-
การไขข้อลึกลับอันน่ากลัวพระธรรมวิวรณ์—ใกล้จะถึงจุดสุดยอด!
-
-
หลายหน, เราจะไม่ฟัง: ด้วยมือของพวกเจ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต.”—ยะซายา 1:15; 59:1-3.
13. (ก) เหตุใดการที่ผู้นำทางศาสนาของโลกจับมือกับสหประชาชาติในการเรียกร้องให้มีสันติภาพจึงมีความหมายสำคัญ? (ข) เสียงร้องหาสันติภาพจะบรรลุจุดสุดยอดในคราวสุดยอดอะไรที่พระเจ้าตรัสไว้ล่วงหน้า?
13 นอกจากนี้ ที่ผู้นำทางศาสนาของโลกจับมือกับสหประชาชาติในการเรียกร้องสันติภาพในเวลานี้มีความหมายลึกล้ำ. พวกเขาต้องการมีอิทธิพลเหนือสหประชาชาติเพื่อประโยชน์ของตนเอง โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ซึ่งศาสนิกชนจำนวนมากของพวกเขากำลังละทิ้งศาสนา. เช่นเดียวกับผู้นำที่ไม่ซื่อสัตย์ในอิสราเอลโบราณ พวกเขาร้องเสียงดังว่า “เป็นสุข ๆ เถิด, เมื่อไม่มีความสุขเลย.” (ยิระมะยา 6:14) ไม่ต้องสงสัย เสียงร้องหาสันติภาพของพวกเขาจะดำเนินต่อไป เพิ่มการสนับสนุนแก่จุดสุดยอดซึ่งอัครสาวกเปาโลพยากรณ์พาดพิงถึงว่า “วันของพระยะโฮวาจะมาเหมือนขโมยทีเดียวที่มาในเวลากลางคืน. เมื่อไรก็ตามที่พวกเขากล่าวว่า ‘สันติภาพและความปลอดภัย!’ แล้วความพินาศโดยฉับพลันก็จะมาถึงเขาทันที เหมือนความเจ็บปวดมาถึงหญิงมีครรภ์; และเขาจะไม่มีทางหนีให้พ้น.”—1 เธซะโลนิเก 5:2, 3, ล.ม.
14. เสียงร้องว่า “สันติภาพและความปลอดภัย!” นั้นอาจออกมาในรูปแบบใด และคนเราจะหลีกเลี่ยงการถูกชักนำให้หลงด้วยเสียงร้องนั้นได้อย่างไร?
14 ไม่กี่ปีมานี้ พวกนักการเมืองได้ใช้วลี “สันติภาพและความปลอดภัย” เพื่อพรรณนาถึงแผนการต่าง ๆ ของมนุษย์. การที่พวกผู้นำของโลกพยายามทำเช่นนี้ทำให้ 1 เธซะโลนิเก 5:3 เริ่มสำเร็จเป็นจริงแล้วไหม? หรือเปาโลกำลังพาดพิงถึงเหตุการณ์หนึ่งโดยเฉพาะซึ่งมีขอบข่ายใหญ่โตจนเป็นที่สนใจของคนทั้งโลก? เนื่องจากคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลมักจะเข้าใจได้อย่างกระจ่างชัดต่อเมื่อคำพยากรณ์นั้นสำเร็จเป็นจริงแล้วหรือไม่ก็กำลังสำเร็จเป็นจริง เราจึงต้องคอยดูกันต่อไป. ในระหว่างนี้ คริสเตียนรู้ว่าไม่ว่าชาติต่าง ๆ อาจดูเหมือนบรรลุสันติภาพและความปลอดภัยเช่นไรก็ตาม โดยพื้นฐานแล้วจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง. ความเห็นแก่ตัว, ความเกลียดชัง, อาชญากรรม, ครอบครัวแตกสลาย, การผิดศีลธรรม, ความเจ็บป่วย, ความเศร้าโศก, และความตายจะยังคงมีอยู่. นี่คือเหตุผลที่ว่าไม่มีเสียงร้องว่า “สันติภาพและความปลอดภัย” ใด ๆ อาจทำให้คุณ เข้าใจผิดได้ ถ้าคุณยังคงตื่นตัวต่อความหมายของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลก และเชื่อฟังคำเตือนเชิงพยากรณ์ในพระคำของพระเจ้า.—มาระโก 13:32-37; ลูกา 21:34-36.
