บทหก
‘ขอเชื่อฟังพระสุรเสียง’ ของพระยะโฮวา
1, 2. คนเหล่านั้นที่ติดตาม “แนวทางที่คนส่วนใหญ่ทำกัน” มักจะมีเจตคติเช่นไร และทำไมคุณควรต่างจากเขา?
ผู้คนในทุกวันนี้ไม่ชอบเชื่อฟังใคร. เมื่อต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง หลายคนไม่ได้ใช้หลักอันเป็นที่ยอมรับกัน เช่น ‘จงทำสิ่งที่ถูกต้อง.’ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น อาจสรุปแนวคิดของพวกเขาได้ว่า ‘อยากทำอะไรก็ทำไปสิ’ หรือ ‘ทำอะไรก็ได้ที่ไม่มีใครจับได้.’ คุณจะพบเห็นเรื่องนี้เมื่อคนขับรถฝ่าสัญญาณจราจร, นักลงทุนไม่ทำตามกฎข้อบังคับเรื่องการเงิน, และเจ้าหน้าที่ระดับสูงละเมิดกฎหมายที่พวกเขาอาจได้ช่วยกันตั้งขึ้นมา. การกระโจนเข้าสู่ “แนวทางที่คนส่วนใหญ่ทำกัน” ดังกล่าว แม้จะเป็นแนวทางที่ผิดและก่อผลเสียหายก็เป็นเรื่องธรรมดาในสมัยของยิระมะยาห์เช่นกัน.—ยิระ. 8:6, ล.ม.
2 คุณตระหนักว่า คนเหล่านั้นที่ปรารถนาจะได้รับความพอพระทัยจากพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ใหญ่ยิ่งต้องไม่ติดตาม “แนวทางที่คนส่วนใหญ่ทำกัน.” เป็นที่น่าสังเกต ยิระมะยาห์แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างคนเหล่านั้นที่ “ไม่เชื่อฟังพระสุรเสียง” ของพระยะโฮวากับคนเหล่านั้นที่ต้องการเชื่อฟังพระองค์. (ยิระ. 3:25; 7:28, ฉบับ R73; 26:13; 38:20, ฉบับ R73; 43:4, 7) เราแต่ละคนควรวิเคราะห์ดูว่าเราเป็นอย่างไรในเรื่องนี้. เพราะเหตุใด? ระยะหลังซาตานโจมตีความซื่อสัตย์มั่นคงของผู้นมัสการแท้รุนแรงยิ่งขึ้น. มันเป็นเหมือนงูที่คอยเหยื่ออยู่เงียบ ๆ และทันทีทันใดก็ฉกกัดเหยื่อ ซึ่งทำให้เหยื่อถึงตายได้. ความตั้งใจของเราที่จะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยะโฮวาช่วยกระตุ้นเราให้หนีห่างจากเขี้ยวงูนั้น. แต่เราจะเสริมความตั้งใจที่จะเชื่อฟังพระยะโฮวาได้โดยวิธีใด? หนังสือที่ยิระมะยาห์เขียนจะช่วยเราได้.
พระองค์ผู้ที่เราต้องเชื่อฟัง
3. เหตุใดพระยะโฮวาคู่ควรกับการเชื่อฟังของเรา?
3 เหตุใดพระยะโฮวาจึงคู่ควรที่เราจะเชื่อฟังอย่างเคร่งครัด? ยิระมะยาห์เผยให้เห็นเหตุผลประการหนึ่งโดยเรียกพระองค์ว่าเป็นผู้ที่ “ได้สร้างแผ่นดินโดยฤทธิ์เดชของพระองค์, พระองค์ได้ตั้งพิภพนี้ด้วยปัญญาของพระองค์.” (ยิระ. 10:12) พระยะโฮวาทรงเป็นองค์บรมมหิศรแห่งเอกภพ. เราควรเกรงกลัวพระองค์มากกว่าผู้มีอำนาจปกครองอื่น ๆ ทั้งหมด. พระองค์มีสิทธิโดยเด็ดขาดที่จะเรียกร้องให้เราทำตามพระบัญชาอันสุขุมของพระองค์ ซึ่งให้ผลประโยชน์ดีที่สุดแก่เราตลอดไปอย่างแท้จริง.—ยิระ. 10:6, 7
การดื่ม “น้ำมีชีวิต” จากพระยะโฮวาเสริมกำลังคุณให้เชื่อฟัง
4, 5. (ก) ชาวยิวได้เรียนความจริงอะไรระหว่างช่วงที่มีความแห้งแล้ง? (ข) พลเมืองยูดาห์ได้ทำให้ “น้ำมีชีวิต” ซึ่งมาจากพระยะโฮวาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์อย่างไร? (ค) คุณจะดื่ม “น้ำมีชีวิต” ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้โดยวิธีใด?
