คุณอาจได้พี่น้องคืนมา
“จงไปแจ้งความผิดบาปนั้นแก่เขาสองต่อสองเท่านั้น ถ้าเขาฟังท่าน ท่านจะได้พี่น้องคืนมา.”—มัดธาย 18:15, ฉบับแปลใหม่.
1, 2. พระเยซูทรงประทานคำแนะนำที่ใช้ได้จริงอะไรเกี่ยวกับการจัดการข้อผิดพลาด?
โดยที่เหลือเวลารับใช้ไม่ถึงปี พระเยซูทรงประทานบทเรียนสำคัญหลายอย่างแก่เหล่าสาวก. คุณจะอ่านบทเรียนเหล่านี้ได้ในมัดธายบท 18. บทเรียนหนึ่งเกี่ยวข้องกับความสำคัญของการเป็นคนถ่อม เหมือนเด็ก. ถัดจากนั้นพระองค์ทรงเน้นว่า เราต้องหลีกเลี่ยงการทำให้ “ผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่ง” สะดุด และเราควรพยายามช่วย “ผู้เล็กน้อยเหล่านี้” ที่พลัดหลงไปให้กลับฟื้นตัวใหม่ เพื่อเขาจะไม่พินาศ. จากนั้นพระเยซูทรงให้คำแนะนำเพิ่มเติมที่มีค่าและใช้ได้จริงในการแก้ไขปัญหาขัดแย้งระหว่างคริสเตียนด้วยกัน.
2 คุณอาจจำคำตรัสของพระองค์ได้: “หากว่าพี่น้องของท่านผู้หนึ่งทำผิดบาปต่อท่าน จงไปแจ้งความผิดบาปนั้นแก่เขาสองต่อสองเท่านั้น ถ้าเขาฟังท่าน ท่านจะได้พี่น้องคืนมา แต่ถ้าเขาไม่ฟังท่าน จงนำคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย ให้เป็นพยานสองสามปากเพื่อทุกคำจะเป็นหลักฐานได้ ถ้าเขาไม่ฟังคนเหล่านั้น จงไปแจ้งความต่อคริสตจักร [“ประชาคม,” ล.ม.] ถ้าเขายังไม่ฟังคริสตจักร [“ประชาคม,” ล.ม.] อีกก็ให้ถือเสียว่าเขาเป็นเหมือนคนต่างชาติหรือคนเก็บภาษี.” (มัดธาย 18:15-17, ฉบับแปลใหม่) เราควรใช้คำแนะนำนี้เมื่อไร และเราควรทำเช่นนั้นด้วยทัศนะเช่นไร?
3. แนวทางโดยทั่วไปอะไรที่เราควรปฏิบัติต่อข้อผิดพลาดของผู้อื่น?
3 บทความก่อนเน้นว่า เนื่องจากเราทุกคนไม่สมบูรณ์และมักผิดพลาด จึงจำเป็นที่เราต้องพยายามให้อภัย. เป็นอย่างนั้นโดยเฉพาะเมื่อเกิดมีความเจ็บใจจากสิ่งที่เพื่อนคริสเตียนกล่าวหรือทำ. (1 เปโตร 4:8) บ่อยครั้ง ดีที่สุดที่จะเพียงแต่มองข้ามความขุ่นเคืองใจนั้น—ให้อภัยและลืมเสีย. เราถือได้ว่าการทำอย่างนี้เป็นการส่งเสริมสันติสุขในประชาคมคริสเตียน. (บทเพลงสรรเสริญ 133:1; สุภาษิต 19:11) กระนั้น อาจมีบางครั้งที่คุณอาจรู้สึกว่าคุณต้องสะสางปัญหากับพี่น้องที่ทำให้คุณเจ็บใจ. ในกรณีเช่นนี้ คำตรัสของพระเยซูดังข้างต้นบอกแนวทางที่ควรปฏิบัติ.
4. ตามหลักการแล้ว เราจะใช้มัดธาย 18:15 กับข้อผิดพลาดของผู้อื่นได้อย่างไร?
