ห้องสมุดออนไลน์ของวอชเทาเวอร์
ห้องสมุดออนไลน์
ของวอชเทาเวอร์
ไทย
  • คัมภีร์ไบเบิล
  • สิ่งพิมพ์
  • การประชุม
  • ไม่มีอะไรดีไปกว่าความจริง
    หอสังเกตการณ์ 1998 | มกราคม 1
    • ไม่​มี​อะไร​ดี​ไป​กว่า​ความ​จริง

      เล่า​โดย เค. เอ็น. ฟาน เดอร์เบล

      วัน​ที่ 14 มิถุนายน 1941 ผม​ถูก​ส่ง​ตัว​ไป​ให้​หน่วย​เกสตาโป​แล้ว​ถูก​นำ​ตัว​เข้า​ค่าย​กัก​กัน​ซัคเซนเฮาเซน​ใกล้​กรุง​เบอร์ลิน ประเทศ​เยอรมนี. ที่​นั่น ผม​เป็น​นัก​โทษ​หมาย​เลข 38190 และ​อยู่​ใน​ค่าย​กัก​กัน​จน​ถึง​การ​เดิน​ทาง​เที่ยว​มรณะ​อัน​แสน​อัปยศ​เมื่อ​เดือน​เมษายน 1945. แต่​ก่อน​ผม​จะ​เล่า​เรื่อง​เหตุ​การณ์​ครั้ง​กระโน้น ขอ​ให้​ผม​ชี้​แจง​ความ​เป็น​มา​ว่า​เหตุ​ใด​ผม​จึง​กลาย​มา​เป็น​ผู้​ถูก​คุม​ขัง.

      ผม​เกิด​ใน​เมือง​รอตเทอร์ดัม ประเทศ​เนเธอร์แลนด์ หลัง​จาก​สงคราม​โลก​ครั้ง​ที่ 1 เริ่ม​ได้​ไม่​นาน​ใน​ปี 1914. พ่อ​ทำ​งาน​เกี่ยว​กับ​ทาง​รถไฟ และ​ห้อง​ชุด​เล็ก ๆ ของ​เรา​อยู่​ใกล้ ๆ ทาง​รถไฟ. ช่วง​จวน​สิ้น​สงคราม​ปี 1918 ผม​มอง​เห็น​รถไฟ​พยาบาล​หลาย​ขบวน​แล่น​ผ่าน​บ้าน​พัก​ของ​เรา​เสียง​ดัง​สนั่น. ไม่​ต้อง​สงสัย ขบวน​รถไฟ​เหล่า​นั้น​เต็ม​ไป​ด้วย​ทหาร​ที่​บาดเจ็บ​จาก​แนว​รบ​กลับ​มาตุภูมิ.

      ตอน​ผม​อายุ 12 ขวบ ผม​ต้อง​พัก​การ​เรียน​เพื่อ​หา​งาน​ทำ. แปด​ปี​ต่อ​มา ผม​ทำ​งาน​เป็น​เจ้าหน้าที่​บริการ​บน​เรือ​โดยสาร และ​ตลอด​สี่​ปี​ถัด​จาก​นั้น ผม​เดิน​เรือ​ระหว่าง​เนเธอร์แลนด์​กับ​สหรัฐ.

      เมื่อ​เรือ​เข้า​เทียบ​ท่า​นิวยอร์ก​ใน​ฤดู​ร้อน​ของ​ปี 1939 สงคราม​โลก​เริ่ม​ส่อ​เค้า​อีก​ครั้ง​หนึ่ง. ดัง​นั้น เมื่อ​ชาย​ผู้​หนึ่ง​ขึ้น​มา​บน​เรือ​ของ​เรา​และ​เสนอ​หนังสือ​การ​ปกครอง (ภาษา​อังกฤษ) ซึ่ง​พูด​ถึง​การ​ปกครอง​ที่​ชอบธรรม ผม​รับ​หนังสือ​นั้น​ด้วย​ความ​ยินดี. ครั้น​กลับ​ไป​ถึง​รอตเทอร์ดัม ผม​ก็​เริ่ม​หา​งาน​บน​บก เนื่อง​จาก​ชีวิต​ท่อง​ทะเล​ดู​เหมือน​จะ​ไม่​ปลอด​ภัย​อีก​ต่อ​ไป. วัน​ที่ 1 กันยายน เยอรมนี​บุก​โปแลนด์​และ​ชาติ​ต่าง ๆ ได้​กระโจน​เข้า​สู่​สงคราม​โลก​ครั้ง​ที่ 2.

      เรียน​ความ​จริง​ของ​คัมภีร์​ไบเบิล

      เช้า​วัน​อาทิตย์​วัน​หนึ่ง​ของ​เดือน​มีนาคม 1940 เมื่อ​ผม​ไป​เยี่ยม​พี่​ชาย​ซึ่ง​แต่งงาน​แล้ว ได้​มี​พยาน​พระ​ยะโฮวา​มา​กด​กระดิ่ง​ประตู. ผม​บอก​เขา​ว่า​ผม​มี​หนังสือ​การ​ปกครอง อยู่​แล้ว​และ​ถาม​เขา​ถึง​เรื่อง​สวรรค์​และ​ผู้​ที่​จะ​ไป​ที่​นั่น. ผม​ได้​คำ​ตอบ​ที่​ชัดเจน​มี​เหตุ​ผล จน​ผม​ต้อง​พูด​กับ​ตัว​เอง​ว่า ‘นี่​แหละ​คือ​ความ​จริง.’ ผม​ให้​ที่​อยู่​และ​เชิญ​เขา​ไป​หา​ผม​ที่​บ้าน.

