ห้องสมุดออนไลน์ของวอชเทาเวอร์
ห้องสมุดออนไลน์
ของวอชเทาเวอร์
ไทย
  • คัมภีร์ไบเบิล
  • สิ่งพิมพ์
  • การประชุม
  • ความถ่อมใจในคราวปัศคาครั้งสุดท้าย
    บุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
    • ไม่​ช้า​พระ​เยซู​กับ​พวก​อัครสาวก​ก็​มา​ถึง​ใน​เมือง แล้ว​เดิน​ทาง​ไป​ยัง​บ้าน​ที่​พวก​เขา​จะ​ฉลอง​ปัศคา​กัน. พวก​เขา​ปีน​บันได​ขึ้น​ไป​ยัง​ห้อง​ชั้น​บน​ที่​กว้าง​ใหญ่ ซึ่ง​พวก​เขา​พบ​ว่า​มี​การ​ตระเตรียม​ทุก​อย่าง​สำหรับ​การ​ฉลอง​ปัศคา​ของ​พวก​เขา​เป็น​ส่วน​ตัว. พระ​เยซู​ได้​คอย​ท่า​วาระ​นี้ ดัง​ที่​พระองค์​ตรัส​ว่า “เรา​มี​ความ​ปรารถนา​อย่าง​ยิ่ง​ที่​จะ​กิน​ปัศคา​นี้​กับ​พวก​ท่าน​ก่อน​เรา​จะ​ต้อง​ทน​ทุกข์​ทรมาน.”

      ตาม​ธรรมเนียม ผู้​มี​ส่วน​ใน​ปัศคา​ดื่ม​เหล้า​องุ่น​สี่​จอก. หลัง​จาก​รับ​จอก​ซึ่ง​ดู​เหมือน​จะ​เป็น​จอก​ที่​สาม พระ​เยซู​ขอบพระคุณ​แล้ว​ตรัส​ว่า “จง​รับ​จอก​นี้​แบ่ง​กัน​กิน เพราะ​เรา​บอก​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ว่า เรา​จะ​ไม่​กิน​เหล้า​องุ่น​นี้​อีก​ต่อ​ไป​จน​กว่า​แผ่นดิน​ของ​พระเจ้า​จะ​มา​ตั้ง​อยู่​แล้ว.”

      ตอน​หนึ่ง​ระหว่าง​ช่วง​ที่​รับประทาน​นั้น พระ​เยซู​ทรง​ลุก​ขึ้น ถอด​ฉลองพระองค์​ชั้น​นอก​วาง​ไว้ ทรง​หยิบ​ผ้า​เช็ด​ตัว​มา เอา​น้ำ​ใส่​จน​เต็ม​อ่าง. ตาม​ปรกติ​เจ้าภาพ​จะ​คอย​ดู​แล​ให้​มี​การ​ล้าง​เท้า​แขก. แต่​เนื่อง​จาก​โอกาส​นี้​เจ้าของ​บ้าน​ไม่​อยู่ พระ​เยซู​ทรง​เอา​ใจ​ใส่​ดู​แล​การ​ปรนนิบัติ​ส่วน​ตัว​เช่น​นี้. คน​ใด​คน​หนึ่ง​ใน​พวก​อัครสาวก​คง​จะ​ฉวย​โอกาส​ทำ​งาน​นี้​ก็​ได้ กระนั้น ดู​เหมือน​ว่า​เพราะ​น้ำใจ​แข่งขัน​ชิง​ดี​กัน​ยัง​คง​มี​อยู่​บ้าง​ใน​ท่ามกลาง​พวก​เขา จึง​ไม่​มี​ใคร​ทำ. ตอน​นี้​พวก​เขา​รู้สึก​ลำบาก​ใจ​ขณะ​ที่​พระ​เยซู​เริ่ม​ล้าง​เท้า​พวก​เขา.

      เมื่อ​พระ​เยซู​มา​ถึง​เปโตร เขา​ทูล​คัดค้าน​ว่า “พระองค์​จะ​ล้าง​เท้า​ของ​ข้าพเจ้า​ไม่​ได้​เลย.”

      พระ​เยซู​ตรัส​ว่า “ถ้า​เรา​ไม่​ล้าง​เท้า​ท่าน​แล้ว ท่าน​จะ​มี​ส่วน​ใน​เรา​ไม่​ได้.”

      เปโตร​ทูล​ว่า “พระองค์​เจ้าข้า มิ​ใช่​แต่​เท้า​ของ​ข้าพเจ้า​เท่า​นั้น แต่​ทั้ง​มือ​และ​ศีรษะ​ด้วย.”

      พระ​เยซู​ตรัส​ตอบ​ว่า “ผู้​ที่​อาบ​น้ำ​แล้ว​ไม่​ต้องการ​ล้าง​ตัว​อีก​เว้น​แต่​เท้า เพราะ​สะอาด​ทั้ง​ตัว​แล้ว ท่าน​ทั้ง​หลาย​ก็​สะอาด แต่​ไม่​ใช่​ทุก​คน.” พระองค์​ตรัส​เช่น​นี้​เพราะ​พระองค์​ทราบ​ว่า​ยูดา​อิศการิโอด​กำลัง​วาง​แผน​จะ​ทรยศ​พระองค์.

      เมื่อ​พระ​เยซู​ได้​ล้าง​เท้า​อัครสาวก​ทั้ง 12 คน รวม​ทั้ง​เท้า​ของ​ยูดา ผู้​ทรยศ​ต่อ​พระองค์​แล้ว พระองค์​ทรง​สวม​ฉลองพระองค์​ชั้น​นอก แล้ว​เอน​พระ​กาย​ลง​ที่​โต๊ะ​อีก. ครั้น​แล้ว​พระองค์​ตรัส​ถาม​ว่า “ท่าน​ทั้ง​หลาย​เข้าใจ​ถึง​การ​ซึ่ง​เรา​ได้​กระทำ​แก่​ท่าน​แล้ว​หรือ? ท่าน​ทั้ง​หลาย​เรียก​เรา​ว่า ‘อาจารย์’ และ ‘องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า’ ท่าน​ว่า​ถูก​แล้ว เพราะ​เรา​เป็น​อย่าง​นั้น. เหตุ​ฉะนั้น ถ้า​เรา​ผู้​เป็น​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​และ​อาจารย์​ได้​ล้าง​เท้า​ของ​ท่าน​ทั้ง​หลาย ๆ ควร​จะ​ล้าง​เท้า​ซึ่ง​กัน​และ​กัน. ด้วย​ว่า​เรา​ได้​วาง​แบบ​อย่าง​ให้​แก่​ท่าน​ทั้ง​หลาย​แล้ว เพื่อ​ให้​ท่าน​ทำ​เหมือน​ที่​เรา​ได้​กระทำ​แก่​ท่าน. เรา​บอก​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ตาม​จริง​ว่า บ่าว​จะ​เป็น​ใหญ่​กว่า​นาย​ก็​หา​มิ​ได้ และ​ทูต​จะ​เป็น​ใหญ่​กว่า​ผู้​ที่​ใช้​เขา​ไป​ก็​หา​มิ​ได้. ถ้า​ท่าน​ทั้ง​หลาย​รู้​สิ่ง​เหล่า​นั้น​แล้ว​และ​ประพฤติ​ตาม ท่าน​ก็​จะ​เป็น​สุข.”

      ช่าง​เป็น​บทเรียน​อัน​งดงาม​อะไร​เช่น​นี้​ใน​เรื่อง​การ​ปรนนิบัติ​ด้วย​ความ​ถ่อม​ใจ! พวก​อัครสาวก​ไม่​ควร​แสวง​หา​ตำแหน่ง​อันดับ​แรก โดย​คิด​ว่า​เขา​เป็น​คน​สำคัญ​จน​คน​อื่น​ควร​จะ​รับใช้​เขา​เสมอ. พวก​เขา​ต้อง​ปฏิบัติ​ตาม​แบบ​อย่าง​ที่​พระ​เยซู​ทรง​วาง​ไว้. นี้​มิ​ใช่​เป็น​การ​ล้าง​เท้า​ตาม​พิธีกรรม​อย่าง​หนึ่ง. เปล่า​เลย แต่​นั่น​เป็น​ความ​เต็ม​ใจ​ประการ​หนึ่ง​ที่​จะ​รับใช้​โดย​ไม่​มี​การ​เลือก​ที่​รัก​มัก​ที่​ชัง ไม่​ว่า​งาน​นั้น​จะ​ต่ำต้อย​หรือ​ไม่​น่า​พอ​ใจ​เพียง​ไร​ก็​ตาม. มัดธาย 26:20, 21; มาระโก 14:17, 18; ลูกา 22:14-18; 7:44; โยฮัน 13:1-17.

