บท 2
หนังสือที่เปิดเผยความรู้ของพระเจ้า
1, 2. ทำไมเราต้องได้รับการชี้นำจากพระผู้สร้างของเรา?
นับว่ามีเหตุผลทีเดียวที่พระผู้สร้างของเราองค์เปี่ยมด้วยความรักจะจัดเตรียมหนังสือที่มีคำแนะนำและการชี้แนะไว้สำหรับมนุษยชาติ. และคุณเห็นด้วยมิใช่หรือว่า มนุษย์จำเป็นต้องมีเครื่องนำทาง?
2 สองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว ผู้พยากรณ์และนักประวัติศาสตร์คนหนึ่งได้เขียนว่า “ไม่ใช่ที่มนุษย์ซึ่งดำเนินนั้นจะได้กำหนดก้าวของตัวได้.” (ยิระมะยา 10:23) ปัจจุบัน ความเป็นจริงของคำแถลงนั้นปรากฏชัดยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา! ด้วยเหตุนี้ นักประวัติศาสตร์วิลเลียม เอช. แมกนีลล์ อรรถาธิบายไว้ว่า “สิ่งที่มนุษย์ประสบบนดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นวิกฤตกาลและการแตกแยกซึ่งมีต่อเนื่องกันแทบไม่ขาดตอนของระเบียบที่จัดตั้งขึ้นของสังคม.”
3, 4. (ก) เราควรมีเจตคติเช่นไรต่อการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล? (ข) เราจะตรวจสอบคัมภีร์ไบเบิลต่อไปโดยวิธีใด?
3 คัมภีร์ไบเบิลสนองความจำเป็นทุกอย่างของเราในเรื่องคำชี้นำที่สุขุม. จริงอยู่ หลายคนท้อเมื่อพิจารณาคัมภีร์ไบเบิลเป็นครั้งแรก เป็นหนังสือเล่มใหญ่ และบางตอนของพระคัมภีร์ก็เข้าใจยาก. แต่ถ้าคุณได้รับพินัยกรรมซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่คุณต้องทำเพื่อจะได้รับมรดกอันล้ำค่า คุณจะไม่ใช้เวลาศึกษาเอกสารนั้นอย่างถี่ถ้วนหรือ? หากพบว่าบางตอนในเอกสารนั้นเข้าใจยาก คุณคงจะขอความช่วยเหลือจากคนที่เคยประสบเรื่องเช่นนั้นมาก่อน. ทำไมไม่มีเจตคติที่คล้ายกันต่อการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล? (กิจการ 17:11) นี่เป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าเรื่องมรดกทางวัตถุ. ดังที่เราเรียนรู้ในบทก่อน ความรู้ของพระเจ้าสามารถนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์.
4 ขอให้เราตรวจสอบหนังสือที่เปิดเผยความรู้ของพระเจ้า. ทีแรกเราจะดูคัมภีร์ไบเบิลคร่าว ๆ. ครั้นแล้วเราจะพิจารณาเหตุผลที่ผู้คนมากมายที่มีความรู้เชื่อว่าพระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้าที่มีขึ้นโดยการดลใจ.
สิ่งที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล
5. (ก) พระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูประกอบด้วยอะไรบ้าง? (ข) พระคัมภีร์ภาคภาษากรีกประกอบด้วยอะไรบ้าง?
5 คัมภีร์ไบเบิลประกอบด้วยพระธรรม 66 เล่มในสองภาค มักเรียกกันว่า ภาคพันธสัญญาเดิมและภาคพันธสัญญาใหม่. พระธรรม 39 เล่มในคัมภีร์ไบเบิลส่วนใหญ่ได้รับการเขียนเป็นภาษาฮีบรู และ 27 เล่มเป็นภาษากรีก. พระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู ประกอบด้วยพระธรรมเยเนซิศถึงพระธรรมมาลาคี ครอบคลุมเรื่องการสร้างอีกทั้งประวัติศาสตร์ช่วง 3,500 ปีแรกของมนุษย์. เมื่อเราตรวจสอบส่วนนี้ของคัมภีร์ไบเบิล เราเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติกับชนยิศราเอล—ตั้งแต่ที่พวกเขากำเนิดเป็นชาติในศตวรรษที่ 16 ก.ส.ศ.ไปจนถึงศตวรรษที่ 5 ก.ส.ศ.a พระคัมภีร์ภาคภาษากรีก ประกอบด้วยพระธรรมมัดธายถึงพระธรรมวิวรณ์ รวมจุดอยู่ที่คำสั่งสอนและกิจการงานของพระเยซูคริสต์และเหล่าสาวกของพระองค์ระหว่างศตวรรษแรกแห่งสากลศักราช.
6. ทำไมเราควรศึกษาคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่ม?
6 บางคนอ้างว่า “พันธสัญญาเดิม” นั้นสำหรับพวกยิว และ “พันธสัญญาใหม่” สำหรับคริสเตียน. แต่ตาม 2 ติโมเธียว 3:16 (ล.ม.) นั้น “พระคัมภีร์ทุกตอน มีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้าและเป็นประโยชน์.” เพราะฉะนั้น การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างถูกต้องนั้นต้องรวมเอาคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่ม. ที่จริง คัมภีร์ไบเบิลทั้งสองภาคเสริมกันและกัน ประสานกลมกลืนกันจนเป็นอรรถบทเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ.
7. อะไรคืออรรถบทของคัมภีร์ไบเบิล?
7 บางทีคุณได้เข้าร่วมในพิธีนมัสการทางศาสนามาเป็นเวลาหลายปี และได้ยินการอ่านออกเสียงบางตอนในคัมภีร์ไบเบิล. หรือบางทีคุณเองอาจเคยอ่านข้อความที่คัดมาจากพระคัมภีร์. คุณทราบไหมว่า คัมภีร์ไบเบิลมีแนวคิดเดียวกันตั้งแต่พระธรรมเยเนซิศจนถึงพระธรรมวิวรณ์? ถูกแล้ว อรรถบทที่ลงรอยกันมีอยู่ตลอดคัมภีร์ไบเบิล. อรรถบทนั้นคืออะไร? คือการเชิดชูสิทธิของพระเจ้าที่จะปกครองมนุษยชาติและการทำให้พระประสงค์อันเปี่ยมด้วยความรักของพระองค์สำเร็จโดยทางราชอาณาจักร. ภายหลัง เราจะดูว่าพระเจ้าจะทำให้พระประสงค์นี้สำเร็จอย่างไร.
8. คัมภีร์ไบเบิลเปิดเผยอะไรเกี่ยวกับบุคลิกภาพของพระเจ้า?
8 นอกจากกล่าวถึงพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว คัมภีร์ไบเบิลเผยให้ทราบบุคลิกภาพของพระองค์. ตัวอย่างเช่น จากคัมภีร์ไบเบิลเราเรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงมีความรู้สึกและการเลือกของเราเป็นเรื่องสำคัญสำหรับพระองค์. (บทเพลงสรรเสริญ 78:40, 41; สุภาษิต 27:11; ยะเอศเคล 33:11) บทเพลงสรรเสริญ 103:8-14 บอกว่า พระเจ้า “ทรงพระเมตตากรุณา, พระองค์ทรงพระพิโรธช้า ๆ, และทรงพระเมตตาบริบูรณ์.” พระองค์ทรงปฏิบัติกับเราอย่างเห็นอกเห็นใจ ‘ทรงระลึกว่าเราถูกสร้างจากผงคลี’ และกลับไปเป็นผงคลีเมื่อตาย. (เยเนซิศ 2:7; 3:19) พระองค์ทรงสำแดงคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมเสียจริง ๆ! พระเจ้าแบบนี้มิใช่หรือที่คุณต้องการนมัสการ?
9. คัมภีร์ไบเบิลช่วยให้เรามองเห็นมาตรฐานของพระเจ้าอย่างชัดเจนอย่างไร และเราสามารถได้รับประโยชน์อย่างไรจากความรู้เช่นนั้น?
