-
จงอบรมลูกของคุณตั้งแต่เป็นทารกเคล็ดลับสำหรับความสุขในครอบครัว
-
-
บทห้า
จงอบรมลูกของคุณตั้งแต่เป็นทารก
1, 2. บิดามารดาควรหมายพึ่งผู้ใดเพื่อได้ความช่วยเหลือในการเลี้ยงดูบุตร?
“บุตรทั้งหลายเป็นมรดกจากพระยะโฮวา” บิดาผู้หยั่งรู้ค่าคนหนึ่งได้กล่าวออกมาเช่นนั้นราว ๆ 3,000 ปีมาแล้ว. (บทเพลงสรรเสริญ 127:3, ล.ม.) จริงทีเดียว ความยินดีของการเป็นบิดามารดานั้นเป็นบำเหน็จล้ำค่าจากพระเจ้า เป็นบำเหน็จซึ่งมีแก่คนที่สมรสแล้วส่วนใหญ่. อย่างไรก็ดี คนเหล่านั้นที่มีลูกย่อมตระหนักในไม่ช้าว่า พร้อมกับความยินดีนั้น การเป็นบิดามารดานำมาซึ่งหน้าที่รับผิดชอบด้วย.
2 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทุกวันนี้ การเลี้ยงดูลูกเป็นภารกิจที่ยากมาก. ถึงกระนั้นก็ตาม หลายคนทำอย่างมีผลสำเร็จ และผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญที่ได้รับการดลใจชี้ถึงวิธี เมื่อกล่าวว่า “ถ้าแม้นพระยะโฮวาไม่ทรงสร้างเรือน การที่ช่างก่อทำงานหนักก็ไร้ประโยชน์.” (บทเพลงสรรเสริญ 127:1, ล.ม.) ยิ่งคุณปฏิบัติตามคำชี้นำของพระยะโฮวาอย่างใกล้ชิดมากเท่าไร คุณก็จะเป็นบิดาหรือมารดาที่ดีขึ้นมากเท่านั้น. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “จงวางใจในพระยะโฮวาด้วยสุดใจของเจ้า, อย่าพึ่งในความเข้าใจของตนเอง.” (สุภาษิต 3:5) คุณเต็มใจรับฟังคำแนะนำของพระยะโฮวาขณะที่คุณเริ่มโครงการเลี้ยงลูกระยะ 20 ปีไหม?
การยอมรับทัศนะของคัมภีร์ไบเบิล
3. บิดามีหน้าที่รับผิดชอบอะไรในการเลี้ยงดูบุตร?
3 ในหลายครอบครัวทั่วโลก ผู้ชายถือว่าการอบรมลูกเป็นงานของผู้หญิงเสียส่วนใหญ่. จริงอยู่ พระคำของพระเจ้าชี้ถึงบทบาทของบิดาฐานะผู้หาเลี้ยงหลักของครอบครัว. อย่างไรก็ดี พระคำของพระเจ้าบอกด้วยว่า เขามีหน้าที่รับผิดชอบในบ้าน. คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “จงเตรียมงานของเจ้าที่ภายนอก ทำทุกอย่างของเจ้าให้พร้อมที่ในนา และหลังจากนั้นก็จงสร้างเรือนของเจ้า.” (สุภาษิต 24:27, ฉบับแปลใหม่) ในทัศนะของพระเจ้า บิดาและมารดาเป็นผู้มีส่วนร่วมกันในการอบรมบุตร.—สุภาษิต 1:8, 9.
4. ทำไมเราไม่ควรถือว่าเด็กผู้ชายเหนือกว่าเด็กผู้หญิง?
4 คุณมีทัศนะอย่างไรต่อลูก ๆ ของคุณ? มีรายงานแจ้งว่า ในเอเชีย “บ่อยครั้งบิดามารดาไม่ยินดีที่ทารกเพศหญิงกำเนิดมา.” ตามรายงาน อคติต่อเด็กผู้หญิงยังคงมีอยู่ในลาตินอเมริกา, แม้แต่ในท่ามกลาง “ครอบครัวที่ค่อนข้างจะหัวใหม่.” อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงคือ เด็กผู้หญิงไม่ใช่ชนชั้นสอง. ยาโคบ บิดาผู้มีชื่อเสียงในโบราณกาลได้พรรณนาถึงลูกหลานทั้งสิ้นของท่าน รวมทั้งลูกสาวคนใด ๆ ที่เกิดมาจนถึงเวลานั้นว่าเป็น “ลูกทั้งหลายที่พระเจ้าโปรดประทานให้แก่ข้าพเจ้า.” (เยเนซิศ 33:1-5; 37:35) เช่นเดียวกัน พระเยซูทรงอวยพระพร “เด็กเล็ก ๆ” (ทั้งเด็กชายและเด็กหญิง) ทุกคนที่ถูกพามาหาพระองค์. (มัดธาย 19:13-15) เรามั่นใจได้ว่า พระองค์ทรงสะท้อนทัศนะของพระยะโฮวา.—พระบัญญัติ 16:14.
5. ควรคำนึงถึงอะไรบ้างซึ่งควบคุมการตัดสินใจของคู่สมรสในเรื่องขนาดของครอบครัว?
5 ในชุมชนของคุณมีการคาดหมายว่าผู้หญิงควรจะให้กำเนิดบุตรหลายคนเท่าที่เป็นไปได้ไหม? นับว่าเหมาะสมที่คู่สมรสทำการตัดสินใจเองว่าจะมีลูกสักกี่คน. จะว่าอย่างไรหากบิดามารดาขาดปัจจัยที่จะเลี้ยงดู, จัดหาเครื่องนุ่งห่ม, และให้การศึกษาแก่ลูกจำนวนหลายคน? แน่นอน คู่สมรสควรคำนึงถึงเรื่องนี้เมื่อตัดสินเกี่ยวกับขนาดของครอบครัว. สามีภรรยาบางคู่ซึ่งไม่สามารถเลี้ยงดูลูกทุกคนได้ ได้มอบหน้าที่รับผิดชอบในการเลี้ยงดูลูกบางคนไว้กับญาติพี่น้อง. การทำเช่นนั้นเป็นสิ่งที่พึงประสงค์ไหม? ไม่เลย. และการทำเช่นนั้นใช่ว่าจะปลดเปลื้องพันธะหน้าที่ของบิดามารดาที่มีต่อบุตร. คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ถ้าแม้นผู้ใดไม่จัดหามาเลี้ยงคนเหล่านั้นซึ่งเป็นของตนเอง และโดยเฉพาะคนเหล่านั้นซึ่งเป็นสมาชิกแห่งครอบครัวของตน ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธเสียซึ่งความเชื่อ.” (1 ติโมเธียว 5:8, ล.ม.) คู่สมรสที่มีความรับผิดชอบพยายามจะกำหนดขนาดแห่ง “ครอบครัว” ของตนเพื่อเขาจะสามารถ “จัดหามาเลี้ยงคนเหล่านั้นซึ่งเป็นของตนเอง.” เขาจะใช้การคุมกำเนิดได้ไหมเพื่อจะกำหนดขนาดของครอบครัว? นี่ก็เช่นกันเป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจเป็นส่วนตัว และหากคู่สมรสตัดสินใจในแนวทางนี้ การเลือกวิธีคุมกำเนิดก็เป็นเรื่องส่วนตัวด้วย. “แต่ละคนจะแบกภาระของตนเอง.” (ฆะลาเตีย 6:5, ล.ม.) อย่างไรก็ดี การคุมกำเนิดที่เกี่ยวข้องกับการทำแท้งในรูปแบบใด ๆ นั้นขัดกับหลักการของคัมภีร์ไบเบิล. พระยะโฮวาพระเจ้าเป็น “บ่อเกิดแห่งชีวิต.” (บทเพลงสรรเสริญ 36:9, ล.ม.) เพราะฉะนั้น การทำลายชีวิตหลังจากปฏิสนธิแล้วคงจะเผยให้เห็นการขาดความนับถือต่อพระยะโฮวาอย่างยิ่งและเท่ากับเป็นการฆ่าคน.—เอ็กโซโด 21:22, 23; บทเพลงสรรเสริญ 139:16; ยิระมะยา 1:5.
การสนองความต้องการของลูก
6. การอบรมลูกควรเริ่มต้นเมื่อไร?
6 สุภาษิต 22:6 กล่าวว่า “จงฝึกสอนเด็กให้ประพฤติตามทางที่ควรจะประพฤตินั้น.” การอบรมบุตรเป็นหน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของบิดามารดา. แต่การอบรมนั้นควรเริ่มเมื่อไร? ควรเริ่มแต่เนิ่น ๆ ทีเดียว. อัครสาวกเปาโลได้ชี้ชัดว่า ติโมเธียวได้รับการอบรม “ตั้งแต่เป็นทารก.” (2 ติโมเธียว 3:15, ล.ม.) คำภาษากรีกที่ใช้ในที่นี้อาจพาดพิงถึงทารกที่เล็กมากหรือเด็กที่ยังไม่เกิดมาด้วยซ้ำ. (ลูกา 1:41, 44; กิจการ 7:18-20) เนื่องจากเหตุนี้ ติโมเธียวได้รับการอบรมตั้งแต่เมื่อเขายังเล็กมาก—และสมควรทำเช่นนั้น. วัยทารกเป็นช่วงเวลาอันวิเศษที่จะเริ่มการอบรมเด็ก. แม้แต่ทารกเล็ก ๆ ก็กระหายความรู้.
7. (ก) ทำไมเป็นสิ่งสำคัญที่ทั้งบิดาและมารดาพัฒนาความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับทารก? (ข) สัมพันธภาพเช่นไรมีอยู่ระหว่างพระยะโฮวากับพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียว?
7 มารดาคนหนึ่งบอกว่า “เมื่อแรกเห็นลูกน้อย ดิฉันก็รู้สึกรักเสียแล้ว.” มารดาส่วนใหญ่รู้สึกเช่นนั้น. ความผูกพันรักใคร่อันดีเช่นนั้นระหว่างมารดาและทารกงอกงามขึ้นขณะที่ทั้งสองใช้เวลาด้วยกันหลังจากการกำเนิดมา. การให้ลูกกินนมยิ่งเพิ่มความใกล้ชิดนั้น. (เทียบกับ 1 เธซะโลนิเก 2:7.) การที่มารดาโอบกอดลูกน้อยและพูดคุยด้วยนับว่าสำคัญมากในการสนองความต้องการด้านอารมณ์ของทารก. (เทียบกับยะซายา 66:12.) แต่จะว่าอย่างไรกับผู้เป็นบิดา? เขาก็เช่นกันควรสร้างความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับลูกที่เพิ่งเกิดมา. พระยะโฮวาเองทรงเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้. ในพระธรรมสุภาษิต เราเรียนถึงสัมพันธภาพของพระยะโฮวากับพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียว ผู้ซึ่งมีการแจ้งว่าได้กล่าวดังนี้: “พระยะโฮวาทรงสร้างตัวเราเป็นปฐมแห่งทางการ, . . . เราชื่นชมยินดีทุกวัน [“เป็นผู้ที่พระองค์ทรงรักใคร่เป็นพิเศษวันแล้ววันเล่า,” ล.ม.].” (สุภาษิต 8:22, 30; โยฮัน 1:14) ในทำนองคล้ายกัน บิดาที่ดีปลูกฝังความสัมพันธ์อันอบอุ่น เปี่ยมด้วยความรักกับบุตรตั้งแต่ตอนเริ่มแรกของชีวิตลูกเลยทีเดียว. บิดาคนหนึ่งบอกว่า “จงแสดงความรักใคร่มาก ๆ. ไม่เคยมีเด็กตายเนื่องจากการโอบกอดและการจูบ.”
8. บิดามารดาควรให้การกระตุ้นอะไรด้านสมองแก่ทารกเร็วเท่าที่เป็นไปได้?
8 แต่ทารกต้องการมากกว่านั้น. ตั้งแต่วินาทีที่เกิดมา สมองของเด็กพร้อมที่จะรับและเก็บข้อมูล และบิดามารดาเป็นแหล่งแรกที่จะให้สิ่งนี้. ขอยกเรื่องภาษาเป็นตัวอย่าง. นักวิจัยบอกว่า การที่เด็กเรียนรู้ที่จะพูดและอ่านได้ดีเพียงใดนั้น “เชื่อกันว่าเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับลักษณะที่เด็กติดต่อสื่อความแต่แรกกับบิดามารดา.” จงพูดคุยและอ่านให้ลูกฟังตั้งแต่วัยทารก. ไม่นานเขาจะต้องการเอาอย่างคุณ และในไม่ช้าคุณก็จะสอนเขาให้อ่าน. เขาคงจะสามารถอ่านได้ก่อนเข้าโรงเรียน. นั่นจะมีประโยชน์เป็นพิเศษหากคุณอยู่ในประเทศที่ครูมีน้อยและชั้นเรียนแน่นขนัด.
9. เป้าประสงค์สำคัญที่สุดซึ่งบิดามารดาจำเป็นต้องจดจำไว้นั้นคืออะไร?
9 ความห่วงใยอันดับแรกสุดของบิดามารดาคริสเตียนคือการสนองความต้องการด้านวิญญาณของบุตร. (ดูพระบัญญัติ 8:3.) โดยมีเป้าประสงค์อะไร? เพื่อช่วยลูกให้พัฒนาบุคลิกภาพเยี่ยงพระคริสต์ ที่แท้แล้ว เพื่อสวม “บุคลิกภาพใหม่.” (เอเฟโซ 4:24, ล.ม.) เพื่อให้เป็นเช่นนี้ เขาต้องคำนึงถึงวัสดุก่อสร้างที่เหมาะและวิธีก่อสร้างที่ถูกต้อง.