      หลัง​จาก​การ​เยี่ยม​เพียง​สาม​ครั้ง ซึ่ง​ระหว่าง​นั้น​เรา​ถก​ถาม​กัน​ถึง​เรื่อง​ที่​ลึกซึ้ง​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล แล้ว​ผม​ก็​เริ่ม​ออก​ไป​ทำ​งาน​เผยแพร่​ตาม​บ้าน​เรือน. เมื่อ​เรา​ไป​ถึง​เขต​งาน เขา​จะ​บอก​ผม​ให้​เริ่ม​ทำ​ตรง​ไหน และ​ผม​ก็​ไป​เพียง​ลำพัง. นั่น​เป็น​วิธี​ที่​คน​ใหม่​หลาย​คน​สมัย​นั้น​ได้​รับ​การ​นำ​เข้า​สู่​งาน​ประกาศ. ผม​ได้​รับ​คำ​แนะ​นำ​ว่า เพื่อ​จะ​ไม่​ให้​ใคร​เห็น​ตาม​ท้องถนน เมื่อ​ผม​เสนอ​สรรพหนังสือ ผม​ควร​เสนอ​ใน​ทาง​เดิน​ของ​อาคาร​เสมอ. จำเป็น​ต้อง​ระวัง​ตัว​ใน​ช่วง​ต้น ๆ ของ​สงคราม​ครั้ง​นั้น.

      สาม​สัปดาห์​ต่อ​มา วัน​ที่ 10 พฤษภาคม 1940 กองทัพ​เยอรมัน​บุกรุก​เนเธอร์แลนด์ และ​วัน​ที่ 29 พฤษภาคม เซส-อิงกวาต ข้าหลวง​ใหญ่​แห่ง​ไรค์ ได้​ประกาศ​ระงับ​กิจการ​ของ​องค์การ​พยาน​พระ​ยะโฮวา. เรา​จัด​ประชุม​กัน​ได้​เพียง​กลุ่ม​เล็ก ๆ และ​ต้อง​คอย​ระแวด​ระวัง​ไม่​เปิด​เผย​สถาน​ที่​ที่​เรา​ประชุม​กัน. พวก​เรา​ได้​รับ​กำลังใจ​เป็น​พิเศษ​จาก​การ​เยี่ยม​ของ​ผู้​ดู​แล​เดิน​ทาง.

      ผม​เป็น​นัก​สูบ​บุหรี่​ตัว​ยง และ​เมื่อ​ผม​ยื่น​บุหรี่​ให้​พยาน​ฯ ผู้​ที่​นำ​การ​ศึกษา​กับ​ผม และ​จึง​รู้​ว่า​เขา​ไม่​สูบ ผม​พูด​ว่า “ผม​คง​เลิก​สูบ​ไม่​ได้​แน่!” แต่​หลัง​จาก​นั้น​ไม่​นาน ขณะ​ที่​ผม​เดิน​ไป​ตาม​ถนน ผม​คิด​ได้​ว่า ‘ถ้า​ผม​จะ​เป็น​พยาน​ฯ ละ​ก็ ผม​ต้องการ​จะ​เป็น​พยาน​ฯ ที่​แท้​จริง.’ ฉะนั้น ผม​ไม่​สูบ​อีก​เลย.

      ยืนหยัด​เพื่อ​ความ​จริง

      เดือน​มิถุนายน 1940 หลัง​จาก​ผม​ได้​พบ​พยาน​ฯ ที่​บ้าน​ของ​พี่​ชาย​ไม่​ถึง​สาม​เดือน ผม​ก็​ได้​แสดง​สัญลักษณ์​ถึง​การ​อุทิศ​ตัว​ของ​ผม​แด่​พระ​ยะโฮวา​ด้วย​การ​รับ​บัพติสมา. เพียง​ไม่​กี่​เดือน​ต่อ​มา ใน​เดือน​ตุลาคม 1940 ผม​ก็​เข้า​สู่​งาน​รับใช้​เต็ม​เวลา​ฐานะ​เป็น​ไพโอเนียร์. ตอน​นั้น ผม​ได้​รับ​แจก​เสื้อ​เรียก​กัน​ว่า​แจ็กเกต​ไพโอเนียร์. มัน​เป็น​เสื้อ​ที่​มี​หลาย​กระเป๋า​สำหรับ​ใส่​หนังสือ​ปก​แข็ง​และ​เล่ม​เล็ก และ​จะ​สวม​ได้​โดย​มี​เสื้อ​นอก​ทับ​อีก​ชั้น​หนึ่ง.