9 คัมภีร์ไบเบิลยังช่วยเราให้มองเห็นมาตรฐานของพระเจ้าอย่างชัดเจน. บางครั้งมีการแถลงมาตรฐานเหล่านี้เป็นกฎหมาย. อย่างไรก็ดี บ่อยครั้งมีการแสดงมาตรฐานเหล่านี้ด้วยหลักการต่าง ๆ ที่สอนกันโดยใช้ตัวอย่างชีวิตจริง. พระเจ้าทรงให้บันทึกเหตุการณ์บางอย่างในประวัติศาสตร์ของชนชาติยิศราเอลโบราณไว้ก็เพื่อผลประโยชน์ของเรา. เรื่องราวที่ตรงไปตรงมาเหล่านี้แสดงให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผู้คนปฏิบัติประสานกับพระประสงค์ของพระเจ้า รวมทั้งผลลัพธ์ที่น่าเศร้าเมื่อพวกเขาดำเนินการอย่างเป็นเอกเทศ. (1 กษัตริย์ 5:4; 11:4-6; 2 โครนิกา 15:8-15) การอ่านเรื่องราวชีวิตจริงดังกล่าวจะมีผลกระทบหัวใจของเราอย่างแท้จริง. หากเราพยายามนึกวาดภาพเหตุการณ์ที่มีบันทึกไว้ เราก็เอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับผู้คนที่มีส่วนพัวพันในเหตุการณ์เหล่านั้น. ด้วยเหตุนี้ เราสามารถได้รับประโยชน์จากตัวอย่างที่ดีและหลีกเลี่ยงหลุมพรางที่ดักจับผู้กระทำผิดนั้น. อย่างไรก็ดี คำถามสำคัญยิ่งนี้จำต้องได้รับคำตอบ นั่นคือ เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า สิ่งที่เราอ่านในคัมภีร์ไบเบิลนั้นมีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้าอย่างแท้จริง?
คุณไว้ใจคัมภีร์ไบเบิลได้ไหม?
10. (ก) ทำไมบางคนรู้สึกว่า คัมภีร์ไบเบิลล้าสมัย? (ข) 2 ติโมเธียว 3:16, 17 บอกอะไรแก่เราเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล?
10 บางทีคุณได้สังเกตว่า หนังสือหลายเล่มที่ให้คำแนะนำกลายเป็นหนังสือล้าสมัยภายในแค่ไม่กี่ปี. จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล? คัมภีร์ไบเบิลเก่าแก่มาก และเวลาได้ผ่านไปเกือบ 2,000 ปีตั้งแต่มีการเขียนถ้อยคำสุดท้ายของคัมภีร์ไบเบิล. เพราะฉะนั้น บางคนรู้สึกว่า คัมภีร์ไบเบิลใช้ไม่ได้กับยุคปัจจุบันของเรา. แต่หากคัมภีร์ไบเบิลมีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้าแล้ว คำแนะนำของพระคัมภีร์ควรจะทันสมัยอยู่เสมอถึงแม้จะเก่าแก่ก็ตาม. พระคัมภีร์น่าจะยังเป็น “ประโยชน์เพื่อการสั่งสอน เพื่อการว่ากล่าว เพื่อจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย เพื่อตีสอนด้วยความชอบธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เตรียมพร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง.”—2 ติโมเธียว 3:16, 17, ล.ม.
11-13. ทำไมเราสามารถกล่าวได้ว่า คัมภีร์ไบเบิลใช้การได้จริงสำหรับสมัยของเรา?
11 การตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแสดงว่า หลักการในคัมภีร์ไบเบิลนำมาใช้ได้ในปัจจุบัน เหมือนกับที่ใช้ได้ตอนที่มีการจารึกทีแรก. ตัวอย่างเช่น เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งซึ่งนำมาใช้ได้กับมนุษยชาติทุกชั่วอายุ. เราเห็นเรื่องนี้ได้ง่าย ๆ ในคำเทศน์ของพระเยซูบนภูเขา ซึ่งพบในพระธรรมมัดธายบท 5 ถึงบท 7. คำเทศน์นี้ให้ความประทับใจแก่โมฮานดัส เค. คานธี ผู้นำอินเดียที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งกล่าวกันว่าเขาบอกแก่อุปราชจากอังกฤษดังนี้: “เมื่อใดที่ประเทศของท่านและของข้าพเจ้าตกลงกันตามคำสอนที่พระคริสต์ทรงบัญญัติไว้ในคำเทศน์บนภูเขา พวกเราคงแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ ไม่เฉพาะปัญหาในประเทศเรา แต่ปัญหาของทั้งโลกด้วย.”