จงพร่ำสอนความจริงแก่ลูกของคุณ
10. เด็ก ๆ จำเป็นต้องพัฒนาคุณลักษณะอะไรบ้าง?
10 คุณภาพของอาคารขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างนั้นเป็นส่วนใหญ่. อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า วัสดุก่อสร้างซึ่งดีที่สุดสำหรับบุคลิกภาพแบบคริสเตียนนั้นคือ “ทองคำ, เงิน, หรือเพชรพลอย.” (1 โกรินโธ 3:10-12) สิ่งเหล่านี้เป็นภาพแสดงถึงคุณลักษณะต่าง ๆ เช่น ความเชื่อ, สติปัญญา, ความสังเกตเข้าใจ, ความภักดี, ความนับถือ, และความหยั่งรู้ค่าต่อพระยะโฮวาและกฎหมายของพระองค์ด้วยความรัก. (บทเพลงสรรเสริญ 19:7-11; สุภาษิต 2:1-6; 3:13, 14) บิดามารดาจะช่วยบุตรของตนตั้งแต่วัยเด็กระยะแรกสุดให้พัฒนาคุณลักษณะเหล่านี้ได้อย่างไร? โดยปฏิบัติตามขั้นตอนที่บอกไว้นานมาแล้ว.
11. บิดามารดาชาวยิศราเอลช่วยบุตรของตนให้พัฒนาบุคลิกภาพเยี่ยงพระเจ้าโดยวิธีใด?
11 ไม่นานก่อนชาติยิศราเอลเข้าสู่แผ่นดินแห่งคำสัญญา พระยะโฮวารับสั่งแก่บิดามารดาชาวยิศราเอลว่า “ถ้อยคำเหล่านี้, ซึ่งเราสั่งไว้แก่เจ้าทั้งหลายในวันนี้, ก็ให้ตั้งอยู่ในใจของเจ้าทั้งหลาย; และจงอุตส่าห์สั่งสอนบุตรทั้งหลายของเจ้าด้วยถ้อยคำเหล่านี้, และเมื่อเจ้าทั้งหลายจะนั่งอยู่ในเรือน, หรือเดินในหนทาง, หรือนอนลง, และตื่นขึ้น.” (พระบัญญัติ 6:6, 7) ถูกแล้ว บิดามารดาต้องเป็นตัวอย่าง, เป็นเพื่อน, เป็นผู้สื่อความ, และเป็นครู.
12. ทำไมเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่บิดามารดาวางตัวอย่างที่ดี?
12 เป็นตัวอย่าง. ประการแรก พระยะโฮวาตรัสว่า “ถ้อยคำเหล่านี้ . . . ก็ให้ตั้งอยู่ในใจของเจ้าทั้งหลาย.” ครั้นแล้ว พระองค์ตรัสเสริมอีกว่า “จงอุตส่าห์สั่งสอนบุตรทั้งหลายของเจ้า.” ดังนั้น คุณลักษณะเยี่ยงพระเจ้าต้องอยู่ในหัวใจของบิดาหรือมารดาก่อน. บิดาหรือมารดาต้องรักความจริง และดำเนินชีวิตตามความจริงนั้น. เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้เท่านั้น เขาจึงสามารถเข้าถึงหัวใจของเด็กได้. (สุภาษิต 20:7) เพราะเหตุใด? เพราะเด็กได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เขาเห็นมากกว่าสิ่งที่เขาได้ยิน.—ลูกา 6:40; 1 โกรินโธ 11:1.
13. ในการให้ความเอาใจใส่แก่บุตร บิดามารดาคริสเตียนสามารถเลียนแบบอย่างของพระเยซูได้อย่างไร?
13 เป็นเพื่อน. พระยะโฮวารับสั่งแก่บิดามารดาในยิศราเอลว่า ‘จงพูดกับบุตรทั้งหลายของเจ้าเมื่อเจ้าทั้งหลายนั่งอยู่ในเรือนและเดินอยู่ในหนทาง.’ การทำเช่นนี้ต้องใช้เวลากับบุตรไม่ว่าบิดามารดามีธุระมากเพียงไรก็ตาม. เห็นได้ชัด พระเยซูทรงถือว่า พระองค์สมควรให้เวลากับเด็ก ๆ. ระหว่างช่วงวันท้าย ๆ แห่งงานสั่งสอนของพระองค์ “เขาพาเด็กเล็ก ๆ มาหาพระองค์, เพื่อจะให้พระองค์ทรงจับต้องตัวเด็กนั้น.” พระเยซูมีปฏิกิริยาเช่นไร? “พระองค์ทรงอุ้มเด็กเล็ก ๆ เหล่านั้นวางพระหัตถ์บนเขาและทรงอวยพรให้.” (มาระโก 10:13, 16) คิดดูซิ ขณะที่การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคืบใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว. กระนั้น พระองค์ก็ยังทรงให้เวลาและความสนใจต่อเด็กเหล่านี้. ช่างเป็นบทเรียนที่ดีเสียจริง ๆ!
14. ทำไมจึงเป็นประโยชน์ที่บิดามารดาจะใช้เวลากับบุตร?
14 เป็นผู้สื่อความ. การใช้เวลากับลูกจะช่วยคุณให้สื่อความกับเขา. ยิ่งคุณสื่อความมากเท่าใด คุณก็จะสังเกตเข้าใจดีขึ้นเท่านั้นว่าบุคลิกภาพของเขากำลังพัฒนาอย่างไร. แต่โปรดจำไว้ว่า การสื่อความไม่ใช่แค่การพูดคุย. มารดาคนหนึ่งในบราซิลบอกว่า “ดิฉันต้องพัฒนาศิลปะในการฟัง รับฟังด้วยหัวใจ.” ความอดทนของเธอเกิดผลเมื่อลูกชายเริ่มให้เธอรู้ถึงความรู้สึกของเขา.
15. จำเป็นต้องคำนึงถึงสิ่งใดเมื่อมาถึงเรื่องนันทนาการ?
15 เด็กจำเป็นต้องมี “วาระหัวเราะ . . . และวาระเต้นรำ” เวลาสำหรับนันทนาการ. (ท่านผู้ประกาศ 3:1, 4, ฉบับแปลใหม่; ซะคาระยา 8:5) นันทนาการให้ผลประโยชน์มากเมื่อบิดามารดากับบุตรเพลิดเพลินด้วยกัน. เป็นข้อเท็จจริงอันน่าเศร้าที่ว่าในหลายบ้าน นันทนาการหมายถึงการดูโทรทัศน์. ขณะที่รายการโทรทัศน์บางรายการอาจให้ความบันเทิง ก็มีหลายรายการทำลายค่านิยมที่ดีงาม และการดูโทรทัศน์มักจะปิดกั้นการสื่อความในครอบครัว. เพราะฉะนั้น น่าจะทำอะไรในเชิงสร้างสรรค์กับลูก ๆ ของคุณ. ร้องเพลง, เล่นเกม, สังสรรค์กับเพื่อน ๆ, ไปเยี่ยมชมสถานที่ที่ให้ความเพลิดเพลิน. กิจกรรมดังกล่าวส่งเสริมการสื่อความ.
16. บิดามารดาควรสอนอะไรแก่บุตรในเรื่องพระยะโฮวา และควรทำเช่นนั้นโดยวิธีใด?
16 เป็นครู. พระยะโฮวาตรัสว่า “จงอุตส่าห์สั่งสอนบุตรทั้งหลายของเจ้าด้วยถ้อยคำเหล่านี้.” บริบทบอกให้คุณทราบสิ่ง ที่จะสอนและวิธี สอน. ประการแรก “เจ้าจงรักพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจ, สุดจิตต์ของเจ้า, และด้วยสิ้นสุดกำลังของเจ้า.” (พระบัญญัติ 6:5) ครั้นแล้ว “ถ้อยคำเหล่านี้ . . . จงอุตส่าห์สั่งสอน.” จงถ่ายทอดคำสั่งสอนที่มุ่งในการพัฒนาความรักอย่างสุดจิตวิญญาณต่อพระยะโฮวาและกฎหมายของพระองค์. (เทียบกับเฮ็บราย 8:10.) คำ “อุตส่าห์สั่งสอน [“พร่ำสอน,” ล.ม.]” หมายถึงสอนโดยการกล่าวซ้ำ. ดังนั้น ที่แท้แล้ว พระยะโฮวาตรัสกับคุณว่า วิธีหลักในการช่วยลูกของคุณพัฒนาบุคลิกภาพแบบพระเจ้าคือ พูดคุยถึงพระองค์เสมอ. นี่หมายรวมถึงมีการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเขาเป็นประจำ.
17. บิดามารดาอาจจำเป็นต้องพัฒนาสิ่งใดในตัวบุตร? เพราะเหตุใด?
17 บิดามารดาส่วนใหญ่ทราบว่าการให้ความรู้เข้าถึงหัวใจของบุตรไม่ใช่เรื่องง่าย. อัครสาวกเปโตรกระตุ้นเตือนเพื่อนคริสเตียนว่า “ดุจดังทารกที่พึ่งคลอด จงปลูกฝังความปรารถนาจะได้น้ำนมอันไม่มีอะไรเจือปนที่เป็นของพระคำ.” (1 เปโตร 2:2, ล.ม.) ถ้อยคำที่ว่า “ปลูกฝัง ความปรารถนา” บ่งชี้ว่า ตามธรรมดาแล้ว หลายคนไม่หิวอาหารฝ่ายวิญญาณ. บิดามารดาอาจต้องหาวิธีพัฒนาความปรารถนาเช่นนั้นขึ้นในตัวบุตร.
18. วิธีการสอนแบบใดบ้างของพระเยซูที่บิดามารดาได้รับการสนับสนุนให้เลียนแบบ?
18 พระเยซูเข้าถึงหัวใจโดยใช้อุทาหรณ์. (มาระโก 13:34; ลูกา 10:29-37) วิธีการสอนเช่นนี้บังเกิดผลโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็ก ๆ. จงสอนหลักการในคัมภีร์ไบเบิลโดยใช้เรื่องราวที่มีความหลากหลาย น่าสนใจ บางทีอาจใช้เรื่องเหล่านั้นที่พบใน หนังสือของฉันเกี่ยวด้วยเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล.a จงให้เด็ก ๆ มีส่วนด้วย. ให้เขาใช้ความคิดสร้างสรรค์โดยการวาดภาพและเอาเหตุการณ์ในคัมภีร์ไบเบิลมาแสดงในลักษณะละคร. พระเยซูทรงใช้คำถามด้วย. (มัดธาย 17:24-27) จงเลียนวิธีของพระองค์ระหว่างการศึกษาในครอบครัว. แทนที่จะเพียงบอกกฎหมายของพระเจ้า จงถามคำถาม เช่น ทำไมพระยะโฮวาให้กฎหมายนี้แก่เรา? จะเกิดอะไรขึ้นหากเรารักษากฎหมายนี้? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่รักษากฎหมายนี้? คำถามเช่นนั้นช่วยเด็กให้หาเหตุผลและเข้าใจว่า กฎหมายของพระเจ้าใช้การได้จริงและเป็นประโยชน์.—พระบัญญัติ 10:13.
19. หากบิดามารดาติดตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิลในการปฏิบัติกับบุตรแล้ว เด็กจะได้รับผลประโยชน์มากมายอะไรบ้าง?
19 โดยการเป็นตัวอย่าง, เป็นเพื่อน, เป็นผู้สื่อความ, และเป็นครู คุณสามารถช่วยลูกตั้งแต่ช่วงปีแรก ๆ ให้สร้างสัมพันธภาพอันใกล้ชิดเป็นส่วนตัวกับพระยะโฮวาพระเจ้า. สัมพันธภาพเช่นนี้จะส่งเสริมให้เด็กของคุณมีความสุขฐานะเป็นคริสเตียน. เขาจะพยายามดำเนินตามความเชื่อแม้แต่เมื่อเผชิญกับความกดดันจากคนรุ่นเดียวกันและการล่อใจ. จงช่วยเขาเสมอให้หยั่งรู้ค่าสัมพันธภาพอันล้ำค่าเช่นนี้.—สุภาษิต 27:11.
ความจำเป็นยิ่งของการตีสอน
20. การตีสอนคืออะไร และควรนำมาใช้โดยวิธีใด?
20 การตีสอนเป็นการอบรมที่แก้ไขจิตใจและหัวใจให้ถูกต้อง. เด็กจำเป็นต้องได้รับการตีสอนอยู่เสมอ. เปาโลแนะนำบิดาให้ “อบรม [บุตร] ด้วยการตีสอนและการปรับความคิดจิตใจตามหลักการของพระยะโฮวา.” (เอเฟโซ 6:4, ล.ม.) บิดามารดาควรตีสอนด้วยความรัก เช่นเดียวกับที่พระยะโฮวาทรงกระทำ. (เฮ็บราย 12:4-11) การตีสอนที่อาศัยความรักอาจถ่ายทอดได้โดยการหาเหตุผล. เนื่องจากเหตุนี้ เราได้รับการกำชับให้ “ฟังคำสั่งสอน [“การตีสอน,” ล.ม.].” (สุภาษิต 8:33) ควรตีสอนอย่างไร?
21. บิดามารดาควรจดจำหลักการอะไรเมื่อตีสอนบุตร?