  • อาหารมื้อเย็นอันเป็นอนุสรณ์
    บุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
    • บท 114

      อาหาร​มื้อ​เย็น​อัน​เป็น​อนุสรณ์

      หลัง​จาก​พระ​เยซู​ทรง​ล้าง​เท้า​อัครสาวก​แล้ว พระองค์​ทรง​ยก​ข้อ​คัมภีร์​ที่​บทเพลง​สรรเสริญ 41:9 [ฉบับ​แปล​ใหม่] ขึ้น​มา​ตรัส​ว่า “ผู้​ที่​รับประทาน​อาหาร​ของ​เรา​ได้​ยก​ส้น​เท้า​ใส่​เรา.” ครั้น​แล้ว ทรง​รู้สึก​เป็น​ทุกข์​ใน​พระทัย พระองค์​ทรง​ชี้​แจง​ว่า “คน​หนึ่ง​ใน​พวก​ท่าน​จะ​มอบ​เรา​ไว้.”

      อัครสาวก​เริ่ม​เป็น​ทุกข์​และ​ทูล​ต่อ​พระ​เยซู​ที​ละ​คน​ว่า “คือ​ข้าพเจ้า​หรือ?” แม้​แต่​ยูดา​อิศการิโอด​ก็​ร่วม​ทูล​ถาม​ด้วย. โยฮัน​ซึ่ง​อยู่​ถัด​จาก​พระ​เยซู ได้​เอน​กาย​ลง​ที่​พระ​ทรวง​ของ​พระ​เยซู​แล้ว​ทูล​ถาม​ว่า “พระองค์​เจ้าข้า จะ​เป็น​ผู้​ใด?”

      พระ​เยซู​ตรัส​ตอบ​ว่า “เป็น​คน​หนึ่ง​ใน​สาวก​สิบ​สอง​คน​นี้ คือ​เป็น​คน​นั้น​ที่​จิ้ม​ใน​ชาม​เดียว​กัน​กับ​เรา. บุตร​มนุษย์​จะ​เสด็จ​ไป​เหมือน​กับ​ที่​ได้​กล่าว​ไว้​ใน​พระ​คัมภีร์​ว่า​ด้วย​พระองค์​นั้น แต่​วิบัติ​แก่​ผู้​ที่​จะ​มอบ​บุตร​มนุษย์​ไว้! ถ้า​ผู้​นั้น​มิ​ได้​บังเกิด​มา​ก็​จะ​ดี​กว่า.” หลัง​จาก​นั้น ซาตาน​ก็​เข้า​สิง​ยูดา​อีก ฉวย​โอกาส​จาก​ช่วง​ว่าง​ใน​หัวใจ​ของ​เขา​ซึ่ง​ได้​กลับ​ชั่ว​ไป. ต่อ​มา​ใน​คืน​นั้น พระ​เยซู​ทรง​เรียก​ยูดา​อย่าง​เหมาะเจาะ​ว่า “ลูก​ของ​ความ​พินาศ.”

      บัด​นี้​พระ​เยซู​ทรง​แจ้ง​แก่​ยูดา​ว่า “ท่าน​จะ​กระทำ​อะไร​ก็​จง​กระทำ​โดย​เร็ว​เถิด.” ไม่​มี​ใคร​สัก​คน​ใน​อัครสาวก​คน​อื่น ๆ เข้าใจ​ว่า​พระ​เยซู​หมายความ​อย่าง​ไร. บาง​คน​คิด​ว่า​เนื่อง​จาก​ยูดา​ถือ​กล่อง​เงิน พระ​เยซู​ตรัส​สั่ง​เขา​ให้ “ซื้อ​สิ่ง​ซึ่ง​จะ​ต้องการ​สำหรับ​การ​เลี้ยง​นั้น” หรือ​ว่า​เขา​ควร​จะ​ไป​ให้​ทาน​แก่​คน​จน.

      หลัง​จาก​ยูดา​ออก​ไป​แล้ว พระ​เยซู​ทรง​ตั้ง​การ​ฉลอง​ใหม่​อย่าง​แท้​จริง หรือ​งาน​ระลึก​ถึง​กับ​พวก​อัครสาวก​ผู้​ซื่อ​สัตย์​ของ​พระองค์. พระองค์​ทรง​หยิบ​ขนมปัง​มา ทูล​อธิษฐาน​ขอบพระคุณ ทรง​หัก​ขนมปัง​นั้น​แล้ว​ส่ง​ให้​พวก​เขา​ตรัส​ว่า “จง​รับ​กิน​เถิด.” พระองค์​ทรง​ชี้​แจง​ว่า “นี้​หมาย​ถึง​กาย​ของ​เรา​ซึ่ง​ได้​ประทาน​ให้​สำหรับ​ท่าน​ทั้ง​หลาย. จง​กระทำ​อย่าง​นี้​ให้​เป็น​ที่​ระลึก​ถึง​เรา.”

      เมื่อ​ทุก​คน​ได้​รับประทาน​ขนมปัง​แล้ว พระ​เยซู​ทรง​หยิบ​จอก​เหล้า​องุ่น ดู​เหมือน​จะ​เป็น​จอก​ใบ​ที่​สี่​ที่​ใช้​ใน​ปัศคา. พระองค์​ทูล​อธิษฐาน​ขอบพระคุณ​สำหรับ​จอก​นั้น​ด้วย ส่ง​จอก​นั้น​ให้​พวก​เขา บอก​ให้​พวก​เขา​ดื่ม​จาก​จอก​นั้น แล้ว​ทรง​แถลง​ว่า “จอก​นี้​เป็น​คำ​สัญญา​ใหม่​โดย​โลหิต​ของ​เรา​ซึ่ง​เท​ไหล​ออก​เพื่อ​ท่าน​ทั้ง​หลาย.”

      ดัง​นั้น ที่​จริง​แล้ว นี้​เป็น​อนุสรณ์​เกี่ยว​กับ​ความ​ตาย​ของ​พระ​เยซู. ทุก​ปี​ใน​วัน​ที่ 14 เดือน​ไนซาน มี​การ​ทำ​เช่น​นี้​เพื่อ​เป็น​ที่​ระลึก​ถึง​พระองค์ ดัง​ที่​พระ​เยซู​ตรัส​ไว้​นั้น. นั่น​จะ​ทำ​ให้​ผู้​ร่วม​ฉลอง​ระลึก​ถึง​สิ่ง​ซึ่ง​พระ​เยซู​กับ​พระ​บิดา​ฝ่าย​สวรรค์​ของ​พระองค์​ได้​ทรง​กระทำ​เพื่อ​จัด​เตรียม​ให้​มนุษยชาติ​รอด​พ้น​จาก​การ​ปรับ​โทษ​ด้วย​ความ​ตาย. สำหรับ​ชาว​ยิว​ที่​ได้​เข้า​มา​เป็น​สาวก​ของ​พระ​คริสต์​นั้น การ​ฉลอง​นี้​จะ​เข้า​มา​แทน​ปัศคา.

      คำ​สัญญา​ไมตรี​ใหม่ ซึ่ง​ถูก​ทำ​ให้​มี​ผล​ใช้​บังคับ​โดย​พระ​โลหิต​ของ​พระ​เยซู​ที่​หลั่ง​ออก​นั้น เข้า​มา​แทน​คำ​สัญญา​ไมตรี​เดิม​เกี่ยว​กับ​พระ​บัญญัติ. พระ​เยซู​คริสต์​ทรง​เป็น​ผู้​กลาง​ระหว่าง​สอง​ฝ่าย—ฝ่าย​หนึ่ง​คือ​พระ​ยะโฮวา​พระเจ้า​และ​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง คริสเตียน​ที่​ได้​รับ​การ​กำเนิด​ด้วย​พระ​วิญญาณ 144,000 คน. นอก​จาก​การ​จัด​เตรียม​เพื่อ​การ​ให้​อภัย​ความ​บาป​แล้ว คำ​สัญญา​ไมตรี​นั้น​เปิด​โอกาส​สำหรับ​การ​จัด​ตั้ง​ชาติ​ฝ่าย​สวรรค์​ที่​ประกอบ​ด้วย​กษัตริย์-ปุโรหิต. มัดธาย 26:21-29; มาระโก 14:18-25; ลูกา 22:19-23; โยฮัน 13:18-30; 17:12; 1 โกรินโธ 5:7.

      ▪ คำ​พยากรณ์​อะไร​ใน​พระ​คัมภีร์​ที่​พระ​เยซู​ทรง​ยก​ขึ้น​มา​เกี่ยว​กับ​สหาย​คน​หนึ่ง และ​พระองค์​ทรง​ใช้​ข้อ​นั้น​อย่าง​ไร?

      ▪ ทำไม​พวก​อัครสาวก​รู้สึก​เป็น​ทุกข์​อย่าง​ยิ่ง และ​แต่​ละ​คน​ใน​พวก​เขา​ทูล​ถาม​อะไร?

      ▪ พระ​เยซู​ตรัส​สั่ง​ให้​ยูดา​ทำ​อะไร แต่​อัครสาวก​คน​อื่น ๆ ตี​ความหมาย​คำ​สั่ง​นี้​อย่าง​ไร?