12 ไม่น่าประหลาดใจที่ผู้คนรู้สึกประทับใจเนื่องจากคำสอนของพระเยซู! ในคำเทศน์บนภูเขา พระองค์ทรงแสดงให้เราเห็นหนทางสู่ความสุขแท้. พระองค์ทรงอธิบายวิธีจัดการข้อพิพาท. พระเยซูทรงให้คำแนะนำเรื่องวิธีอธิษฐาน. พระองค์ทรงชี้ให้เห็นเจตคติที่ฉลาดสุขุมที่สุดที่พึงมีต่อสิ่งจำเป็นด้านวัตถุและประทานกฎทองให้เพื่อมีสัมพันธภาพอันเหมาะสมกับคนอื่น. วิธีตรวจสอบความหลอกลวงทางศาสนาและวิธีมีอนาคตที่ปลอดภัยก็อยู่ในจุดต่าง ๆ ที่ครอบคลุมอยู่ในคำเทศน์นี้.
13 ในคำเทศน์บนภูเขาและตลอดส่วนอื่นนอกเหนือจากนี้ คัมภีร์ไบเบิลบอกเราอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่พึงทำและสิ่งที่พึงหลีกเลี่ยงเพื่อที่จะปรับปรุงสภาพชีวิตของเรา. คำแนะนำของพระคัมภีร์ใช้การได้จริงจนกระตุ้นผู้ให้การศึกษาคนหนึ่งพูดว่า “ถึงแม้เป็นที่ปรึกษาในโรงเรียนมัธยมปลายพร้อมกับมีปริญญาตรีกับปริญญาโทและได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพจิตและจิตวิทยามากมายก็ตาม ผมได้พบว่า คำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิลในเรื่องต่าง ๆ เช่น การมีชีวิตสมรสที่ประสบผลสำเร็จ, การป้องกันความเสเพลของเยาวชนและวิธีได้เพื่อนและรักษาความเป็นเพื่อนไว้นั้นยอดเยี่ยมกว่าเรื่องใด ๆ ที่ผมเคยอ่านหรือศึกษามาในวิทยาลัยนั้นมากนัก.” นอกจากใช้การได้จริงและทันสมัยแล้ว คัมภีร์ไบเบิลเชื่อถือได้.
ถูกต้องแม่นยำและไว้ใจได้
14. ตัวอย่างอะไรแสดงว่า คัมภีร์ไบเบิลถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์?
14 ถึงแม้คัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่ตำราวิทยาศาสตร์ แต่ก็ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์. ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่าโลกแบน ผู้พยากรณ์ยะซายาได้กล่าวถึงโลกว่าเป็น “วงกลม” (ภาษาฮีบรู ชูกฮ์ ซึ่ง ณ ที่นี้มีความหมายว่า “รูปกลม”). (ยะซายา 40:22, ล.ม.) แนวคิดเรื่องโลกมีรูปทรงกลมไม่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางจนกระทั่งหลายพันปีหลังจากสมัยของยะซายา. นอกจากนั้น โยบ 26:7 ซึ่งเขียนไว้กว่า 3,000 ปีมาแล้ว กล่าวว่า พระเจ้า “ทรงให้โลกห้อยอยู่โดยมิได้ติดกับอะไร.” ผู้คงแก่เรียนทางด้านคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งกล่าวว่า “โยบทราบความจริงซึ่งดาราศาสตร์ได้พิสูจน์ยืนยันนั้นได้อย่างไรที่ว่า โลกห้อยอยู่ในอวกาศที่ว่างเปล่า นั้นเป็นคำถามที่ตอบยากสำหรับคนเหล่านั้นที่ปฏิเสธการที่พระคัมภีร์บริสุทธิ์มีขึ้นโดยการดลใจ.”
15. ลักษณะการรายงานของคัมภีร์ไบเบิลเสริมความมั่นใจในคัมภีร์ไบเบิลอย่างไร?
15 ลักษณะการรายงานที่พบในคัมภีร์ไบเบิลยังทำให้เรามั่นใจในหนังสือที่มีอายุเก่าแก่เล่มนี้เช่นกัน. ต่างจากเทพนิยาย เหตุการณ์ที่มีบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวข้องกับผู้คนและวันเดือนปีที่บ่งชัด. (1 กษัตริย์ 14:25; ยะซายา 36:1; ลูกา 3:1, 2) และขณะที่นักประวัติศาสตร์โบราณแทบจะพูดเกินความจริงเสมอเกี่ยวกับชัยชนะแห่งผู้ปกครองของเขาและปิดบังความพ่ายแพ้และความผิดพลาดของคนเหล่านั้น ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลเป็นคนตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ แม้แต่เรื่องบาปที่ร้ายแรงของเขาเอง.—อาฤธโม 20:7-13; 2 ซามูเอล 12:7-14; 24:10.