21 บิดามารดาบางคนคิดว่า การตีสอนบุตรพาดพิงถึงเพียงแต่การพูดกับเด็กด้วยน้ำเสียงข่มขู่, ดุด่า, หรือถึงกับสบประมาทบุตร. อย่างไรก็ดี ในเรื่องเดียวกันนี้ เปาโลเตือนให้ระวังว่า “ฝ่ายท่านทั้งหลายผู้เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของตนให้ขัดเคืองใจ.” (เอเฟโซ 6:4) คริสเตียนทุกคนได้รับการกระตุ้นเตือนให้ “สุภาพต่อคนทั้งปวง . . . สั่งสอนคนที่มีแนวโน้มไม่ยินดีรับนั้นด้วยใจอ่อนโยน.” (2 ติโมเธียว 2:24, 25, ล.ม.) บิดามารดาคริสเตียน ขณะสำนึกถึงความจำเป็นที่ต้องมีความหนักแน่น จงพยายามคำนึงถึงถ้อยคำเหล่านี้เมื่อตีสอนบุตร. แต่บางครั้ง การหาเหตุผลยังไม่พอ และอาจจำเป็นต้องใช้การลงโทษบางอย่าง.—สุภาษิต 22:15.
22. หากจำเป็นต้องลงโทษเด็ก ต้องช่วยเขาให้เข้าใจอะไร?
22 เด็กแต่ละคนต้องได้รับการตีสอนแบบที่ต่างกัน. บางคน “สักแต่ใช้คำพูดเท่านั้นจะฝึกสอน” ไม่ได้. สำหรับเขาแล้ว การใช้วิธีลงโทษเป็นครั้งคราวเพราะเขาไม่เชื่อฟังนั้นอาจเป็นการช่วยชีวิต. (สุภาษิต 17:10; 23:13, 14; 29:19, ฉบับแปลใหม่) อย่างไรก็ตาม เด็กควรเข้าใจเหตุผลที่เขาได้รับการลงโทษ. “ไม้เรียวและ การว่ากล่าวเป็นที่ให้เกิดปัญญา.” (สุภาษิต 29:15, ล.ม.; โยบ 6:24) นอกจากนี้ การลงโทษย่อมมีขอบเขต. พระยะโฮวาตรัสแก่ไพร่พลของพระองค์ว่า “เราจะตีสอน [“เฆี่ยนตี,” ล.ม.] เจ้าตามขนาด [“ที่เหมาะสม,” ล.ม.].” (ยิระมะยา 46:28ข, ฉบับแปลใหม่) คัมภีร์ไบเบิลไม่สนับสนุนอย่างเด็ดขาดในการเฆี่ยนตีอย่างโกรธแค้นหรือการทุบตีอย่างรุนแรงซึ่งทำให้เด็กฟกช้ำดำเขียวและถึงกับบาดเจ็บด้วยซ้ำ.—สุภาษิต 16:32.
23. เด็กน่าจะสามารถเข้าใจอะไรเมื่อถูกบิดามารดาลงโทษ?
23 เมื่อพระยะโฮวาทรงเตือนไพร่พลของพระองค์ว่า จะทรงตีสอนเขานั้น ทีแรกพระองค์ตรัสว่า “อย่ากลัวเลยเพราะเราอยู่กับเจ้า.” (ยิระมะยา 46:28ก, ฉบับแปลใหม่) เช่นกัน การตีสอนของบิดามารดา ไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตามที่เหมาะสม ไม่ควรปล่อยให้เด็กรู้สึกเลยว่าถูกทอดทิ้ง. (โกโลซาย 3:21) แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เด็กควรตระหนักว่า ตนได้รับการตีสอนเช่นนั้นก็เนื่องด้วยบิดาหรือมารดา ‘อยู่กับเขา’ เป็นฝ่ายเขา.
จงป้องกันลูกของคุณไว้จากอันตราย
24, 25. อะไรเป็นการคุกคามที่น่าขยะแขยงอย่างหนึ่งที่เด็กจำเป็นต้องได้รับการป้องกันไว้ในสมัยนี้?
24 ผู้ใหญ่หลายคนคิดถึงวัยเด็กของตนว่าเป็นช่วงแห่งความสุขเบิกบาน. พวกเขาหวนคิดถึงความรู้สึกอันอบอุ่นปลอดภัย ความแน่ใจที่ว่าบิดามารดาจะเอาใจใส่ดูแลเขาไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไรก็ตาม. บิดามารดาต้องการให้ลูกรู้สึกอย่างนั้น แต่ในโลกที่เสื่อมทรามทุกวันนี้ เป็นเรื่องยากกว่าที่เคยเป็นมาที่จะให้เด็กปลอดภัย.
25 การคุกคามที่น่าขยะแขยงอย่างหนึ่งซึ่งได้เพิ่มขึ้นไม่กี่ปีมานี้คือการทำร้ายเด็กทางเพศ. ในมาเลเซีย รายงานเกี่ยวกับการทำร้ายเด็กทางเพศมีมากขึ้นเป็นสี่เท่าในช่วงสิบปี. ในเยอรมนี เด็กประมาณ 300,000 คนถูกทำร้ายทางเพศแต่ละปี ขณะที่ในประเทศหนึ่งแถบอเมริกาใต้ ตามรายงานการวิจัย มีจำนวนที่น่าตกตะลึงถึงประมาณ 9,000,000 คนในแต่ละปี! เป็นที่น่าสลดใจ ส่วนใหญ่ของเด็กเหล่านี้ถูกทำร้ายในบ้านของตนเองโดยคนที่เขารู้จักและไว้ใจ. แต่เด็กควรมีบิดามารดาผู้มีความเชื่อเป็นการปกป้องที่แน่นหนา. บิดามารดาจะเป็นผู้คุ้มครองได้อย่างไร?
26. มีวิธีใดบ้างที่จะดูแลเด็กให้ปลอดภัยโดยตลอด และความรู้จะป้องกันเด็กไว้ได้อย่างไร?
26 เนื่องจากประสบการณ์แสดงว่า เด็ก ๆ ซึ่งไม่ค่อยรู้เรื่องเพศเท่าไรนักถูกผู้รังแกจู่โจมได้ง่ายเป็นพิเศษ มาตรการหลักในการป้องกันคือ สอนเด็ก แม้แต่เมื่อเขายังเล็กอยู่. ความรู้สามารถให้การป้องกันไว้ “จากทางของคนชั่ว, เพื่อให้พ้นจากคนที่พูดดึงดันไปในทางหลงผิด.” (สุภาษิต 2:10-12) ความรู้อะไร? ความรู้เกี่ยวกับหลักการในคัมภีร์ไบเบิล เกี่ยวกับสิ่งที่ถูกต้องและผิดทางด้านศีลธรรม. อีกทั้งความรู้ที่ว่า ผู้ใหญ่บางคนทำสิ่งเลวร้ายและคนหนุ่มสาวไม่ต้องเชื่อฟังเมื่อมีคนแนะพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม. (เทียบกับดานิเอล 1:4, 8; 3:16-18.) อย่าจำกัดการสั่งสอนนั้นไว้ในการพูดครั้งเดียว. เด็ก ๆ ส่วนใหญ่จำเป็นต้องได้รับการสอนซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนจะจำได้ดี. ขณะที่เด็กเติบโตขึ้นอีกหน่อย ด้วยความรัก บิดาจะเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของลูกสาว และมารดาก็เคารพสิทธินั้นของลูกชาย—ซึ่งโดยวิธีนี้ เป็นการเสริมความสำนึกของเด็กต่อสิ่งที่เหมาะสมให้เข้มแข็งขึ้น. และแน่นอน การป้องกันที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งเพื่อมิให้ถูกทำร้ายนั้นคือ การที่คุณดูแลอย่างใกล้ชิดฐานะบิดามารดา.
แสวงหาการชี้นำจากพระเจ้า
27, 28. ใครเป็นแหล่งสำคัญที่สุดในการให้ความช่วยเหลือแก่บิดามารดาเมื่อเผชิญการท้าทายในการเลี้ยงดูบุตร?
27 ที่จริง การอบรมเด็กตั้งแต่เป็นทารกนั้นเป็นการท้าทาย ทว่าบิดามารดาผู้มีความเชื่อไม่ต้องเผชิญการท้าทายนั้นตามลำพัง. ย้อนไปในสมัยของผู้วินิจฉัย เมื่อบุรุษชื่อมาโนฮาทราบว่ากำลังจะเป็นบิดา เขาทูลขอพระยะโฮวาเพื่อการชี้นำในการเลี้ยงบุตร. พระยะโฮวาทรงตอบคำอธิษฐานของเขา.—วินิจฉัย 13:8, 12, 24.
28 คล้ายกันในทุกวันนี้ ขณะที่บิดามารดาผู้มีความเชื่อเลี้ยงดูบุตร เขาสามารถทูลต่อพระยะโฮวาในคำอธิษฐานได้. การเป็นบิดาหรือมารดาเป็นงานที่ยาก ทว่ามีบำเหน็จมากมาย. คู่สมรสคริสเตียนคู่หนึ่งในฮาวายบอกว่า “คุณมีเวลา 12 ปีที่จะทำงานของคุณในการอบรมลูกให้เสร็จก่อนช่วงวัยรุ่นที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อนั้น. แต่หากคุณได้พยายามบากบั่นเอาหลักการในคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ ก็ถึงเวลาที่จะเก็บเกี่ยวความยินดีและสันติสุขเมื่อเขาตัดสินใจว่าต้องการจะรับใช้พระยะโฮวาจากหัวใจ.” (สุภาษิต 23:15, 16) เมื่อลูกของคุณตัดสินใจเช่นนั้น คุณก็เช่นกันจะได้รับการกระตุ้นให้กล่าวว่า “บุตรทั้งหลายเป็นมรดกจากพระยะโฮวา.”
a จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์แห่งนิวยอร์ก.
-
-
จงช่วยลูกวัยรุ่นให้วัฒนาขึ้นเคล็ดลับสำหรับความสุขในครอบครัว
-
-
บทหก
จงช่วยลูกวัยรุ่นให้วัฒนาขึ้น
1, 2. ช่วงวัยรุ่นอาจนำมาซึ่งการท้าทายและความยินดีประการใดบ้าง?
การมีเด็กวัยรุ่นอยู่ในบ้านนับว่าต่างกันทีเดียวกับการมีเด็กวัยห้าขวบหรือแม้แต่สิบขวบด้วยซ้ำ. ช่วงวัยรุ่นนำมาซึ่งการท้าทายและปัญหา ทว่าอาจนำมาซึ่งความยินดีและบำเหน็จด้วย. ตัวอย่างเช่น โยเซฟ, ดาวิด, โยซียา, และติโมเธียวแสดงว่า คนหนุ่มสาวสามารถปฏิบัติอย่างที่รู้จักรับผิดชอบและมีสัมพันธภาพที่ดีกับพระยะโฮวา. (เยเนซิศ 37:2-11; 1 ซามูเอล 16:11-13; 2 กษัตริย์ 22:3-7; กิจการ 16:1, 2) เด็กวัยรุ่นหลายคนในทุกวันนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นอย่างนั้น. คุณคงรู้จักบางคนในพวกเขา.
2 กระนั้น สำหรับบางคนแล้ว ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่สับสนวุ่นวาย. เด็กวัยนี้มีอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ. เด็กชายและเด็กหญิงวัยรุ่นอาจต้องการเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และอาจขุ่นเคืองในข้อจำกัดที่บิดามารดาวางไว้ต่อเขา. กระนั้น เยาวชนดังกล่าวยังขาดประสบการณ์อยู่มากและจำต้องได้รับความช่วยเหลือด้วยความรัก ความอดทนจากบิดามารดา. ถูกแล้ว ช่วงวัยรุ่นอาจน่าตื่นเต้น แต่ก็อาจเป็นช่วงที่ยุ่งยากวุ่นวายด้วย—ทั้งสำหรับบิดามารดาและวัยรุ่น. จะช่วยเยาวชนระหว่างช่วงปีเหล่านี้ได้อย่างไร?
3. บิดามารดาสามารถให้โอกาสอันดีในชีวิตแก่บุตรวัยรุ่นได้อย่างไร?
3 บิดามารดาซึ่งปฏิบัติตามคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลให้โอกาสอันดีเยี่ยมเท่าที่จะมีได้แก่ลูกวัยรุ่นที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างประสบผลสำเร็จผ่านการทดลองเหล่านั้นไปสู่วัยผู้ใหญ่ที่รู้จักรับผิดชอบ. ในทุกดินแดนและทุกสมัย บิดามารดาและวัยรุ่นซึ่งนำหลักการในคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ร่วมกันได้รับพระพรด้วยความสำเร็จ.—บทเพลงสรรเสริญ 119:1.
การสื่อความที่จริงใจและเปิดโอกาส
4. ทำไมการพูดคุยแบบไว้เนื้อเชื่อใจกันจึงสำคัญเป็นพิเศษระหว่างช่วงวัยรุ่น?
4 คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “แผนการล้มเหลวเมื่อไม่มีการพูดคุยแบบไว้เนื้อเชื่อใจกัน.” (สุภาษิต 15:22, ล.ม.) หากการพูดคุยแบบไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อลูกอายุน้อยกว่านี้ ย่อมเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งระหว่างช่วงวัยรุ่น—เมื่อเด็กหนุ่มสาวมักจะใช้เวลาที่บ้านน้อยลงและใช้เวลามากขึ้นกับเพื่อนนักเรียนหรือเพื่อนคนอื่น ๆ. หากไม่มีการพูดคุยแบบไว้เนื้อเชื่อใจกัน—ไม่มีการสื่อความที่จริงใจและเปิดโอกาสระหว่างบุตรกับบิดามารดา—เด็กวัยรุ่นอาจกลายเป็นคนแปลกหน้าภายในบ้าน. ดังนั้น จะให้ช่องทางในการสื่อความเปิดอยู่เสมอได้อย่างไร?