4 อย่างไรก็ดี พระยะโฮวาใช่ว่าเป็นเพียงผู้ปกครองเหนือเอกภพ พระองค์ทรงเป็นผู้ค้ำจุนชีวิต คือชีวิตมนุษย์เรา. ชาวยิวสมัยยิระมะยาห์ประสบด้วยตัวเองว่าเรื่องนี้เป็นจริง. แผ่นดินอียิปต์อาศัยน้ำจำนวนมากจากแม่น้ำไนล์ แต่สภาพการณ์ในแผ่นดินตามคำสัญญาต่างออกไป. ส่วนใหญ่แล้ว ประชาชนของพระเจ้าอาศัยฝนที่ตกตามฤดู บ่อยครั้งมีการเก็บน้ำในอ่างเก็บน้ำใต้ดิน. (บัญ. 11:13-17) เฉพาะพระยะโฮวาองค์เดียวเท่านั้นที่สามารถให้ฝนตกลงมาทำให้ดินชุ่มชื้นเพื่อจะเกิดผลได้. ในอีกด้านหนึ่ง พระองค์ยังสามารถยับยั้งฝนที่เป็นสิ่งจำเป็นไม่ให้ตก. ดังนั้น ในสมัยของยิระมะยาห์ ชาวยิวที่ไม่เชื่อฟังได้ประสบความแห้งแล้งที่ก่อความเสียหายอย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้ทุ่งนาของเขาแตกระแหงและสวนองุ่นก็เหี่ยวไป บ่อน้ำและอ่างเก็บน้ำก็แห้ง.—ยิระ. 3:3; 5:24; 12:4; 14:1-4, 22; 23:10
5 ขณะที่ชาวยิวเหล่านั้นเห็นคุณค่าของน้ำ พวกเขาได้ปฏิเสธ “น้ำมีชีวิต” ซึ่งพระยะโฮวาทรงประทานให้พวกเขาอย่างบริบูรณ์. พวกเขาทำเช่นนี้โดยจงใจไม่เชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้าและพึ่งสัมพันธไมตรีกับชาติที่อยู่รอบด้าน. ชาวยิวได้รับผลเหมือนกับคนที่ขาดแคลนน้ำ แล้วเทน้ำลงในอ่างเก็บน้ำแตกซึ่งเก็บน้ำเอาไว้ไม่ได้. (อ่านยิระมะยา 2:13; 17:13 ) เราจึงมีเหตุผลที่จะไม่ทำตามอย่างพวกเขาเพื่อจะไม่ได้รับหายนะอย่างเดียวกันนั้น. พระยะโฮวายังคงให้คำแนะนำอย่างล้นเหลือแก่เราซึ่งอาศัยพระคำของพระองค์ที่มีขึ้นโดยการดลใจ. เห็นได้ว่า “น้ำมีชีวิต” เป็นประโยชน์แก่เราก็ต่อเมื่อเราศึกษาพระคำนั้นและพยายามดำเนินชีวิตตาม.
6. (ก) จงพรรณนาเจตคติที่กษัตริย์ซิดคียามีต่อการเชื่อฟังพระยะโฮวา. (ข) ทำไมคุณคิดว่ากษัตริย์ไม่ฉลาด?
6 ขณะที่วันของพระเจ้าเพื่อจะลงโทษยูดาห์ใกล้เข้ามา การเชื่อฟังกลายเป็นเรื่องสำคัญมากขึ้นทุกที. เพื่อชาวยิวแต่ละคนจะได้รับความพอพระทัยและการปกป้องจากพระยะโฮวา พวกเขาต้องกลับใจและเริ่มเชื่อฟังพระองค์อีก. กษัตริย์ซิดคียาเผชิญกับประเด็นนี้. ท่านไม่ได้มั่นคงแน่วแน่ในการทำสิ่งที่ถูกต้อง. เมื่อข้าราชบริพารทูลท่านว่าพวกเขาต้องการฆ่ายิระมะยาห์ ท่านก็ไม่กล้าทัดทานพวกเขา. ดังที่เราได้สังเกตในบทก่อน เอเบ็ดเมเล็กได้ช่วยผู้พยากรณ์ให้รอดชีวิตเมื่อพวกเขาพยายามจะฆ่าท่านและต่อมาผู้พยากรณ์ได้กระตุ้นเตือนซิดคียาว่า ‘ขอเชื่อฟังพระสุรเสียง’ ของพระยะโฮวา. (อ่านยิระมะยา 38:4-6, 20, ฉบับ R73 ) เพื่อตัวของกษัตริย์เอง ท่านต้องตัดสินใจว่าจะเชื่อฟังพระเจ้าไหม?