หนังสือแห่งคำพยากรณ์
16. อะไรเป็นหลักฐานหนักแน่นที่สุดว่า คัมภีร์ไบเบิลมีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า?
16 คำพยากรณ์ที่สำเร็จแล้วให้ข้อพิสูจน์ที่ชัดแจ้งว่า คัมภีร์ไบเบิลมีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า. คัมภีร์ไบเบิลมีคำพยากรณ์หลายข้อที่ได้สำเร็จแล้วในรายละเอียด. ปรากฏชัดว่า ลำพังมนุษย์ไม่สามารถก่อให้เกิดเรื่องนี้ได้. ดังนั้นแล้ว อะไรอยู่เบื้องหลังคำพยากรณ์เหล่านี้? คัมภีร์ไบเบิลเองบอกว่า “ไม่มีคราวใดที่มีการนำคำพยากรณ์ออกมาตามน้ำใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้กล่าวมาจากพระเจ้า ตามที่เขาได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์.” (2 เปโตร 1:21, ล.ม.) จงพิจารณาดูบางตัวอย่าง.
17. คำพยากรณ์อะไรบอกล่วงหน้าถึงความล่มจมของบาบูโลน และคำพยากรณ์เหล่านี้สำเร็จเป็นจริงอย่างไร?
17 ความล่มจมของบาบูโลน. ยะซายาและยิระมะยาได้บอกล่วงหน้าถึงความพ่ายแพ้ของบาบูโลนแก่ชาวมาดายและเปอร์เซีย. ที่น่าสังเกตคือ คำพยากรณ์ของยะซายาเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ได้รับการบันทึกไว้ราว ๆ 200 ปีก่อนบาบูโลนถูกพิชิต! ปัจจุบัน แง่มุมต่อไปนี้ของคำพยากรณ์เป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่มีบันทึกไว้: การทำให้แม่น้ำยูเฟรติสแห้งขอดไปโดยการเปลี่ยนทางน้ำให้ไหลไปสู่ทะเลสาบที่ทำขึ้น (ยะซายา 44:27; ยิระมะยา 50:38); การขาดการรักษาความปลอดภัยอย่างสะเพร่าที่ประตูกรุงบาบูโลนด้านฝั่งแม่น้ำ (ยะซายา 45:1); และชัยชนะโดยผู้ปกครองที่มีนามว่าไซรัส.—ยะซายา 44:28.
18. คำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลได้สำเร็จอย่างไรในเรื่องความรุ่งเรืองและความล่มจมของ “กษัตริย์แห่งกรีก”?
18 ความรุ่งเรืองและความล่มจมแห่ง “กษัตริย์ของกรีก.” ในนิมิต ดานิเอลเห็นแพะผู้ชนแกะผู้ ทำให้เขาทั้งสองของแกะหักไป. ครั้นแล้ว เขาอันใหญ่ของแพะก็ถูกทำให้หัก และมีสี่เขางอกขึ้นมาแทนที่. (ดานิเอล 8:1-8) มีการอธิบายแก่ดานิเอลว่า “แกะผู้มีสองเขาที่ท่านเห็นนั้นคือกษัตริย์ของคนมีเดียและคนเปอร์เซีย และแพะผู้คือกษัตริย์ของกรีก และเขาใหญ่ระหว่างนัยน์ตาคือกษัตริย์องค์แรก ส่วนเขาที่หัก และมีอีกสี่เขางอกขึ้นแทนนั้น คืออาณาจักรสี่อาณาจักรจะเกิดขึ้นจากประชาชาตินั้น แต่ไม่มีอำนาจ [เหมือน] เขาแรกนั้น.” (ดานิเอล 8:20-22, ฉบับแปลใหม่) ตรงตามคำพยากรณ์นี้ ราว ๆ สองศตวรรษต่อมา “กษัตริย์แห่งกรีก” อะเล็กซานเดอร์มหาราช ได้โค่นล้มจักรวรรดิเมโด-เปอร์เซียที่มีสองเขา. อะเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์ในปี 323 ก.ส.ศ. และนายพลสี่คนของเขาเข้ารับตำแหน่งต่อในที่สุด. อย่างไรก็ดี ไม่มีอาณาจักรใดของพวกเขาที่เกิดขึ้นภายหลังนั้นมีอำนาจเท่าเทียมกับจักรวรรดิของอะเล็กซานเดอร์.