5. เด็กวัยรุ่นได้รับการสนับสนุนให้มองดูเรื่องการสื่อความกับบิดามารดาว่าเป็นอย่างไร?
5 ทั้งเด็กวัยรุ่นและบิดามารดาต้องทำส่วนของตนในเรื่องนี้. จริงอยู่ เด็กวัยรุ่นอาจพบว่าการพูดคุยกับบิดามารดานั้นยากกว่าที่เขาเคยพูดคุยตอนที่อายุน้อยกว่า. ถึงกระนั้นก็ตาม โปรดจำไว้ว่า “ถ้าไม่มีการชี้นำอย่างชำนาญ ประชาชนก็ล้มลง; แต่มีความรอดเมื่อมีที่ปรึกษาจำนวนมาก.” (สุภาษิต 11:14, ล.ม.) ถ้อยคำเหล่านี้นำมาใช้กับทุกคน ทั้งหนุ่มสาวและคนมีอายุเช่นกัน. เด็กวัยรุ่นซึ่งตระหนักถึงข้อนี้จะเข้าใจว่า เขายังจำเป็นต้องได้รับการชี้นำอย่างเชี่ยวชาญ เนื่องจากเขาเผชิญปัญหาที่ซับซ้อนยิ่งกว่าแต่ก่อน. เขาควรสำนึกว่า บิดามารดาผู้มีความเชื่อมีคุณสมบัติเหมาะสมฐานะที่ปรึกษา เพราะท่านมีประสบการณ์ในชีวิตมากกว่าและได้พิสูจน์ความห่วงใยด้วยความรักมาตลอดหลายปี. ดังนั้น ในช่วงนี้ของชีวิต วัยรุ่นที่ฉลาดจะไม่หันหนีจากบิดามารดา.
6. บิดามารดาที่สุขุมและเปี่ยมด้วยความรักจะมีเจตคติเช่นไรเรื่องการสื่อความกับลูกวัยรุ่น?
6 การสื่อความที่เปิดโอกาสหมายความว่า บิดามารดาจะพยายามอย่างจริงจังให้ตัวเองอยู่พร้อมเมื่อลูกวัยรุ่นรู้สึกว่าจำเป็นต้องพูดคุย. หากคุณเป็นบิดาหรือมารดา จงทำให้แน่ใจว่า อย่างน้อยที่สุดคุณเป็นฝ่ายเปิดโอกาสไว้สำหรับการสื่อความ. นี่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย. คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า มี “วาระนิ่งเงียบ และวาระพูด.” (ท่านผู้ประกาศ 3:7, ฉบับแปลใหม่) เมื่อลูกวัยรุ่นรู้สึกว่าถึงเวลาที่จะพูด ตอนนั้นอาจเป็นเวลาที่คุณต้องการอยู่เงียบ ๆ. บางทีคุณได้กันเวลานั้นไว้สำหรับการศึกษาส่วนตัว, การพักผ่อน, หรือทำงานบ้าน. กระนั้น หากลูกต้องการคุยกับคุณ จงพยายามปรับแผนการของคุณและรับฟัง. มิฉะนั้นแล้ว เขาอาจจะไม่พยายามอีก. ขอระลึกถึงตัวอย่างของพระเยซู. ในคราวหนึ่ง พระองค์กำหนดเวลาหนึ่งไว้เพื่อจะพักผ่อน. ทว่าเมื่อผู้คนเบียดเสียดห้อมล้อมเพื่อฟังพระองค์ พระองค์เลื่อนการหยุดพักออกไปและเริ่มสั่งสอนพวกเขา. (มาระโก 6:30-34) เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่รู้ดีว่า บิดามารดามีชีวิตที่เต็มด้วยธุระ แต่เขาจำต้องได้รับความมั่นใจว่า บิดามารดาอยู่พร้อมจะช่วยเขาหากจำเป็น. เนื่องจากเหตุนี้ จงอยู่พร้อมและแสดงความเข้าใจ.
7. บิดามารดาต้องหลีกเลี่ยงอะไร?
7 พยายามระลึกว่า ตอนคุณเป็นเด็กวัยรุ่นนั้นเป็นอย่างไร และอย่าหมดอารมณ์ขัน! บิดามารดาต้องชื่นชอบในการอยู่กับลูก ๆ ของตน. เมื่อมีเวลาว่าง บิดามารดาใช้เวลานั้นอย่างไร? หากเขาต้องการใช้เวลาว่างของตนทำสิ่งที่ไม่รวมเอาครอบครัวเข้าไว้ด้วยเสมอ ลูกวัยรุ่นของเขาจะไวในการสังเกตเห็น. หากเด็กวัยรุ่นลงความเห็นว่าเพื่อนที่โรงเรียนนิยมชมชอบเขายิ่งกว่าบิดามารดาแล้ว เขาจะมีปัญหาแน่ ๆ.
เรื่องที่พึงนำมาพูดคุยกัน
8. ความหยั่งรู้สำนึกในเรื่องความซื่อสัตย์, การขยันทำงาน, และความประพฤติที่เหมาะสมจะประทับในใจลูกได้โดยวิธีใด?
8 หากบิดามารดายังไม่เคยพร่ำสอนลูกให้มีความหยั่งรู้สำนึกในเรื่องความซื่อสัตย์และการทำงานอย่างขยันขันแข็งแล้ว เขาก็น่าจะทำเช่นนั้นทีเดียวในระหว่างช่วงวัยรุ่น. (1 เธซะโลนิเก 4:11; 2 เธซะโลนิเก 3:10) เป็นสิ่งจำเป็นยิ่งเช่นกันสำหรับบิดามารดาที่จะทำให้แน่ใจว่า ลูก ๆ เชื่ออย่างสุดหัวใจในความสำคัญของการดำเนินชีวิตที่มีศีลธรรมและสะอาด. (สุภาษิต 20:11) บิดาหรือมารดาบอกให้รู้ในเรื่องเหล่านี้โดยทางตัวอย่างเป็นส่วนใหญ่. เช่นเดียวกับสามีที่ไม่มีความเชื่อ ‘เขาก็อาจถูกโน้มน้าวโดยการประพฤติของภรรยาโดยที่เธอไม่เอ่ยปาก’ ดังนั้น เด็กวัยรุ่นอาจเรียนรู้หลักการที่ถูกต้องได้โดยความประพฤติของบิดามารดา. (1 เปโตร 3:1, ล.ม.) ถึงกระนั้นก็ตาม ตัวอย่างโดยตัวมันเองแล้วยังไม่พอ เนื่องจากเด็กเห็นตัวอย่างที่ไม่ดีมากมายและการโฆษณาชวนเชื่อที่ล่อใจมากมายนอกบ้าน. เพราะฉะนั้น บิดามารดาที่ห่วงใยจำต้องทราบทัศนะของลูกวัยรุ่นในสิ่งที่เขาดูและฟัง และทั้งนี้จำเป็นต้องมีการสนทนากันอย่างที่มีความหมาย.—สุภาษิต 20:5.
9, 10. เหตุใดบิดามารดาควรทำให้แน่ใจที่จะสั่งสอนเรื่องเพศแก่บุตรของตน และเขาจะทำเช่นนั้นได้โดยวิธีใด?
9 เรื่องนี้เป็นความจริงโดยเฉพาะเมื่อมาถึงเรื่องเพศ. บิดามารดาทั้งหลาย คุณอึดอัดใจที่จะสนทนาเรื่องเพศกับลูกของคุณไหม? ถึงแม้คุณรู้สึกอย่างนั้น จงพยายามที่จะพูดเรื่องนั้น เพราะลูกที่อ่อนวัยของคุณจะเรียนเรื่องนั้นจากใครสักคนแน่ ๆ. หากเขาไม่ได้เรียนรู้จากคุณ ใครจะรู้ล่ะว่าเขาจะได้รับข้อมูลอะไรที่บิดเบือนไป? ในคัมภีร์ไบเบิล พระยะโฮวามิได้ทรงหลบเลี่ยงเรื่องเกี่ยวกับเพศ และบิดามารดาก็ไม่ควรเลี่ยงเรื่องนั้นเช่นกัน.—สุภาษิต 4:1-4; 5:1-21.
10 น่ายินดี คัมภีร์ไบเบิลมีการชี้แนะชัดเจนในเรื่องความประพฤติทางเพศ และสมาคมว็อชเทาเวอร์ได้จัดพิมพ์ความรู้ที่เป็นประโยชน์มากมายซึ่งแสดงว่า การชี้แนะนี้ยังคงนำมาใช้ได้ในโลกสมัยปัจจุบัน. ทำไมไม่ใช้เครื่องช่วยนี้ให้เป็นประโยชน์ล่ะ? เพื่อเป็นตัวอย่าง ไฉนไม่ทบทวนกับบุตรของคุณในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่อง “เพศและศีลธรรม” ในหนังสือคำถามที่หนุ่มสาวถาม—คำตอบที่ได้ผล? คุณอาจประหลาดใจและยินดีในผลที่เกิดขึ้น.
11. วิธีที่บังเกิดผลมากที่สุดวิธีหนึ่งสำหรับบิดามารดาที่จะสอนบุตรถึงวิธีรับใช้พระยะโฮวานั้นคืออะไร?
11 อะไรเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่บิดามารดากับบุตรควรพิจารณา? อัครสาวกเปาโลอ้างถึงเรื่องนั้นเมื่อท่านเขียนว่า “จงอบรม [ลูกของคุณ] ด้วยการตีสอนและการปรับความคิดจิตใจตามหลักการของพระยะโฮวา.” (เอเฟโซ 6:4, ล.ม.) ลูกจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องพระยะโฮวาอยู่เสมอ. โดยเฉพาะ เขาต้องเรียนที่จะรักพระองค์ และเขาควรต้องการรับใช้พระองค์. นี่ก็เช่นกัน จะสอนได้มากโดยทางตัวอย่าง. หากเด็กวัยรุ่นเห็นว่า บิดามารดาของเขารักพระเจ้า ‘ด้วยสุดใจสุดจิตต์และด้วยสิ้นสุดความคิด’ และเห็นว่าเรื่องนี้ก่อผลดีในชีวิตของบิดามารดาแล้ว เขาก็คงจะได้รับการโน้มน้าวใจให้ทำอย่างเดียวกันนั้น. (มัดธาย 22:37) ในทำนองคล้ายกัน หากเยาวชนเห็นว่า บิดามารดามีทัศนะอันชอบด้วยเหตุผลต่อสิ่งฝ่ายวัตถุ โดยจัดเอาราชอาณาจักรของพระเจ้าไว้เป็นอันดับแรกแล้ว เขาจะได้รับการช่วยเหลือให้พัฒนาเจตคติอย่างเดียวกัน.—ท่านผู้ประกาศ 7:12; มัดธาย 6:31-33.
12, 13. ควรจดจำสิ่งใดไว้เสมอเพื่อการศึกษาประจำครอบครัวจะประสบผลสำเร็จ?
12 การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลประจำครอบครัวทุกสัปดาห์นับว่าเป็นเครื่องช่วยที่เด่นในการถ่ายทอดค่านิยมฝ่ายวิญญาณแก่เยาวชน. (บทเพลงสรรเสริญ 119:33, 34; สุภาษิต 4:20-23) การศึกษาเช่นนั้นเป็นประจำนับว่าสำคัญยิ่ง. (บทเพลงสรรเสริญ 1:1-3) บิดามารดากับบุตรควรสำนึกว่า การศึกษาประจำครอบครัวต้องมาก่อนกิจกรรมอื่น ๆ ที่กำหนดไว้ในตารางเวลา ไม่ใช่กลับกัน. นอกจากนี้ เจตคติที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อการศึกษาประจำครอบครัวจะบังเกิดผล. บิดาคนหนึ่งบอกว่า “เคล็ดลับสำหรับผู้นำการศึกษาก็คือส่งเสริมบรรยากาศที่ผ่อนคลาย กระนั้นก็แสดงความนับถือระหว่างการศึกษาประจำครอบครัว—ไม่เป็นทางการแต่ก็ไม่เหลาะแหละ. อาจไม่ง่ายเสมอไปที่จะบรรลุความสมดุลที่ถูกต้อง และเยาวชนจำต้องได้รับการปรับเจตคติอยู่บ่อย ๆ. หากเหตุการณ์ไม่ดำเนินไปด้วยดีสักครั้งสองครั้ง ก็จงบากบั่นพากเพียร คอยโอกาสต่อไป.” บิดาคนเดียวกันนี้บอกว่า ในคำอธิษฐานของเขาก่อนการศึกษาแต่ละครั้ง เขาเจาะจงทูลขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา เพื่อให้ทุกคนที่ร่วมด้วยนั้นมีเจตคติที่ถูกต้อง.—บทเพลงสรรเสริญ 119:66.
13 การนำการศึกษาประจำครอบครัวเป็นหน้าที่รับผิดชอบของบิดามารดาที่มีความเชื่อ. จริงอยู่ บิดามารดาบางคนอาจไม่ใช่ครูที่มีพรสวรรค์ และอาจเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะหาวิธีทำให้การศึกษาในครอบครัวเป็นที่น่าสนใจ. ถึงอย่างไรก็ตาม หากคุณรักลูกวัยรุ่นของคุณ “ด้วยการกระทำและความจริง” แล้ว คุณย่อมปรารถนาจะช่วยเขาด้วยท่าทีถ่อมใจและซื่อสัตย์เพื่อก้าวหน้าด้านวิญญาณ. (1 โยฮัน 3:18, ล.ม.) พวกเขาอาจบ่นบ้างเป็นครั้งคราว ทว่าเขาคงจะสังเกตเห็นความสนใจลึกซึ้งของคุณต่อสวัสดิภาพของเขา.