      ▪ หลัง​จาก​ยูดา​ออก​ไป​แล้ว พระ​เยซู​ทรง​เริ่ม​การ​ฉลอง​อะไร และ​การ​ฉลอง​นั้น​มี​จุด​มุ่ง​หมาย​อะไร?

      ▪ คำ​สัญญา​ไมตรี​ใหม่​มี​ฝ่าย​ใด​บ้าง และ​คำ​สัญญา​ไมตรี​นั้น​สัมฤทธิ์​ผล​อะไร?

  • การโต้เถียงเกิดขึ้น
    บุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
    • บท 115

      การ​โต้​เถียง​เกิด​ขึ้น

      ก่อน​หน้า​นี้​ใน​ค่ำ​วัน​นั้น พระ​เยซู​ทรง​สอน​บทเรียน​อัน​ทรง​คุณค่า​เรื่อง​การ​ปฏิบัติ​ด้วย​ใจ​ถ่อม​โดย​การ​ล้าง​เท้า​ให้​อัครสาวก. หลัง​จาก​นั้น พระองค์​ทรง​สั่ง​ให้​เขา​ระลึก​ถึง​การ​วาย​พระ​ชนม์​ซึ่ง​กำลัง​ใกล้​เข้า​มา. บัด​นี้ โดย​เฉพาะ​อย่าง​ยิ่ง​เมื่อ​คำนึง​ถึง​สิ่ง​ซึ่ง​เพิ่ง​ผ่าน​ไป​หยก ๆ พลัน​ก็​มี​เรื่อง​แปลก​เกิด​ขึ้น. พวก​อัครสาวก​กำลัง​โต้​เถียง​อย่าง​เผ็ด​ร้อน​ว่า​ใคร​ใน​พวก​เขา​น่า​จะ​เป็น​ใหญ่​ที่​สุด! ปรากฏ​ชัด​ว่า​เรื่อง​นี้​เป็น​ส่วน​หนึ่ง​ของ​การ​ถกเถียง​กัน​มา​ตลอด.

      จง​นึก​ทวน​ดู​ว่า​ภาย​หลัง​พระ​เยซู​ได้​แปลง​พระ​กาย​ที่​ภูเขา พวก​อัครสาวก​เถียง​กัน​ว่า​ใคร​ใน​พวก​เขา​เป็น​ใหญ่​ที่​สุด. นอก​จาก​นั้น ยาโกโบ​และ​โยฮัน​ได้​ขอ​มี​ตำแหน่ง​สำคัญ​ใน​ราชอาณาจักร ซึ่ง​ทำ​ให้​เกิด​ความ​แค้น​เคือง​ขึ้น​อีก​ใน​หมู่​อัครสาวก. ตอน​นี้ ซึ่ง​เป็น​คืน​สุด​ท้าย​ที่​พระองค์​อยู่​กับ​เขา พระ​เยซู​ต้อง​เศร้า​พระทัย​เพียง​ใด เมื่อ​เห็น​เขา​ทะเลาะ​กัน​อีก! พระองค์​ทรง​ทำ​ประการ​ใด?

      แทน​ที่​พระ​เยซู​จะ​ดุ​ว่า​พวก​อัครสาวก​ที่​เขา​ประพฤติ​เช่น​นั้น อีก​ครั้ง​หนึ่ง​พระองค์​ทรง​หา​เหตุ​ผล​กับ​พวก​เขา​อย่าง​ใจ​เย็น ๆ ว่า “กษัตริย์​ของ​ชาว​ต่าง​ประเทศ​ย่อม​กดขี่​บัญชา​เขา และ​ผู้​มี​อำนาจ​เหนือ​เขา​นั้น​เขา​เรียก​ว่า เจ้าคุณ. แต่​พวก​ท่าน​หา​เป็น​อย่าง​นั้น​ไม่. . . . . ด้วย​ว่า​ใคร​เป็น​ใหญ่​กว่า ผู้​ที่​นั่ง​โต๊ะ​หรือ​ผู้​รับใช้? ผู้​ที่​นั่ง​โต๊ะ​มิ​ใช่​หรือ?” และ​เพื่อ​เตือน​ให้​เขา​นึก​ถึง​ตัว​อย่าง​ที่​พระองค์​ทรง​วาง​ไว้ จึง​ตรัส​ดัง​นี้ “แต่​ว่า​เรา​อยู่​ท่ามกลาง​ท่าน​ทั้ง​หลาย​เหมือน​ผู้​รับใช้.”

      ทั้ง ๆ ที่​พวก​อัครสาวก​มี​ข้อ​บกพร่อง แต่​พวก​เขา​ได้​ติด​สนิท​อยู่​กับ​พระ​เยซู​ตลอด​เวลา​ที่​พระองค์​ถูก​ทดลอง. พระองค์​จึง​ได้​ตรัส​ว่า “และ​เรา​ทำ​คำ​สัญญา​ไมตรี​กับ​ท่าน​ทั้ง​หลาย เช่น​เดียว​กับ​พระ​บิดา​ของ​เรา​ได้​ทำ​คำ​สัญญา​ไมตรี​กับ​เรา​ใน​เรื่อง​ราชอาณาจักร.” คำ​สัญญา​ไมตรี​ที่​ทำ​ไว้​เป็น​ส่วน​ตัว​ระหว่าง​พระ​เยซู​กับ​สาวก​ผู้​ซื่อ​สัตย์​ของ​พระองค์​ทำ​ให้​เขา​เข้า​มา​สมทบ​กับ​พระองค์​เพื่อ​รับ​อำนาจ​ปกครอง​เป็น​กษัตริย์. มี​จำนวน​จำกัด 144,000 คน​ซึ่ง​ใน​ที่​สุด​ถูก​รับ​เข้า​อยู่​ใน​คำ​สัญญา​ไมตรี​สำหรับ​ราชอาณาจักร.

      ​แม้น​พวก​อัครสาวก​ได้​รับ​การ​เสนอ​ความ​หวัง​อัน​วิเศษ​ใน​เรื่อง​การ​มี​ส่วน​ร่วม​กับ​พระ​คริสต์​ปกครอง​ราชอาณาจักร​ก็​ตาม แต่​ขณะ​นั้น​เขา​ยัง​ไม่​แข็งแรง​ฝ่าย​วิญญาณ. พระ​เยซู​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “ใน​คืน​วัน​นี้ ท่าน​ทุก​คน​จะ​กระดาก​ใจ​เพราะ​เรา.” อย่าง​ไร​ก็​ดี เมื่อ​ตรัส​แก่​เปโตร​ว่า​พระองค์​ทรง​อธิษฐาน​เผื่อ​เขา พระองค์​กล่าว​เตือน​ว่า “เมื่อ​ท่าน​ได้​หัน​กลับ​แล้ว จง​ชู​กำลัง​พี่​น้อง​ทั้ง​หลาย​ของ​ท่าน.”

      พระ​เยซู​ทรง​อธิบาย​ดัง​นี้ “ลูก​เล็ก ๆ เอ๋ย เรา​ยัง​อยู่​กับ​เจ้า​อีก​หน่อย​หนึ่ง. เจ้า​จะ​แสวง​หา​เรา แต่​เหมือน​เรา​ได้​บอก​พวก​ยูดาย​ว่า ‘ที่​เรา​ไป​นั้น​ท่าน​ไป​ไม่​ได้’ บัด​นี้​เรา​ก็​บอก​ท่าน​ทั้ง​หลาย​เหมือน​กัน. เรา​ให้​บัญญัติ​ใหม่​ไว้​แก่​เจ้า​ทั้ง​หลาย คือ​ให้​เจ้า​รัก​ซึ่ง​กัน​และ​กัน. เรา​รัก​เจ้า​ทั้ง​หลาย​มา​แล้ว​ฉัน​ใด เจ้า​จง​รัก​ซึ่ง​กัน​และ​กัน​ด้วย​ฉัน​นั้น. คน​ทั้ง​ปวง​จะ​รู้​ได้​ว่า​เจ้า​เป็น​เหล่า​สาวก​ของ​เรา ก็​เพราะ​ว่า​เจ้า​ทั้ง​หลาย​รัก​ซึ่ง​กัน​และ​กัน.”

      เปโตร​ถาม​ว่า “พระองค์​เจ้าข้า พระองค์​จะ​ไป​ที่​ไหน?”

      “ที่​เรา​จะ​ไป​นั้น ท่าน​จะ​ตาม​ไป​เดี๋ยว​นี้​ไม่​ได้” พระ​เยซู​ทรง​ตอบ “แต่​ภาย​หลัง​ท่าน​จะ​ตาม​เรา.”

      เปโตร​อยาก​ทราบ จึง​ถาม “พระองค์​เจ้าข้า เหตุ​ใด​ข้าพเจ้า​จะ​ตาม​พระองค์​ไป​เดี๋ยว​นี้​ไม่​ได้? ข้าพเจ้า​จะ​ยอม​สละ​ชีวิต​เพราะ​เห็น​แก่​พระองค์.”

