แหล่งอ้างอิงสำหรับชีวิตและงานรับใช้—คู่มือประชุม
วันที่ 1-7 กรกฎาคม
ความรู้ที่มีค่าจากพระคัมภีร์ | โคโลสี 1-4
“ทิ้งลักษณะนิสัยเก่าและปลูกฝังลักษณะนิสัยใหม่”
ขุดค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
(โคโลสี 1:13, 14) พระเจ้าช่วยเราให้พ้นจากอำนาจของความมืดและย้ายเรามาอยู่ใต้การปกครองของลูกที่รักของพระองค์ 14 ลูกของพระเจ้าท่านนี้ปลดปล่อยเราด้วยค่าไถ่และทำให้เราได้รับการอภัยบาป
it-2-E น. 169 ว. 3-5
รัฐบาลของพระเจ้า
“การปกครองของลูกที่รักของพระองค์” สิบวันหลังจากพระเยซูถูกรับไปสวรรค์ซึ่งตรงกับวันเพ็นเทคอสต์ปี ค.ศ. 33 พระเยซูให้พลังบริสุทธิ์กับพวกสาวก ซึ่งนั่นเป็นหลักฐานว่าท่าน “อยู่ข้างขวามือของพระเจ้า” แล้ว (กจ 1:8, 9; 2:1-4, 29-33) และตอนนั้นเองที่ “สัญญาใหม่” เริ่มใช้กับพวกเขา พวกเขาจึงได้มาเป็นจุดเริ่มต้นของ “ชาติบริสุทธิ์” ซึ่งก็คืออิสราเอลของพระเจ้า—ฮบ 12:22-24; 1ปต 2:9, 10; กท 6:16
ในตอนนั้น พระคริสต์ได้นั่งอยู่ข้างขวามือของพระเจ้าพ่อของท่านแล้วและท่านเป็นผู้นำของประชาคม (อฟ 5:23; ฮบ 1:3; ฟป 2:9-11) พระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่วันเพ็นเทคอสต์ปี ค.ศ. 33 เป็นต้นมา พระคริสต์ได้เริ่มปกครองพวกสาวก ตอนที่อัครสาวกเปาโลเขียนจดหมายถึงคริสเตียนในศตวรรษแรกที่อยู่ในเมืองโคโลสี เขาบอกว่าพระเยซูคริสต์ได้เริ่มปกครองแล้ว โดยพูดว่า “พระเจ้าช่วยเราให้พ้นจากอำนาจของความมืดและย้ายเรามาอยู่ใต้การปกครองของลูกที่รักของพระองค์”—คส 1:13; เทียบกับ กจ 17:6, 7
ตั้งแต่วันเพ็นเทคอสต์ปี ค.ศ. 33 เป็นต้นมา พระคริสต์ได้เริ่มปกครองอิสราเอลของพระเจ้า ซึ่งก็คือคริสเตียนที่เกิดจากพลังของพระเจ้าและกลายเป็นลูกของพระองค์ (ยน 3:3, 5, 6) เมื่อคริสเตียนที่เกิดจากพลังของพระเจ้าได้รับรางวัลในสวรรค์แล้ว พวกเขาจะไม่ได้เป็นประชาชนบนโลกภายใต้การปกครองของพระคริสต์อีกต่อไป แต่จะเป็นกษัตริย์ร่วมปกครองกับพระคริสต์ในสวรรค์—วว 5:9, 10
วันที่ 8-14 กรกฎาคม
ความรู้ที่มีค่าจากพระคัมภีร์ | 1 เธสะโลนิกา 1-5
“ขอให้พวกคุณคอยให้กำลังใจกันและเสริมสร้างกันให้เข้มแข็ง”
ขุดค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
(1 เธสะโลนิกา 4:3-6) พระเจ้าประสงค์ให้พวกคุณเป็นคนบริสุทธิ์และงดเว้นจากการผิดศีลธรรมทางเพศ 4 ให้พวกคุณทุกคนรู้จักควบคุมร่างกายของตัวเองให้บริสุทธิ์และมีเกียรติ 5 อย่าทำเหมือนคนต่างชาติที่ไม่รู้จักพระเจ้าซึ่งลุ่มหลงมัวเมาไปกับความใคร่โดยไม่ควบคุมตัวเอง 6 อย่าให้ใครล่วงเกินและเอาเปรียบพี่น้องในเรื่องนี้ เพราะพระยะโฮวาจะลงโทษคนที่ทำสิ่งเหล่านี้แน่นอน เหมือนที่เราบอกและเตือนพวกคุณไว้อย่างหนักแน่นแล้ว
it-1-E น. 863-864