14. จะนำพระบัญญัติ 11:18, 19 มาใช้ได้อย่างไรเมื่อถ่ายทอดสิ่งฝ่ายวิญญาณให้เด็กวัยรุ่น?
14 การศึกษาประจำครอบครัวใช่ว่าเป็นโอกาสเดียวที่จะถ่ายทอดเรื่องสำคัญฝ่ายวิญญาณ. คุณจำพระบัญชาของพระยะโฮวาที่ให้แก่บิดามารดาได้ไหม? พระองค์ตรัสว่า “จงจำถ้อยคำเหล่านี้ไว้ในจิตต์ใจของเจ้า; จงผูกพันไว้ที่มือของเจ้าเป็นของสำคัญ, และจงจารึกไว้ที่หว่างคิ้วของเจ้า. และจงสอนถ้อยคำเหล่านี้แก่บุตรทั้งหลายของเจ้า, เมื่อนั่งอยู่ในเรือน, และเดินกลางหนทาง, เมื่อนอน, และลุกขึ้น.” (พระบัญญัติ 11:18-20; ดูพระบัญญัติ 6:6, 7 ด้วย.) นี่มิได้หมายความว่า บิดามารดาต้องเทศน์ให้ลูกฟังอยู่เรื่อย ๆ. แต่ประมุขครอบครัวที่แสดงความรักควรตื่นตัวเสมอต่อโอกาสต่าง ๆ ที่จะเสริมสร้างทัศนะฝ่ายวิญญาณของครอบครัว.
การตีสอนและความนับถือ
15, 16. (ก) การตีสอนคืออะไร? (ข) ใครรับผิดชอบในการดำเนินการตีสอน และใครมีหน้าที่รับผิดชอบที่จะต้องเอาใจใส่ฟังการตีสอนนั้น?
15 การตีสอนเป็นการอบรมเพื่อแก้ไข และหมายรวมถึงการสื่อความ. การตีสอนแฝงไว้ด้วยแนวคิดในการแก้ไขยิ่งกว่าการลงโทษ—ถึงแม้ว่าการลงโทษอาจมีส่วนอยู่ด้วย. ลูกของคุณต้องได้รับการตีสอนขณะที่เขาอ่อนวัยกว่า และตอนนี้เมื่อเขาเป็นเด็กวัยรุ่น เขายังจำเป็นต้องได้รับการตีสอนบางรูปแบบ บางทีมากขึ้นด้วยซ้ำ. เด็กวัยรุ่นที่ฉลาดทราบว่า เรื่องนี้เป็นความจริง.
16 คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “คนโฉดเขลามักประมาทคำสั่งสอน [“การตีสอน,” ล.ม.] ของบิดาตน; แต่ผู้ที่นับถือคำเตือนสอน [“การว่ากล่าว,” ล.ม.] เป็นผู้มีสติ.” (สุภาษิต 15:5) เราเรียนรู้มากมายจากข้อคัมภีร์นี้ ซึ่งบอกเป็นนัยว่าจะมีการตีสอน. เด็กวัยรุ่นไม่สามารถ ‘นับถือการว่ากล่าว’ หากไม่มีการว่ากล่าวนั้น. พระยะโฮวาทรงมอบหน้าที่รับผิดชอบในการตีสอนให้บิดามารดา โดยเฉพาะบิดา. อย่างไรก็ดี หน้าที่รับผิดชอบในการรับฟังการตีสอนนั้นเป็นของเด็กวัยรุ่น. เขาจะเรียนรู้มากขึ้นและทำผิดพลาดน้อยลงหากเขาเอาใจใส่ฟังการตีสอนที่สุขุมของบิดาและมารดา. (สุภาษิต 1:8) คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “คนใดที่ไม่ยอมรับคำสั่งสอน [“การตีสอน,” ล.ม.] คงจะเป็นคนยากจนข้นแค้นและอับอายขายหน้า; คนใดที่เคารพต่อคำตักเตือนจะเป็นที่น่านับถือ.”—สุภาษิต 13:18.
17. บิดามารดาต้องมุ่งอยู่ที่ความสมดุลเช่นไรเมื่อดำเนินการตีสอน?
17 เมื่อตีสอนเด็กวัยรุ่น บิดามารดาต้องเป็นคนสมดุล. เขาควรหลีกเลี่ยงการเป็นคนเข้มงวดมากจนทำให้ลูกขัดเคืองใจ บางทีถึงกับทำลายความมั่นใจในตัวเองของลูกด้วยซ้ำ. (โกโลซาย 3:21) และถึงกระนั้น บิดามารดาก็ไม่ต้องการตามใจมากจนเด็กหนุ่มสาวขาดการอบรมที่จำเป็นยิ่งนั้นไป. การตามใจเช่นนั้นอาจยังความหายนะ. สุภาษิต 29:17 บอกว่า “จงกล่าวสั่งสอนบุตรชายของตนและบุตรชายนั้นจะเป็นเหตุให้เจ้าสบายใจ; เออเขาจะทำให้ดวงจิตต์ของเจ้าเบิกบานยินดี.” อย่างไรก็ดี ข้อ 21 (ล.ม.) บอกว่า “ถ้าผู้ใดพะนอคนใช้ของตนตั้งแต่เยาว์วัย ในช่วงชีวิตต่อมาเขาจะถึงกับเป็นคนไม่สำนึกบุญคุณเสียเลย.” ถึงแม้ข้อนี้กำลังพูดถึงคนใช้ก็ตาม แต่ก็นำมาใช้ได้เช่นกันกับเด็กหนุ่มสาวคนใดคนหนึ่งในครัวเรือน.
18. การตีสอนเป็นหลักฐานถึงอะไร และพึงหลีกเลี่ยงสิ่งใดเมื่อบิดามารดาดำเนินการตีสอนที่เสมอต้นเสมอปลาย?
18 จริง ๆ แล้ว การตีสอนที่เหมาะสมเป็นข้อพิสูจน์ความรักของบิดามารดาที่มีต่อลูก. (เฮ็บราย 12:6, 11) หากคุณเป็นบิดาหรือมารดา คุณย่อมทราบว่าเป็นเรื่องยากที่จะรักษาไว้ซึ่งการตีสอนที่สมเหตุสมผลเสมอต้นเสมอปลาย. เพื่อเห็นแก่ความสงบสุข อาจดูเหมือนว่าง่ายกว่าที่จะยอมให้เด็กวัยรุ่นที่ดื้อรั้นทำในสิ่งที่เขาต้องการ. อย่างไรก็ดี ในระยะยาว บิดาหรือมารดาที่ติดตามแนวทางหลังนี้จะเก็บเกี่ยวผลคือ ครอบครัวที่ควบคุมไม่ได้.—สุภาษิต 29:15; ฆะลาเตีย 6:9.
ทำงานและเล่น
19, 20. บิดามารดาสามารถจัดการอย่างสุขุมได้อย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนันทนาการของลูกวัยรุ่น?
19 สมัยก่อนตามปกติมีการคาดหมายให้เด็กช่วยเหลือในบ้านหรือในทุ่งนา. ปัจจุบัน เด็กวัยรุ่นหลายคนมีเวลาว่างมากมายแบบไม่มีการควบคุมดูแล. เพื่อให้เวลานั้นหมดไป โลกการค้าจัดให้มีสิ่งต่าง ๆ อย่างล้นเหลือเพื่อความบันเทิงในยามว่าง. นอกจากนี้ ยังมีข้อเท็จจริงที่ว่า โลกแทบจะไม่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับศีลธรรม และนั่นจึงเป็นองค์ประกอบที่อาจนำไปสู่ความหายนะได้.
20 เนื่องจากเหตุนี้ บิดาหรือมารดาผู้มีวิจารณญาณรักษาไว้ซึ่งสิทธิที่จะทำการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในเรื่องนันทนาการ. แต่อย่าลืมว่า เด็กวัยรุ่นกำลังเติบโตขึ้น. แต่ละปี เขาคงหวังจะได้รับการปฏิบัติเหมือนเขาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น. ด้วยเหตุนี้ นับว่าเป็นการสุขุมสำหรับบิดาหรือมารดาที่จะอนุญาตให้มีเสรีภาพมากขึ้นในการเลือกนันทนาการขณะที่เด็กวัยรุ่นอายุมากขึ้น—ตราบเท่าที่การเลือกนั้นสะท้อนให้เห็นความก้าวหน้าสู่ความอาวุโสฝ่ายวิญญาณ. บางครั้ง เด็กวัยรุ่นอาจทำการเลือกอย่างไม่สุขุมในเรื่องดนตรี, ผู้ที่คบหาสมาคม, และเรื่องอื่น ๆ. เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ก็น่าจะพิจารณากับเด็กวัยรุ่นเพื่อจะทำการเลือกที่ดีกว่าในอนาคต.
21. การใช้เวลาอย่างพอดีพอควรไปในนันทนาการจะป้องกันเด็กวัยรุ่นอย่างไร?
21 ควรจัดแบ่งเวลามากน้อยเท่าไรสำหรับนันทนาการ? ในบางประเทศ เด็กวัยรุ่นถูกชักนำให้เชื่อว่า เขามีสิทธิ์ได้รับความบันเทิงอย่างต่อเนื่อง. ดังนั้น เด็กวัยรุ่นอาจกำหนดตารางเวลาเพื่อเขาจะมีการสนุกสนานจากรายการหนึ่งไปอีกรายการหนึ่ง. บิดามารดาควรถ่ายทอดบทเรียนที่ว่าควรใช้เวลาในเรื่องอื่นด้วย เช่น ครอบครัว, การศึกษาส่วนตัว, การคบหาสมาคมกับบุคคลอาวุโสด้านวิญญาณ, การประชุมคริสเตียน, และงานปลีกย่อยภายในบ้าน. สิ่งเหล่านี้จะป้องกันไม่ให้ “ความสนุกสนานแห่งชีวิตนี้” มาทำให้พระคำของพระเจ้าชะงักงันไป.—ลูกา 8:11-15.
22. ควรทำให้นันทนาการสมดุลกับอะไรในชีวิตของเด็กวัยรุ่น?
22 กษัตริย์ซะโลโมตรัสว่า “ข้าฯ รู้แล้วว่าไม่มีอะไรสำหรับเขาที่จะดีไปกว่าทำใจให้ชื่นชมยินดี, และกระทำดีตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่. มนุษย์ควรจะได้กินและดื่ม, กับชื่นชมความดีความงามในบรรดาการงานของเขา, นี้แหละเป็นของประทานของพระเจ้า.” (ท่านผู้ประกาศ 3:12, 13) ถูกแล้ว การชื่นชมยินดีเป็นส่วนแห่งชีวิตที่สมดุล. แต่งานหนักก็เป็นเช่นนั้นด้วย. เด็กวัยรุ่นหลายคนในทุกวันนี้ไม่ได้เรียนรู้ความพึงพอใจที่เกิดจากงานหนักหรือความรู้สึกนับถือตัวเองที่เกิดจากการจัดการกับปัญหาและแก้ปัญหานั้น. บางคนไม่ได้รับโอกาสที่จะพัฒนาทักษะหรืออาชีพซึ่งจะใช้หาเลี้ยงตัวเองในภายหลัง. นี่เป็นการท้าทายจริง ๆ สำหรับบิดาหรือมารดา. คุณจะทำให้แน่ใจไหมว่า ลูกที่อ่อนวัยของคุณมีโอกาสเช่นนั้น? หากคุณสามารถประสบผลสำเร็จในการสอนลูกวัยรุ่นที่จะหยั่งรู้ค่างานหนักและถึงกับเพลิดเพลินกับงานนั้นด้วยซ้ำ เขาก็จะพัฒนาทัศนะที่ดีงามซึ่งจะนำผลประโยชน์มาให้ชั่วชีวิต.
จากเด็กวัยรุ่นมาเป็นผู้ใหญ่
23. บิดามารดาสามารถหนุนกำลังใจลูกวัยรุ่นได้อย่างไร?
23 แม้แต่เมื่อคุณมีปัญหากับลูกวัยรุ่นก็ตาม ข้อคัมภีร์นี้ก็ยังเป็นความจริงที่ว่า “ความรักไม่ล้มเหลวเลย.” (1 โกรินโธ 13:8, ล.ม.) อย่าหยุดแสดงความรักที่คุณมีอย่างไม่ต้องสงสัย. ถามตัวเองว่า ‘ฉันชมเชยลูกแต่ละคนเรื่องความสำเร็จของเขาในการจัดการกับปัญหาหรือเอาชนะอุปสรรคไหม? ฉันฉวยโอกาสที่จะแสดงความรักและความหยั่งรู้ค่าต่อลูก ๆ ก่อนที่โอกาสเหล่านั้นผ่านพ้นไปไหม?’ ถึงแม้บางครั้งอาจมีการเข้าใจผิดก็ตาม หากลูกวัยรุ่นรู้สึกมั่นใจในความรักของคุณที่มีต่อเขาแล้ว คงเป็นไปได้มากขึ้นที่เขาจะตอบแทนความรักนั้น.
24. หลักการในพระคัมภีร์ข้อใดใช้เป็นกฎทั่วไปได้ในการเลี้ยงดูบุตร แต่ควรจดจำอะไร?