      แทบ​จะ​ตั้ง​แต่​ต้น​ที่​พวก​เยอรมัน​เข้า​ยึด​ครอง พยาน​พระ​ยะโฮวา​ถูก​ตาม​ล่า​และ​ถูก​จับ​กุม​อย่าง​เป็น​ระบบ. เช้า​วัน​หนึ่ง​ใน​เดือน​กุมภาพันธ์ 1941 ผม​อยู่​ที่​เขต​งาน​กับ​เพื่อน​พยาน​ฯ สอง​สาม​คน. ขณะ​เขา​ประกาศ​ตาม​บ้าน​เรือน​ด้าน​หนึ่ง​ของ​บล็อก ผม​ทำ​งาน​อ้อม​ไป​อีก​ด้าน​หนึ่ง​แล้ว​จะ​มา​บรรจบ​กัน. เวลา​ผ่าน​ไป​นาน​พอ​สม​ควร ผม​ไป​ดู​ว่า​อะไร​ทำ​ให้​เขา​ล่า​ช้า​และ​ได้​พบ​กับ​ผู้​ชาย​ซึ่ง​ถาม​ว่า “คุณ​มี​หนังสือ​เล่ม​เล็ก ๆ เหล่า​นั้น​ด้วย​ไหม?”

      พอ​ผม​ตอบ​ว่า “มี.” เขา​ก็​จับ​กุม​ผม​พา​ไป​ยัง​สถานี​ตำรวจ. ผม​ถูก​ควบคุม​ตัว​ไว้​นาน​เกือบ​สี่​สัปดาห์. เจ้าหน้าที่​ส่วน​ใหญ่​แสดง​ตัว​เป็น​มิตร. ตราบ​ใด​ที่​ผู้​นั้น​ไม่​ถูก​ส่ง​ตัว​ให้​หน่วย​เกสตาโป เขา​อาจ​ถูก​ปล่อย​ตัว​ถ้า​เพียง​แต่​เซ็น​ชื่อ​แถลง​เป็น​ลายลักษณ์​อักษร​ว่า​เขา​จะ​ไม่​จำหน่าย​หนังสือ​เกี่ยว​กับ​คัมภีร์​ไบเบิล​อีก. เมื่อ​เขา​เชิญ​ให้​ผม​เซ็น​คำ​แถลง​ดัง​กล่าว ผม​ได้​ตอบ​ว่า “ถึง​แม้​พวก​คุณ​เสนอ​เงิน​หนึ่ง​หรือ​สอง​ล้าน​กุลเดน​ให้​ผม ผม​ก็​จะ​ไม่​เซ็น.”

      หลัง​จาก​ถูก​ขัง​ต่อ​อีก​ระยะ​หนึ่ง เขา​ก็​ส่ง​ผม​ต่อ​ให้​หน่วย​เกสตาโป. แล้ว​ผม​ถูก​ส่ง​ไป​ยัง​ค่าย​กัก​กัน​ซัคเซนเฮาเซน​ใน​เยอรมนี.

      ชีวิต​ใน​ซัคเซนเฮาเซน

      เมื่อ​ผม​ไป​ถึง​ที่​นั่น​เดือน​มิถุนายน 1941 มี​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ประมาณ 150 คน​อยู่​แล้ว​ใน​ค่าย​ซัคเซนเฮาเซน ส่วน​ใหญ่​เป็น​คน​เยอรมัน. พวก​เรา​ผู้​ถูก​คุม​ขัง​ใหม่​ถูก​นำ​ไป​อยู่​ใน​เขต​หนึ่ง​ของ​ค่าย​ที่​เรียก​ว่า​เขต​โดด​เดี่ยว. ที่​นั่น พี่​น้อง​คริสเตียน​ของ​เรา​ได้​เอา​ใจ​ใส่​ดู​แล​พวก​เรา และ​เตรียม​เรา​ไว้​พร้อม​รับ​สิ่ง​ที่​คาด​ว่า​จะ​เกิด​ขึ้น. หนึ่ง​สัปดาห์​ต่อ​มา พยาน​ฯ อีก​กลุ่ม​หนึ่ง​ที่​ถูก​ส่ง​มา​จาก​เนเธอร์แลนด์​ก็​มา​ถึง. ตอน​แรก​เรา​ถูก​จัด​ให้​ยืน​อยู่​กับ​ที่​หน้า​โรง​เรือน​จาก​เจ็ด​โมง​เช้า​กระทั่ง​หก​โมง​เย็น. บาง​ครั้ง​นัก​โทษ​ต้อง​ทำ​เช่น​นั้น​ทุก​วัน​นาน​ถึง​หนึ่ง​สัปดาห์​หรือ​มาก​กว่า.

      ถึง​แม้​ได้​รับ​การ​ปฏิบัติ​อย่าง​โหด​ร้าย แต่​พวก​พี่​น้อง​พยาน​ฯ ตระหนัก​ถึง​ความ​จำเป็น​อัน​เร่ง​ด่วน​ใน​เรื่อง​การ​จัด​ระเบียบ​และ​รับ​การ​บำรุง​เลี้ยง​ฝ่าย​วิญญาณ. ทุก​วัน มี​การ​มอบหมาย​คน​หนึ่ง​ให้​เตรียม​ข้อ​คิด​เกี่ยว​กับ​พระ​คัมภีร์​ข้อ​หนึ่ง. ต่อ​มา ใน​ลาน​ชุมนุม พยาน​ฯ แต่​ละ​คน​จะ​เดิน​ไป​หา​ผู้​ที่​รับ​มอบหมาย​และ​ฟัง​สิ่ง​ที่​เขา​ได้​เตรียม​ไว้. โดย​วิธี​ใด​วิธี​หนึ่ง มี​การ​ลอบ​นำ​หนังสือ​เข้า​ไป​ใน​ค่าย​เป็น​ประจำ และ​จริง ๆ แล้ว พวก​เรา​ประชุม​กัน​ทุก​วัน​อาทิตย์​และ​ศึกษา​หนังสือ​เกี่ยว​กับ​คัมภีร์​ไบเบิล​เหล่า​นั้น​ด้วย​กัน.