-
-
การสำเร็จโทษบาบิโลนใหญ่พระธรรมวิวรณ์—ใกล้จะถึงจุดสุดยอด!
-
-
บท 35
การสำเร็จโทษบาบิโลนใหญ่
1. ทูตสวรรค์พรรณนาสัตว์ร้ายสีแดงเข้มอย่างไร และจำต้องมีสติปัญญาชนิดใดจึงจะเข้าใจสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในพระธรรมวิวรณ์?
ในการพรรณนาต่อไปถึงสัตว์ร้ายสีแดงเข้มในพระธรรมวิวรณ์ 17:3 ทูตสวรรค์บอกโยฮันว่า “นี่เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความคิดและสติปัญญาจึงจะรู้ว่า หัวเจ็ดหัวนั้นหมายถึงภูเขาเจ็ดลูกที่ผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่บนยอด. มีกษัตริย์เจ็ดองค์ ห้าองค์หมดอำนาจไปแล้ว องค์หนึ่งเป็นอยู่ อีกองค์หนึ่งยังไม่มา แต่เมื่อมาแล้วจะต้องอยู่ชั่วขณะหนึ่ง.” (วิวรณ์ 17:9, 10, ล.ม.) ในที่นี้ทูตสวรรค์กำลังถ่ายทอดสติปัญญาจากเบื้องบน สติปัญญาเดียวที่สามารถให้ความเข้าใจเกี่ยวกับสัญลักษณ์ในพระธรรมวิวรณ์. (ยาโกโบ 3:17) สติปัญญานี้ให้ความกระจ่างแก่ชนจำพวกโยฮันและสหายเกี่ยวกับความสำคัญของสมัยที่เรามีชีวิตอยู่. สติปัญญานี้สร้างความหยั่งรู้ค่าเกี่ยวกับการพิพากษาของพระยะโฮวาซึ่งบัดนี้กำลังจะดำเนินการให้ลุล่วงไว้ในหัวใจที่เลื่อมใส ทั้งยังปลูกฝังให้มีความเกรงกลัวพระยะโฮวาอย่างสมควร. ดังที่สุภาษิต 9:10 บอกว่า “ความยำเกรงพระยะโฮวาเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา; และการรู้ถึงขององค์บริสุทธิ์นั้นคือความเข้าใจ.” สติปัญญาจากพระเจ้าเปิดเผยอะไรแก่เราเกี่ยวกับสัตว์ร้าย?
2. หัวเจ็ดหัวของสัตว์ร้ายสีแดงเข้มหมายถึงอะไร และเป็นไปอย่างไรที่ว่า “ห้าองค์หมดอำนาจไปแล้ว องค์หนึ่งเป็นอยู่”?
2 หัวเจ็ดหัวของสัตว์ร้ายตัวนั้นหมายถึง “ภูเขา” เจ็ดลูก หรือ “กษัตริย์” เจ็ดองค์. ทั้งสองคำนี้มีการใช้ในพระคัมภีร์เพื่อหมายถึงอำนาจการปกครอง. (ยิระมะยา 51:24, 25; ดานิเอล 2:34, 35, 44, 45) ในคัมภีร์ไบเบิล มีกล่าวถึงหกมหาอำนาจโลกว่ามีผลกระทบต่อเรื่องราวของประชาชนของพระเจ้า ได้แก่ อียิปต์, อัสซีเรีย, บาบิโลน, มีเดีย-เปอร์เซีย, กรีซ, และโรม. ในจำนวนเหล่านี้ มีห้ามหาอำนาจที่ได้ขึ้นมาและล่มสลายไปแล้วในตอนที่โยฮันได้รับวิวรณ์ ในขณะที่โรมยังคงเป็นมหาอำนาจโลกอยู่ในเวลานั้น. เรื่องนี้ตรงกันเป็นอย่างดีกับคำกล่าวที่ว่า “ห้าองค์หมดอำนาจไปแล้ว องค์หนึ่งเป็นอยู่.” แต่เป็นอย่างไรกับ “อีกองค์หนึ่ง” ที่กำหนดจะมา?
3. (ก) จักรวรรดิโรมันถูกแบ่งแยกอย่างไร? (ข) เกิดเหตุการณ์อะไรบ้างในจักรวรรดิโรมันตะวันตก? (ค) ควรมองดูจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์อย่างไร?