24 แน่นอน เมื่อลูกเติบโตสู่วัยผู้ใหญ่ ในที่สุดเขาก็จะทำการตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ ด้วยตัวเอง. ในบางกรณี บิดามารดาอาจไม่ชอบการตัดสินใจเช่นนั้น. จะว่าอย่างไรหากลูกตัดสินใจที่จะไม่รับใช้พระยะโฮวาพระเจ้าต่อไป? เรื่องนี้อาจเกิดขึ้นได้. แม้แต่บุตรที่เป็นวิญญาณบางองค์ของพระยะโฮวาเองก็ได้ปฏิเสธคำแนะนำของพระองค์และแข็งข้อขัดขืน. (เยเนซิศ 6:2; ยูดา 6) เด็กไม่ใช่คอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจตั้งโปรแกรมให้ปฏิบัติงานตามแบบที่เราต้องการ. เขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเจตจำนงเสรี เป็นผู้รับผิดชอบต่อพระยะโฮวาสำหรับการตัดสินใจที่เขาทำ. กระนั้น สุภาษิต 22:6 ใช้ได้ในฐานะเป็นกฎทั่วไปที่ว่า “จงฝึกสอนเด็กให้ประพฤติตามทางที่ควรจะประพฤตินั้น: และเมื่อแก่ชราแล้วเขาจะไม่เดินห่างจากทางนั้น.”
25. วิธีดีที่สุดที่บิดามารดาจะแสดงความกตัญญูต่อพระยะโฮวาสำหรับสิทธิพิเศษในการเป็นบิดามารดานั้นคืออะไร?
25 ดังนั้นแล้ว จงแสดงความรักต่อลูกของคุณให้มาก. พยายามสุดความสามารถที่จะปฏิบัติตามหลักการของคัมภีร์ไบเบิลในการอบรมพวกเขา. จงวางตัวอย่างที่ดีในความประพฤติด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า. โดยวิธีนี้คุณจะให้โอกาสดีที่สุดแก่ลูกของคุณที่จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักรับผิดชอบ เกรงกลัวพระเจ้า. นี่เป็นวิธีดีที่สุดสำหรับบิดามารดาที่จะแสดงความกตัญญูต่อพระยะโฮวาสำหรับสิทธิพิเศษในการเป็นบิดามารดา.
-
-
มีคนขืนอำนาจในบ้านไหม?เคล็ดลับสำหรับความสุขในครอบครัว
-
-
บทเจ็ด
มีคนขืนอำนาจในบ้านไหม?
1, 2. (ก) พระเยซูยกอุทาหรณ์อะไรเพื่อเน้นความไม่ซื่อสัตย์ของผู้นำศาสนาชาวยิว? (ข) เราสามารถเรียนจุดสำคัญอะไรเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นจากอุทาหรณ์ของพระเยซู?
ไม่กี่วันก่อนการวายพระชนม์ พระเยซูได้ตรัสถามกลุ่มผู้นำศาสนาชาวยิวด้วยคำถามที่กระตุ้นความคิด. พระองค์ตรัสว่า “เจ้าทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร? ชายคนหนึ่งมีลูกสองคน. เมื่อไปหาลูกคนแรก เขาพูดว่า ‘ลูกเอ๋ย วันนี้ไปทำงานในสวนองุ่นเถิด.’ ฝ่ายลูกนั้นตอบว่า ‘ผมจะไปครับ’ แต่มิได้ออกไป. เมื่อไปหาลูกคนที่สอง เขาก็พูดเช่นเดียวกัน. ฝ่ายลูกนั้นตอบว่า ‘ผมจะไม่ไป.’ ภายหลังเขารู้สึกเสียใจแล้วก็ออกไป. ลูกสองคนนี้ คนไหนทำตามความประสงค์ของบิดา?” พวกผู้นำชาวยิวตอบว่า “คนหลัง.”—มัดธาย 21:28-31, ล.ม.
2 ในที่นี้พระเยซูทรงเน้นความไม่ซื่อสัตย์ของผู้นำชาวยิว. พวกเขาเป็นเหมือนลูกคนแรก สัญญาว่าจะทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า ครั้นแล้วก็ไม่ได้รักษาคำสัญญาของเขา. แต่บิดามารดาหลายคนคงตระหนักว่า อุทาหรณ์ของพระเยซูอาศัยความเข้าใจอย่างดีในเรื่องชีวิตครอบครัว. ดังที่พระองค์แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน บ่อยครั้งนับว่ายากที่จะทราบว่าคนหนุ่มสาวคิดอะไร หรือคาดการณ์ล่วงหน้าว่าเขาจะทำอะไร. คนหนุ่มสาวอาจก่อปัญหาหลายอย่างระหว่างช่วงวัยรุ่น และครั้นแล้วก็เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักรับผิดชอบ เป็นที่นับหน้าถือตา. นี่เป็นสิ่งที่พึงคำนึงถึงเมื่อเราพิจารณาปัญหาการขืนอำนาจในเด็กวัยรุ่น.
คนขืนอำนาจเป็นอย่างไร?
3. ทำไมบิดามารดาไม่ควรด่วนจัดประเภทลูกของตนว่าเป็นคนขืนอำนาจ?
3 เป็นครั้งคราว คุณอาจได้ยินเรื่องเด็กวัยรุ่นซึ่งขืนอำนาจบิดามารดาโดยสิ้นเชิง. คุณอาจถึงกับรู้จักเป็นส่วนตัวกับครอบครัวที่มีลูกวัยรุ่นซึ่งดูเหมือนไม่มีทางควบคุมได้ด้วยซ้ำ. อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ง่ายเสมอไปที่จะรู้ว่าเด็กเป็นคนขืนอำนาจจริง ๆ หรือไม่. ยิ่งกว่านั้น อาจเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจว่า ทำไมเด็กบางคนขืนอำนาจ และเด็กอื่น แม้จะมาจากครัวเรือนเดียวกัน มิได้เป็นเช่นนั้น. หากบิดามารดาสงสัยว่า บุตรคนหนึ่งอาจกลายเป็นคนขืนอำนาจอย่างสิ้นเชิง เขาควรทำประการใด? เพื่อตอบคำถามนี้ เราต้องพิจารณากันก่อนว่า คนขืนอำนาจเป็นอย่างไร.
4-6. (ก) คนขืนอำนาจเป็นอย่างไร? (ข) บิดามารดาควรจดจำอะไรไว้หากลูกวัยรุ่นไม่เชื่อฟังเป็นครั้งคราว?
4 พูดง่าย ๆ แล้ว คนขืนอำนาจเป็นบุคคลที่จงใจไม่เชื่อฟังหรือต่อต้านและท้าทายอำนาจที่สูงกว่าเสมอ. แน่นอน ‘ความโฉดเขลาอยู่ในหัวใจของเด็ก.’ (สุภาษิต 22:15, ล.ม.) ดังนั้น เด็กทุกคนจึงต่อต้านอำนาจของบิดามารดาและของคนอื่นไม่คราวใดก็คราวหนึ่ง. เรื่องนี้เป็นความจริงโดยเฉพาะระหว่างช่วงที่มีการพัฒนาด้านร่างกายและด้านอารมณ์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นวัยรุ่น. การเปลี่ยนแปลงในชีวิตของบุคคลใดก็ตามย่อมจะก่อความตึงเครียด และวัยรุ่นก็เป็นช่วงที่มีแต่การเปลี่ยนแปลง. ลูกชายหรือลูกสาววัยรุ่นของคุณกำลังออกจากวัยเด็กเข้าสู่วัยผู้ใหญ่. เพราะเหตุนี้ ระหว่างช่วงวัยรุ่น บิดามารดาบางคนกับบุตรจึงอยู่ในช่วงที่เข้ากันได้ยาก. บ่อยครั้ง บิดามารดาพยายามโดยสัญชาตญาณที่จะชะลอการเปลี่ยนแปลงนั้น ขณะที่วัยรุ่นต้องการเร่งการเปลี่ยนแปลงให้เร็วขึ้น.
5 เด็กวัยรุ่นซึ่งเป็นคนขืนอำนาจนั้นปฏิเสธค่านิยมของบิดามารดา. แต่โปรดจำไว้ว่า พฤติกรรมที่ไม่เชื่อฟังไม่กี่ครั้งไม่ได้ทำให้เด็กกลายเป็นคนขืนอำนาจ. และเมื่อมาถึงเรื่องฝ่ายวิญญาณ ทีแรกเด็กบางคนอาจไม่ค่อยสนใจหรือไม่สนใจความจริงในคัมภีร์ไบเบิล แต่เขาอาจไม่ใช่คนขืนอำนาจก็ได้. ในฐานะบิดาหรือมารดา อย่าด่วนจัดประเภทให้ลูกของคุณ.
6 การขืนอำนาจบิดามารดาเป็นลักษณะเด่นในช่วงวัยรุ่นของเด็กหนุ่มสาวทุกคนไหม? ไม่เลย. ที่จริง หลักฐานดูเหมือนจะบ่งชี้ว่า เด็กวัยรุ่นเพียงส่วนน้อยเท่านั้นแสดงการขืนอำนาจอย่างร้ายแรง. กระนั้น จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับเด็กที่ขืนอำนาจอย่างดื้อรั้นอยู่เสมอ? อะไรอาจก่อให้เกิดการขืนอำนาจดังกล่าว?
สาเหตุของการขืนอำนาจ
7. สิ่งแวดล้อมที่ชั่วช้าอาจชักจูงเด็กให้ขืนอำนาจได้อย่างไร?
7 สาเหตุสำคัญของการขืนอำนาจคือสภาพแวดล้อมที่ชั่วช้าของโลก. “โลกทั้งสิ้นตกอยู่ใต้อำนาจผู้ชั่วร้ายนั้น.” (1 โยฮัน 5:19, ล.ม.) โลกที่อยู่ในอำนาจของซาตานได้พัฒนาวัฒนธรรมที่เป็นอันตราย ซึ่งคริสเตียนต้องต่อสู้ด้วย. (โยฮัน 17:15) ส่วนใหญ่ของวัฒนธรรมนั้นหยาบช้า, เป็นอันตราย, และเต็มไปด้วยอิทธิพลที่เลวร้ายในทุกวันนี้ยิ่งกว่าในอดีต. (2 ติโมเธียว 3:1-5, 13) หากบิดามารดาไม่ได้สอน, ตักเตือน และปกป้องลูกของตนแล้ว เด็กหนุ่มสาวก็อาจถูกครอบงำได้อย่างง่ายดายโดย “วิญญาณซึ่งบัดนี้ปฏิบัติการในบุตรแห่งการไม่เชื่อฟัง.” (เอเฟโซ 2:2, ล.ม.) ที่เกี่ยวพันกับเรื่องนี้คือความกดดันจากคนรุ่นเดียวกัน. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “การคบค้ากับคนโฉดเขลาจะได้รับความเจ็บแสบ.” (สุภาษิต 13:20) ในทำนองคล้ายกัน ผู้ที่คบกับคนเหล่านั้นซึ่งซึมซับน้ำใจของโลกนี้ก็คงจะได้รับผลกระทบจากน้ำใจแบบนั้น. เด็กหนุ่มสาวจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลืออยู่เสมอหากจะให้เขาหยั่งรู้เข้าใจว่า การเชื่อฟังหลักการของพระเจ้าเป็นรากฐานสำหรับแนวทางชีวิตที่ดีที่สุด.—ยะซายา 48:17, 18.
8. ปัจจัยอะไรบ้างอาจนำไปสู่การขืนอำนาจในส่วนของบุตร?
8 สาเหตุอีกประการหนึ่งของการขืนอำนาจอาจเป็นบรรยากาศในบ้าน. ตัวอย่างเช่น หากบิดาหรือมารดาเป็นคนติดสุรา, ใช้ยาเสพย์ติด, หรือใช้ความรุนแรงกับคู่สมรสแล้ว ทัศนะของเด็กวัยรุ่นต่อชีวิตอาจถูกบิดเบือนได้. แม้แต่ในบ้านที่ค่อนข้างจะสงบ การขืนอำนาจก็อาจปะทุขึ้นได้เมื่อบุตรรู้สึกว่าบิดามารดาไม่มีความสนใจในตัวเขา. อย่างไรก็ดี การที่วัยรุ่นขืนอำนาจใช่ว่าจะเกิดจากอิทธิพลภายนอกเสมอไป. เด็กบางคนปฏิเสธค่านิยมของบิดามารดาทั้ง ๆ ที่มีบิดามารดาซึ่งนำหลักการของพระเจ้ามาใช้และเป็นผู้ซึ่งปกป้องคุ้มครองเขาได้มากจากโลกรอบด้าน. เพราะเหตุใด? บางทีเนื่องจากมูลเหตุอีกอย่างหนึ่งแห่งปัญหาของเรา—ความไม่สมบูรณ์ของมนุษย์. เปาโลบอกว่า “ความผิดได้เข้ามาในโลกเพราะคน ๆ เดียว [อาดาม], และความตายก็เกิดมาเพราะความผิดนั้น อย่างนั้นแหละความตายจึงได้ลามไปถึงคนทั้งปวง, เพราะคนทั้งปวงเป็นคนผิดอยู่แล้ว.” (โรม 5:12) อาดามเป็นคนขืนอำนาจที่เห็นแก่ตัว และเขาละมรดกเลวร้ายไว้ให้ลูกหลานทั้งสิ้น. หนุ่มสาวบางคนเพียงแต่เลือกที่จะขืนอำนาจ เช่นเดียวกับที่บรรพบุรุษของเขาได้กระทำ.