เหตุใดนับว่าเหมาะสมที่ยิระมะยาห์กระตุ้นเตือนชาวยิวหลายครั้งหลายหนให้เชื่อฟังพระเจ้า?
การเชื่อฟังพระยะโฮวาเป็นเรื่องเร่งด่วน
7. การเชื่อฟังของคุณอาจถูกทดสอบในสถานการณ์เช่นไรบ้าง?
7 ในทุกวันนี้ การเชื่อฟังเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยไปกว่าในสมัยยิระมะยาห์. คุณตั้งใจมากน้อยแค่ไหนที่จะเชื่อฟังพระยะโฮวา? หากคุณเจอเว็บไซต์ลามกในอินเทอร์เน็ตโดยไม่ตั้งใจ คุณจะมองภาพนั้นต่อไปไหม หรือว่าคุณจะต้านทานการล่อใจ และรีบออกจากเว็บไซต์ดังกล่าว? จะว่าอย่างไรหากผู้ไม่มีความเชื่อในที่ทำงานหรือที่โรงเรียนขอนัดพบคุณ? คุณเข้มแข็งพอที่จะปฏิเสธเขาไหม? สิ่งพิมพ์หรือเว็บไซต์ในอินเทอร์เน็ตของผู้ออกหากทำให้คุณอยากรู้อยากเห็นไหม หรือคุณรังเกียจสิ่งเหล่านั้น? ในสถานการณ์เหล่านี้หรืออย่างอื่น ขอให้คิดถึงถ้อยคำในยิระมะยา 38:20.
8, 9. (ก) เหตุใดนับว่าฉลาดสุขุมที่จะรับฟังเมื่อผู้ปกครองพยายามจะช่วยคุณ? (ข) คุณควรมองการที่ผู้ปกครองให้คำแนะนำซ้ำนั้นอย่างไร?
8 บ่อยครั้งพระยะโฮวาทรงใช้ยิระมะยาห์ไปหาประชาชนของพระองค์พร้อมด้วยคำกระตุ้นเตือน เช่น “พวกเจ้าจงหันกลับจากความชั่วของตัวทุกตัวคน, แลจงกระทำให้ทางทั้งหลายของพวกเจ้า, แลการประพฤติทั้งปวงของพวกเจ้าให้ดีเถิด.” (ยิระ. 7:3; 18:11; 25:5; อ่านยิระมะยา 35:15 ) คล้ายกัน คริสเตียนผู้ปกครองในทุกวันนี้พยายามสุดความสามารถที่จะช่วยเพื่อนร่วมความเชื่อเมื่อเขาอยู่ในอันตรายฝ่ายวิญญาณ. หากในบางครั้งผู้ปกครองให้คำแนะนำคุณเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงแนวทางที่ไม่สุขุมหรือที่ผิด จงฟังพวกเขา. พวกเขามีเป้าหมายเหมือนยิระมะยาห์.
9 ผู้ปกครองอาจเตือนคุณให้นึกถึงหลักการในพระคัมภีร์ที่เคยชี้ให้คุณดู. คุณต้องเข้าใจว่าการให้คำแนะนำซ้ำไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การทำเช่นนั้นยากยิ่งขึ้นอีกหากคนที่ต้องได้รับการช่วยเหลือแสดงเจตคติเหมือนชาวยิวหลายคนที่ได้ยินคำเตือนของยิระมะยาห์. ขอให้มองว่าการที่ผู้ปกครองพยายามช่วยคุณหลายครั้งนั้นเป็นการแสดงถึงความรักของพระยะโฮวา. จงยอมรับด้วยว่ายิระมะยาห์คงจะไม่จำเป็นต้องให้คำเตือนซ้ำหากมีการตอบรับที่ดี. ใช่แล้ว วิธีที่จะหลีกเลี่ยงการได้รับคำแนะนำซ้ำอีกคือ เอาคำแนะนำนั้นไปใช้ทันที.