3 จักรวรรดิโรมันยังคงอยู่และถึงกับขยายดินแดนออกไป เป็นเวลาหลายร้อยปีหลังจากสมัยของโยฮัน. ในปีสากลศักราช 330 จักรพรรดิคอนสแตนตินย้ายเมืองหลวงจากกรุงโรมไปยังเมืองไบแซนทิอุม ซึ่งเขาเปลี่ยนชื่อเสียใหม่เป็นคอนสแตนติโนเปิล. ในปีสากลศักราช 395 จักรวรรดิโรมันถูกแบ่งออกเป็นจักรวรรดิตะวันออกและจักรวรรดิตะวันตก. ในปีสากลศักราช 410 โรมเองก็พ่ายแพ้แก่อาลาริก กษัตริย์ของพวกวิสิก็อต (ชนเผ่าเยอรมานิกซึ่งได้เปลี่ยนมานับถือ “ศาสนาคริสต์” ลัทธิอาเรียน). ชนเผ่าเยอรมานิก (ซึ่งเป็น “คริสเตียน” เช่นกัน) ได้พิชิตสเปนและดินแดนส่วนใหญ่ของโรมในแอฟริกาเหนือ. มีระยะเวลาแห่งความวุ่นวาย, ความไม่สงบ, และการปรับปรุงใหม่ในยุโรปนานหลายศตวรรษ. จักรพรรดิที่มีชื่อเสียงหลายองค์ปรากฏขึ้นในจักรวรรดิตะวันตก เช่น จักรพรรดิชาร์เลอมาญ ผู้สร้างสัมพันธไมตรีกับสันตะปาปาเลโอที่สามในศตวรรษที่ 9 และจักรพรรดิเฟรเดอริกที่สองซึ่งครองราชย์ในศตวรรษที่ 13. แต่ดินแดนในปกครองของจักรพรรดิเหล่านี้แม้จะได้ชื่อว่าจักรวรรดิโรมันศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังเล็กกว่าดินแดนของจักรวรรดิโรมันที่อยู่ก่อนในคราวที่เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดนั้นมากนัก. นั่นจึงเป็นการฟื้นฟูหรือการสืบต่ออำนาจที่มีแต่ครั้งโบราณนี้เสียมากกว่าจะเป็นจักรวรรดิใหม่.
4. จักรวรรดิตะวันออกประสบผลสำเร็จอะไรบ้าง แต่เกิดอะไรขึ้นกับอาณาเขตส่วนใหญ่ซึ่งเป็นของโรมโบราณมาก่อนในแอฟริกาเหนือ, สเปน, และซีเรีย?
4 จักรวรรดิตะวันออกของโรม ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองคอนสแตนติโนเปิล ดำเนินอยู่ในสัมพันธภาพที่ไม่ค่อยสงบสุขกับจักรวรรดิตะวันตก. ในศตวรรษที่หก จักรพรรดิยุสติเนียนที่หนึ่งแห่งจักรวรรดิโรมันตะวันออกสามารถพิชิตส่วนใหญ่ของแอฟริกาเหนือได้อีกครั้งหนึ่ง ทั้งยังเข้าไปแทรกแซงในสเปนและอิตาลีอีกด้วย. ในศตวรรษที่เจ็ด จักรพรรดิยุสติเนียนที่สองได้ตีเอาอาณาเขตของจักรวรรดิแถบมาซิโดเนียที่ชนเผ่าสลาฟพิชิตไปคืนมา. อย่างไรก็ตาม เมื่อมาถึงศตวรรษที่แปด อาณาเขตส่วนใหญ่ซึ่งเคยเป็นของโรมโบราณมาก่อนในแอฟริกาเหนือ, สเปน, และซีเรียนั้นตกอยู่ภายใต้จักรวรรดิใหม่แห่งอิสลาม และจึงพ้นจากการควบคุมของทั้งคอนสแตนติโนเปิลและโรม.
5. แม้ว่ากรุงโรมแตกในปีสากลศักราช 410 เป็นไปอย่างไรที่กินเวลาหลายศตวรรษกว่าร่องรอยทั้งหมดของจักรวรรดิโรมันทางด้านการเมืองจะหายไปจากฉากเหตุการณ์ของโลก?