4 พระเยซูทรงแนะนำให้คุณ “แจ้งความผิดบาปนั้นแก่เขาสองต่อสองเท่านั้น.” การทำเช่นนั้นนับว่าสุขุม. ฉบับแปลภาษาเยอรมันบางฉบับถอดความวลีนี้ว่า จงไปแสดงความผิดของเขา “ให้ประจักษ์แก่สี่ตา” ซึ่งก็หมายถึงตาของคุณและตาของเขา. เมื่อคุณนำปัญหาขึ้นมาพูดเป็นส่วนตัว ด้วยความกรุณาเช่นนี้ ก็มักจะทำให้ง่ายขึ้นที่จะแก้ไขข้อขัดแย้งนั้น. พี่น้องที่ทำหรือพูดบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ขุ่นเคืองหรือไม่กรุณาอาจยอมรับข้อผิดพลาดได้ง่ายกว่าเมื่ออยู่เพียงลำพังกับคุณ. หากคนอื่นกำลังฟังอยู่ด้วย ธรรมชาติของมนุษย์ผิดบาปอาจทำให้เขาโน้มเอียงไปข้างจะปฏิเสธความผิด หรือพยายามแก้ตัวในสิ่งที่เขาทำ. แต่ขณะที่คุณนำเรื่องนั้นขึ้นมา “ให้ประจักษ์แก่สี่ตา” คุณอาจพบว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้นเอง ไม่ใช่การทำผิดร้ายแรงหรือการทำผิดอย่างจงใจ. ครั้นคุณทั้งสองเข้าใจแล้วว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน คุณก็สามารถแก้ไขปัญหาที่มีต่อกัน ไม่ปล่อยให้เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่และทำลายความสัมพันธ์ของคุณ. ฉะนั้น หลักการที่มัดธาย 18:15 ใช้ได้แม้แต่กับกรณีของความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน.
พระองค์หมายความเช่นไร?
5, 6. ตามบริบท มัดธาย 18:15 กล่าวถึงบาปชนิดไหน และมีอะไรที่บ่งชี้เช่นนั้น?
5 หากจะกล่าวตามความหมายที่แท้จริงแล้ว คำแนะนำของพระเยซูเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ร้ายแรงกว่านั้น. พระเยซูตรัสว่า “หากว่าพี่น้องของท่านผู้หนึ่งทำผิด [“ทำบาป,” ล.ม.] ต่อท่าน.” ในความหมายกว้าง ๆ “บาป” อาจเป็นข้อผิดพลาดหรือข้อบกพร่องใด ๆ ก็ได้. (โยบ 2:10; สุภาษิต 21:4; ยาโกโบ 4:17) อย่างไรก็ตาม บริบทบ่งชี้ว่าบาปที่พระเยซูกล่าวถึงนี้คงต้องหมายถึงเรื่องที่ร้ายแรง. บาปนี้ร้ายแรงถึงขนาดที่อาจทำให้ผู้ทำผิดถูกถือว่า “เป็นเหมือนคนต่างประเทศหรือคนเก็บภาษี.” วลีนี้มีความหมายเช่นไร?
6 เหล่าสาวกของพระเยซูที่ได้รับฟังคำตรัสดังกล่าวทราบว่าเพื่อนร่วมชาติของตนไม่คบกับคนต่างประเทศ. (โยฮัน 4:9; 18:28; กิจการ 10:28) และพวกเขาหลีกห่างจากคนเก็บภาษีโดยเด็ดขาด เพราะคนเหล่านี้เกิดเป็นคนยิวแต่กลับปฏิบัติต่อประชาชนอย่างเลวร้าย. ดังนั้น ตามความหมายที่แท้จริงแล้ว มัดธาย 18:15-17 กล่าวพาดพิงถึงบาปร้ายแรง ไม่ใช่ความขุ่นเคืองใจเป็นส่วนตัวหรือความเจ็บใจที่คุณอาจจะเพียงแต่ให้อภัยและลืมเสีย.—มัดธาย 18:21, 22.a
7, 8. (ก) บาปชนิดใดที่จำเป็นต้องให้ผู้เฒ่าผู้แก่หรือผู้ปกครองจัดการ? (ข) สอดคล้องกับมัดธาย 18:15-17 บาปชนิดใดที่สามารถจัดการแก้ไขกันได้ระหว่างคริสเตียนสองคน?