      ไม่​ทราบ​ว่า​เป็น​ไป​ได้​โดย​วิธี​ใด​ที่​หนังสือ​บุตร เล่ม​หนึ่ง​ซึ่ง​ออก​เมื่อ​มี​การ​ประชุม​ใหญ่​ที่​เมือง​เซนต์หลุยส์ สหรัฐ ใน​ฤดู​ร้อน​ปี 1941 ถูก​ลอบ​นำ​เข้า​ไป​ถึง​ค่าย​ซัคเซนเฮาเซน. เพื่อ​ลด​อัตรา​เสี่ยง​ที่​หนังสือ​จะ​ถูก​ค้น​พบ​และ​ถูก​ทำลาย เรา​จึง​แยก​หนังสือ​ออก​เป็น​ตอน ๆ และ​เวียน​ส่ง​แต่​ละ​ตอน​ไป​ใน​หมู่​พี่​น้อง เพื่อ​ทุก​คน​สามารถ​ผลัด​เปลี่ยน​กัน​อ่าน​ได้.

      ต่อ​มา ฝ่าย​ดู​แล​ค่าย​ได้​รู้​เรื่อง​การ​ประชุม​ที่​พวก​เรา​จัด​ขึ้น. ดัง​นั้น เขา​จึง​แยก​พวก​พยาน​ฯ และ​โยกย้าย​ให้​อยู่​ตาม​โรง​เรือน​ต่าง ๆ. การ​ทั้ง​นี้​ทำ​ให้​พวก​เรา​สบ​ช่อง​ทาง​อัน​ดี​เยี่ยม​ที่​จะ​ประกาศ​แก่​ผู้​ถูก​คุม​ขัง​อื่น ๆ และ​เกิด​ผล​คือ​มี​ชาว​โปแลนด์, ชาว​ยูเครน และ​คน​อื่น ๆ ได้​ตอบรับ​ความ​จริง.

      พวก​นาซี​ไม่​ได้​ปิด​บัง​อำพราง​ความ​มุ่ง​หมาย​ของ​ตน​ที่​จะ​ทำลาย​ความ​ซื่อ​สัตย์​มั่นคง​และ​สังหาร​กลุ่ม บีเบลฟอร์เชอร์ (นัก​ศึกษา​พระ​คัมภีร์) ซึ่ง​เป็น​ชื่อ​เรียก​พยาน​พระ​ยะโฮวา. ดัง​นั้น พวก​เรา​ถูก​บีบคั้น​อย่าง​รุนแรง​ที​เดียว. เขา​แจ้ง​แก่​พวก​เรา​ว่า​เรา​จะ​ได้​รับ​การ​ปล่อย​ตัว​หาก​เรา​เซ็น​ชื่อ​ใน​คำ​แถลง​ปฏิเสธ​ความ​เชื่อ​ของ​เรา. พี่​น้อง​บาง​คน​เริ่ม​หา​เหตุ​ผล​ว่า “ถ้า​ผม​เป็น​อิสระ ผม​สามารถ​จะ​รับใช้​พระ​ยะโฮวา​ได้​มาก​ขึ้น.” ถึง​จะ​มี​เพียง​ไม่​กี่​คน​ยอม​เซ็น​ชื่อ แต่​พี่​น้อง​ส่วน​ใหญ่​ได้​รักษา​ความ​ซื่อ​สัตย์​แม้​ขาด​แคลน​ปัจจัย​ที่​จำเป็น​ต่อ​ชีวิต, ได้​รับ​ความ​อัปยศ​อดสู, และ​การ​ปฏิบัติ​อย่าง​ไม่​เป็น​ธรรม. เรา​ไม่​ได้​ข่าว​คราว​ของ​บาง​คน​ใน​คน​เหล่า​นั้น​เลย​ซึ่ง​ยอม​อะลุ่มอล่วย. แต่​น่า​ชื่น​ใจ คน​อื่น ๆ ฟื้น​ตัว​ได้​ภาย​หลัง และ​ยัง​คง​เป็น​พยาน​ฯ ที่​เอา​การ​เอา​งาน.