เอลีผู้ชอบตามใจบุตรกับระฮับอามผู้ชอบวางข้อจำกัด
9. ความสุดโต่งอะไรในการเลี้ยงดูบุตรอาจทำให้บุตรขืนอำนาจ?
9 อีกสิ่งหนึ่งที่ได้นำไปสู่การขืนอำนาจในเด็กวัยรุ่นคือ ทัศนะที่ไม่สมดุลเกี่ยวกับการเลี้ยงดูบุตรในส่วนของบิดามารดา. (โกโลซาย 3:21) บิดามารดาที่จริงจังบางคนวางข้อจำกัดและตีสอนบุตรของตนอย่างเข้มงวด. ส่วนคนอื่นตามใจลูก ไม่ได้จัดให้มีแนวชี้นำซึ่งจะปกป้องเด็กวัยรุ่นที่ขาดประสบการณ์. ไม่ง่ายเสมอไปที่จะหาความพอดีระหว่างความสุดโต่งทั้งสองนี้. และเด็กแต่ละคนมีความต้องการไม่เหมือนกัน. คนหนึ่งอาจต้องได้รับการควบคุมดูแลมากกว่าอีกคนหนึ่ง. ถึงกระนั้น สองตัวอย่างในคัมภีร์ไบเบิลจะช่วยให้เห็นอันตรายของการเป็นคนสุดโต่งไม่ว่าในการวางข้อจำกัดหรือการตามใจบุตร.
10. ทำไมเอลี ถึงแม้ดูเหมือนว่าเป็นมหาปุโรหิตที่ซื่อสัตย์ก็ตาม จึงเป็นบิดาที่ไม่ดี?
10 เอลีมหาปุโรหิตของยิศราเอลโบราณเป็นบิดา. ท่านรับใช้มาเป็นเวลา 40 ปี เป็นคนรอบรู้ในพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย. เอลีคงจะปฏิบัติหน้าที่ปุโรหิตเป็นประจำอย่างซื่อสัตย์ทีเดียวและอาจได้สอนพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างถี่ถ้วนแก่ฮฟนีกับฟีนะฮาศบุตรชายด้วยซ้ำ. อย่างไรก็ดี เอลีปล่อยให้ลูกทำตามอำเภอใจมากเกินไป. ฮฟนีกับฟีนะฮาศรับใช้เป็นปุโรหิตที่ถวายเครื่องบูชา แต่เขาทั้งสองเป็น “คนอันธพาล” สนใจแต่การสนองความอยากอาหารและความปรารถนาที่ผิดศีลธรรมของตนเท่านั้น. กระนั้น เมื่อเขาทั้งสองกระทำการที่น่าอัปยศอดสูในบริเวณที่ศักดิ์สิทธิ์ เอลีไม่กล้าถอดเขาออกจากตำแหน่ง. ท่านเพียงแต่ต่อว่าเขาเล็กน้อย. โดยการตามใจลูก เอลีนับถือลูกชายของตนยิ่งกว่าพระเจ้า. ผลก็คือ บุตรชายของท่านขืนอำนาจต่อการนมัสการที่สะอาดของพระยะโฮวาและเชื้อวงศ์ทั้งสิ้นของเอลีประสบความหายนะ.—1 ซามูเอล 2:12-17, ฉบับแปลใหม่, 22-25, 29; 3:13, 14; 4:11-22.
11. บิดามารดาอาจเรียนอะไรได้จากตัวอย่างที่ไม่ดีของเอลี?
11 ลูก ๆ ของเอลีเป็นผู้ใหญ่แล้วเมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น แต่ประวัติบันทึกเรื่องนี้ยืนยันอันตรายของการยับยั้งการตีสอนไว้. (เทียบกับสุภาษิต 29:21.) บิดามารดาบางคนอาจเอาความรักไปปนกับการตามใจบุตร จึงพลาดไปจากการวางและบังคับใช้กฎที่ชัดเจน, เสมอต้นเสมอปลาย, และมีเหตุผล. พวกเขาละเลยการตีสอนด้วยความรัก แม้แต่เมื่อมีการละเมิดหลักการของพระเจ้า. เนื่องจากการตามใจเช่นนั้น ลูก ๆ ของเขาอาจลงเอยด้วยการไม่เอาใจใส่ต่ออำนาจของบิดามารดาหรืออำนาจอื่นใด.—เทียบกับท่านผู้ประกาศ 8:11.
12. ระฮับอามทำความผิดพลาดอะไรในการใช้อำนาจ?
12 ระฮับอามเป็นตัวอย่างของความสุดโต่งอีกด้านหนึ่งในการใช้อำนาจ. ท่านเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของอาณาจักรยิศราเอลที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ท่านมิใช่กษัตริย์ที่ดี. ระฮับอามครอบครองแผ่นดินซึ่งประชาชนไม่พอใจเนื่องจากภาระหนักที่ซะโลโม ราชบิดาของท่านวางไว้เหนือพวกเขา. ระฮับอามแสดงความเห็นอกเห็นใจไหม? ไม่เลย. เมื่อกลุ่มตัวแทนทูลขอท่านให้ยกเลิกมาตรการที่กดขี่บางอย่าง ท่านไม่ได้ใส่ใจฟังข้อแนะที่รอบคอบจากที่ปรึกษาผู้สูงวัยและมีรับสั่งให้เพิ่มภาระของไพร่พลให้หนักขึ้น. ความหยิ่งยโสของท่านยั่วยุให้สิบตระกูลทางเหนือกบฏ และอาณาจักรถูกแยกเป็นสองฝ่าย.—1 กษัตริย์ 12:1-21; 2 โครนิกา 10:19.
13. บิดามารดาจะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดของระฮับอามได้อย่างไร?
13 บิดามารดาสามารถเรียนรู้บทเรียนสำคัญบางอย่างจากเรื่องราวของระฮับอามในคัมภีร์ไบเบิล. เขาต้อง “แสวงหาพระยะโฮวา” ในคำอธิษฐานและตรวจสอบวิธีอบรมบุตรโดยคำนึงถึงหลักการในคัมภีร์ไบเบิล. (บทเพลงสรรเสริญ 105:4) ท่านผู้ประกาศ 7:7 กล่าวว่า “การกดขี่ข่มเหงกระทำผู้มีสติปัญญาให้คลั่งไป.” แนวทางชี้นำที่ไตร่ตรองอย่างรอบคอบนั้นเปิดโอกาสให้เด็กวัยรุ่นเติบโตขณะที่ปกป้องเขาไว้จากอันตราย. แต่เด็กไม่น่าจะอยู่ในบรรยากาศที่เข้มงวดและถูกจำกัดขอบเขตจนกระทั่งกีดกันเขาไว้จากการพัฒนาการพึ่งพาตัวเองและความมั่นใจในตัวเองถึงระดับที่ควร. เมื่อบิดามารดาพยายามจะบรรลุความสมดุลระหว่างเสรีภาพที่พอเหมาะกับขีดจำกัดที่แน่นอนซึ่งกำหนดไว้อย่างชัดเจนแล้ว เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่จะมีแนวโน้มในการขืนอำนาจน้อยลง.
การสนองความจำเป็นขั้นพื้นฐานอาจป้องกันการขืนอำนาจได้
14, 15. บิดามารดาควรมีทัศนะอย่างไรต่อพัฒนาการของลูก?
14 ถึงแม้บิดามารดาชื่นชมยินดีที่เห็นบุตรวัยหนุ่มสาวของตนเติบโตทางร่างกายจากวัยเด็กมาสู่วัยผู้ใหญ่ก็ตาม เขาอาจรู้สึกไม่สบายใจเมื่อลูกวัยรุ่นเริ่มเปลี่ยนจากการพึ่งพาอาศัยผู้อื่นมาเป็นการพึ่งตัวเองตามที่ควรจะเป็น. ระหว่างช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงนี้ อย่าประหลาดใจหากลูกวัยรุ่นของคุณค่อนข้างจะดื้อรั้นหรือไม่ร่วมมือเป็นครั้งคราว. โปรดจำไว้ว่าเป้าประสงค์ของบิดามารดาคริสเตียนน่าจะเป็นการเลี้ยงลูกให้เป็นคริสเตียนที่อาวุโส, มั่นคง, และรู้จักรับผิดชอบ.—เทียบกับ 1 โกรินโธ 13:11; เอเฟโซ 4:13, 14.
15 แม้อาจเป็นเรื่องยาก บิดามารดาจำเป็นต้องเลิกตอบปฏิเสธต่อคำขอใด ๆ จากลูกวัยรุ่นเพื่อมีอิสรภาพมากขึ้น. ในแนวทางที่ดีงาม เด็กจำเป็นต้องเติบโตฐานะปัจเจกบุคคล. ที่จริง ด้วยอายุที่ค่อนข้างน้อย เด็กวัยรุ่นบางคนเริ่มพัฒนาทัศนะที่ออกจะเป็นแบบผู้ใหญ่. ตัวอย่างเช่น คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงกษัตริย์โยซียาผู้ทรงพระเยาว์ว่า “เมื่อท่านยังทรงพระเยาว์อยู่ [พระชนมายุประมาณ 15 พรรษา], ก็ได้ตั้งพระราชหฤทัยแสวงหาพระเจ้าแห่งดาวิด.” เด็กวัยรุ่นที่โดดเด่นผู้นี้เป็นบุคคลที่รู้จักรับผิดชอบอย่างเห็นได้ชัด.—2 โครนิกา 34:1-3.
16. ขณะที่ลูกได้รับหน้าที่รับผิดชอบเพิ่มขึ้น เขาควรสำนึกถึงสิ่งใด?
16 อย่างไรก็ดี เสรีภาพนำมาซึ่งความรับผิดชอบ. เพราะฉะนั้น ให้ลูกที่เริ่มจะเป็นผู้ใหญ่แล้วนั้นรับผลจากการตัดสินใจและการกระทำบางอย่างของเขา. หลักการที่ว่า “คนใดหว่านอะไรลงก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น” นำมาใช้กับเด็กวัยรุ่นเช่นเดียวกับผู้ใหญ่. (ฆะลาเตีย 6:7, ล.ม.) คุณไม่อาจปกป้องลูกตลอดไปได้. แต่จะว่าอย่างไรหากลูกของคุณต้องการทำอะไรสักอย่างที่ยอมรับไม่ได้เลย? ฐานะบิดาหรือมารดาที่รับผิดชอบ คุณต้องพูดว่า “ไม่ได้.” และขณะที่คุณอาจจะอธิบายเหตุผล ก็ไม่ควรเปลี่ยนคำพูดจากไม่ได้มาเป็นได้. (เทียบกับมัดธาย 5:37.) ถึงอย่างไรก็ตาม พยายามพูดว่า “ไม่ได้” ด้วยท่าทีสงบและมีเหตุผล เนื่องจาก “คำตอบอ่อนหวานกระทำให้ความโกรธผ่านพ้นไป.”—สุภาษิต 15:1.
17. บิดาหรือมารดาควรสนองความต้องการอะไรบ้างของลูกวัยรุ่น?
17 คนหนุ่มสาวจำเป็นต้องได้รับความมั่นคงจากการตีสอนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ถึงแม้ว่าเขาไม่เต็มใจเห็นพ้องกับข้อจำกัดและกฎเสมอไป. เป็นเรื่องที่ทำให้ข้องขัดใจหากมีการเปลี่ยนกฎอยู่บ่อย ๆ แล้วแต่อารมณ์ความรู้สึกของบิดามารดาในตอนนั้น. นอกจากนี้ หากลูกวัยรุ่นได้รับการหนุนกำลังใจและความช่วยเหลือเท่าที่จำเป็นในการรับมือกับความประหม่า, ความเหนียมอาย, หรือการขาดความมั่นใจในตัวเองแล้ว เขาคงจะเติบโตขึ้นเป็นคนมั่นคงแน่วแน่มากกว่า. ลูกวัยรุ่นหยั่งรู้ค่าด้วยเมื่อได้รับความไว้วางใจจากบิดามารดาอย่างที่เขาสมควรได้รับ.—เทียบกับยะซายา 35:3, 4; ลูกา 16:10; 19:17.
18. มีความจริงที่หนุนกำลังใจอะไรบ้างเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่น?
18 บิดามารดาอาจสบายใจที่ทราบว่า เมื่อสันติสุข, ความมั่นคง, และความรักมีอยู่ภายในครัวเรือนแล้ว ตามปกติเด็กมักจะวัฒนาขึ้น. (เอเฟโซ 4:31, 32; ยาโกโบ 3:17, 18) แต่หนุ่มสาวหลายคนได้ผ่านพ้นกระทั่งสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีในบ้าน, มาจากครอบครัวที่มีการติดสุรา, ความรุนแรง, หรือผลกระทบอื่น ๆ บางอย่างที่ยังความเสียหาย และได้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดี. ดังนั้น หากคุณจัดให้มีบ้านที่ลูกวัยรุ่นจะรู้สึกมั่นคงปลอดภัยและรู้ว่าเขาจะได้รับความรัก, ความเอ็นดู, และความเอาใจใส่—ถึงแม้การเกื้อหนุนเช่นนั้นควบคู่ไปกับการวางข้อจำกัดและการตีสอนที่มีเหตุผลประสานกับหลักการในพระคัมภีร์แล้ว—ก็มีทางเป็นไปได้มากที่เขาจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกภูมิใจ.—เทียบกับสุภาษิต 27:11.
เมื่อลูกตกเข้าสู่ความยุ่งยาก
19. ถึงแม้บิดามารดาควรอบรมบุตรตามทางที่ควรดำเนินนั้น ความรับผิดชอบอะไรตกอยู่กับบุตร?