เมื่อผู้ปกครองพยายามช่วยคุณ จงรับฟัง
พระยะโฮวาทรงให้อภัยด้วยความเต็มพระทัย แต่ไม่ใช่โดยอัตโนมัติ
10. เหตุใดพระยะโฮวาไม่ทรงให้อภัยบาปโดยอัตโนมัติ?
10 เราไม่สามารถเชื่อฟังพระยะโฮวาได้อย่างครบถ้วนในยุคนี้ ไม่ว่าเราจะพยายามขนาดไหนก็ตาม. ดังนั้น เราขอบคุณพระองค์ที่ทรงเต็มพระทัยจะให้อภัยความผิดพลาดของเรา. แต่พระองค์ไม่ทรงอภัยบาปโดยอัตโนมัติ. เพราะเหตุใด? เพราะบาปเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับพระยะโฮวา. (ยซา. 59:2) ดังนั้น พระองค์ทรงประสงค์ให้เราแสดงอย่างชัดเจนว่าเราคู่ควรที่พระองค์จะให้อภัย.
11. เหตุใดจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะพ้นจากการลงโทษเมื่อทำบาปอย่างลับ ๆ?
11 ดังที่เราได้สังเกต ชาวยิวหลายคนในสมัยยิระมะยาห์ไม่เชื่อฟังพระเจ้าและจึงใช้ความอดกลั้นพระทัยและความเมตตาของพระองค์มาเป็นข้อแก้ตัว. เป็นไปได้ไหมที่ผู้รับใช้ของพระเจ้าในทุกวันนี้จะพัฒนาแนวโน้มที่คล้ายกัน? เป็นไปได้ หากเขาละเลยข้อเตือนใจของพระยะโฮวาและทำบาปเป็นอาจิณ. ในบางกรณี เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างเปิดเผย เช่นคนหนึ่งได้แต่งงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีสิทธิ์ตามหลักพระคัมภีร์. หรือถึงแม้เป็นกรณีที่ได้ทำบาปซึ่งไม่มีใครเห็น คนที่ไม่เชื่อฟังพระยะโฮวาก็อยู่ในแนวทางที่อันตราย. คนที่ดำเนินชีวิตแบบตีสองหน้าอาจคิดว่า ‘ไม่มีใครจะรู้หรอก.’ แต่ความเป็นจริงคือพระเจ้าทรงตรวจดูความคิดและหัวใจและทรงเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในที่ลับลี้. (อ่านยิระมะยา 32:19 ) ควรมีการจัดการอย่างไร ถ้ามีคนไม่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างเห็นได้ชัด?
12. บางครั้งผู้ปกครองต้องทำอะไรเพื่อปกป้องประชาคม?
12 ชาวยิวหลายคนดูหมิ่นความช่วยเหลือที่พระยะโฮวาทรงเสนอให้ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยทางยิระมะยาห์. คล้ายกัน คนที่มีความผิดเนื่องจากทำบาปร้ายแรงในทุกวันนี้อาจไม่กลับใจ ปฏิเสธความช่วยเหลือจากผู้ปกครอง. ในกรณีเช่นนั้น ผู้ปกครองต้องปฏิบัติตามคำแนะนำตามหลักพระคัมภีร์ที่ให้ปกป้องประชาคมโดยตัดสัมพันธ์ผู้ที่กระทำผิด. (1 โค. 5:11-13; ดูกรอบ “อยู่โดยไม่มีกฎหมาย” หน้า 73) แต่นั่นหมายความว่าเขาจะหมดหวังตลอดไป ไม่มีวันที่จะได้รับความพอพระทัยจากพระยะโฮวาอีกไหม? ไม่. ชาวอิสราเอลกบฏขัดขืนมาเป็นเวลานาน ถึงกระนั้น พระยะโฮวาตรัสว่า “กลับมาเถิดพวกเจ้าบุตรทั้งหลายที่ละทิ้งเรา เราจะช่วยพวกเจ้าให้เลิกเป็นคนละทิ้งพระเจ้า.” (ยิระ. 3:22, ล.ม.)a พระยะโฮวาทรงเชิญผู้กระทำผิดให้กลับมาหาพระองค์. ที่จริง พระองค์ทรงบัญชาให้พวกเขาทำเช่นนั้น.
ทำไมจึงสุขุมที่จะแสวงหาการให้อภัยจากพระเจ้าเมื่อเราทำผิด?
เชื่อฟังพระยะโฮวาโดยกลับมาหาพระองค์
13. หากบางคนต้องการกลับมาหาพระยะโฮวา เขาต้องยอมรับอะไร?