      พวก​เรา​ถูก​บังคับ​เป็น​ประจำ​ให้​มอง​ดู​ผู้​ถูก​คุม​ขัง​ถูก​ลง​โทษ​ทาง​กาย​อย่าง​สาหัส เช่น​ถูก​เฆี่ยน​ด้วย​ไม้เรียว 25 ที. มี​อยู่​ครั้ง​หนึ่ง เขา​บังคับ​พวก​เรา​เฝ้า​ดู​ชาย​สี่​คน​ที่​ต้อง​โทษ​ประหาร​โดย​การ​แขวน​คอ. ประสบการณ์​เหล่า​นั้น​ส่ง​ผล​กระทบ​คน​เรา​จริง ๆ. พี่​น้อง​คน​หนึ่ง​รูป​ร่าง​สูง หน้า​ตา​ดี ซึ่ง​อยู่​ใน​โรง​เรือน​เดียว​กัน​กับ​ผม​ได้​พูด​ว่า “ก่อน​ผม​มา​ที่​นี่ ผม​เห็น​เลือด​ไม่​ได้ ผม​จะ​เป็น​ลม​ทันที. แต่​เวลา​นี้​ใจ​ผม​ชิน​ชา​ไป​เสีย​แล้ว.” ถึง​แม้​ใจ​เรา​จะ​ชิน​ชา แต่​ก็​ไม่​ใช่​ว่า​ขาด​ความ​รู้สึก​เห็น​ใจ. ผม​พูด​ได้​เลย​ว่า​ผม​ไม่​เคย​คิด​ร้าย​ต่อ​คน​ที่​กดขี่​ข่มเหง​เรา​หรือ​เกลียด​ชัง​พวก​เขา.

      หลัง​จาก​ทำ​งาน​กับ​หน่วย​คอมันโด (พวก​คน​งาน) อยู่​ระยะ​หนึ่ง ผม​ต้อง​เข้า​รับ​การ​รักษา​ใน​โรง​พยาบาล​เนื่อง​จาก​มี​ไข้​สูง. หมอ​ชาว​นอร์เวย์​ที่​กรุณา​และ​บุรุษ​พยาบาล​ชาว​เช็ก​ช่วย​ดู​แล​ผม และ​ความ​กรุณา​ของ​เขา​คง​มี​ส่วน​ช่วย​ชีวิต​ผม​ไว้.

      การ​เดิน​ทาง​เที่ยว​มรณะ

      เดือน​เมษายน 1945 ประจักษ์​ชัด​แจ้ง​ว่า​เยอรมนี​กำลัง​พ่าย​แพ้. พันธมิตร​ฝ่าย​ตะวัน​ตก​รุก​เข้า​มา​อย่าง​รวด​เร็ว​จาก​ด้าน​ตะวัน​ตก และ​กอง​ทหาร​โซเวียต​มา​จาก​ด้าน​ตะวัน​ออก. เป็น​ไป​ไม่​ได้​ที่​ฝ่าย​นาซี​จะ​ฆ่า​ผู้​ถูก​คุม​ขัง​หลาย​แสน​คน​ใน​ค่าย​กัก​กัน​และ​จัด​การ​ทำลาย​ศพ​ภาย​ใน​สอง​สาม​วัน​โดย​ไม่​เหลือ​ร่องรอย​ไว้​เบื้อง​หลัง. ดัง​นั้น พวก​เขา​จึง​ตก​ลง​ฆ่า​คน​ป่วย​ทิ้ง และ​ย้าย​ผู้​ถูก​คุม​ขัง​ที่​เหลือ​นอก​นั้น​ไป​ยัง​ท่า​เรือ​ใกล้​ที่​สุด. เขา​วาง​แผน​แล้ว​ว่า​ต้อง​นำ​พวก​ผู้​ถูก​คุม​ขัง​ลง​เรือ​และ​จม​เรือ​เสีย​กลาง​ทะเล.

      ขบวน​ผู้​ถูก​คุม​ขัง​ประมาณ 26,000 คน​จาก​ซัคเซนเฮาเซน​ได้​เริ่ม​ออก​เดิน​ทาง​ตอน​กลางคืน​วัน​ที่ 20 เมษายน. ก่อน​เรา​ออก​จาก​ค่าย เรา​ช่วย​พา​พี่​น้อง​ที่​เจ็บ​ป่วย​ออก​จาก​ห้อง​พยาบาล. มี​การ​จัด​เตรียม​รถ​ลาก​สำหรับ​บรรทุก​ผู้​ป่วย. พวก​เรา​รวม​ทั้ง​สิ้น 230 คน​จาก​หก​ประเทศ. ใน​จำนวน​ผู้​ป่วย​เหล่า​นั้น​มี​บราเดอร์​อาเทอร์ วิงก์เลอร์​รวม​อยู่​ด้วย เขา​มี​ส่วน​อย่าง​มาก​ใน​กิจการ​ซึ่ง​ก้าว​หน้า​ขยาย​ตัว​ใน​ประเทศ​เนเธอร์แลนด์. พวก​เรา​พยาน​ฯ เป็น​กลุ่ม​รั้ง​ท้าย​ขบวน​และ​เรา​ได้​ให้​กำลังใจ​ซึ่ง​กัน​และ​กัน​มิ​ได้​ขาด​ให้​เดิน​หน้า​ต่อ​อย่าง​ไม่​หยุด​ยั้ง.

      เริ่ม​แรก​เรา​เดิน​ทาง​นาน 36 ชั่วโมง​ไม่​มี​การ​หยุด​พัก​เลย. เนื่อง​จาก​ทุกข์​ทน​และ​อ่อน​เพลีย​สุด​ประมาณ ผม​ถึง​กับ​ผล็อย​หลับ​ไป​จริง ๆ ขณะ​กำลัง​เดิน​อยู่. แต่​ที่​จะ​อยู่​ล้า​หลัง​และ​หยุด​พัก​ระหว่าง​ทาง​เป็น​เรื่อง​ซึ่ง​ไม่​อาจ​จะ​ทำ​ได้ เพราะ​เสี่ยง​กับ​การ​ถูก​ยิง​จาก​ทหาร​คุ้ม​กัน. ตอน​กลางคืน เรา​นอน​กลาง​ทุ่ง​โล่ง​หรือ​ไม่​ก็​นอน​ใน​ป่า​ไม้. มี​อาหาร​กิน​นิด ๆ หน่อย ๆ หรือ​ไม่​มี​จะ​กิน​เลย. เมื่อ​หิว​สุด​ทน​ผม​ต้อง​เลีย​กิน​ยา​สี​ฟัน​ที่​กาชาด​สวีเดน​ให้​พวก​เรา​มา.