7 ภายใต้พระบัญญัติ เฉพาะการให้อภัยจากผู้เสียหายเพียงอย่างเดียวยังไม่พอสำหรับบาปบางอย่าง. การหมิ่นประมาท, การออกหาก, การบูชารูปเคารพ, การทำผิดทางเพศอย่างการผิดประเวณี การเล่นชู้ และการรักร่วมเพศเป็นเรื่องที่ต้องรายงานต่อผู้เฒ่าผู้แก่ (หรือปุโรหิต) และให้พวกเขาจัดการ. เป็นเช่นนั้นด้วยกับประชาคมคริสเตียน. (เลวีติโก 5:1; 20:10-13; อาฤธโม 5:30; 35:12; พระบัญญัติ 17:9; 19:16-19; สุภาษิต 29:24) อย่างไรก็ตาม โปรดสังเกตว่าประเภทของความผิดที่พระเยซูตรัสถึงในที่นี้สามารถตกลงกันได้ระหว่างสองบุคคล. ตัวอย่างเช่น คนหนึ่งให้ร้ายป้ายสีเพื่อนของเขาเนื่องด้วยความโกรธหรือความอิจฉา. คริสเตียนคนหนึ่งทำสัญญาที่จะก่อสร้างโดยใช้วัสดุตามที่ระบุไว้และทำงานให้เสร็จภายในเวลาที่ตกลงกันไว้. บางคนตกลงว่าจะจ่ายเงินคืนในวันเวลาที่ระบุไว้หรือให้ทันภายในเวลากำหนด. คนหนึ่งให้คำมั่นว่าถ้านายจ้างฝึกสอนงานแก่เขา (แม้ในกรณีที่เขาเปลี่ยนงาน) เขาจะไม่แข่งกับนายจ้างหรือพยายามแย่งลูกค้าของนายจ้างภายในช่วงเวลาหรือในพื้นที่ที่ตกลงกันไว้.b หากพี่น้องคนใดไม่รักษาคำพูดและไม่สำนึกกลับใจในความผิดนั้น นั่นย่อมถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงแน่นอน. (วิวรณ์ 21:8) แต่ความผิดเช่นนั้นสามารถจัดการให้เรียบร้อยได้ระหว่างทั้งสองฝ่ายที่เกี่ยวข้อง.
8 อย่างไรก็ตาม คุณจะดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างไร? บ่อยครั้ง ถือกันว่าคำตรัสของพระเยซูแบ่งออกเป็นสามขั้นตอน. ให้เราพิจารณาแต่ละขั้น. แทนที่จะถือว่าขั้นตอนเหล่านี้เป็นเรื่องตายตัวหรือเป็นลำดับขั้นตามกฎ จงพยายามเข้าใจถึงเจตนารมณ์แห่งคำตรัสของพระองค์ อย่าได้ลืมเป้าหมายที่จะแสดงความรัก.
พยายามเพื่อจะได้พี่น้องคืนมา
9. เราควรจำอะไรไว้ในเรื่องการใช้หลักการในมัดธาย 18:15?
9 พระเยซูทรงเริ่มดังนี้: “หากว่าพี่น้องของท่านผู้หนึ่งทำผิดบาปต่อท่านจงไปแจ้งความผิดบาปนั้นแก่เขาสองต่อสองเท่านั้นถ้าเขาฟังท่านท่านจะได้พี่น้องคืนมา.” เห็นได้ชัด นี่ไม่ใช่ขั้นตอนดำเนินการที่อาศัยเพียงข้อสงสัย. คุณควรมีหลักฐานหรือข้อมูลเฉพาะที่คุณสามารถใช้เพื่อช่วยพี่น้องของคุณให้เห็นว่าเขาทำผิดและจำเป็นต้องแก้ไขเรื่องนั้นให้ถูกต้อง. นับว่าดีที่จะลงมือทำทันที ไม่ปล่อยให้เรื่องนั้นบานปลายหรือปล่อยไว้จนเขามีเจตคติที่แก้ได้ยาก. และอย่าลืมว่าการครุ่นคิดถึงแต่เรื่องนั้นอาจทำให้คุณได้รับความเสียหายด้วย. เนื่องจากการพิจารณากันควรทำระหว่างคุณกับเขาตามลำพัง จงหลีกเลี่ยงการพูดคุยกับคนอื่นก่อนเพื่อจะได้ความเห็นใจหรือทำให้ภาพลักษณ์ของตัวคุณเองดีขึ้น. (สุภาษิต 12:25; 17:9) เพราะเหตุใด? เพราะเป้าหมายของคุณ.