5 กรุงคอนสแตนติโนเปิลเองยืนยงอยู่ค่อนข้างนานกว่า. เมืองนี้รอดผ่านการโจมตีที่มีบ่อย ๆ จากพวกเปอร์เซีย, อาหรับ, บัลแกเรีย, และรัสเซียจนกระทั่งในปี 1203 เมืองนี้ก็แตกในที่สุด มิใช่แก่พวกมุสลิมแต่แก่พวกนักรบครูเสดจากทางตะวันตก. แต่มาในปี 1453 เมืองนี้ตกอยู่ใต้อำนาจของสุลต่านเมฮ์เมดที่สองแห่งชาวตุรกีมุสลิม และในไม่ช้าก็กลายเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิออตโตมันหรือตุรกี. ดังนั้น แม้ว่ากรุงโรมแตกในปีสากลศักราช 410 แต่ก็กินเวลาอีกหลายศตวรรษกว่าร่องรอยทั้งหมดของจักรวรรดิโรมันทางการเมืองจะหายไปจากฉากเหตุการณ์ของโลก. และถึงกระนั้น อิทธิพลของโรมยังคงสังเกตได้ในศาสนจักรที่ใช้ตำแหน่งสันตะปาปาของโรมและคริสตจักรอีสต์เทอร์นออร์โทด็อกซ์เป็นหลัก.
6. เกิดมีจักรวรรดิใหม่ ๆ อะไรบ้าง และจักรวรรดิใดประสบความสำเร็จมากที่สุด?
6 อย่างไรก็ดี ในศตวรรษที่ 15 บางประเทศได้สร้างจักรวรรดิใหม่ ๆ ขึ้น. ในขณะที่อำนาจของจักรวรรดิใหม่ ๆ บางจักรวรรดิถูกตั้งขึ้นในดินแดนที่เคยเป็นอาณานิคมของโรม จักรวรรดิเหล่านั้นก็หาได้เป็นเพียงการต่อเนื่องจากจักรวรรดิโรมันไม่. ประเทศโปรตุเกส, สเปน, ฝรั่งเศส, และฮอลแลนด์ต่างกลายเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรที่แผ่ไปกว้างไกล. แต่ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือบริเตน ซึ่งมีอำนาจเหนือจักรวรรดิมหึมาซึ่ง ‘ดวงอาทิตย์ไม่เคยตก.’ จักรวรรดินี้แผ่ขยายไปในสมัยต่าง ๆ กันเหนือส่วนใหญ่ของทวีปอเมริกาเหนือ, ทวีปแอฟริกา, ประเทศอินเดีย, และเอเชียอาคเนย์ รวมทั้งอาณาเขตกว้างใหญ่ของมหาสมุทรแปซิฟิกใต้.
7. เกิดมีมหาอำนาจคู่ขึ้นมาอย่างไร และโยฮันบอกว่า “หัว” หรือมหาอำนาจโลกที่เจ็ดจะอยู่ต่อไปนานเพียงใด?
7 มาถึงศตวรรษที่ 19 อาณานิคมบางแห่งในอเมริกาเหนือแยกตัวออกจากบริเตนเพื่อตั้งตัวเป็นสหรัฐอเมริกาที่เป็นเอกราช. ในทางการเมือง ความขัดแย้งบางอย่างระหว่างชาติใหม่และมาตุภูมิเดิมยังคงมีอยู่. กระนั้น สงครามโลกครั้งที่หนึ่งบังคับให้ทั้งสองประเทศตระหนักถึงผลประโยชน์ร่วม และเชื่อมความสัมพันธ์พิเศษระหว่างกัน. ดังนั้น จึงเกิดเป็นมหาอำนาจคู่อย่างหนึ่งของโลกขึ้น ประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา ซึ่งบัดนี้เป็นชาติที่มั่งคั่งที่สุดของโลก และบริเตนใหญ่ซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดของโลก. ฉะนั้น นี่คือ “หัว” ที่เจ็ดหรือมหาอำนาจโลกที่เจ็ด ซึ่งคงอยู่ไปจนถึงช่วงอวสานและอยู่ในดินแดนที่พยานของพระยะโฮวาสมัยปัจจุบันได้รับการก่อตั้งขึ้นในตอนแรก. เมื่อเปรียบเทียบกับรัชสมัยอันยาวนานของหัวที่หก หัวที่เจ็ดจึงดำรงอยู่ “ชั่วขณะหนึ่ง” เท่านั้นจนกว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าทำลายชาติทั้งปวงให้ย่อยยับ.