การผิดศีลธรรมทางเพศ
การทำผิดศีลธรรมทางเพศเป็นการทำผิดที่อาจทำให้คนนั้นถูกขับไล่ (ถูกตัดสัมพันธ์) ออกจากประชาคม (1คร 5:9-13; ฮบ 12:15, 16) อัครสาวกเปาโลอธิบายว่าคริสเตียนที่ทำผิดศีลธรรมทางเพศก็ทำบาปต่อร่างกายของตัวเอง โดยใช้อวัยวะสืบพันธุ์ในทางที่ผิด เขาก็ทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับพระเจ้าได้รับความเสียหายอย่างมาก เขาทำให้ประชาคมของพระเจ้าไม่สะอาด และทำให้ตัวเขาเองเสี่ยงที่จะติดโรคติดต่อทางเพศ (1คร 6:18, 19) เขาเอาเปรียบพี่น้องคริสเตียน (1ธส 4:3-7) โดย (1) ทำให้เกิดเรื่องน่าอายและไม่สะอาดในประชาคม และทำให้ประชาคมเสียชื่อเสียง (ฮบ 12:15, 16) (2) ทำให้คนที่เขาทำผิดศีลธรรมทางเพศด้วยเป็นคนไม่สะอาดทางศีลธรรม และถ้าคนนั้นเป็นโสด เขาก็ไม่สะอาดเมื่อเขาแต่งงาน (3) ทำให้ครอบครัวของตัวเองมีประวัติที่ไม่สะอาดทางศีลธรรม และ (4) ทำผิดต่อพ่อแม่ สามี หรือคู่หมั้นของคนที่เขาทำผิดศีลธรรมทางเพศด้วย คนที่ฝ่าฝืนเรื่องนี้ไม่ได้ปฏิเสธมนุษย์ เพราะมนุษย์อาจมีกฎหมายเรื่องการผิดศีลธรรมทางเพศหรือไม่มีก็ได้ แต่เขาปฏิเสธพระเจ้า ผู้ที่จะลงโทษเขาตามบาปที่เขาทำอย่างแน่นอน—1ธส 4:8
วันที่ 15-21 กรกฎาคม
ความรู้ที่มีค่าจากพระคัมภีร์ | 2 เธสะโลนิกา 1-3
“การเปิดเผยตัวผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย”
(2 เธสะโลนิกา 2:6-8) พวกคุณก็รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่เหนี่ยวรั้งไว้ เพื่อเขาจะไม่ถูกเปิดเผยตัวก่อนเวลา 7 ที่จริง เขาฝ่าฝืนกฎหมายของพระเจ้าอยู่แล้ว แต่ทำอย่างลับ ๆ จนกว่าผู้เหนี่ยวรั้งจะจากไป 8 แล้วผู้ฝ่าฝืนกฎหมายก็จะถูกเปิดเผยตัว พระเยซูผู้เป็นนายจะประหารเขาด้วยพลังที่ออกจากปากท่านและจะทำลายเขาในตอนที่ท่านแสดงให้เห็นว่าท่านประทับอยู่
it-1-E น. 972-973
ความเลื่อมใสพระเจ้า
มีความลับอีกอย่างหนึ่งซึ่งตรงข้ามกับ “ความลับศักดิ์สิทธิ์” ของพระยะโฮวา นั่นคือความลับเกี่ยวกับการ ‘ฝ่าฝืนกฎหมายของพระเจ้าอย่างลับ ๆ’ เรื่องนี้เป็นความลับสำหรับคริสเตียนแท้ เพราะในสมัยของอัครสาวกเปาโลยังดูไม่ออกว่า “ผู้ฝ่าฝืนกฎหมายของพระเจ้า” เป็นคนกลุ่มไหน แม้ต่อมา “ผู้ฝ่าฝืน” จะปรากฏตัวแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังมองไม่ออกเพราะเขาทำชั่วโดยอ้างว่านั่นเป็นการเลื่อมใสพระเจ้า ที่จริงเขากำลังทรยศพระเจ้าไม่ได้เลื่อมใสพระองค์จริง ๆ เปาโลบอกว่า ในสมัยของเขามีคนที่ “ฝ่าฝืนกฎหมายของพระเจ้าอยู่แล้ว แต่ทำอย่างลับ ๆ” นั่นหมายความว่าตอนนั้นมีอิทธิพลของการฝ่าฝืนกฎหมายอยู่ภายในประชาคมคริสเตียน ซึ่งในที่สุดจะทำให้เกิดกลุ่มคนที่ทรยศพระเจ้า แต่สุดท้าย พระเยซูคริสต์จะกำจัดคนกลุ่มนี้ตอนที่ท่านแสดงให้เห็นว่าท่านประทับอยู่ “ผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย” ที่ทรยศพระเจ้าทำตามสิ่งที่ซาตานต้องการ เขายกตัวเอง “เหนือใคร ๆ ที่ผู้คนเรียกกันว่า ‘พระเจ้า’ และเหนือสิ่งที่ผู้คนเคารพบูชา” (คำภาษากรีก seʹba·sma เซบาสมา) ดังนั้น “ผู้ฝ่าฝืนกฎหมายของพระเจ้า” เป็นเครื่องมือที่ซาตานใช้เพื่อหลอกลวงผู้คน และจะทำให้คนที่ทำตามผู้ฝ่าฝืนนั้นถูกทำลาย “ผู้ฝ่าฝืนกฎหมายของพระเจ้า” หลอกลวงผู้คนได้แนบเนียนมากเพราะเขาทำชั่วในแบบที่ดูเหมือนเป็นการเลื่อมใสพระเจ้า—2ธส 2:3-12; เทียบกับ มธ 7:15, 21-23
(2 เธสะโลนิกา 2:9-12) แต่ที่มีผู้ฝ่าฝืนกฎหมายของพระเจ้าก็เพราะซาตาน เขาทำสิ่งที่น่าทึ่งสารพัดอย่าง รวมทั้งการอัศจรรย์และปาฏิหาริย์จอมปลอม 10 เขาใช้วิธีสกปรกทุกรูปแบบเพื่อล่อลวงคนที่ไม่รักความจริงซึ่งกำลังจะพินาศ คนพวกนี้คงจะรอดถ้ารักความจริง 11 ในเมื่อพวกเขาไม่รักความจริง พระเจ้าจึงปล่อยให้พวกเขาถูกชักจูงให้เชื่อเรื่องโกหกหลอกลวง 12 เพื่อพวกเขาทุกคนจะได้ถูกตัดสินลงโทษเพราะไม่เชื่อความจริง แต่ชอบความชั่ว
it-2-E น. 245 ว. 7
โกหกหลอกลวง
พระยะโฮวาพระเจ้า “ปล่อยให้ [คนที่ชอบเรื่องโกหก] ถูกชักจูง” เพื่อเขาจะ “เชื่อเรื่องโกหกหลอกลวง” แทนที่จะเชื่อเรื่องข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ (2ธส 2:9-12) ตัวอย่างที่เห็นได้ในเรื่องนี้เกิดขึ้นหลายร้อยปีก่อนหน้านั้นซึ่งก็คือเรื่องของกษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอล พวกผู้พยากรณ์เท็จยืนยันว่าเขาจะชนะสงครามที่ทำกับเมืองราโมทกิเลอาด ในขณะที่มีคายาห์ผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวาบอกว่าเขาจะแพ้ มีคายาห์เห็นนิมิตที่พระยะโฮวายอมให้ทูตสวรรค์องค์หนึ่ง “ดลใจให้ผู้พยากรณ์” ทุกคนของกษัตริย์อาหับพูดโกหก นั่นหมายความว่าทูตสวรรค์องค์นี้ใช้อำนาจของตนเพื่อให้ผู้พยากรณ์เหล่านั้นไม่พูดความจริง แต่พูดในสิ่งที่พวกเขาอยากพูดและสิ่งที่อาหับอยากได้ยิน แม้กษัตริย์อาหับจะได้รับการเตือนแล้ว แต่เขาก็ยังยอมให้ตัวเองถูกหลอก และนั่นทำให้เขาต้องตาย—1พก 22:1-38; 2พศ 18
ขุดค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
(2 เธสะโลนิกา 1:7, 8) ส่วนพวกคุณที่ทนความยากลำบากอยู่ตอนนี้จะได้รับการบรรเทาด้วยกันกับเรา เมื่อพระเยซูผู้เป็นนายปรากฏจากสวรรค์ในเปลวไฟพร้อมกับพวกทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์อำนาจของท่าน 8 ตอนนั้น ท่านจะลงโทษคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าและคนที่ไม่เชื่อฟังข่าวดีเรื่องพระเยซูผู้เป็นนายของเรา
it-1-E น. 834 ว. 5
ไฟ