      พอ​มา​ถึง​จุด​หนึ่ง เนื่อง​จาก​ทหาร​คุ้ม​กัน​ชาว​เยอรมัน​สับสน​ไม่​รู้​ทิศ​ทาง​ว่า​กองทัพ​รัสเซีย​และ​สหรัฐ​อยู่​ทาง​ไหน เรา​จึง​พัก​นอน​ใน​ป่า​ถึง​สี่​วัน. ทั้ง​นี้​ถือ​ได้​ว่า​เป็น​การ​จัด​เตรียม​ที่​มา​จาก​พระเจ้า เพราะ​เรา​ไป​ไม่​ถึง​อ่าว​ลือเบค​ตาม​เวลา​ซึ่ง​คาด​หมาย​ว่า​เรือ​จะ​พา​เรา​สู่​สุสาน​กลาง​ทะเล. ใน​ที่​สุด ภาย​หลัง​การ​เดิน​ที่​ยาว​นาน 12 วัน ระยะ​ทาง 200 กว่า​กิโลเมตร เรา​ก็​ไป​ถึง​คริฟิตส์ วูด ซึ่ง​ตั้ง​อยู่​ไม่​ไกล​เมือง​เชเวริน ห่าง​จาก​ลือเบค​ประมาณ 50 กิโลเมตร.

      พวก​รัสเซีย​ขนาบ​เรา​ทาง​ด้าน​ขวา และ​พวก​อเมริกัน​ขนาบ​ด้าน​ซ้าย. จาก​เสียง​ปืน​ใหญ่​และ​การ​ยิง​กระสุน​ปืน​ยาว​ไม่​ขาด​ระยะ เรา​จึง​ได้​รู้​ว่า​เรา​มา​อยู่​ใกล้​แนว​รบ. ทหาร​เยอรมัน​ตื่น​ตระหนก​หวาด​กลัว บาง​คน​หลบ​หนี และ​คน​อื่น​ถอด​ชุด​ทหาร​เปลี่ยน​ใส่​ชุด​ผู้​ถูก​คุม​ขัง ซึ่ง​พวก​เขา​ถอด​เอา​จาก​คน​ตาย​เพื่อ​เป็น​การ​อำพราง​ตัว. ท่ามกลาง​ความ​โกลาหล​วุ่นวาย พวก​เรา​พยาน​ฯ ชุมนุม​กัน​อธิษฐาน​ขอ​การ​ทรง​นำ.

      พี่​น้อง​ที่​ทำ​หน้า​ที่​ดู​แล​ได้​ตัดสิน​ใจ​ว่า​พวก​เรา​ควร​ไป​จาก​ที่​นั่น​แต่​เช้า​ตรู่​ของ​วัน​รุ่ง​ขึ้น และ​มุ่ง​ไป​ทาง​ที่​ทหาร​อเมริกัน​ตั้ง​มั่น​อยู่. แม้​ว่า​เกือบ​ครึ่ง​จำนวน​ผู้​ถูก​คุม​ขัง​ที่​ร่วม​เดิน​ทาง​สาย​มรณะ​นี้​ได้​ล้ม​ตาย​หรือ​ถูก​ฆ่า​ระหว่าง​ทาง แต่​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ทุก​คน​รอด​ตาย.

      นาย​ทหาร​ใน​กองทัพ​แคนาดา​ได้​ให้​ผม​ขึ้น​นั่ง​รถ​ไป​เมือง​ไนเมกัน ซึ่ง​พี่​สาว​ของ​ผม​เคย​อยู่. แต่​เมื่อ​ผม​ไป​ถึง​ที่​นั่น ปรากฏ​ว่า​เธอ​ย้าย​ไป​แล้ว. ดัง​นั้น ผม​จึง​ออก​เดิน​เพื่อ​จะ​ไป​เมือง​รอตเทอร์ดัม. น่า​ยินดี ระหว่าง​ทาง​มี​คน​ให้​ผม​ขึ้น​รถ​ส่วน​ตัว​ซึ่ง​พา​ผม​ตรง​ไป​ถึง​ที่​หมาย​ปลาย​ทาง​เลย.