10. อะไรจะช่วยเราให้ได้พี่น้องของเรากลับคืนมา?
10 เป้าหมายของคุณควรได้แก่การได้พี่น้องของคุณคืนมา ไม่ใช่เพื่อลงโทษเขา, ทำให้เขาอับอาย, หรือทำลายเขา. หากเขาได้ทำผิดจริง ๆ สัมพันธภาพของเขากับพระยะโฮวาย่อมตกอยู่ในอันตราย. เป็นเรื่องแน่นอนว่าคุณต้องการให้เขาเป็นพี่น้องคริสเตียนของคุณต่อ ๆ ไป. มีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จมากกว่าถ้าในการพูดคุยกันเป็นส่วนตัวนั้นคุณรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ หลีกเลี่ยงคำพูดเกรี้ยวกราดหรือน้ำเสียงกล่าวโทษ. ในการเผชิญหน้าด้วยความรักนี้ พึงจำไว้ว่าคุณเป็นมนุษย์ผิดบาป ไม่สมบูรณ์ด้วยกันทั้งคู่. (โรม 3:23, 24) เนื่องจากเขาตระหนักว่าคุณไม่ได้นินทาเขาและเห็นว่าคุณต้องการช่วยด้วยใจจริง การแก้ปัญหาก็อาจสำเร็จได้ไม่ยาก. วิธีจัดการปัญหาที่กรุณาและชัดเจนอย่างนี้ย่อมจะสะท้อนให้เห็นถึงสติปัญญา โดยเฉพาะถ้าปรากฏว่าคุณทั้งสองมีข้อที่ผิดด้วยกันทั้งคู่หรือจริง ๆ แล้วสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหานั้นคือความเข้าใจผิด.—สุภาษิต 25:9, 10; 26:20; ยาโกโบ 3:5, 6.
11. ถึงแม้ว่าผู้ทำผิดไม่ฟังเรา เราอาจทำอะไร?
11 หากคุณช่วยเขาให้เห็นว่าเขาได้ทำผิดและนั่นเป็นเรื่องร้ายแรง การทำเช่นนั้นอาจกระตุ้นเขาให้กลับใจ. แต่ในความเป็นจริง ความหยิ่งอาจเป็นอุปสรรค. (สุภาษิต 16:18; 17:19) ดังนั้น ถึงแม้ว่าเขาไม่ยอมรับความผิดและกลับใจในครั้งแรก คุณอาจจะพักเรื่องเอาไว้ ก่อนที่จะทำอะไรต่อไป. พระเยซูมิได้ตรัสว่า ‘จงไปหาเขาครั้งเดียว และแจ้งความผิดแก่เขา.’ เนื่องจากเป็นบาปที่คุณจัดการแก้ไขกันเองได้ จงคิดถึงการไปหาเขาอีกครั้งด้วยน้ำใจอย่างที่กล่าวไว้ที่ฆะลาเตีย 6:1 และอย่างที่ “ให้ประจักษ์แก่สี่ตา.” คุณอาจประสบความสำเร็จ. (เทียบกับยูดา 22, 23.) กระนั้น จะว่าอย่างไรถ้าคุณแน่ใจว่าเขาได้ทำบาป และจะไม่ยอมรับ?
การรับความช่วยเหลือจากผู้อาวุโส
12, 13. (ก) พระเยซูทรงอธิบายเช่นไรเกี่ยวกับขั้นตอนที่สองในการจัดการความผิด? (ข) มีอะไรบ้างที่เป็นข้อควรระวังในการทำตามขั้นตอนนี้?