      พระ​เยซู​ทรง​ถาม​ว่า “ท่าน​จะ​สละ​ชีวิต​ของ​ท่าน​เพราะ​เห็น​แก่​เรา​หรือ? เรา​บอก​ท่าน​ตาม​จริง​ว่า ก่อน​ไก่​ขัน ท่าน​จะ​ปฏิเสธ​เรา​สาม​ครั้ง.”

      เปโตร​คัดค้าน​ว่า “ถึง​แม้​ข้าพเจ้า​จะ​ต้อง​ตาย​กับ​พระองค์ ข้าพเจ้า​ก็​จะ​ไม่​ปฏิเสธ​พระองค์​เลย.” และ​ขณะ​ที่​อัครสาวก​คน​อื่น ๆ ทูล​เช่น​นั้น​เหมือน​กัน​ทุก​คน เปโตร​คุย​โอ่​ว่า “แม้​คน​ทั้ง​ปวง​สะดุด​กระดาก​ใจ ข้าพเจ้า​จะ​ไม่​สะดุด​กระดาก​ใจ​เลย!”

      พระ​เยซู​อ้าง​ถึง​คราว​ที่​พระองค์​ได้​ส่ง​พวก​อัครสาวก​ไป​ประกาศ​ทั่ว​เมือง​ฆาลิลาย โดย​มิ​ให้​เขา​นำ​ถุง​เงิน​หรือ​ย่าม​ใส่​อาหาร​ติด​ตัว​ไป​ด้วย แล้ว​ทรง​ถาม​ว่า “ท่าน​ขัดสน​สิ่ง​ใด​บ้าง?”

      พวก​เขา​ตอบ​ว่า “หา​มิ​ได้.”

      พระองค์​จึง​ตรัส​ว่า “แต่​เดี๋ยว​นี้​ใคร​มี​ถุง​เงิน​ให้​เอา​ไป​ด้วย และ​ย่าม​ก็​ให้​เอา​ไป​เหมือน​กัน. และ​ผู้​ที่​ไม่​มี​ดาบ​ก็​ให้​ขาย​เสื้อ​คลุม​ของ​ตน​เพื่อ​ซื้อ​ดาบ. ด้วย​เรา​บอก​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ว่า คำ​ซึ่ง​เขียน​ไว้​แล้ว​ต้อง​สำเร็จ​ใน​เรา คือ​ว่า ‘ท่าน​ต้อง​นับ​เข้า​ด้วย​คน​อธรรม.’ เพราะ​ว่า​คำ​พยากรณ์​ที่​เล็ง​ถึง​เรา​นั้น​จะ​สำเร็จ.”

      พระ​เยซู​ชี้​ถึง​เวลา​เมื่อ​พระองค์​จะ​ถูก​ตรึง​พร้อม​กับ​ผู้​ร้าย​หรือ​พวก​ที่​ฝ่าฝืน​กฎหมาย. นอก​จาก​นี้ พระองค์​ทรง​ระบุ​ว่า ต่อ​ไป​สาวก​ของ​พระองค์​จะ​เผชิญ​การ​กดขี่​ข่มเหง​อย่าง​หนัก. พวก​เขา​ทูล​ตอบ​ว่า “พระองค์​เจ้าข้า นี่​แน่ะ! มี​ดาบ​สอง​เล่ม.”

      พระองค์​ทรง​ตอบ​ว่า “พอ​แล้ว.” ดัง​เรา​จะ​ได้​ทราบ​ต่อ​ไป​ว่า การ​มี​ดาบ​ติด​ตัว​ไป​เช่น​นั้น เป็น​โอกาส​ที่​พระ​เยซู​จะ​สอน​บทเรียน​สำคัญ​อีก​บท​หนึ่ง. มัดธาย 26:31-35; มาระโก 14:27-31; ลูกา 22:24-38; โยฮัน 13:31-38; วิวรณ์ 14:1-3.

      ▪ ทำไม​การ​โต้​เถียง​กัน​ใน​หมู่​อัครสาวก​จึง​เป็น​เรื่อง​ที่​น่า​แปลก?

      ▪ พระ​เยซู​ทรง​จัด​การ​อย่าง​ไร​กับ​การ​โต้​เถียง​นั้น?

      ▪ คำ​สัญญา​ไมตรี​ที่​พระ​เยซู​ทำ​ไว้​กับ​สาวก​ของ​พระองค์​นั้น​ได้​สัมฤทธิ์​ผล​อะไร?

      ▪ พระ​เยซู​ทรง​ให้​บัญญัติ​ใหม่​อะไร และ​บัญญัติ​นี้​สำคัญ​อย่าง​ไร?

      ▪ เปโตร​แสดง​ตน​มั่น​ใจ​เกิน​ไป​ใน​เรื่อง​ใด และ​พระ​เยซู​ทรง​กล่าว​อย่าง​ไร?

      ▪ ทำไม​คำ​แนะ​นำ​ของ​พระ​เยซู​เกี่ยว​กับ​การ​นำ​ถุง​เงิน​และ​ย่าม​ใส่​อาหาร​ติด​ตัว​ไป​ด้วย​จึง​ต่าง​กัน​กับ​คำ​แนะ​นำ​ที่​พระองค์​ให้​ไว้​ก่อน​หน้า​นั้น?

  • การเตรียมพวกอัครสาวกสำหรับการจากไปของพระองค์
    บุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
    • บท 116

      การ​เตรียม​พวก​อัครสาวก​สำหรับ​การ​จาก​ไป​ของ​พระองค์

      อาหาร​มื้อ​อนุสรณ์​เสร็จ​สิ้น​แล้ว แต่​พระ​เยซู​กับ​พวก​อัครสาวก​ยัง​คง​อยู่​ใน​ห้อง​ชั้น​บน. แม้​พระ​เยซู​จะ​ไม่​อยู่​กับ​เขา​อีก​ต่อ​ไป​ใน​ไม่​ช้า พระองค์​ก็​ยัง​มี​อีก​หลาย​สิ่ง​ที่​จะ​ตรัส. พระองค์​ทรง​ปลอบโยน​พวก​เขา​ว่า “อย่า​ให้​ใจ​เจ้า​ทั้ง​หลาย​วิตก​กังวล​เลย. จง​แสดง​ความ​เชื่อ​ใน​พระเจ้า.” แต่​พระองค์​ตรัส​เสริม​ว่า “จง​แสดง​ความ​เชื่อ​ใน​เรา​ด้วย.”

      พระ​เยซู​ตรัส​ต่อ​ไป​ว่า “ใน​ราชสำนัก​แห่ง​พระ​บิดา​ของ​เรา​มี​ที่​อยู่​หลาย​แห่ง. เรา​จะ​ไป​จัด​เตรียม​ที่​ไว้​สำหรับ​เจ้า​ทั้ง​หลาย . . . เพื่อ​ว่า​เรา​อยู่​ที่​ไหน​เจ้า​จะ​อยู่​ที่​นั่น​ด้วย. และ​เรา​จะ​ไป​ที่​ไหน เจ้า​ก็​จะ​รู้​จัก​ทาง​ไป​ที่​นั่น.” พวก​อัครสาวก​ไม่​เข้าใจ​ว่า​พระ​เยซู​กำลัง​ตรัส​เรื่อง​การ​จาก​ไป​สวรรค์ ดัง​นั้น โธมา​ทูล​ถาม​ว่า “พระองค์​เจ้าข้า ข้าพเจ้า​ทั้ง​หลาย​ไม่​ทราบ​ว่า​พระองค์​จะ​เสด็จ​ไป​ที่​ไหน. พวก​ข้าพเจ้า​จะ​รู้​จัก​ทาง​นั้น​อย่าง​ไร​ได้?”

      พระ​เยซู​ตรัส​ตอบ​ว่า “เรา​เป็น​ทาง​นั้น เป็น​ความ​จริง​และ​เป็น​ชีวิต.” ถูก​แล้ว เฉพาะ​แต่​โดย​การ​ยอม​รับ​พระองค์​และ​เลียน​แบบ​แนว​ทาง​ชีวิต​ของ​พระองค์​เท่า​นั้น​ที่​คน​ใด​คน​หนึ่ง​จะ​เข้า​สู่​ราชสำนัก​ฝ่าย​สวรรค์​ของ​พระ​บิดา​ได้ เพราะ​ดัง​ที่​พระ​เยซู​ตรัส​ว่า “ไม่​มี​ผู้​ใด​ไป​ถึง​พระ​บิดา​เว้น​ไว้​จะ​ไป​ทาง​เรา.”