เหตุใดจึงเรียกว่ากษัตริย์องค์ที่แปด?
8, 9. ทูตสวรรค์เรียกสัตว์ร้ายสีแดงเข้มโดยนัยว่าอะไร และมันมาจากหัวเจ็ดหัวในแง่ใด?
8 ทูตสวรรค์องค์นั้นอธิบายแก่โยฮันต่อไปว่า “สัตว์ร้ายซึ่งเคยเป็นอยู่เมื่อก่อนและไม่ได้เป็นอยู่ตอนนี้นั่นแหละเป็นกษัตริย์องค์ที่แปด แต่มันก็มาจากกษัตริย์เจ็ดองค์นั้น และมันจะถูกทำลาย.” (วิวรณ์ 17:11, ล.ม.) สัตว์ร้ายสีแดงเข้มโดยนัยนั้น “มาจาก” หัวเจ็ดหัว หมายความว่า มันเกิดจากหรือเป็นมาจากหัวเหล่านั้นของ “สัตว์ร้าย” ตัวแรกเดิมที่ “ขึ้นมาจากทะเล” ซึ่งสัตว์ร้ายสีแดงเข้มเป็นภาพแสดงถึง. โดยวิธีใด? ในปี 1919 อำนาจแองโกล-อเมริกันเป็นหัวที่ขึ้นมามีอำนาจ. หัวทั้งหกที่มีอยู่ก่อนได้ล่มจมไป และตำแหน่งของอำนาจโลกที่เด่นได้ผ่านมายังหัวคู่นี้และเวลานี้รวมศูนย์อยู่ที่นี่. หัวที่เจ็ด ในฐานะตัวแทนปัจจุบันของลำดับมหาอำนาจโลก เป็นกำลังผลักดันในการก่อตั้งสันนิบาตชาติ และยังคงเป็นผู้ส่งเสริมและผู้สนับสนุนทางการเงินอันสำคัญของสหประชาชาติ. ฉะนั้น โดยนัยแล้ว สัตว์ร้ายสีแดงเข้มหรือกษัตริย์องค์ที่แปด “มาจาก” หัวทั้งเจ็ดซึ่งมีอยู่แต่ก่อน. เมื่อมองในแง่นี้ ถ้อยแถลงที่ว่า สัตว์ร้ายนี้เป็นมาจากหัวทั้งเจ็ดจึงสอดคล้องเป็นอย่างดีกับการเปิดเผยก่อนหน้านี้ที่ว่าสัตว์ร้ายที่มีสองเขาเหมือนลูกแกะนั้น (คือมหาอำนาจโลกแองโกล-อเมริกัน หัวที่เจ็ดของสัตว์ร้ายตัวแรกเดิมนั้น) ได้กระตุ้นให้มีการทำรูปของสัตว์ร้ายและให้ชีวิตแก่มัน.—วิวรณ์ 13:1, 11, 14, 15.
9 นอกจากนี้ สมาชิกดั้งเดิมของสันนิบาตชาตินับรวมรัฐบาลต่าง ๆ ที่ปกครองอยู่ในที่ตั้งของหัวก่อน ๆ บางหัว คือ กรีซ, อิหร่าน (เปอร์เซีย), และอิตาลี (โรม) พร้อมกับบริเตนใหญ่ด้วย. ในที่สุด รัฐบาลต่าง ๆ ที่ปกครองดินแดนซึ่งเคยควบคุมโดยมหาอำนาจโลกทั้งหกที่มีอยู่ก่อนนั้นกลายมาเป็นสมาชิกผู้สนับสนุนรูปของสัตว์ร้าย. ในแง่นี้ด้วยเช่นกันที่อาจกล่าวได้ว่าสัตว์ร้ายสีแดงเข้มตัวนี้เป็นมาจากมหาอำนาจทั้งเจ็ดของโลก.
10. (ก) กล่าวได้อย่างไรว่า ตัวสัตว์ร้ายสีแดงเข้มเองก็ “เป็นกษัตริย์องค์ที่แปด” ด้วย? (ข) ผู้นำของอดีตสหภาพโซเวียตคนหนึ่งแสดงการสนับสนุนสหประชาชาติอย่างไร?