12 คุณอยากจะให้ผู้อื่นล้มเลิกโดยเร็วในการช่วยคุณไหมถ้าคุณทำผิดร้ายแรง? คงจะไม่. ด้วยเหตุนั้น พระเยซูทรงชี้ว่า หลังจากดำเนินขั้นตอนแรกแล้วคุณไม่ควรเลิกล้มความพยายามในการได้พี่น้องของคุณคืนมา เพื่อจะรักษาเอกภาพระหว่างเขากับคุณและคนอื่น ๆ ในการนมัสการพระเจ้าอย่างที่ทรงยอมรับ. พระเยซูทรงชี้ถึงขั้นตอนที่สองว่า “ถ้าเขาไม่ฟังท่าน จงนำคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วยให้เป็นพยานสองสามปากเพื่อทุกคำจะเป็นหลักฐานได้.”
13 พระองค์ตรัสว่า ให้นำ “คนหนึ่ง หรือสองคนไปด้วย.” พระองค์มิได้ตรัสว่า หลังจากดำเนินขั้นตอนแรกแล้ว คุณก็มีอิสระที่จะพูดคุยเรื่องนั้นกับคนอื่นอีกหลายคน, ติดต่อกับผู้ดูแลเดินทาง, หรือเขียนจดหมายไปหาพี่น้องเล่าถึงปัญหานั้น. คุณอาจมั่นใจเกี่ยวกับความผิดนั้นก็จริง แต่เรื่องนั้นยังไม่ได้รับการพิสูจน์อย่างครบถ้วนกระบวนความ. คุณคงจะไม่ต้องการแพร่ข้อมูลในแง่ลบที่อาจทำให้คุณกลายเป็นผู้ให้ร้ายป้ายสี. (สุภาษิต 16:28; 18:8) แต่พระเยซูทรงบอกให้นำคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย. เพราะเหตุใด? และใครคือคนที่อาจนำไปด้วย?
14. เราอาจนำใครไปด้วยในขั้นตอนที่สอง?
14 คุณกำลังพยายามเพื่อจะได้พี่น้องของคุณคืนมาโดยชี้ให้เขาเห็นว่าเขาได้ทำผิดและโดยกระตุ้นเขาให้กลับใจเพื่อจะได้มีสันติสุขกับคุณและกับพระเจ้า. เพื่อจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว จะเป็นการดีมากหากมี “คนหนึ่งหรือสองคน” เป็นพยานยืนยันความผิดนั้น. อาจเป็นได้ว่าเขาอยู่ด้วยเมื่อเกิดเหตุ หรือเขามีข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งที่มีการทำ (หรือที่ไม่ได้ทำ) ในทางธุรกิจ. ถ้าไม่มีพยานเช่นนี้ คนที่คุณอาจนำไปด้วยอาจมีประสบการณ์ในเรื่องที่เป็นปัญหากัน และด้วยเหตุนั้นสามารถชี้ชัดลงไปว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นผิดจริงหรือไม่. นอกจากนั้น หากเกิดมีความจำเป็นขึ้นมาในภายหลัง เขาอาจเป็นพยานถึงสิ่งที่ได้มีการพูดกัน ยืนยันข้อเท็จจริงที่มีอยู่และความพยายามที่ได้มีการทำกัน. (อาฤธโม 35:30; พระบัญญัติ 17:6) ดังนั้น พยานไม่เพียงเป็นฝ่ายเป็นกลางหรือเป็นผู้ไกล่เกลี่ย; แต่การที่เขาอยู่ด้วยก็เพื่อช่วยให้ได้พี่น้องของคุณและของเขากลับคืนมา.
15. เหตุใดคริสเตียนผู้ปกครองอาจเป็นประโยชน์หากเราจำต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่สอง?
15 คุณไม่จำเป็นต้องคิดว่าคนที่คุณนำไปต้องเป็นผู้ปกครองในประชาคม. อย่างไรก็ตาม ชายที่อาวุโสซึ่งเป็นผู้ปกครองอาจสามารถมีส่วนช่วยเพราะเขามีคุณวุฒิทางฝ่ายวิญญาณ. ผู้ปกครองเช่นนั้นเป็น “เหมือนที่หลบซ่อนให้พ้นลมและที่กำบังจากพายุฝน เหมือนสายธารในประเทศที่แล้งน้ำ เหมือนร่มเงาแห่งหินผาใหญ่ในแดนกันดาร.” (ยะซายา 32:1, 2, ล.ม.) พวกเขามีประสบการณ์ในการหาเหตุผลและปรับพี่น้องชายหญิงให้เข้าที่. และผู้ทำผิดมีเหตุผลที่ดีในการแสดงความเชื่อมั่นในคนเหล่านี้ซึ่งเป็น “ของประทานในลักษณะมนุษย์.”c (เอเฟโซ 4:8, 11, 12, ล.ม.) การพูดคุยตกลงกันโดยมีผู้อาวุโสเช่นนั้นอยู่ด้วยและอธิษฐานด้วยกันกับพวกเขาสามารถสร้างบรรยากาศที่แตกต่างออกไปและอาจช่วยแก้ปัญหาที่ดูเหมือนไม่อาจแก้ได้.—เทียบกับยาโกโบ 5:14, 15.