      ฟิลิป​ทูล​ขอ​ว่า “พระองค์​เจ้าข้า ขอ​สำแดง​พระ​บิดา​ให้​ข้าพเจ้า​ทั้ง​หลาย​เห็น และ​ก็​พอ​เพียง​แก่​ข้าพเจ้า​ทั้ง​หลาย​แล้ว.” ดู​เหมือน​ฟิลิป​ต้องการ​ให้​พระ​เยซู​สำแดง​การ​ปรากฏ​ของ​พระเจ้า​แบบ​ที่​ประจักษ์​ได้ ดัง​เช่น​ที่​ได้​ประทาน​ให้​ใน​นิมิต​แก่​โมเซ เอลียา และ​ยะซายา​ใน​สมัย​โบราณ​นั้น. แต่​ที่​จริง​แล้ว พวก​อัครสาวก​มี​อะไร​บาง​อย่าง​ที่​ดี​ยิ่ง​กว่า​นิมิต​แบบ​นั้น ดัง​ที่​พระ​เยซู​ตรัส​ว่า “ฟิลิป​เอ๋ย เรา​ได้​อยู่​กับ​พวก​เจ้า​นาน​ถึง​เพียง​นี้ และ​กระนั้น​เจ้า​ก็​ยัง​ไม่​รู้​จัก​เรา​หรือ? ผู้​ที่​เห็น​เรา​ก็​ได้​เห็น​พระ​บิดา​ด้วย.”

      พระ​เยซู​ทรง​สะท้อน​บุคลิก​ลักษณะ​ของ​พระ​บิดา​ของ​พระองค์​อย่าง​ครบ​ถ้วน​จน​การ​อยู่​ร่วม​และ​การ​สังเกต​พระองค์​นั้น ที่​แท้​แล้ว​เป็น​เหมือน​การ​เห็น​พระ​บิดา​อย่าง​แท้​จริง. กระนั้น พระ​บิดา​ก็​สูง​กว่า​พระ​บุตร ดัง​ที่​พระ​เยซู​ยอม​รับ​ว่า “สิ่ง​ที่​เรา​กล่าว​แก่​เจ้า​ทั้ง​หลาย​นั้น เรา​มิ​ได้​กล่าว​โดย​ความ​ริเริ่ม​ของ​เรา.” พระ​เยซู​ทรง​ถวาย​เกียรติยศ​ทั้ง​มวล​สำหรับ​คำ​สอน​ของ​พระองค์​นั้น​แด่​พระ​บิดา​ฝ่าย​สวรรค์​ของ​พระองค์​อย่าง​เหมาะ​สม.

      ช่าง​คง​เป็น​การ​หนุน​กำลังใจ​สัก​เพียง​ไร​สำหรับ​พวก​อัครสาวก​ที่​ได้​ยิน​พระ​เยซู​ตรัส​แก่​พวก​เขา​ใน​ตอน​นี้​ว่า “ผู้​ที่​แสดง​ความ​เชื่อ​ใน​เรา ผู้​นั้น​ก็​จะ​กระทำ​การ​งาน​ที่​เรา​กระทำ​เช่น​กัน และ​เขา​จะ​กระทำ​การ​งาน​ที่​ยิ่ง​ใหญ่​กว่า​นั้น​อีก”! พระ​เยซู​หา​ได้​หมายความ​ว่า​พวก​สาวก​ของ​พระองค์​จะ​แสดง​อำนาจ​อัศจรรย์​ยิ่ง​ใหญ่​กว่า​ที่​พระองค์​ทรง​กระทำ​นั้น​ไม่. เปล่า​เลย แต่​พระองค์​หมายความ​ว่า​พวก​เขา​จะ​ดำเนิน​งาน​สั่ง​สอน​ต่อ​ไป​เป็น​เวลา​ที่​นาน​กว่า ตลอด​ทั่ว​ขอบ​เขต​ที่​ใหญ่​กว่า​มาก และ​ไป​ถึง​ประชาชน​จำนวน​มาก​กว่า​นัก.

      พระ​เยซู​จะ​ไม่​ละ​ทิ้ง​พวก​สาวก​ของ​พระองค์​หลัง​จาก​เสด็จ​จาก​ไป​แล้ว. พระองค์​ทรง​สัญญา​ว่า “สิ่ง​ใด​ที่​เจ้า​จะ​ขอ​ใน​นาม​ของ​เรา สิ่ง​นั้น​เรา​จะ​กระทำ.” นอก​จาก​นี้ พระองค์​ตรัส​ว่า “เรา​ทูล​ขอ​พระ​บิดา และ​พระองค์​ก็​จะ​ประทาน​ผู้​ช่วย​อีก​ผู้​หนึ่ง​ให้​แก่​เจ้า เพื่อ​จะ​อยู่​กับ​พวก​เจ้า​ตลอด​ไป คือ​พระ​วิญญาณ​แห่ง​ความ​จริง.” ต่อ​มา หลัง​จาก​พระองค์​เสด็จ​ขึ้น​สู่​สวรรค์​แล้ว พระ​เยซู​ทรง​เท​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์ ผู้​ช่วย​อีก​ผู้​หนึ่ง​นี้​ลง​บน​พวก​สาวก​ของ​พระองค์.

      การ​จาก​ไป​ของ​พระ​เยซู​จวน​จะ​ถึง​แล้ว ดัง​ที่​พระ​เยซู​ตรัส​ว่า “อีก​หน่อย​หนึ่ง​โลก​จะ​ไม่​เห็น​เรา​อีก.” พระองค์​จะ​เป็น​บุคคล​วิญญาณ​ที่​ไม่​มี​มนุษย์​คน​ใด​มอง​เห็น​ได้. แต่​พระ​เยซู​ทรง​สัญญา​กับ​พวก​อัครสาวก​ผู้​ซื่อ​สัตย์​ของ​พระองค์​อีก​ครั้ง​หนึ่ง​ว่า “แต่​เจ้า​ทั้ง​หลาย​จะ​เห็น​เรา เพราะ​เรา​มี​ชีวิต​อยู่ และ​เจ้า​ทั้ง​หลาย​ก็​จะ​มี​ชีวิต​อยู่.” ถูก​แล้ว พระ​เยซู​ไม่​เพียง​แต่​จะ​ปรากฏ​แก่​พวก​เขา​ใน​ร่าง​มนุษย์​ภาย​หลัง​การ​กลับ​ฟื้น​คืน​พระ​ชนม์​ของ​พระองค์​เท่า​นั้น หาก​แต่​ใน​เวลา​อัน​ควร พระองค์​จะ​ทรง​ปลุก​พวก​เขา​ให้​กลับ​คืน​สู่​ชีวิต​ร่วม​กับ​พระองค์​ใน​สวรรค์​ใน​ฐานะ​บุคคล​วิญญาณ.

      บัด​นี้ พระ​เยซู​ทรง​แถลง​กฎ​ง่าย ๆ ที่​ว่า “ผู้​ที่​มี​บัญญัติ​ของ​เรา และ​ปฏิบัติ​ตาม​บัญญัติ​นั้น ผู้​นั้น​แหละ​เป็น​ผู้​ซึ่ง​รัก​เรา. และ​ผู้​ที่​รัก​เรา​นั้น พระ​บิดา​ของ​เรา​ก็​จะ​ทรง​รัก​เขา และ​เรา​จะ​รัก​เขา​และ​สำแดง​ตัว​ให้​ปรากฏ​แก่​เขา.”

      ถึง​ตอน​นี้ อัครสาวก​ยูดา ผู้​ซึ่ง​มี​ชื่อ​ด้วย​ว่า​ธาดาย ทูล​ขัด​จังหวะ​ว่า “องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า มี​อะไร​เกิด​ขึ้น​พระองค์​จึง​หมาย​ที่​จะ​สำแดง​พระองค์​เอง​แก่​พวก​ข้าพเจ้า และ​ไม่​ทรง​สำแดง​แก่​โลก?”

      พระ​เยซู​ทรง​ตอบ​ว่า “ถ้า​ผู้​ใด​รัก​เรา ผู้​นั้น​ก็​จะ​ปฏิบัติ​ตาม​คำ​ของ​เรา และ​พระ​บิดา​ของ​เรา​ก็​จะ​ทรง​รัก​เขา . . . ผู้​ที่​ไม่​รัก​เรา​ย่อม​ไม่​ปฏิบัติ​ตาม​คำ​ของ​เรา.” ต่าง​จาก​พวก​สาวก​ผู้​เชื่อ​ฟัง​ของ​พระองค์ โลก​ไม่​ไยดี​ใน​คำ​สอน​ของ​พระ​คริสต์. ดัง​นั้น พระองค์​จึง​ไม่​เปิด​เผย​พระองค์​แก่​พวก​เขา.