13 ดังที่ยิระมะยาห์บ่งชี้ เพื่อจะกลับมาหาพระเจ้า คนเราต้องถามตัวเองว่า ‘ฉันได้ทำอะไรลงไป?’ จากนั้น เขาต้องตอบคำถามนี้อย่างซื่อตรงโดยอาศัยมาตรฐานของพระคัมภีร์. ชาวยิวที่ไม่กลับใจในสมัยยิระมะยาห์เลี่ยงคำถามดังกล่าว. พวกเขาไม่ยอมรับว่าบาปที่ได้ทำไปนั้นร้ายแรงเพียงไร ดังนั้น พระยะโฮวาไม่ให้อภัยพวกเขาเนื่องจากไม่อาจให้อภัยได้. (อ่านยิระมะยา 8:6 ) ตรงกันข้าม คนที่ทำบาปแต่ได้กลับใจ ยอมรับว่าการที่เขาไม่เชื่อฟังพระยะโฮวา ได้นำคำติเตียนมาสู่พระนามของพระเจ้าและประชาคมคริสเตียน. คนที่กลับใจอย่างแท้จริงยังรู้สึกโศกเศร้าอย่างมากเนื่องจากเขาอาจได้ก่อความเสียหายแก่คนที่ไม่ได้ทำผิด. เขาควรตระหนักว่าเฉพาะแต่เมื่อเขายอมรับผลทั้งสิ้นจากการกระทำอันเลวร้ายของตนแล้วเท่านั้น พระยะโฮวาจึงจะฟังเมื่อเขาขออภัย. แต่เพื่อได้รับความพอพระทัยจากพระเจ้าอีก เขาต้องทำมากกว่านั้น.
14. คนเราจะ “กลับมาหาพระยะโฮวาอีก” โดยวิธีใด? (รวมทั้งกรอบ “การกลับใจคืออะไร?”)
14 บุคคลที่กลับใจจริง ๆ วิเคราะห์เจตนา, ความปรารถนา, และนิสัยของเขา. (อ่านบทเพลงร้องทุกข์ของยิระมะยา 3:40, 41 ) เขาจะตรวจดูพฤติกรรมต่าง ๆ ในชีวิตที่เขาแสดงความอ่อนแอ เช่น ความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม, การใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือยาสูบ, การใช้อินเทอร์เน็ต, หรือการดำเนินธุรกิจ. เช่นเดียวกับแม่บ้านขัดถูแม้แต่ซอกในห้องครัวที่คนอื่นมองไม่เห็นเพื่อรักษาบ้านให้สะอาดและถูกสุขอนามัย คนที่กลับใจควรพยายามอย่างแข็งขันที่จะชำระสะสางความคิดและการกระทำในที่ลับตาคน. เขาต้อง “กลับมาหาพระยะโฮวาอีก” โดยทำตามข้อเรียกร้องและมาตรฐานของพระองค์. ชาวยิวบางคนในสมัยยิระมะยาห์ได้ “แสร้ง” กลับมาหาพระยะโฮวา. พวกเขาแสร้งทำเป็นสำนึกผิด แต่ไม่เคยกลับใจหรือเปลี่ยนแนวทางชีวิต. (ยิระ. 3:10, ฉบับ R73 ) ต่างจากพวกเขา ผู้ที่ขออภัยจากใจจริงไม่พยายามหลอกพระยะโฮวาและประชาคมของพระองค์. เขาไม่ได้เพียงแต่ต้องการกู้หน้าหรือกลับมาคบหากับญาติพี่น้องหรือคนอื่นที่อยู่ในความจริงอีก แต่เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่ทำผิดอีก และต้องการเป็นคนที่สมควรได้รับการให้อภัยและความพอพระทัยจากพระเจ้า.
15. บุคคลที่กลับใจอย่างแท้จริงกล่าวคำอธิษฐานแบบไหนต่อพระเจ้า?
15 การอธิษฐานเป็นส่วนสำคัญยิ่งของการกลับใจ. ในสมัยโบราณ เป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจะชูมือขึ้นฟ้าเมื่ออธิษฐาน. ในทุกวันนี้ เมื่อคนที่กลับใจอย่างแท้จริงอธิษฐาน เขา ‘ชูมือขึ้นทูลอ้อนวอนพระเจ้าด้วยความจริงใจ’ ดังสำนวนที่ยิระมะยาห์ได้ใช้. (ทุกข์. 3:41, 42, ล.ม.) ความรู้สึกเสียใจกระตุ้นผู้ทำผิดที่กลับใจให้ปฏิบัติสอดคล้องกับคำวิงวอนขอการอภัยของเขา. คำอธิษฐานของเขาเป็นแบบจริงใจ มาจากส่วนลึกของหัวใจ.