ความพยายามขั้นสุดท้ายที่จะได้เขากลับคืนมา
16. ขั้นตอนที่สามซึ่งพระเยซูทรงให้ไว้คืออะไร?
16 หากสองขั้นตอนที่กล่าวไปไม่ประสบผลในการจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย ผู้ดูแลในประชาคมก็ต้องเข้ามามีส่วนร่วมด้วยในขั้นตอนที่สาม. “ถ้าเขาไม่ฟัง [คนหนึ่งหรือสองคน] จงไปแจ้งความต่อคริสตจักร [“ประชาคม,” ล.ม.]. ถ้าเขายังไม่ฟังคริสตจักร [“ประชาคม,” ล.ม.] อีก ก็ให้ถือเสียว่าเขาเป็นเหมือนคนต่างชาติหรือคนเก็บภาษี.” ข้อนี้หมายถึงอะไรบ้าง?
17, 18. (ก) แบบอย่างอะไรช่วยเราให้เข้าใจความหมายของ ‘การกล่าวต่อประชาคม’? (ข) เราทำตามขั้นตอนนี้อย่างไรในปัจจุบัน?
17 เราไม่พาซื่อเข้าใจว่านี่เป็นคำสั่งให้นำบาปหรือความผิดนั้นไปกล่าวต่อหน้าทั้งประชาคมในการประชุมตามปกติหรือที่จัดขึ้นเป็นพิเศษ. เราสามารถบอกได้ว่าอะไรคือขั้นตอนที่เหมาะสมจากพระคำของพระเจ้า. ขอให้สังเกตสิ่งที่ทำกันในยิศราเอลโบราณในคดีที่เกี่ยวกับการกบฏ, การกินอย่างตะกละ, และการเมาเหล้า: “ถ้าผู้ใดมีบุตรชายที่มีใจแข็งดื้อดึง, ไม่เชื่อฟังคำของบิดา, และมารดาของตน, ครั้นบิดามารดาได้ตีสอนเขาแล้ว, เขายังมิได้เชื่อฟัง, บิดามารดาจะต้องจับเขา, พามายังพวกผู้เฒ่าผู้แก่ เมืองของตนที่ประตูเมืองนั้น; และต้องกล่าวแก่ผู้เฒ่าผู้แก่ เมืองของตนว่า, บุตรชายของเราผู้นี้เป็นคนใจแข็งดื้อดึง: ไม่เชื่อฟังถ้อยคำของเรา; และเป็นคนตะกละ, และเป็นคนเมาสุรา. แล้วคนทั้งปวงในเมืองนั้นต้องเอาหินขว้างคนนั้น.”—พระบัญญัติ 21:18-21.
18 บาปของชายคนนั้นไม่ได้ถูกบอกกล่าวหรือถูกพิพากษาต่อหน้าคนทั้งชาติหรือต่อตระกูลของเขาทั้งหมด. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น “พวกผู้เฒ่าผู้แก่” ซึ่งได้รับการยอมรับจัดการเรื่องนั้นในฐานะตัวแทนของชุมชน. (เทียบกับพระบัญญัติ 19:16, 17 เกี่ยวกับคดีหนึ่งซึ่งจัดการโดย ‘พวกปุโรหิตและผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่อยู่ในตอนนั้น.’) คล้ายคลึงกับในทุกวันนี้ เมื่อจำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่สาม เหล่าผู้ปกครองซึ่งเป็นตัวแทนของประชาคมเป็นผู้จัดการเรื่องนี้. เป้าหมายของพวกเขานั้นเหมือนกัน คือทำเท่าที่ทำได้เพื่อจะได้พี่น้องคริสเตียนคนนั้นกลับคืนมา. พวกเขาแสดงให้เห็นอย่างนี้ด้วยการสำแดงความยุติธรรม ไม่ตัดสินคดีก่อนพิจารณาและไม่ลำเอียง.