19 การเป็นบิดามารดาที่ดีเป็นเรื่องสำคัญแน่นอน. สุภาษิต 22:6 กล่าวว่า “จงฝึกสอนเด็กให้ประพฤติตามทางที่ควรจะประพฤตินั้น: และเมื่อแก่ชราแล้วเขาจะไม่เดินห่างจากทางนั้น.” กระนั้น จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับบุตรซึ่งมีปัญหาร้ายแรงทั้ง ๆ ที่มีบิดามารดาที่ดี? เรื่องนี้เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้. ต้องเข้าใจถ้อยคำในพระธรรมสุภาษิตโดยคำนึงถึงข้ออื่น ๆ ที่เน้นความรับผิดชอบของบุตรที่จะ “ฟัง” และเชื่อฟังบิดามารดา. (สุภาษิต 1:8) ทั้งบิดาหรือมารดากับบุตรต้องร่วมมือกันในการนำหลักการของพระคัมภีร์มาใช้เพื่อจะมีความปรองดองกันในครอบครัว. หากบิดามารดากับบุตรไม่ร่วมมือกันแล้ว ก็จะมีความยุ่งยาก.
20. เมื่อเด็กทำผิดเนื่องจากการไม่รู้จักคิด บิดามารดาจะมีวิธีเข้าหาที่ฉลาดสุขุมอย่างไร?
20 บิดามารดาควรมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อบุตรวัยรุ่นทำผิดและตกเข้าสู่ความยุ่งยาก? ตอนนั้นเองที่เด็กจำต้องได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษ. หากบิดามารดาจำไว้ว่าพวกเขากำลังปฏิบัติกับเด็กหนุ่มสาวที่ขาดประสบการณ์แล้ว เขาจะต้านทานแนวโน้มที่จะแสดงปฏิกิริยามากเกินไปได้ง่ายกว่า. เปาโลแนะนำคนอาวุโสในประชาคมว่า “ถ้าแม้นผู้ใดก้าวพลาดไปประการใดก่อนที่เขารู้ตัว ท่านทั้งหลายผู้มีคุณวุฒิทางฝ่ายวิญญาณจงพยายามปรับคนเช่นนั้นให้เข้าที่ด้วยน้ำใจอ่อนโยน.” (ฆะลาเตีย 6:1, ล.ม.) บิดามารดาอาจปฏิบัติตามขั้นตอนเดียวกันนี้ได้เมื่อจัดการกับเยาวชนซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการไม่รู้จักคิด. ขณะที่อธิบายอย่างชัดเจนว่าเหตุใดความประพฤติของเขาจึงผิดและเขาจะหลีกเลี่ยงการทำผิดซ้ำได้อย่างไร บิดามารดาควรชี้ชัดว่า ความประพฤติผิดนั่นเองที่เป็นสิ่งเลวร้าย ไม่ใช่ตัวเยาวชน.—เทียบกับยูดา 22, 23.
21. โดยติดตามตัวอย่างของประชาคมคริสเตียน บิดามารดาควรมีปฏิกิริยาอย่างไรหากบุตรกระทำบาปร้ายแรง?
21 จะว่าอย่างไรหากความเหลวไหลของเยาวชนเป็นเรื่องร้ายแรงมาก? ในกรณีเช่นนั้นเด็กจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษและการชี้นำที่ชำนาญ. เมื่อสมาชิกของประชาคมกระทำบาปร้ายแรง เขาได้รับการสนับสนุนให้กลับใจและเข้าหาผู้ปกครองเพื่อขอความช่วยเหลือ. (ยาโกโบ 5:14-16) เมื่อเขากลับใจแล้ว ผู้ปกครองใช้เวลากับเขาเพื่อฟื้นฟูเขาทางฝ่ายวิญญาณ. ในครอบครัว หน้าที่รับผิดชอบในการช่วยเด็กวัยรุ่นที่กระทำผิดนั้นเป็นของบิดามารดา ถึงแม้เขาอาจจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องนั้นกับผู้ปกครองก็ตาม. แน่นอน เขาไม่ควรพยายามปกปิดความผิดร้ายแรงใด ๆ ที่ลูกคนหนึ่งของเขากระทำนั้นมิให้คณะผู้ปกครองรู้.
22. ในการเลียนแบบพระยะโฮวา บิดามารดาจะพยายามรักษาไว้ซึ่งเจตคติเช่นไรหากบุตรกระทำความผิดร้ายแรง?
22 ปัญหาร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับลูกของตนเองนั้นเป็นเรื่องที่ก่อความทุกข์ใจมาก. เนื่องจากว้าวุ่นใจ บิดามารดาอาจรู้สึกอยากดุด่าเด็กที่ดื้อรั้นนั้นอย่างเดือดดาล แต่การทำเช่นนี้อาจรังแต่จะทำให้เขาเคืองแค้น. โปรดจำไว้ว่า อนาคตของเยาวชนคนนี้อาจขึ้นอยู่กับวิธีที่เขาได้รับการปฏิบัติระหว่างช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้. จงระลึกด้วยเช่นกันว่า พระยะโฮวาทรงพร้อมจะให้อภัยถึงแม้ไพร่พลของพระองค์หันเหไปจากสิ่งที่ถูกต้อง—หากเขาเพียงแต่กลับใจเท่านั้น. จงฟังคำตรัสด้วยความรักของพระองค์ที่ว่า “พระยะโฮวาตรัสว่า, ‘มาเถิด, ให้เรามาหารือตกลงกันเสียให้เด็ดขาด [“จัดเรื่องราวระหว่างเรากับเจ้าให้ถูกต้อง,” ล.ม.]: แม้บาปของเจ้าจะแดงเป็นเหมือนสีที่แดงก่ำ, บาปนั้นก็อาจจะกลับกลายเป็นสีขาวเหมือนอย่างหิมะ; แม้บาปของเจ้าจะแดงเป็นเหมือนสีที่แดงเข้ม, บาปนั้นก็อาจจะขาวเหมือนอย่างขนแกะ.’” (ยะซายา 1:18) ช่างเป็นตัวอย่างยอดเยี่ยมเสียจริง ๆ สำหรับบิดามารดา!
23. เมื่อลูกคนหนึ่งทำบาปร้ายแรง บิดามารดาควรปฏิบัติอย่างไร และเขาควรหลีกเลี่ยงอะไร?
23 ดังนั้น จงพยายามสนับสนุนลูกที่ดื้อรั้นให้เปลี่ยนแนวทางของเขา. จงแสวงหาคำแนะนำที่ดีจากบิดามารดาผู้มีประสบการณ์และผู้ปกครองในประชาคม. (สุภาษิต 11:14) พยายามไม่ดำเนินการอย่างหุนหันพลันแล่น และพูดหรือทำอะไรที่จะทำให้เป็นเรื่องยากที่เด็กจะกลับมาหาคุณอีก. จงหลีกเลี่ยงความโกรธเคืองและความขมขื่นอย่างที่ไม่ควบคุม. (โกโลซาย 3:8) อย่าด่วนหมดหวัง. (1 โกรินโธ 13:4, 7) ถึงแม้เกลียดชังความเลวร้าย จงหลีกเลี่ยงที่จะกลายเป็นคนใจแข็งและเคืองแค้นต่อลูกของคุณ. สำคัญที่สุด บิดามารดาควรพยายามวางตัวอย่างที่ดีและรักษาความเชื่อในพระเจ้าให้เข้มแข็ง.
การจัดการกับผู้ตั้งใจขืนอำนาจ
24. บางครั้งมีสถานการณ์ที่น่าเศร้าอะไรเกิดขึ้นในครอบครัวคริสเตียน และบิดาหรือมารดาควรมีปฏิกิริยาอย่างไร?
24 ในบางกรณีกลับปรากฏชัดว่าเยาวชนตัดสินใจแน่วแน่ที่จะขืนอำนาจและปฏิเสธค่านิยมแบบคริสเตียนอย่างสิ้นเชิง. ถ้าเช่นนั้นควรให้จุดรวมความสนใจเปลี่ยนมายังการรักษาหรือการสร้างชีวิตครอบครัวของลูกคนอื่น ๆ ขึ้นใหม่. จงระวังที่จะไม่ทุ่มเทพลังทั้งหมดของคุณให้กับลูกที่ขืนอำนาจจนละเลยลูกคนอื่น ๆ. แทนที่จะพยายามปิดบังเรื่องยุ่งยากไม่ให้คนอื่นในครอบครัวรู้ จงหารือเรื่องนั้นกับพวกเขาในขอบเขตที่เหมาะสม และด้วยท่าทีที่ไม่หวั่นวิตก.—เทียบกับสุภาษิต 20:18.
25. (ก) โดยปฏิบัติตามแบบอย่างของประชาคมคริสเตียน บิดามารดาอาจต้องดำเนินการอย่างไรหากบุตรกลายเป็นคนจงใจขืนอำนาจ? (ข) บิดามารดาควรจดจำอะไรไว้หากบุตรคนหนึ่งของเขาขืนอำนาจ?
25 อัครสาวกโยฮันพูดถึงผู้ที่กลายเป็นคนขืนอำนาจจนแก้ไขไม่ได้ในประชาคมว่า “อย่ารับเขาเข้ามาในเรือนของท่านหรือกล่าวทักทายเขาเลย.” (2 โยฮัน 10, ล.ม.) บิดามารดาอาจรู้สึกว่าจำเป็นต้องยึดจุดยืนคล้ายกันต่อลูกของตนหากเขาบรรลุนิติภาวะแล้วและกลายเป็นคนขืนอำนาจอย่างสิ้นเชิง. แม้การปฏิบัติเช่นนั้นอาจเป็นเรื่องยากและทำให้เจ็บปวดรวดร้าว บางครั้งนั่นเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อจะป้องกันคนอื่นในครอบครัวไว้. ครัวเรือนของคุณจำเป็นต้องได้รับการปกป้องและการดูแลของคุณต่อไป. เพราะฉะนั้น จงรักษาขอบเขตการประพฤติที่กำหนดไว้อย่างชัดแจ้ง ทว่ามีเหตุผลนั้นต่อไป. จงสื่อความกับลูกคนอื่น ๆ. สนใจว่าเขาเป็นอย่างไรในโรงเรียนและในประชาคม. นอกจากนี้ ให้พวกเขารู้ว่า ถึงแม้คุณไม่เห็นชอบกับการกระทำของลูกที่ขืนอำนาจก็ตาม คุณก็มิได้เกลียดชังเขา. จงกล่าวโทษการกระทำที่เลวร้าย แทนที่จะเป็นตัวเด็ก. เมื่อลูกชายสองคนของยาโคบทำให้ครอบครัวเสียชื่อเสียงเนื่องจากการกระทำที่โหดเหี้ยมของเขา ยาโคบได้สาปแช่งความโกรธแค้นอย่างบ้าระห่ำของลูกชาย ไม่ใช่ตัวลูกชาย.—เยเนซิศ 34:1-31; 49:5-7.
26. บิดามารดาที่สุจริตใจอาจได้รับการปลอบประโลมจากอะไรหากบุตรคนหนึ่งของเขาขืนอำนาจ?
26 คุณอาจรู้สึกรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในครอบครัวของคุณ. แต่หากคุณได้ทำทุกสิ่งเท่าที่คุณทำได้ด้วยน้ำใสใจจริง โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของพระยะโฮวาเป็นอย่างดีเท่าที่คุณสามารถทำได้ ก็ไม่จำเป็นต้องติเตียนตัวเองอย่างไม่มีเหตุผล. ขอให้รับการปลอบประโลมใจจากข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีใครอาจเป็นบิดาหรือมารดาที่สมบูรณ์พร้อม แต่คุณได้พยายามอย่างสุจริตใจแล้วที่จะเป็นบิดาหรือมารดาที่ดี. (เทียบกับกิจการ 20:26.) การมีคนขืนอำนาจอย่างสิ้นเชิงอยู่ในครอบครัวเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง แต่หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับคุณ ก็ขอให้มั่นใจว่าพระเจ้าทรงเข้าใจและพระองค์จะไม่มีวันละทิ้งผู้รับใช้ที่เลื่อมใสศรัทธาของพระองค์. (บทเพลงสรรเสริญ 27:10) ดังนั้น จงตั้งใจที่จะรักษาบ้านของคุณให้เป็นสถานพักพิงที่ปลอดภัยฝ่ายวิญญาณสำหรับลูกคนอื่น ๆ.
27. โดยระลึกถึงคำอุปมาเรื่องบุตรผู้สุรุ่ยสุร่าย บิดามารดาของบุตรที่ขืนอำนาจอาจหวังอะไรได้เสมอ?
27 นอกจากนี้ คุณไม่ควรจะหมดหวัง. ความพยายามก่อนหน้านี้ของคุณในการอบรมอย่างเหมาะสมอาจมีผลกระทบในที่สุดต่อหัวใจของเด็กที่หลงไปและทำให้เขาสำนึกได้. (ท่านผู้ประกาศ 11:6) ครอบครัวคริสเตียนหลายครอบครัวเคยมีประสบการณ์เหมือนกับคุณ และบางครอบครัวได้เห็นลูกที่ดื้อรั้นของเขากลับคืนมา คล้ายกับบิดาในคำอุปมาของพระเยซูเรื่องบุตรผู้สุรุ่ยสุร่าย. (ลูกา 15:11-32) เหตุการณ์อย่างเดียวกันนี้อาจเกิดขึ้นกับคุณก็ได้.
-