      ความ​จริง​เป็น​ชีวิต​ของ​ผม

      วัน​นั้น​ที​เดียว​ที่​ผม​มา​ถึง​รอตเทอร์ดัม ผม​ได้​สมัคร​ทำ​งาน​ไพโอเนียร์​อีก​ครั้ง​หนึ่ง. สาม​สัปดาห์​ต่อ​มา​ผม​ก็​เข้า​อยู่​ใน​เขต​งาน​มอบหมาย​ที่​เมือง​ซุดเฟน ซึ่ง​ผม​ได้​ปฏิบัติ​งาน​ที่​นั่น​หนึ่ง​ปี​ครึ่ง. ใน​ช่วง​นั้น ร่าง​กาย​ผม​ฟื้น​ตัว​แข็งแรง​ขึ้น​มา​ระดับ​หนึ่ง. แล้ว​ผม​ก็​ถูก​แต่ง​ตั้ง​เป็น​ผู้​ดู​แล​หมวด ดัง​ที่​เรียก​ผู้​ดู​แล​เดิน​ทาง. สอง​สาม​เดือน​หลัง​จาก​นั้น ผม​ได้​รับ​เชิญ​เข้า​โรง​เรียน​ว็อชเทาเวอร์​ไบเบิล​แห่ง​กิเลียด ใน​เซาท์แลนซิง รัฐ​นิวยอร์ก. เมื่อ​จบ​หลัก​สูตร​การ​ศึกษา​รุ่น​ที่ 12 ใน​เดือน​กุมภาพันธ์ 1949 ผม​ถูก​มอบหมาย​ไป​ประเทศ​เบลเยียม.

      ที่​เบลเยียม ผม​ปฏิบัติ​งาน​รับใช้​หลาย​ด้าน​ต่าง ๆ กัน รวม​ทั้ง​เวลา​เกือบ​แปด​ปี ณ สำนักงาน​สาขา และ​หลาย​สิบ​ปี​ใน​การ​เดิน​ทาง​เยี่ยม​ฐานะ​เป็น​ผู้​แล​หมวด​และ​ผู้​ดู​แล​ภาค. ปี 1958 ผม​สมรส​กับ​จัสทีน ซึ่ง​เธอ​กลาย​เป็น​เพื่อน​ร่วม​เดิน​ทาง​ด้วย​กัน​กับ​ผม. ตอน​นี้ ผม​มี​อายุ​อยู่​ใน​วัย​ชรา ผม​ยัง​คง​ชื่นชม​ยินดี​ที่​สามารถ​รับใช้​ได้​แม้​ใน​ขอบ​เขต​จำกัด โดย​ทำ​หน้า​ที่​แทน​ผู้​ดู​แล​เดิน​ทาง.

      เมื่อ​มอง​ย้อน​ดู​งาน​รับใช้​ของ​ผม ผม​สามารถ​พูด​ได้​จริง ๆ ว่า “ไม่​มี​อะไร​ดี​ไป​กว่า​ความ​จริง.” จริง​อยู่ มัน​ไม่​ง่าย​เสมอ​ไป. ผม​ได้​ค้น​พบ​ถึง​ความ​จำเป็น​ที่​ต้อง​เรียน​จาก​ความ​ผิด​พลาด​และ​ข้อ​บกพร่อง​หลาย ๆ อย่าง. ดัง​นั้น เมื่อ​ผม​พูด​คุย​กับ​พวก​หนุ่ม​สาว ผม​มัก​จะ​บอก​ว่า “พวก​คุณ​ก็​เช่น​กัน​อาจ​ผิด​พลาด​ได้ และ​บาง​ที​อาจ​เป็น​การ​ทำ​ผิด​ร้ายแรง​ด้วย​ซ้ำ แต่​อย่า​โกหก​เกี่ยว​กับ​เรื่อง​นั้น ๆ. ปรึกษา​หารือ​กับ​พ่อ​แม่​หรือ​กับ​ผู้​ปกครอง​ก็​ได้ ครั้น​แล้ว​จง​แก้ไข​ตาม​ความ​จำเป็น.”

      ชีวิต​ของ​ผม​ที่​อยู่​ใน​งาน​รับใช้​เต็ม​เวลา​เกือบ 50 ปี​ที่​เบลเยียม ผม​ถือ​ว่า​เป็น​สิทธิ​พิเศษ​เมื่อ​เห็น​หลาย​คน​ซึ่ง​ผม​รู้​จัก​มา​ตั้ง​แต่​เขา​ยัง​เด็ก​อยู่ รับใช้​ใน​ฐานะ​ผู้​ปกครอง​และ​ผู้​ดู​แล​หมวด. และ​ผม​ได้​เห็น​ผู้​ประกาศ​แห่ง​ราชอาณาจักร​ใน​ประเทศ​นี้​ราว ๆ 1,700 คน​ทวี​จำนวน​เพิ่ม​ขึ้น​เป็น 27,000 กว่า​คน.

      ผม​ขอ​ถาม​ว่า “มี​แนว​ทาง​ชีวิต​ใด​ไหม​ที่​มี​พระ​พร​มาก​ยิ่ง​ไป​กว่า​การ​รับใช้​พระ​ยะโฮวา?” ที่​แล้ว ๆ มา​ไม่​เคย​มี เวลา​นี้​ก็​ไม่​มี และ​ไม่​มี​วัน​จะ​มี. ผม​อธิษฐาน​ขอ​พระ​ยะโฮวา​ทรง​โปรด​ชี้​นำ​และ​อวย​พร​ผม​กับ​ภรรยา​ต่อ ๆ ไป​เพื่อ​ว่า​เรา​จะ​สามารถ​ปฏิบัติ​พระองค์​ได้​ตลอด​ไป.