19. ผู้ปกครองที่ได้รับมอบหมายให้รับฟังเรื่องราวจะพยายามทำอะไร?
19 พวกเขาจะพยายามประเมินข้อเท็จจริงต่าง ๆ และฟังความจากพยานซึ่งจำเป็นเพื่อจะพิสูจน์ว่าได้มีการกระทำบาป (หรือยังทำอยู่) จริง ๆ ไหม. พวกเขาต้องการป้องกันประชาคมไว้จากความเสื่อมเสียและจากน้ำใจของโลก. (1 โกรินโธ 2:12; 5:7) สอดคล้องกับคุณวุฒิตามหลักพระคัมภีร์ พวกเขาจะพยายาม “กระตุ้นเตือนโดยคำสอนที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และว่ากล่าวคนเหล่านั้นซึ่งโต้แย้ง.” (ติโต 1:9, ล.ม.) พวกเขาหวังว่า ผู้ทำผิดจะไม่เหมือนกับชาวยิศราเอลซึ่งผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวาเขียนว่า “เมื่อเราร้องเรียก, พวกเจ้าหาได้ขานตอบเราไม่, เมื่อเราพูด, พวกเจ้าก็ไม่ยอมฟัง; แต่พวกเจ้าได้ประพฤติสิ่งที่เป็นการชั่วช้าในสายตาเรา, และได้เลือกเอาสิ่งซึ่งไม่ถูกใจเรา.”—ยะซายา 65:12.
20. พระเยซูตรัสว่าต้องทำเช่นไรถ้าคนทำผิดไม่ยอมฟังและไม่กลับใจ?
20 อย่างไรก็ตาม มีบางกรณีอยู่เหมือนกันที่ผู้ทำผิดแสดงให้เห็นเจตคติอย่างเดียวกันนั้น. หากเป็นอย่างนั้น ข้อชี้แนะของพระเยซูก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า “ก็ให้ถือเสียว่าเขาเป็นเหมือนคนต่างประเทศหรือคนเก็บภาษี.” องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงสนับสนุนให้ไร้เมตตาหรือปรารถนาจะประทุษร้ายกัน. อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรกำกวมเกี่ยวกับข้อชี้แนะของอัครสาวกเปาโลที่ให้ขับคนทำผิดที่ไม่กลับใจออกจากประชาคม. (1 โกรินโธ 5:11-13) การทำอย่างนี้ในที่สุดอาจบรรลุเป้าหมายในการได้ผู้ทำผิดกลับคืนมาเสียด้วยซ้ำ.
21. ยังมีความเป็นไปได้อะไรสำหรับคนที่ถูกขับออกจากประชาคม?
21 เราจะเห็นว่าอาจเป็นไปได้อย่างนั้นจากอุทาหรณ์ของพระเยซูเรื่องบุตรสุรุ่ยสุร่าย. ดังที่อุทาหรณ์นี้แสดงให้เห็น หลังจากใช้เวลาช่วงหนึ่งอยู่ต่างหากจากมิตรภาพอันเปี่ยมด้วยความรักที่มีอยู่ในบ้านของบิดา คนผิดผู้นี้ก็ “รู้สำนึกตัว.” (ลูกา 15:11-18) เปาโลกล่าวต่อติโมเธียวเกี่ยวกับคนทำผิดบางคนซึ่งในที่สุดกลับใจและ “ได้สติอีกพ้นจากบ่วงแร้วของมาร.” (2 ติโมเธียว 2:24-26, ล.ม.) แน่นอน เราหวังว่าใครก็ตามที่ทำบาปอย่างไม่กลับใจและต้องถูกขับออกจากประชาคมจะรู้สึกถึงการสูญเสีย—ทั้งความโปรดปรานของพระเจ้าและมิตรภาพอันอบอุ่นและการคบหาสมาคมกับเพื่อนคริสเตียนที่ภักดี—แล้วได้สติ.