‘หากฉันเชื่อฟังก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก’
16. ทำไมจึงสมเหตุสมผลที่จะกลับมาหาพระเจ้า?
16 คุณคงตระหนักว่า คนบาปที่ยอมรับความผิดอย่างแท้จริงอาจต้องเอาชนะความหยิ่ง. แต่ข้อเท็จจริงที่สำคัญคือ พระยะโฮวาทรงประสงค์ให้ผู้กระทำผิดกลับมาหาพระองค์. เมื่อพระเจ้าทรงเห็นการสำนึกผิดอย่างแท้จริงในหัวใจมนุษย์ พระทัยของพระองค์ตอบสนอง. พระองค์ทรง “ร้องไห้” ด้วยความรู้สึกอ่อนโยนเนื่องจากประสงค์จะให้อภัยทุกคนที่กลับใจจากบาปของเขา ดังที่พระองค์ทรงรู้สึกต่อชาวอิสราเอลที่ได้กลับจากการเป็นเชลย. (ยิระ. 31:20, ล.ม. ) ช่างทำให้เราอุ่นใจสักเพียงไรที่รู้ว่าพระเจ้าทรงเสนอความสงบสุขและความหวังให้คนเหล่านั้นที่เชื่อฟังพระองค์! (ยิระ. 29:11-14) พวกเขาสามารถกลับมาอยู่ท่ามกลางผู้รับใช้ที่เลื่อมใสของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง.
การเชื่อฟังสามารถปกป้องคุณ
17, 18. (ก) พวกเรคาบคือใคร? (ข) ดังภาพหน้า 77 พวกเขาเป็นที่รู้จักในเรื่องใด?
17 การเชื่อฟังพระยะโฮวาอย่างเคร่งครัดเป็นแนวทางที่ปลอดภัย. เราเห็นเรื่องนี้ได้จากตัวอย่างของพวกเรคาบในสมัยยิระมะยาห์. ก่อนหน้านั้นกว่าสองศตวรรษ โยนาดาบบรรพบุรุษของพวกเขาที่เป็นชาวเคนี ซึ่งเข้าข้างเยฮูด้วยความภักดีได้ให้คำสั่งห้ามแก่พวกเขาหลายข้อ. คำสั่งข้อหนึ่งห้ามไม่ให้ดื่มเหล้าองุ่น. โยนาดาบได้เสียชีวิตไปนานแล้ว แต่พวกเรคาบยังคงเชื่อฟังเขาอยู่. เพื่อเป็นการทดสอบ ยิระมะยาห์ได้พาพวกเรคาบไปที่ห้องรับประทานอาหารในพระวิหารแล้ววางเหล้าองุ่นไว้ตรงหน้าพวกเขา แล้วสั่งให้ดื่ม. พวกเขาบอกยิระมะยาห์ว่า “เราไม่ดื่มเหล้าองุ่น.”—ยิระ. 35:1-10, ฉบับ R73
18 สำหรับพวกเรคาบ การเชื่อฟังบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปนานแล้วนับว่าสำคัญ. ผู้นมัสการแท้ควรเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ยิ่งกว่านั้นเสียอีก. การที่พวกเรคาบตั้งใจจะเชื่อฟังนั้นทำให้พระยะโฮวารู้สึกชื่นชม และทำให้พวกเขาแตกต่างอย่างเด่นชัดจากชาวยิวที่ไม่เชื่อฟัง. พระเจ้าทรงสัญญาว่าพวกเรคาบจะได้รับการปกป้องไว้จากความหายนะที่จะมาถึง. โดยนำบทเรียนดังกล่าวมาใช้ในทุกวันนี้ นับว่ามีเหตุผลมิใช่หรือที่คนเหล่านั้นซึ่งเชื่อฟังพระยะโฮวาอย่างเคร่งครัดจะมั่นใจว่าพระองค์จะปกป้องเขาระหว่างความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่?—อ่านยิระมะยา 35:19
เหตุใดการกลับใจจากบาปที่ร้ายแรงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่แสดงว่าเราเชื่อฟัง? การเชื่อฟังจะช่วยอย่างไรเพื่อไม่ให้มาถึงขั้นที่ต้องกลับใจ?