19. คำพยากรณ์อะไรบ้างได้สำเร็จเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์?
19 ชีวิตของพระเยซูคริสต์. พระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูมีคำพยากรณ์มากมายที่ได้สำเร็จเป็นจริงในการประสูติ, งานรับใช้, การสิ้นพระชนม์, และการกลับคืนพระชนม์ของพระเยซู. ตัวอย่างเช่น มีคาได้บอกไว้ล่วงหน้ามากกว่า 700 ปีว่า พระมาซีฮาหรือพระคริสต์จะประสูติในเมืองเบธเลเฮม. (มีคา 5:2; ลูกา 2:4-7) ยะซายาคนร่วมสมัยกับมีคาได้บอกล่วงหน้าว่า พระมาซีฮาจะถูกตีและถูกถ่มน้ำลายรด. (ยะซายา 50:6; มัดธาย 26:67) ซะคาระยาได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าห้าร้อยปีว่า พระมาซีฮาจะถูกทรยศเพื่อแลกกับเงิน 30 แผ่น. (ซะคาระยา 11:12; มัดธาย 26:15) มากกว่าหนึ่งพันปีล่วงหน้า ดาวิดได้กล่าวล่วงหน้าถึงเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูพระมาซีฮา. (บทเพลงสรรเสริญ 22:7, 8, 18; มัดธาย 27:35, 39-43) และราว ๆ ห้าร้อยปีล่วงหน้า คำพยากรณ์ของดานิเอลได้เผยให้ทราบคราวเมื่อพระมาซีฮาจะปรากฏและช่วงเวลาแห่งงานรับใช้และเวลาแห่งการสิ้นพระชนม์ของพระองค์อีกด้วย. (ดานิเอล 9:24-27) นี้เป็นเพียงการยกตัวอย่างคำพยากรณ์ที่ได้สำเร็จในพระเยซูคริสต์. คุณจะพบว่าได้ประโยชน์จากการอ่านมากขึ้นเกี่ยวกับพระองค์ในภายหลัง.
20. การที่คำพยากรณ์หลายข้อในคัมภีร์ไบเบิลสำเร็จแล้วควรทำให้เรามีความมั่นใจอะไร?
20 คำพยากรณ์อื่น ๆ อีกหลายข้อในคัมภีร์ไบเบิลที่บอกล่วงหน้าเป็นเวลานานได้สำเร็จแล้ว. คุณอาจถามว่า ‘แต่เรื่องนี้มีผลกระทบต่อชีวิตฉันอย่างไร?’ เอาละ ถ้ามีคนบอกความจริงกับคุณมาเป็นเวลาหลายปี คุณจะพลันสงสัยเขาไหมเมื่อเขาพูดเรื่องใหม่? ไม่เลย! พระเจ้าตรัสความจริงในคัมภีร์ไบเบิลตลอดเล่ม. มิควรหรือที่เรื่องนี้จะทำให้คุณวางใจในสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลสัญญาไว้ เช่น คำพยากรณ์ของพระคัมภีร์เกี่ยวกับอุทยานทางแผ่นดินโลกที่กำลังจะมาถึงนั้น? ที่จริง เราสามารถมีความมั่นใจเช่นเดียวกับเปาโล สาวกคนหนึ่งของพระเยซูในศตวรรษแรก ผู้ซึ่งเขียนว่า ‘พระเจ้าตรัสมุสาไม่ได้.’ (ติโต 1:2) นอกจากนี้ เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์และเอาคำแนะนำในพระคัมภีร์ไปใช้ เรากำลังปฏิบัติตามสติปัญญาซึ่งมนุษย์ไม่สามารถบรรลุได้ด้วยตัวเอง เพราะคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่เปิดเผยความรู้ของพระเจ้าซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์.
“ปลูกฝังความปรารถนา” จะได้ความรู้ของพระเจ้า
21. คุณควรทำประการใดหากบางสิ่งที่คุณเรียนรู้จากคัมภีร์ไบเบิลดูเหมือนว่าน่าท้อใจ?