22. เราอาจได้พี่น้องของเรากลับคืนมาโดยวิธีใด?
22 พระเยซูไม่ได้ถือว่าคนต่างประเทศและคนเก็บภาษีเป็นพวกที่ไม่อาจไถ่ถอนบาปได้. คนหนึ่งในพวกคนเก็บภาษี คือมัดธาย ได้กลับใจ “ติดตามพระองค์ไป” อย่างจริงใจ และได้รับเลือกเป็นอัครสาวกคนหนึ่งเสียด้วยซ้ำ. (มาระโก 2:15; ลูกา 15:1) ด้วยเหตุนั้น ถ้าคนบาปในปัจจุบัน “ยังไม่ฟังคริสตจักรอีก” และถูกขับออกจากประชาคม เราก็อาจคอยและดูว่าในที่สุดเขาจะกลับใจและจัดแจงก้าวเดินของตนเสียใหม่ให้ถูกต้องหรือไม่. เมื่อเขาทำอย่างนั้นและกลับมาเป็นสมาชิกประชาคมอีก เราก็จะมีความสุขที่ได้เขากลับคืนมาเป็นพี่น้องของเราอีกในคอกแห่งการนมัสการแท้.
[เชิงอรรถ]
a ไซโคลพีเดีย ฉบับแมกคลินทอกและสตรองก์ กล่าวว่า “คนที่ทำหน้าที่เก็บภาษีให้แก่พวกโรมันตามในพันธสัญญาใหม่ถูกมองว่าเป็นคนทรยศและออกหาก เป็นมลทินเนื่องด้วยการติดต่อกับคนนอกศาสนาเป็นประจำและการเต็มใจเป็นเครื่องมือของผู้กดขี่. พวกเขาถูกจัดว่าเป็นคนบาป . . . ถูกทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยว โดยที่สุจริตชนในสังคมต่างไม่ยอมข้องเกี่ยวด้วย พวกเดียวที่เขาจะวิสาสะด้วยได้หรือเป็นเพื่อนกันได้จึงได้แก่คนที่เหมือนกับพวกเขาเอง คือคนที่ถูกขับออกจากสังคม.”
b เรื่องทางธุรกิจหรือทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวง, การฉ้อโกง, หรือการใช้กลเม็ดในระดับหนึ่งนั้นอาจอยู่ในข่ายของบาปที่พระเยซูทรงหมายถึง. ประการหนึ่งที่บ่งบอกอย่างนั้นคือ หลังจากที่ทรงเสนอแนวทางปฏิบัติดังบันทึกที่มัดธาย 18:15-17 แล้ว พระเยซูยกอุทาหรณ์เกี่ยวกับทาส (ลูกจ้าง) ซึ่งเป็นหนี้แล้วไม่สามารถจ่ายคืน.
c ผู้คงแก่เรียนด้านคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งให้คำอธิบายว่า “บางครั้งผู้ทำผิดเต็มใจจะพิจารณาคำแนะนำมากกว่าหากมีสองหรือสามคน (โดยเฉพาะหากเป็นคนที่น่านับถือ) แทนที่จะมีเพียงคนเดียว โดยเฉพาะถ้าคนนั้นเป็นคนที่มีทัศนะแตกต่างกัน.”
คุณจำได้ไหม?
▫ ในประการแรก บาปชนิดไหนที่มัดธาย 18:15-17 หมายถึง?
▫ เราควรจำอะไรไว้หากเราต้องดำเนินขั้นตอนแรก?
▫ ใครที่จะช่วยได้ถ้าเราต้องดำเนินต่อไปตามขั้นตอนที่สอง?
▫ ใครที่เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินขั้นตอนที่สาม และถึงกระนั้นเราอาจได้พี่น้องของเรากลับคืนมาโดยวิธีใด?
[รูปภาพหน้า 18]
ชาวยิวหลีกห่างคนเก็บภาษี. มัดธายเปลี่ยนแนวทางของตนและติดตามพระเยซู
[รูปภาพหน้า 20]
บ่อยครั้งเราสามารถจัดการเรื่องราวได้โดย “ให้ประจักษ์แก่สี่ตา”