประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรที่ได้รับการสถาปนาขึ้นแล้วนั้นด้วย. (มัดธาย 24:3-14; ลูกา 21:10, 11) คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ที่ประสบความสมจริงอยู่ในขณะนี้ทำให้เรามั่นใจด้วยว่ารัฐบาลฝ่ายสวรรค์ของพระเจ้าจะนำมาซึ่งโลกใหม่แห่งความสุขถาวรสำหรับมนุษยชาติที่เชื่อฟังในไม่ช้า.—2 เปโตร 3:13; วิวรณ์ 21:1-5.
แผนภูมิประกอบที่มีหัวข้อ “คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ที่สมจริงแล้ว” เสนอเพียงไม่กี่ข้อจากคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์หลายร้อยข้อที่อาจลงรายการไว้ได้. ความสมจริงของข้อเหล่านี้บางข้อแสดงชัดอยู่ในพระคัมภีร์เอง แต่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษได้แก่คำพยากรณ์ที่กำลังสมจริงอยู่ในทุกวันนี้.
คุณอาจมองเห็นเหตุการณ์ทั่วโลกบางอย่างที่มีบอกไว้ล่วงหน้าในพระคัมภีร์ก็ได้. แต่ทำไมไม่สืบสวนดูต่อไปล่ะ? พยานพระยะโฮวายินดีเสนอรายละเอียดเพิ่มเติมตามที่คุณต้องการ. และขอให้การสืบหาความรู้อย่างจริงใจของคุณในเรื่องพระผู้สูงสุดและพระประสงค์ของพระองค์ทำให้คุณมั่นใจว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นของประทานที่ได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้าอย่างแท้จริง.
[ที่มาของภาพหน้า 7]
คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ที่สมจริงแล้ว
คำพยากรณ์ ความสมจริงของคำพยากรณ์
เยเนซิศ 49:10 ยูดาถูกตั้งเป็นราชตระกูลแห่งยิศราเอล (1 โครนิกา 5:2; เฮ็บราย 7:14)
ซะฟันยา 2:13, 14 นีนะเวถูกทำให้ร้างว่างเปล่าราว ๆ ปี 632 ก่อนสากลศักราช
ยิระมะยา 25:1-11; ยะซายา 39:6 การพิชิตกรุงยะรูซาเลมซึ่งเป็นการเริ่มต้นการรกร้างเป็นเวลา 70 ปี (2 โครนิกา 36:17-21; ยิระมะยา 39:1-9)
ยะซายา 13:1, 17-22; 44:24-28; 45:1, 2 ไซรัสพิชิตบาบุโลน พวกยิวกลับคืนบ้านเกิด (2 โครนิกา 36:20-23; เอษรา 1:1-4; 2:1)
ดานิเอล 8:3-8, 20-22 มิโด-เปอร์เซียถูกโค่นล้มโดยอเล็กซานเดอร์มหาราช และจักรภพกรีกถูกแบ่งแยก
ยะซายา 7:14; มีคา 5:2 พระเยซูประสูติจากสาวพรหมจารีในเมืองเบธเลเฮม (มัดธาย 1:18-23; 2:1-6)
ดานิเอล 9:24-26 การเจิมพระเยซูฐานะพระมาซีฮา (สากลศักราช 29) (ลูกา 3:1-3, 21-23)
ยะซายา 9:1, 2 งานรับใช้ของพระเยซูที่ให้ความสว่างนั้นเริ่มต้นในฆาลิลาย (มัดธาย 4:12-23)
ยะซายา 53:4, 5, 12 ความตายของพระคริสต์ฐานะเป็นเครื่องบูชาไถ่ (มัดธาย 20:28; 27:50)
บทเพลงสรรเสริญ 22:18 การจับฉลากฉลองพระองค์ของพระเยซู (โยฮัน 19:23, 24)
บทเพลงสรรเสริญ 16:10; มัดธาย 12:40 การกลับเป็นขึ้นจากตายของพระคริสต์ในวันที่สาม (มาระโก 16:1-6; 1 โกรินโธ 15:3-8)
ลูกา 19:41-44; 21:20-24 การทำลายกรุงยะรูซาเลมโดยพวกโรมัน (สากลศักราช 70)
ลูกา 21:10, 11; มัดธาย 24: 3-13; 2 ติโมเธียว 3:1-5 การสงครามแบบไม่มีใดเทียบ, ความอดอยาก, แผ่นดินไหว, โรคระบาด, การละเลยกฎหมาย, และอื่น ๆ แสดงถึง “สมัยสุดท้าย”
มัดธาย 24:14; ยะซายา 43:10; บทเพลงสรรเสริญ 2:1-9 การประกาศทั่วโลกโดยพยานพระยะโฮวาว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าได้รับการสถาปนาขึ้นแล้ว และในไม่ช้าจะพิชิตบรรดาผู้ต่อต้านทั้งสิ้น.
มัดธาย 24:21-34; วิวรณ์ 7:9-17 ครอบครัวพยานพระยะโฮวานานาชาตินมัสการพระเจ้า และเตรียมตัวสำหรับการรอดพ้น “ความทุกข์ลำบากใหญ่”
[รูปภาพหน้า 8]
สงคราม, ความอดอยาก, โรคระบาด, และแผ่นดินไหว, ก่ออันตรายมากมายในทุกวันนี้ แต่โลกใหม่แห่งสันติภาพและความสุขจวนจะถึงอยู่แล้ว