21 ขณะที่คุณศึกษาคัมภีร์ไบเบิล คุณคงจะเรียนรู้เรื่องซึ่งต่างไปจากที่คุณถูกสอนมาในอดีต. คุณอาจพบด้วยซ้ำว่า ธรรมเนียมทางศาสนาที่คุณยึดมั่นนั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า. คุณจะเรียนรู้ว่า พระเจ้าทรงมีมาตรฐานเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกและผิดสูงกว่ามาตรฐานโดยทั่วไปในโลกที่ปล่อยตามอำเภอใจนี้. เรื่องนี้อาจดูเหมือนทำให้ท้อใจในตอนแรก. แต่ขอให้อดทน! จงตรวจสอบพระคัมภีร์อย่างถี่ถ้วนเพื่อพบความรู้ของพระเจ้า. จงตอบรับหากจำเป็นต้องปรับปรุงความคิดและการกระทำของคุณตามคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล.
22. ทำไมคุณศึกษาคัมภีร์ไบเบิล และคุณจะช่วยคนอื่นเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไร?
22 เพื่อนและญาติที่มีเจตนาดีอาจคัดค้านการที่คุณศึกษาคัมภีร์ไบเบิล แต่พระเยซูตรัสว่า “ทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์, เราจะรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์. แต่ผู้ใดจะปฏิเสธเราต่อหน้ามนุษย์, เราจะปฏิเสธผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์ด้วย.” (มัดธาย 10:32, 33) บางคนอาจกลัวว่า คุณจะเข้าไปพัวพันกับลัทธิศาสนานอกรีต หรือจะกลายเป็นคนคลั่งลัทธิไป. อย่างไรก็ดี ตามความเป็นจริงแล้ว คุณเพียงแต่พยายามจะได้รับความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับพระเจ้าและความจริงของพระองค์. (1 ติโมเธียว 2:3, 4) เพื่อช่วยคนอื่นเข้าใจเรื่องนี้ จงเป็นคนมีเหตุผล ไม่โต้เถียง เมื่อคุณพูดกับเขาถึงเรื่องที่คุณกำลังเรียนอยู่นั้น. (ฟิลิปปอย 4:5, ล.ม.) ขอระลึกว่า หลายคน “แม้นไม่เอ่ยปาก เขาก็อาจถูกโน้มน้าว” เมื่อเขาเห็นหลักฐานว่า ความรู้ในคัมภีร์ไบเบิลเป็นประโยชน์แก่ผู้คนอย่างแท้จริง.—1 เปโตร 3:1, 2, ล.ม.
23. คุณสามารถ “สร้างความปรารถนา” จะได้ความรู้ของพระเจ้าได้อย่างไร?
23 คัมภีร์ไบเบิลกระตุ้นเราว่า “ดุจดังทารกที่พึ่งคลอด จงปลูกฝังความปรารถนาจะได้น้ำนมอันไม่มีอะไรเจือปนที่เป็นของพระคำ.” (1 เปโตร 2:2, ล.ม.) ทารกอาศัยอาหารบำรุงกำลังจากมารดาและเรียกร้องให้สนองความต้องการนั้น. ในทำนองคล้ายกัน เราพึ่งพาอาศัยความรู้จากพระเจ้า. “จงปลูกฝังความปรารถนา” จะได้พระคำของพระองค์โดยที่คุณศึกษาต่อ ๆ ไป. ที่จริง จงตั้งเป้าที่จะอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวัน. (บทเพลงสรรเสริญ 1:1-3) การทำเช่นนี้จะนำพระพรอันอุดมมาให้คุณ เพราะบทเพลงสรรเสริญ 19:11 กล่าวถึงกฎหมายของพระเจ้าว่า “การรักษาข้อความเหล่านั้นไว้จะมีบำเหน็จเป็นอันมาก.”
[เชิงอรรถ]
a ก.ส.ศ. หมายถึง “ก่อนสากลศักราช” ซึ่งถูกต้องมากกว่า ก.ค.ศ. (“ก่อนคริสต์ศักราช”). ส.ศ. หมายถึง “สากลศักราช” บ่อยครั้งเรียกว่า เอ. ดี. (อันโน โดมินิ) หมายถึง “ในปีแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา.”
ทดสอบความรู้ของคุณ
คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่ไม่มีใดเหมือนในทางใดบ้าง?
ทำไมคุณสามารถไว้ใจคัมภีร์ไบเบิลได้?
อะไรพิสูจน์ให้คุณเห็นว่า คัมภีร์ไบเบิลเป็นพระคำที่มีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า?