      ระหว่าง​งาน​สั่ง​สอน​ของ​พระองค์​ทาง​ภาคพื้น​โลก พระ​เยซู​ได้​ทรง​สอน​อัครสาวก​ของ​พระองค์​หลาย​สิ่ง. พวก​เขา​จะ​จำ​สิ่ง​เหล่า​นั้น​ทั้ง​หมด​โดย​วิธี​ใด โดย​เฉพาะ​อย่าง​ยิ่ง เมื่อ​แม้​กระทั่ง​ขณะ​นี้ มี​หลาย​สิ่ง​ที่​พวก​เขา​ก็​ไม่​ได้​เข้าใจ? น่า​ยินดี พระ​เยซู​ทรง​สัญญา​ว่า “ผู้​ช่วย​นั้น คือ​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​ที่​พระ​บิดา​จะ​ทรง​ใช้​มา​ใน​นาม​ของ​เรา พระ​วิญญาณ​นั้น​จะ​สอน​เจ้า​ทุก​สิ่ง และ​จะ​ให้​เจ้า​ระลึก​ถึง​ทุก​สิ่ง​ที่​เรา​ได้​บอก​เจ้า​ไว้​แล้ว.”

      โดย​ปลอบโยน​พวก​เขา​อีก​ครั้ง พระ​เยซู​ตรัส​ว่า “เรา​ฝาก​สันติ​สุข​ไว้​กับ​เจ้า​ทั้ง​หลาย เรา​มอบ​สันติ​สุข​ของ​เรา​ไว้​แก่​เจ้า​ทั้ง​หลาย. . . . อย่า​ให้​หัวใจ​ของ​เจ้า​เป็น​ทุกข์.” จริง พระ​เยซู​กำลัง​จะ​จาก​ไป แต่​พระองค์​ทรง​ชี้​แจง​ว่า “ถ้า​เจ้า​ทั้ง​หลาย​รัก​เรา เจ้า​ก็​จะ​ชื่นชม​ยินดี​ที่​เรา​จะ​ไป​หา​พระ​บิดา เพราะ​พระ​บิดา​เป็น​ใหญ่​กว่า​เรา.”

      เวลา​ที่​พระ​เยซู​อยู่​กับ​พวก​เขา​นั้น​เหลือ​น้อย. พระองค์​ตรัส​ว่า “เรา​จะ​ไม่​สนทนา​มาก​กับ​เจ้า​ทั้ง​หลาย​อีก​เพราะ​ผู้​ครอง​โลก​จะ​มา. และ​ผู้​นั้น​ไม่​มี​สิทธิ​อะไร​เหนือ​เรา.” ซาตาน​พญา​มาร ผู้​ที่​สามารถ​เข้า​สิง​ยูดา​และ​เข้า​ครอบ​งำ​เขา​นั้น​เป็น​ผู้​ครอง​โลก. แต่​ไม่​มี​ความ​อ่อนแอ​บาป​หนา​ใน​ตัว​พระ​เยซู​ที่​ซาตาน​จะ​ฉวย​ประโยชน์​ได้​เพื่อ​ทำ​ให้​พระองค์​หันเห​จาก​การ​รับใช้​พระเจ้า.

      การ​มี​สัมพันธภาพ​อัน​สนิทสนม

      ภาย​หลัง​อาหาร​มื้อ​อนุสรณ์​แล้ว พระ​เยซู​ทรง​หนุน​กำลังใจ​พวก​อัครสาวก​ด้วย​คำ​บรรยาย​อย่าง​จริง​ใจ​แบบ​ไม่​เป็น​ทาง​การ. อาจ​เป็น​เวลา​เลย​เที่ยง​คืน​ไป​แล้ว. ดัง​นั้น​พระ​เยซู​ทรง​เร่งเร้า​ว่า “จง​ลุก​ขึ้น ให้​เรา​ไป​จาก​ที่​นี่​เถิด.” อย่าง​ไร​ก็​ดี ก่อน​ที่​พวก​เขา​ออก​ไป เพราะ​ความ​รัก​ที่​พระ​เยซู​มี​ต่อ​พวก​เขา พระองค์​ตรัส​ต่อ​ไป โดย​ยก​อุทาหรณ์​ที่​กระตุ้น​ใจ​เรื่อง​หนึ่ง.

      พระองค์​ทรง​เริ่ม​ว่า “เรา​เป็น​เถา​องุ่น​แท้ และ​พระ​บิดา​ของ​เรา​เป็น​ผู้​เพาะ​ปลูก.” พระ​ยะโฮวา​พระเจ้า​ผู้​เพาะ​ปลูก​องค์​ยิ่ง​ใหญ่ ทรง​ปลูก​เถา​องุ่น​ที่​เป็น​นัย​นี้​คราว​เมื่อ​พระองค์​ทรง​เจิม​พระ​เยซู​ด้วย​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​ใน​คราว​ที่​พระ​เยซู​รับ​บัพติสมา​ใน​ฤดู​ใบ​ไม้​ร่วง​แห่ง​ปี​สากล​ศักราช 29. แต่​พระ​เยซู​ทรง​ชี้​แจง​ต่อ​ไป​ว่า​เถา​องุ่น​มี​ความหมาย​เล็ง​ถึง​มาก​กว่า​ตัว​พระองค์​เท่า​นั้น โดย​ตรัส​ว่า “ทุก​กิ่ง​ใน​เรา​ที่​ไม่​เกิด​ผล​พระองค์​ก็​ทรง​ตัด​ทิ้ง​เสีย และ​ทุก​กิ่ง​ที่​เกิด​ผล พระองค์​ทรง​ลิด​แขนง​ให้​สะอาด​เพื่อ​จะ​ให้​เกิด​ผล​มาก​ขึ้น. . . . กิ่ง​จะ​เกิด​ผล​เอง​ไม่​ได้​เว้น​แต่​จะ​ติด​สนิท​อยู่​กับ​เถา​ต่อ​ไป​ฉัน​ใด เจ้า​ทั้ง​หลาย​ก็​จะ​เกิด​ผล​ไม่​ได้ เว้น​แต่​เจ้า​จะ​ร่วม​สามัคคี​กัน​กับ​เรา​ต่อ​ไป​ฉัน​นั้น. เรา​เป็น​เถา​องุ่น เจ้า​ทั้ง​หลาย​เป็น​กิ่ง.”

      ใน​คราว​เทศกาล​เพ็นเตคอสเต 51 วัน​ต่อ​มา พวก​อัครสาวก​และ​คน​อื่น ๆ ได้​กลาย​มา​เป็น​กิ่ง​ทั้ง​หลาย​ของ​เถา​องุ่น​เมื่อ​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​หลั่ง​ลง​เหนือ​พวก​เขา. ใน​ที่​สุด บุคคล 144,000 คน​กลาย​เป็น​กิ่ง​ของ​เถา​องุ่น​ที่​เป็น​นัย. พร้อม​กับ​เถา​องุ่น​อัน​ได้​แก่​พระ​เยซู​คริสต์ คน​เหล่า​นั้น​ประกอบ​ขึ้น​เป็น​เถา​องุ่น​ที่​มี​ความหมาย​เป็น​นัย​ซึ่ง​ก่อ​ให้​เกิด​ผล​แห่ง​ราชอาณาจักร.

      พระ​เยซู​ทรง​ชี้​แจง​ปัจจัย​สำคัญ​ที่​จะ​ก่อ​ให้​เกิด​ผล​ว่า “ผู้​ใด​ที่​ร่วม​สามัคคี​กัน​กับ​เรา และ​เรา​ก็​ร่วม​สามัคคี​กัน​กับ​เขา​ต่อ​ไป ผู้​นั้น​จะ​เกิด​ผล​มาก เพราะ​ว่า​นอก​จาก​เรา​แล้ว เจ้า​ทั้ง​หลาย​จะ​ทำ​สิ่ง​ใด​ไม่​ได้​เลย.” อย่าง​ไร​ก็​ดี หาก​คน​เรา​ไม่​ได้​เกิด​ผล พระ​เยซู​ตรัส​ว่า “ผู้​นั้น​ก็​จะ​ถูก​ตัด​ทิ้ง​เสีย​เหมือน​กิ่ง​แล้ว​เหี่ยว​แห้ง​ไป และ​เขา​ก็​เก็บ​รวบ​รวม​เอา​กิ่ง​เหล่า​นั้น​ไป​ทิ้ง​ใน​ไฟ​เผา​เสีย.” อีก​ด้าน​หนึ่ง พระ​เยซู​ทรง​สัญญา​ว่า “ถ้า​เจ้า​ทั้ง​หลาย​ร่วม​สามัคคี​กัน​กับ​เรา​ต่อ​ไป และ​ถ้อย​คำ​ของ​เรา​ยัง​คง​อยู่​ใน​เจ้า​ทั้ง​หลาย​ต่อ​ไป​แล้ว เจ้า​จะ​ขอ​สิ่ง​ใด​ซึ่ง​เจ้า​ปรารถนา​ก็​จะ​ได้​สิ่ง​นั้น.”