คนที่เชื่อฟังพระยะโฮวาไม่ได้อยู่โดยลำพัง
19. พระเจ้าจะทรงปกป้องคุณเช่นไรหากคุณเชื่อฟังพระองค์?
19 ไม่ควรมองว่าพระเจ้าทรงปกป้องประชาชนของพระองค์เฉพาะแต่ในอดีต. แม้แต่ขณะนี้ พระยะโฮวาทรงปกป้องคนที่เชื่อฟังไว้จากอันตรายฝ่ายวิญญาณ. ดุจดังกำแพงสูงปกป้องเมืองสมัยโบราณไว้จากการโจมตี กฎหมายของพระเจ้าปกป้องคนเหล่านั้นที่ศึกษาและนำกฎหมายนั้นไปใช้เสมอ. คุณจะอยู่ใต้กฎข้อบังคับด้านศีลธรรมของพระเจ้าซึ่งเป็นเสมือนกำแพงที่ปกป้องคุณไหม? คุณมั่นใจได้ว่าเมื่อทำเช่นนั้น คุณก็จะอยู่เย็นเป็นสุข. (ยิระ. 7:23) ประสบการณ์หลายเรื่องยืนยันความจริงข้อนี้.—ดูกรอบ “การเชื่อฟังพระยะโฮวาให้การปกป้อง”
20, 21. (ก) ขณะที่รับใช้พระยะโฮวา คุณมั่นใจได้ในเรื่องใด? (ข) กษัตริย์ยะโฮยาคิมแสดงปฏิกิริยาอย่างไรต่อข่าวสารของพระเจ้าผ่านทางยิระมะยาห์?
20 ไม่ว่าผู้ต่อต้านอยู่ในครอบครัว, ในที่ทำงานหรือที่โรงเรียนของคุณ, หรือเป็นผู้มีอำนาจในดินแดนที่คุณอยู่ พวกเขาทำให้การรับใช้พระเจ้าเป็นเรื่องยาก. แต่คุณแน่ใจได้ว่า หากคุณเชื่อฟังพระยะโฮวาอย่างเคร่งครัดในทุกกรณี พระองค์จะทรงช่วยคุณในช่วงที่คุณเผชิญสถานการณ์ยากลำบากที่สุดด้วยซ้ำ. อย่าลืมว่า พระเจ้าทรงสัญญาที่จะช่วยยิระมะยาห์ระหว่างที่เผชิญการต่อต้านอย่างรุนแรง และพระยะโฮวาก็ได้ทำเช่นนั้นจริง. (อ่านยิระมะยา 1:17-19 ) หนึ่งในเหตุการณ์ที่เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าช่วยเหลือยิระมะยาห์เกิดขึ้นในสมัยของกษัตริย์ยะโฮยาคิม.
21 ในพวกผู้ปกครองอิสราเอลมีไม่กี่คนที่ต่อต้านโฆษกของพระเจ้าอย่างดุเดือดเหมือนยะโฮยาคิม. เราเห็นเรื่องนี้ได้จากกรณีของผู้พยากรณ์อุรียา เพื่อนร่วมสมัยของยิระมะยาห์. กษัตริย์ยะโฮยาคิมที่ชั่วร้ายปล่อยให้คนไล่ตามเขาไปจนข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ. เมื่ออุรียาผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวาถูกพาตัวกลับมา กษัตริย์ได้สั่งให้ฆ่าเขา. (ยิระ. 26:20-23) ในปีที่สี่ของรัชกาลยะโฮยาคิม พระยะโฮวาทรงบัญชาให้ยิระมะยาห์บันทึกถ้อยคำทั้งสิ้นที่พระองค์ได้ตรัสจนถึงเวลานั้น แล้วให้อ่านถ้อยคำดังกล่าวด้วยเสียงดังในพระวิหาร. ยะโฮยาคิมได้รับม้วนหนังสือของยิระมะยาห์และได้ให้ข้าราชสำนักอ่านให้ฟัง. ขณะที่กำลังอ่านอยู่ กษัตริย์ได้ฉีกเอกสารนั้นแล้วโยนเข้าไปในไฟทีละชิ้น ถึงแม้เจ้านายบางคนได้ทูลวิงวอนไม่ให้ทำเช่นนั้น. แล้วกษัตริย์ได้ส่งคนไปจับยิระมะยาห์กับบารุค. เกิดอะไรขึ้น? “พระยะโฮวาได้ซ่อนเขาไว้.” (ยิระ. 36:1-6; อ่านยิระมะยา 36:21-26 ) พระยะโฮวาไม่ยอมให้ยะโฮยาคิมทำร้ายชายที่ซื่อสัตย์สองคนนี้.