[กรอบสี่เหลี่ยมหน้า 14]
จงคุ้นเคยกับคัมภีร์ไบเบิลของคุณ
การคุ้นเคยกับคัมภีร์ไบเบิลไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องยาก. จงใช้สารบัญของพระคัมภีร์เพื่อเรียนรู้ลำดับและตำแหน่งของพระธรรมเล่มต่าง ๆ.
พระธรรมต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลมีบทและข้อเพื่ออ้างถึงได้ง่าย. การแบ่งบทได้ถูกเพิ่มเข้ามาระหว่างศตวรรษที่ 13 และดูเหมือนว่าช่างพิมพ์ชาวฝรั่งเศสได้แบ่งพระคัมภีร์ภาคภาษากรีกเป็นข้อ ๆ ในศตวรรษที่ 16. คัมภีร์ไบเบิลครบถ้วนฉบับแรกที่มีหมายเลขของทั้งบทและข้อนั้นเป็นฉบับภาษาฝรั่งเศส ซึ่งพิมพ์ในปี 1553.
เมื่อมีการอ้างถึงข้อคัมภีร์ในหนังสือเล่มนี้ ตัวเลขแรกชี้ถึงบทและตัวเลขถัดไปแสดงถึงข้อ. ตัวอย่างเช่น การอ้างอิงถึง “สุภาษิต 2:5” หมายถึงพระธรรมสุภาษิต บท 2 ข้อ 5. โดยการค้นดูข้อคัมภีร์ที่มีการอ้างถึง ไม่นานคุณก็จะรู้สึกว่า หาข้อพระคัมภีร์ได้คล่อง.
วิธีดีที่สุดที่จะคุ้นเคยกับคัมภีร์ไบเบิลคือ อ่านทุกวัน. ตอนแรก นี่อาจดูเหมือนเป็นการท้าทาย. แต่หากคุณอ่านเพียงวันละสามถึงห้าบท สุดแล้วแต่ความยาวของบท คุณก็จะอ่านคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่มจบภายในหนึ่งปี. ทำไมไม่เริ่มเสียแต่วันนี้ล่ะ?
[กรอบสี่เหลี่ยมหน้า 19]
คัมภีร์ไบเบิล—หนังสือที่ไม่มีใดเหมือน
• คัมภีร์ไบเบิล “มีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า.” (2 ติโมเธียว 3:16, ล.ม.) ถึงแม้มนุษย์เขียนถ้อยคำก็ตาม พระเจ้าทรงชี้นำความคิดของเขา คัมภีร์ไบเบิลจึงเป็น “คำของพระเจ้า” อย่างแท้จริง.—1 เธซะโลนิเก 2:13.
• คัมภีร์ไบเบิลได้รับการบันทึกตลอดช่วงเวลา 16 ศตวรรษ โดยผู้เขียนราว ๆ 40 คนจากภูมิหลังหลายรูปแบบ. ถึงอย่างไรก็ตาม ผลงานที่สำเร็จแล้วนี้ก็ประสานกันตั้งแต่ต้นจนจบ.
• คัมภีร์ไบเบิลได้รอดจากการโต้แย้งที่รุนแรงยิ่งกว่าหนังสืออื่นใด. ระหว่างยุคกลาง ผู้คนถูกเผาบนหลักเพียงเพราะมีพระคัมภีร์อยู่ในครอบครอง.
• คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือขายดีที่สุดในโลก. มีการแปลทั้งเล่มหรือเป็นบางส่วนมากกว่า 2,000 ภาษา. มีการพิมพ์หลายพันล้านเล่ม และแทบจะไม่มีที่ใดบนแผ่นดินโลกที่หาพระคัมภีร์ไม่ได้.
• ตอนเก่าแก่ที่สุดของคัมภีร์ไบเบิลมีอายุย้อนหลังไปถึงศตวรรษที่ 16 ก.ส.ศ. ก่อนการปรากฏของคัมภีร์พระเวท ของฮินดู (ราว ๆ ปี 1300 ก.ส.ศ.) หรือ “พระไตรปิฎก” ของศาสนาพุทธ (ศตวรรษที่ 5 ก.ส.ศ.) หรือโกหร่านของอิสลาม (ศตวรรษที่ 7 ส.ศ.) รวมทั้งนิฮงกิ ของศาสนาชินโต (ปี ส.ศ. 720)
[รูปภาพเต็มหน้า 20]