10 โปรดสังเกตว่า สัตว์ร้ายสีแดงเข้มเอง “เป็นกษัตริย์องค์ที่แปด” ด้วย. ด้วยเหตุนี้ สหประชาชาติในทุกวันนี้จึงถูกกำหนดให้ดูประหนึ่งรัฐบาลโลก. บางครั้ง สหประชาชาติถึงกับปฏิบัติเยี่ยงรัฐบาลหนึ่ง โดยส่งกองทัพเข้าไปในสนามรบเพื่อจัดการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศ เช่น ในเกาหลี, คาบสมุทรไซนาย, บางประเทศในแอฟริกา และเลบานอน. แต่มันเป็นเพียงรูปจำลอง ของกษัตริย์. เช่นเดียวกับรูปจำลองทางศาสนา มันไม่มีอิทธิพลหรืออำนาจที่แท้จริงนอกเหนือจากที่มันได้รับจากคนเหล่านั้นซึ่งทำให้มันดำรงอยู่และนมัสการมัน. บางครั้ง สัตว์ร้ายโดยนัยนี้ก็ดูอ่อนแอ แต่มันไม่เคยประสบกับการถูกทอดทิ้งอย่างไม่ไยดีจากสมาชิกที่เอนเอียงไปทางเผด็จการซึ่งได้ส่งสันนิบาตชาติให้กลิ้งลงไปในขุมลึก. (วิวรณ์ 17:8) แม้ว่าจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงในด้านอื่น ๆ ผู้นำคนสำคัญคนหนึ่งของอดีตสหภาพโซเวียตในปี 1987 ได้ร่วมกับสันตะปาปาแห่งโรมในการพูดสนับสนุนสหประชาชาติ. เขาถึงกับเรียกร้องให้มี “ระบบครอบคลุมความปลอดภัยระหว่างประเทศ” โดยยึดสหประชาชาติเป็นหลัก. ดังที่โยฮันจะทราบในไม่ช้า เวลาจะมาเมื่อสหประชาชาติจะดำเนินการด้วยอำนาจมากมาย. แล้วเมื่อถึงคราวของมัน มันก็ “จะถูกทำลาย.”
กษัตริย์สิบองค์เป็นอยู่ชั่วโมงหนึ่ง
11. ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาบอกอะไรเกี่ยวกับเขาสิบเขาที่อยู่บนสัตว์ร้ายสีแดงเข้มโดยนัย?
11 ในพระธรรมวิวรณ์บทก่อน ทูตสวรรค์องค์ที่หกและเจ็ดได้เทขันแห่งพระพิโรธของพระเจ้า. ดังนั้น เราจึงได้รับการแจ้งว่ากษัตริย์ทั้งหลายของแผ่นดินโลกกำลังถูกรวบรวมไปยังสงครามของพระเจ้า ณ อาร์มาเก็ดดอน และว่า “พระเจ้าไม่ทรงลืมบาบิโลนใหญ่.” (วิวรณ์ 16:1, 14, 19, ล.ม.) ตอนนี้ เราจะทราบโดยละเอียดยิ่งขึ้นว่าจะมีการลงโทษตามคำพิพากษาของพระเจ้าต่อกษัตริย์เหล่านั้นอย่างไร. จงฟังทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาอีกครั้งหนึ่งในขณะที่ท่านพูดกับโยฮัน. “เขาสิบเขาที่ท่านเห็นนั้นหมายถึงกษัตริย์สิบองค์ซึ่งยังไม่ได้รับอาณาจักร แต่พวกเขาจะได้รับอำนาจเป็นกษัตริย์ร่วมกับสัตว์ร้ายนั้นหนึ่งชั่วโมง. กษัตริย์เหล่านี้คิดอย่างเดียวกัน พวกเขาจึงมอบกำลังและอำนาจของตนแก่สัตว์ร้ายนั้น. กษัตริย์เหล่านี้จะสู้รบกับพระเมษโปดก แต่พระเมษโปดกจะทรงชนะพวกเขาเพราะพระองค์เป็นเจ้านายแห่งเจ้านายทั้งหลายและเป็นกษัตริย์แห่งกษัตริย์ทั้งหลาย. คนเหล่านั้นที่ถูกเรียกและเลือกไว้และซื่อสัตย์ซึ่งอยู่กับพระองค์ก็จะชนะเช่นกัน.”—วิวรณ์ 17:12-14, ล.ม.
-