เปโตรเขียนว่า “ฟ้าสวรรค์กับโลกที่อยู่ตอนนี้จึงถูกเก็บไว้เพื่อให้ถูกทำลายด้วยไฟ” เนื้อเรื่องและข้อคัมภีร์อื่น ๆ ช่วยให้เห็นหลักฐานว่านี่ไม่ใช่ไฟจริง ๆ แต่หมายถึงความพินาศตลอดไป เหมือนกับที่น้ำท่วมโลกในสมัยโนอาห์ไม่ได้ทำลายฟ้าสวรรค์และโลกจริง ๆ แต่ทำลายคนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าเท่านั้น ดังนั้น ตอนที่พระคริสต์มาปรากฏในเปลวไฟพร้อมกับพวกทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์อำนาจ ท่านจะทำลายเฉพาะคนที่ดูหมิ่นพระเจ้าและทำลายโลกชั่วนี้—2ปต 3:5-7, 10-13; 2ธส 1:6-10; เทียบกับ อสย 66:15, 16, 22, 24
(2 เธสะโลนิกา 2:2) อย่าหวั่นไหวง่ายจนขาดเหตุผลและอย่าตื่นตกใจเพราะถ้อยคำที่ดูเหมือนว่ามาจากพระเจ้า หรือคำพูดและจดหมายที่ดูเหมือนว่ามาจากเรา ซึ่งอ้างว่าวันของพระยะโฮวามาถึงแล้ว
it-1-E น. 1206-1207 ว. 5
การดลใจ
“ถ้อยคำที่ดูเหมือนว่ามาจากพระเจ้า” คำพูดของเปาโลทำให้เห็นชัดเจนว่า “ถ้อยคำที่ดูเหมือนว่ามาจากพระเจ้า” มีทั้งแท้และหลอกลวง เขาพูดถึงทั้งสองอย่างนี้ใน 1 ทิโมธี 4:1 ว่า “พลังของพระเจ้าบอกอย่างชัดเจนว่า ในอนาคตจะมีบางคนทิ้งความเชื่อเพราะหันไปสนใจถ้อยคำหลอกลวงที่ดูเหมือนว่ามาจากพระเจ้า และไปสนใจคำสอนของพวกปีศาจ” นี่ทำให้รู้ว่าแหล่งของ “ถ้อยคำหลอกลวง” มาจากพวกปีศาจ เรื่องนี้ได้รับการสนับสนุนจากนิมิตที่อัครสาวกยอห์นเห็น เขาเห็น “ถ้อยคำที่เกิดจากการดลใจ 3 อย่างที่ไม่สะอาด” ซึ่งดูเหมือนกบ และออกมาจากปากพญานาค ปากสัตว์ร้าย และปากผู้พยากรณ์เท็จ เขาบอกอย่างเจาะจงว่า ถ้อยคำเหล่านั้นเป็น “ถ้อยคำที่พวกปีศาจดลใจให้พูด” เพื่อทำให้กษัตริย์ทั่วโลกมารวมตัวกันในสงครามอาร์มาเกดโดน—วว 16:13-16
วันที่ 22-28 กรกฎาคม
ความรู้ที่มีค่าจากพระคัมภีร์ | 1 ทิโมธี 1-3
“พยายามจะได้ทำงานที่ดี”
(1 ทิโมธี 3:13) ผู้ชายที่รับใช้อย่างดีก็สร้างชื่อเสียงที่ดีและพูดได้อย่างเต็มปากเกี่ยวกับความเชื่อในพระคริสต์เยซู
พก-E 9/78 น. 4 ว. 7
คนที่ “สร้างชื่อเสียงที่ดี”
7 ดังนั้น เราจึงเข้าใจว่าทำไมเปาโลพูดถึงผู้ชายบางคนที่ “สร้างชื่อเสียงที่ดี” บางคนคิดว่า นี่เป็นการเลื่อนขั้นแบบคณะปกครองในคริสตจักร แต่ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะผู้ช่วยงานรับใช้ที่ “รับใช้อย่างดี” มั่นใจว่าจะได้รับพรจากพระยะโฮวาและพระเยซู และทุกคนในประชาคมให้ความนับถือและสนับสนุนพวกเขา พวกเขาจึง “พูดได้อย่างเต็มปากเกี่ยวกับความเชื่อในพระคริสต์เยซู” การที่พวกเขาทำงานมอบหมายอย่างซื่อสัตย์ทำให้คนอื่นเห็นคุณค่างานรับใช้ที่ดีที่พวกเขาทำ พวกเขามีความเชื่อที่มั่นคงและประกาศความเชื่อโดยไม่อายหรือไม่กลัวว่าจะเสียชื่อเสียง
ขุดค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