      พระ​เยซู​ทรง​ชี้​แจง​ต่อ​ไป​แก่​พวก​อัครสาวก​ว่า “พระ​บิดา​ของ​เรา​ได้​รับ​เกียรติ​ด้วย​สิ่ง​นี้​คือ ที่​เจ้า​เกิด​ผล​มาก​และ​พิสูจน์​ตน​เอง​ว่า​เป็น​สาวก​ของ​เรา.” ผล​ที่​พระเจ้า​ทรง​ประสงค์​จาก​กิ่ง​ทั้ง​หลาย​คือ​การ​ที่​พวก​เขา​แสดง​ออก​ซึ่ง​คุณลักษณะ​แบบ​พระ​คริสต์ โดย​เฉพาะ​อย่าง​ยิ่ง​ความ​รัก. นอก​จาก​นี้ เนื่อง​จาก​พระ​คริสต์​เป็น​ผู้​ประกาศ​ราชอาณาจักร​ของ​พระเจ้า ผล​อัน​พึง​ปรารถนา​จึง​นับ​รวม​ทั้ง​การ​งาน​ของ​พวก​เขา​ใน​การ​ทำ​ให้​คน​เป็น​สาวก​เช่น​เดียว​กับ​ที่​พระ​เยซู​ได้​กระทำ​นั้น.

      บัด​นี้ พระ​เยซู​ทรง​แนะ​นำ​ว่า “จง​ตั้ง​มั่น​อยู่​ใน​ความ​รัก​ของ​เรา​ต่อ​ไป.” กระนั้น พวก​อัครสาวก​ของ​พระองค์​จะ​ทำ​เช่น​นั้น​ได้​อย่าง​ไร? พระองค์​ตรัส​ว่า “ถ้า​เจ้า​ทั้ง​หลาย​ปฏิบัติ​ตาม​บัญญัติ​ของ​เรา เจ้า​ก็​จะ​ตั้ง​มั่น​อยู่​ใน​ความ​รัก​ของ​เรา.” พระ​เยซู​ทรง​ชี้​แจง​ต่อ​ไป​ว่า “นี้​แหละ​เป็น​บัญญัติ​ของ​เรา คือ​ให้​เจ้า​ทั้ง​หลาย​รัก​ซึ่ง​กัน​และ​กัน​เหมือน​ที่​เรา​ได้​รัก​เจ้า​ทั้ง​หลาย. ไม่​มี​ผู้​ใด​มี​ความ​รัก​ใหญ่​ยิ่ง​ไป​กว่า​นี้ คือ​การ​ที่​ผู้​หนึ่ง​ผู้​ใด​จะ​สละ​จิตวิญญาณ​ของ​ตัว​เพื่อ​มิตร​สหาย​ของ​ตน.”

      ใน​ไม่​กี่​ชั่วโมง พระ​เยซู​จะ​พิสูจน์​ให้​เห็น​ความ​รัก​อัน​ล้ำ​เลิศ​นี้​โดย​การ​สละ​ชีวิต​ของ​พระองค์​แทน​พวก​อัครสาวก​ของ​พระองค์ และ​คน​อื่น​ทุก​คน​ที่​จะ​แสดง​ความ​เชื่อ​ใน​พระองค์. ตัว​อย่าง​ของ​พระองค์​น่า​จะ​กระตุ้น​เหล่า​สาวก​ของ​พระองค์​ให้​มี​ความ​รัก​แบบ​เสีย​สละ​ตัว​เอง​อย่าง​เดียว​กัน​นั้น​ต่อ​กัน​และ​กัน. ความ​รัก​เช่น​นี้​จะ​พิสูจน์​ตัว​พวก​เขา ดัง​ที่​พระ​เยซู​ทรง​แถลง​ก่อน​หน้า​นั้น​ว่า “โดย​เหตุ​นี้​คน​ทั้ง​ปวง​จะ​รู้​ว่า​เจ้า​ทั้ง​หลาย​เป็น​สาวก​ของ​เรา ถ้า​เจ้า​มี​ความ​รัก​ระหว่าง​พวก​เจ้า​เอง.”

      ใน​การ​ระบุ​ตัว​มิตร​สหาย​ของ​พระองค์ พระ​เยซู​ตรัส​ว่า “เจ้า​เป็น​มิตร​สหาย​ของ​เรา​ถ้า​เจ้า​ทั้ง​หลาย​ปฏิบัติ​ตาม​ที่​เรา​สั่ง​เจ้า​นั้น. เรา​ไม่​เรียก​เจ้า​ทั้ง​หลาย​ว่า​บ่าว​อีก​ต่อ​ไป เพราะ​บ่าว​ย่อม​ไม่​รู้​ว่า​นาย​ทำ​อะไร. แต่​เรา​เรียก​เจ้า​ว่า​มิตร​สหาย​เพราะ​สิ่ง​สารพัด​ที่​เรา​ได้​ยิน​จาก​พระ​บิดา​ของ​เรา​นั้น เรา​ได้​สำแดง​แก่​เจ้า​แล้ว.”

      ช่าง​เป็น​สัมพันธภาพ​อัน​ล้ำ​ค่า​อะไร​เช่น​นี้​ที่​จะ​พึง​มี–เป็น​มิตร​สนิท​ของ​พระ​เยซู! แต่​เพื่อ​จะ​มี​สัมพันธภาพ​เช่น​นี้​ต่อ​ไป เหล่า​สาวก​ของ​พระองค์​ต้อง “บังเกิด​ผล.” หาก​พวก​เขา​ทำ​เช่น​นั้น พระ​เยซู​ตรัส​ว่า “ไม่​ว่า​สิ่ง​ใด​ที่​เจ้า​ทูล​ขอ​จาก​พระ​บิดา​ใน​นาม​ของ​เรา พระองค์​ก็ [จะ] ประทาน​สิ่ง​นั้น​แก่​เจ้า.” แน่นอน นั่น​เป็น​บำเหน็จ​อัน​ยอด​เยี่ยม​สำหรับ​การ​บังเกิด​ผล​แห่ง​ราชอาณาจักร! หลัง​จาก​กระตุ้น​เตือน​พวก​อัครสาวก​ให้ “รัก​ซึ่ง​กัน​และ​กัน” แล้ว พระองค์​ทรง​ชี้​แจง​ว่า​โลก​จะ​เกลียด​ชัง​พวก​เขา. กระนั้น พระองค์​ทรง​ปลอบ​ประโลม​ใจ​ว่า “ถ้า​โลก​เกลียด​ชัง​เจ้า​ทั้ง​หลาย เจ้า​ทั้ง​หลาย​ก็​รู้​ว่า​โลก​ได้​เกลียด​ชัง​เรา​ก่อน.” ต่อ​จาก​นั้น พระ​เยซู​ทรง​เผย​สาเหตุ​ที่​โลก​เกลียด​ชัง​เหล่า​สาวก​ของ​พระองค์ โดย​ตรัส​ว่า “เพราะ​เจ้า​มิ​ได้​เป็น​ส่วน​ของ​โลก แต่​เรา​ได้​เลือก​เจ้า​ออก​จาก​โลก ด้วย​เหตุ​นี้​โลก​จึง​เกลียด​ชัง​เจ้า.”

      โดย​อธิบาย​ต่อ​ไป​ถึง​เหตุ​ผล​ใน​เรื่อง​ความ​เกลียด​ชัง​ของ​โลก พระ​เยซู​ตรัส​ต่อ​ไป​ว่า “เขา​จะ​กระทำ​สิ่ง​ทั้ง​หมด​เหล่า​นี้​แก่​เจ้า​ก็​เพราะ​นาม​ของ​เรา เพราะ​ว่า​เขา​ไม่​รู้​จัก​พระองค์ [พระ​ยะโฮวา] ผู้​ทรง​ใช้​เรา​มา.” ที่​แท้​แล้ว การ​อัศจรรย์​ต่าง ๆ ของ​พระ​เยซู​พิสูจน์​ว่า คน​เหล่า​นั้น​ที่​เกลียด​ชัง​พระองค์​มี​ความ​ผิด ดัง​ที่​พระองค์​ทรง​ให้​ข้อ​อรรถาธิบาย​ไว้​ว่า “ถ้า​เรา​มิ​ได้​กระทำ​กิจการ​ท่ามกลาง​พวก​เขา​ซึ่ง​ไม่​มี​ผู้​ใด​อื่น​ได้​กระทำ​เลย เขา​ก็​คง​ไม่​มี​ความ​บาป แต่​บัด​นี้​เขา​ได้​เห็น​และ​ทั้ง​ได้​เกลียด​ชัง​เรา​พร้อม​ทั้ง​พระ​บิดา​ของ​เรา​ด้วย.” ด้วย​เหตุ​นี้ ดัง​ที่​พระ​เยซู​ตรัส สำเร็จ​สม​จริง​ตาม​ข้อ​คัมภีร์​ที่​ว่า “เขา​ได้​เกลียด​ชัง​เรา​โดย​ไม่​มี​เหตุ.”

      ดัง​ที่​ได้​ทำ​ก่อน​หน้า​นั้น พระ​เยซู​ทรง​ปลอบ​ประโลม​ใจ​พวก​เขา​อีก​โดย​สัญญา​ว่า​จะ​ส่ง​ผู้​ช่วย​มา​คือ​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์ ซึ่ง​เป็น​พลัง​ปฏิบัติการ​อัน​ทรง​อานุภาพ​ของ​พระเจ้า. “ผู้​ช่วย​นั้น​จะ​เป็น​พยาน​ถึง​เรา และ​เจ้า​ทั้ง​หลาย​ก็​จะ​เป็น​พยาน​ด้วย.”