      [รูปภาพ​หน้า 26]

      ถ่าย​กับ​ภรรยา​ไม่​นาน​ภาย​หลัง การ​สมรส​ของ​เรา​ใน​ปี 1958

  • “ทำให้ชนจากทุกชาติเป็นสาวก”
    หอสังเกตการณ์ 1998 | มกราคม 1
    • “ทำ​ให้​ชน​จาก​ทุก​ชาติ​เป็น​สาวก”

      “เหตุ​ฉะนั้น จง​ไป​และ​ทำ​ให้​ชน​จาก​ทุก​ชาติ​เป็น​สาวก ให้​เขา​รับ​บัพติสมา​ใน​นาม​แห่ง​พระ​บิดา​และ​พระ​บุตร​และ​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์.” นี่​คือ​แนว​ที่​ฉบับ​แปล​โลก​ใหม่ ได้​แปล​พระ​บัญชา​ของ​พระ​เยซู​ใน​มัดธาย 28:19. อย่าง​ไร​ก็​ดี การ​แปล​ดัง​กล่าว​ถูก​วิพากษ์วิจารณ์. ยก​ตัว​อย่าง จุลสาร​ทาง​ศาสนา​ฉบับ​หนึ่ง​อ้าง​ว่า “การ​แปล​อย่าง​เดียว​ที่​ยอม​ให้​ได้​จาก​ข้อ​ความ​เดิม​ใน​ภาษา​กรีก​คือ ‘ทำ​ให้​ทุก​ชาติ​เป็น​สาวก!’” เป็น​เช่น​นั้น​จริง​หรือ?

      การ​แปล​ข้อ​นี้​ว่า “ทำ​ให้​ทุก​ชาติ​เป็น​สาวก” ปรากฏ​ใน​คัมภีร์​ฉบับ​แปล​ต่าง ๆ มาก​มาย​และ​เป็น​การ​แปล​ภาษา​กรีก​ตาม​ตัว​อักษร. ฉะนั้น การ​แปล​ว่า “ทำ​ให้​ชน​จาก ทุก​ชาติ​เป็น​สาวก ให้​เขา​รับ​บัพติสมา” ยึด​อะไร​เป็น​หลัก? อรรถบท​นั่น​เอง. สำนวน “ให้​เขา​รับ​บัพติสมา” เห็น​ได้​ชัด​ว่า​พูด​ถึง​บุคคล ไม่​ใช่​ชาติ. ฮันส์ บรูนส์ ผู้​คง​แก่​เรียน​ชาว​เยอรมัน​กล่าว​ดัง​นี้: “[คำ] ‘เขา’ ไม่​พาด​พิง​ถึง​ชาติ (ภาษา​กรีก​แยก​ไว้​ชัด) แต่​หมาย​ถึง​คน​ใน​ชาติ.”

      ยิ่ง​กว่า​นั้น ควร​พิจารณา​วิธี​ที่​มี​การ​ปฏิบัติ​ตาม​พระ​บัญชา​ของ​พระ​เยซู. เรา​อ่าน​เรื่อง​งาน​รับใช้​ของ​เปาโล​และ​บาระนาบา​ที่​เมือง​เดระเบ​ใน​เอเซีย​น้อย​ว่า “ท่าน​ทั้ง​สอง​ได้​ประกาศ​กิตติคุณ​ใน​เมือง​นั้น​และ​ได้​สาวก​เป็น​อัน​มาก, จึง​กลับ​ไป​ยัง​เมือง​ลุศตรา เมือง​อิโกนิอัน​และ​เมือง​อันติโอเกีย.” (กิจการ 14:21) พึง​สังเกต​ว่า​เปาโล​และ​บาระนาบา​ได้​ทำ​ให้​คน​เข้า​มา​เป็น​สาวก ไม่​ใช่​ทำ​เมือง​เดระเบ​เป็น​สาวก แต่​มี​บาง​คน​จาก​เมือง​เดระเบ.

      ใน​ทำนอง​คล้าย​กัน เมื่อ​พูด​ถึง​สมัย​สุด​ท้าย พระ​ธรรม​วิวรณ์​บอก​ไว้​ล่วง​หน้า​ว่า ไม่​ใช่​บรรดา​ชาติ​ทั้ง​ปวง​จะ​ปฏิบัติ​พระเจ้า แต่ “ชน​ฝูง​ใหญ่ . . . จาก​ชาติ และ​ตระกูล​และ​ชน​ชาติ​และ​ภาษา​ทั้ง​ปวง” จะ​ปฏิบัติ​พระเจ้า. (วิวรณ์ 7:9, ล.ม.) ดัง​นั้น คัมภีร์​ฉบับ​แปล​โลก​ใหม่ จึง​ได้​รับ​การ​ยก​ย่อง​ให้​เป็น​ฉบับ​แปล​ที่​เชื่อถือ​ได้​ของ ‘พระ​คัมภีร์​ทุก​ตอน​ที่​มี​ขึ้น​โดย​การ​ดล​ใจ​จาก​พระเจ้า.’—2 ติโมเธียว 3:16, ล.ม.

หนังสือภาษาไทย (1971-2026)
ออกจากระบบ
เข้าสู่ระบบ
  • ไทย
  • แชร์
  • การตั้งค่า
  • Copyright © 2025 Watch Tower Bible and Tract Society of Pennsylvania
  • เงื่อนไขการใช้งาน
  • นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
  • การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
  • JW.ORG
  • เข้าสู่ระบบ
แชร์