(1 ทิโมธี 1:4) และไม่ให้สนใจกับเรื่องโกหกและลำดับวงศ์ตระกูล สิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย มีแต่จะทำให้เดาสุ่มกันไปแทนที่จะส่งเสริมความเชื่อที่มาจากพระเจ้า
it-1-E น. 914-915
ลำดับวงศ์ตระกูล
การคุยกันหรือศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ และการคุยกันเรื่องนี้ในช่วงที่เปาโลเขียนจดหมายถึงทิโมธีก็ยิ่งไม่สำคัญ ตอนนั้น ไม่จำเป็นต้องมีการบันทึกลำดับวงศ์ตระกูลเพื่อเป็นหลักฐานถึงบรรพบุรุษของบุคคลอีกต่อไป เพราะพระเจ้าไม่แบ่งแยกคนยิวกับคนต่างชาติแล้วในประชาคมคริสเตียน (กท 3:28) และบันทึกลำดับวงศ์ตระกูลได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพระคริสต์มาทางลูกหลานของดาวิด นอกจากนั้น หลังจากที่เปาโลเขียนคำเตือนนี้ได้ไม่นาน กรุงเยรูซาเล็มก็ถูกทำลายพร้อม ๆ กับบันทึกต่าง ๆ ของชาวยิว พระเจ้าไม่ได้ปกป้องบันทึกเหล่านั้น ดังนั้น เปาโลจึงกังวลว่า ทิโมธีกับประชาคมต่าง ๆ จะเขวไปโดยใช้เวลาค้นคว้าและโต้เถียงกันเรื่องบันทึกวงศ์ตระกูลของบุคคล ซึ่งการทำอย่างนั้นไม่ได้ช่วยให้ประชาคมคริสเตียนก้าวหน้า บันทึกลำดับวงศ์ตระกูลที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิลให้ข้อพิสูจน์เพียงพอว่าพระคริสต์คือเมสสิยาห์ ซึ่งเป็นลำดับวงศ์ตระกูลที่สำคัญที่สุดกับคริสเตียน ลำดับวงศ์ตระกูลอื่น ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักฐานยืนยันความน่าเชื่อถือของบันทึกในพระคัมภีร์ เพื่อแสดงให้เห็นชัดเจนว่าพระคัมภีร์เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง
วันที่ 29 กรกฎาคม–4 สิงหาคม
ความรู้ที่มีค่าจากพระคัมภีร์ | 1 ทิโมธี 4-6
“ความเลื่อมใสพระเจ้ากับทรัพย์สมบัติ”
ขุดค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
(1 ทิโมธี 4:13) ให้คุณใส่ใจกับการอ่านให้คนอื่นฟัง การให้คำแนะนำ และการสอนจนกว่าผมจะไปหา
it-2-E น. 714 ว. 1-2
การอ่านให้คนอื่นฟัง
ในประชาคมคริสเตียน ในศตวรรษแรก มีไม่กี่คนที่มีม้วนหนังสือต่าง ๆ ของคัมภีร์ไบเบิล นี่ทำให้การอ่านให้คนอื่นฟังเป็นเรื่องสำคัญ อัครสาวกเปาโลบอกให้อ่านจดหมายของเขาในการประชุมของประชาคมคริสเตียนและส่งต่อจดหมายนั้นไปให้ประชาคมอื่นอ่านด้วย (คส 4:16; 1ธส 5:27) เปาโลแนะนำทิโมธีที่เป็นผู้ดูแลหนุ่มให้ “ใส่ใจกับการอ่านให้คนอื่นฟัง การให้คำแนะนำ และการสอน”—1ทธ 4:13
การอ่านให้คนอื่นฟังควรอ่านด้วยความคล่องแคล่ว (ฮบก 2:2, เชิงอรรถ) เนื่องจากการอ่านให้คนอื่นฟังเป็นการให้การศึกษากับคนอื่น ผู้อ่านต้องเข้าใจเรื่องราวอย่างดี และเข้าใจจุดประสงค์ของผู้เขียน อ่านด้วยความระมัดระวังไม่ให้ผู้ฟังเข้าใจผิด จากวิวรณ์ 1:3 คนที่อ่านออกเสียงคำพยากรณ์นั้น และคนที่ได้ยินคำพยากรณ์นั้นแล้วทำตามจะมีความสุข