22, 23. ประสบการณ์ของพยานฯคนหนึ่งในเอเชียกลางแสดงให้คุณเห็นว่าพระเจ้าทรงช่วยเหลือเช่นไร?
22 หากพระยะโฮวาทรงเห็นว่าเหมาะสม พระองค์สามารถปกป้องผู้รับใช้ของพระองค์สมัยปัจจุบันจากอันตรายเช่นกัน. แต่ส่วนใหญ่แล้ว พระองค์ประทานความกล้าหาญและสติปัญญาเพื่อเขาจะเชื่อฟังพระองค์และประกาศข่าวดีต่อไป. มารดาไร้คู่คนหนึ่งซึ่งเราจะเรียกเธอว่ากุยลิสทันมีลูกสี่คน. เธอได้รับการช่วยเหลือจากพระยะโฮวา. ช่วงหนึ่ง เธอเป็นพยานฯคนเดียวในเขตอันกว้างใหญ่ของเอเชียกลางที่ซึ่งรัฐบาลได้ต่อต้านการประกาศเรื่องราชอาณาจักร. ประชาคมใกล้ที่สุดอยู่ห่าง 400 กิโลเมตร กุยลิสทันจึงไม่ค่อยมีโอกาสคบหาสมาคมกับคริสเตียนที่อาวุโส. แม้จะมีการต่อต้านและปัญหาอื่น ๆ เธอก็ยังประกาศตามบ้านและพบผู้สนใจหลายคน. จากรายงานไม่นานมานี้ เธอนำการศึกษาพระคัมภีร์กับผู้สนใจถึง 20 คนและให้ความเอาใจใส่ต่อกลุ่มที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นซึ่งเป็นแกะของพระยะโฮวา.
23 เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงช่วยยิระมะยาห์และพยานฯอย่างกุยลิสทัน พระองค์ก็ทรงพร้อมจะช่วยคุณและผู้รับใช้คนอื่น ๆ ของพระองค์ที่เชื่อฟัง. จงตั้งใจจะเชื่อฟังพระองค์ฐานะผู้มีอำนาจปกครองแทนที่จะเชื่อฟังมนุษย์ แล้วการต่อต้านและอุปสรรคอื่น ๆ จะไม่กีดกันคุณไว้จากการสรรเสริญพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวอย่างเปิดเผยต่อหน้าผู้คนในเขตงาน.—ยิระ. 15:20, 21
24. การเชื่อฟังนำผลประโยชน์อะไรบ้างมาให้คุณในขณะนี้?
24 ความยินดีและความอิ่มใจอย่างแท้จริงในชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่อาจบรรลุได้หากเราดำเนินชีวิตโดยไม่หมายพึ่งพระผู้สร้างของเรา. (ยิระ. 10:23) หลังจากศึกษาสิ่งที่ยิระมะยาห์เขียนเกี่ยวกับการเชื่อฟัง คุณเห็นวิธีต่าง ๆ ที่คุณจะยอมให้พระยะโฮวาชี้นำฝีก้าวของคุณอย่างเต็มที่ยิ่งขึ้นไหม? พระบัญชาต่าง ๆ ของพระองค์เป็นเครื่องนำทางอย่างเดียวในการดำเนินชีวิตซึ่งนำไปสู่ความสุขและความสำเร็จอย่างครบถ้วน. พระยะโฮวาทรงกระตุ้นเตือนว่า “จงเชื่อฟังเสียงของเรา . . . เพื่อเจ้าจะได้อยู่เย็นเป็นสุข.”—ยิระ. 7:23, ฉบับ R73
คุณจะนำบทเรียนเรื่องการเชื่อฟังจากหนังสือยิระมะยามาใช้ในความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพระเจ้าได้อย่างไร?
a ในที่นี้พระยะโฮวาตรัสกับอาณาจักรอิสราเอลทางเหนือ. ผู้คนจากอาณาจักรสิบตระกูลนั้นเป็นเชลยประมาณ 100 ปีแล้วตอนที่ยิระมะยาห์ประกาศข่าวสารนี้. ท่านยอมรับว่าจนถึงสมัยของท่าน ชาตินี้ก็ยังไม่ได้กลับใจ. (2 กษัต. 17:16-18, 24, 34, 35) ถึงกระนั้น แต่ละคนสามารถกลับมาได้รับความพอพระทัยจากพระเจ้า และกระทั่งกลับจากการเป็นเชลยด้วยซ้ำ.