      คำ​ตักเตือน​ต่อ​ไป​อีก​ใน​คราว​อำลา

      พระ​เยซู​กับ​บรรดา​อัครสาวก​เตรียม​พร้อม​จะ​ออก​จาก​ห้อง​ชั้น​บน. พระองค์​ตรัส​ต่อ​ไป​ว่า “เรา​ได้​กล่าว​สิ่ง​เหล่า​นี้​แก่​เจ้า​ทั้ง​หลาย เพื่อ​ไม่​ให้​เจ้า​สะดุด.” ครั้น​แล้ว​พระองค์​ทรง​ให้​คำ​เตือน​ที่​สำคัญ​ว่า “คน​ทั้ง​หลาย​จะ​ไล่​เจ้า​ออก​เสีย​จาก​ธรรมศาลา แท้​จริง เวลา​จะ​มา​เมื่อ​ทุก​คน​ที่​ประหาร​ชีวิต​เจ้า​จะ​คิด​ว่า เขา​ได้​กระทำ​การ​รับใช้​อัน​ศักดิ์สิทธิ์​แด่​พระเจ้า.”

      ดู​เหมือน​ว่า​พวก​อัครสาวก​ยุ่งยาก​ใจ​เหลือ​เกิน​เนื่อง​จาก​คำ​เตือน​นี้. ถึง​แม้​พระ​เยซู​ได้​ตรัส​ก่อน​หน้า​นั้น​ว่า​โลก​จะ​เกลียด​ชัง​พวก​เขา​ก็​ตาม พระองค์​ก็​มิ​ได้​ทรง​เปิด​เผย​ตรง ๆ ถึง​ขนาด​นั้น​ว่า​พวก​เขา​จะ​ถูก​ประหาร. พระ​เยซู​ทรง​อธิบาย​ว่า “เรา​มิ​ได้​บอก​สิ่ง​เหล่า​นี้​แก่​เจ้า​แต่​แรก​เพราะ​ว่า​เรา​ยัง​อยู่​กับ​เจ้า​ทั้ง​หลาย.” กระนั้น นับ​ว่า​ดี​สัก​เพียง​ไร​ที่​จะ​เตรียม​พวก​เขา​ล่วง​หน้า​ด้วย​ข้อมูล​นี้​ก่อน​พระองค์​เสด็จ​จาก​ไป!

      พระ​เยซู​ตรัส​ต่อ​ไป​ว่า “แต่​บัด​นี้ เรา​จะ​ไป​หา​พระองค์​ผู้​ทรง​ใช้​เรา​มา และ​กระนั้น​ก็​ไม่​มี​ใคร​ใน​พวก​เจ้า​ถาม​ว่า ‘พระองค์​จะ​เสด็จ​ไป​ที่​ไหน?’” ตอน​หัวค่ำ พวก​เขา​ทูล​ถาม​ใน​เรื่อง​ที่​ว่า​พระองค์​จะ​เสด็จ​ไป​ที่​ไหน แต่​ตอน​นี้​พวก​เขา​หวั่นไหว​เนื่อง​จาก​สิ่ง​ที่​พระองค์​ตรัส​แก่​เขา​จน​กระทั่ง​เขา​ไม่​ถาม​เรื่อง​นี้​ต่อ​ไป​อีก. ดัง​ที่​พระ​เยซู​ตรัส​ว่า “เพราะ​เรา​ได้​บอก​สิ่ง​เหล่า​นี้​แก่​เจ้า หัวใจ​ของ​เจ้า​จึง​เต็ม​ด้วย​ความ​ทุกข์.” พวก​อัครสาวก​เป็น​ทุกข์​ไม่​เพียง​แต่​เพราะ​ทราบ​ว่า​เขา​จะ​ประสบ​การ​ข่มเหง​ที่​น่า​สยดสยอง​และ​ถูก​ประหาร​เท่า​นั้น แต่​เพราะ​นาย​ของ​พวก​เขา​กำลัง​จะ​จาก​พวก​เขา​ไป.

      ดัง​นั้น พระ​เยซู​ทรง​ชี้​แจง​ว่า “การ​ที่​เรา​จะ​ไป​นั้น​ก็​เพื่อ​ประโยชน์​ของ​เจ้า. เพราะ​ถ้า​เรา​ไม่​ไป ผู้​ช่วย​นั้น​จะ​ไม่​มา​หา​เจ้า​เลย แต่​ถ้า​เรา​ไป เรา​จะ​ใช้​ผู้​ช่วย​นั้น​มา​หา​เจ้า.” ฐานะ​ที่​เป็น​มนุษย์ พระ​เยซู​ทรง​สามารถ​ประทับ​อยู่​เพียง ณ สถาน​ที่​แห่ง​เดียว​ใน​เวลา​เดียว​กัน แต่​เมื่อ​พระองค์​อยู่​ใน​สวรรค์ พระองค์​สามารถ​ส่ง​ผู้​ช่วย​คือ​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​ของ​พระเจ้า​มา​ให้​พวก​สาวก​ของ​พระองค์​ที่​ใด​ก็​ตาม​ที่​พวก​เขา​อาจ​อยู่​บน​แผ่นดิน​โลก. ดัง​นั้น การ​จาก​ไป​ของ​พระ​เยซู​จะ​เป็น​ประโยชน์.

      พระ​เยซู​ตรัส​ว่า พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์ “จะ​เสนอ​พยาน​หลักฐาน​ที่​ชัดเจน​แก่​โลก​ใน​เรื่อง​ความ​ผิด​บาป และ​ใน​เรื่อง​ความ​ชอบธรรม​และ​ใน​เรื่อง​การ​พิพากษา.” ความ​ผิด​บาป​ของ​โลก ความ​ล้มเหลว​ของ​โลก​ที่​จะ​แสดง​ความ​เชื่อ​ใน​พระ​บุตร​ของ​พระเจ้า จะ​ถูก​เปิดโปง. นอก​จาก​นั้น จะ​มี​การ​แสดง​ให้​เห็น​หลักฐาน​ที่​น่า​เชื่อ​เกี่ยว​กับ​ความ​ชอบธรรม​ของ​พระ​เยซู​โดย​การ​ที่​พระองค์​เสด็จ​ขึ้น​สวรรค์​ไป​หา​พระ​บิดา. และ​การ​ที่​ซาตาน​และ​โลก​ชั่ว​ของ​มัน​ไม่​สามารถ​ทำลาย​ความ​ซื่อ​สัตย์​มั่นคง​ของ​พระ​เยซู​นั้น​เป็น​หลักฐาน​ที่​ชัดเจน​ว่า​ผู้​ครอบครอง​โลก​ถูก​พิพากษา​อย่าง​ที่​เป็น​ผล​ร้าย.

      พระ​เยซู​ตรัส​ต่อ​ไป​ว่า “เรา​ยัง​มี​อีก​หลาย​สิ่ง​ที่​จะ​บอก​เจ้า​ทั้ง​หลาย แต่​ว่า​เดี๋ยว​นี้​เจ้า​ยัง​รับ​เอา​ไม่​ได้.” เพราะ​ฉะนั้น พระ​เยซู​ทรง​สัญญา​ว่า​เมื่อ​พระองค์​เท​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์ ซึ่ง​หมาย​ถึง​พลัง​ปฏิบัติการ​ของ​พระเจ้า​ลง​มา​แล้ว พระ​วิญญาณ​นั้น​จะ​นำ​พวก​เขา​ไป​สู่​ความ​เข้าใจ​สิ่ง​เหล่า​นี้​อย่าง​ที่​เหมาะ​กับ​ความ​สามารถ​ของ​เขา​ที่​จะ​เข้าใจ​เรื่อง​เหล่า​นั้น.

      พวก​อัครสาวก​ไม่​เข้าใจ​ว่า​พระ​เยซู​จะ​สิ้น​พระ​ชนม์ และ​ต่อ​จาก​นั้น​จะ​ปรากฏ​แก่​พวก​เขา​หลัง​จาก​พระองค์​กลับ​ฟื้น​คืน​พระ​ชนม์​แล้ว. ดัง​นั้น พวก​เขา​ถาม​กัน​และ​กัน​ว่า “นี่​หมายความ​ว่า​อย่าง​ไร​ที่​พระองค์​ตรัส​แก่​เรา​ว่า ‘อีก​หน่อย​หนึ่ง​เจ้า​ทั้ง​หลาย​จะ​ไม่​เห็น​เรา และ​ต่อ​ไป​อีก​หน่อย​หนึ่ง​เจ้า​ก็​จะ​เห็น​เรา’ และ ‘เพราะ​เรา​จะ​ไป​หา​พระ​บิดา’?”

      พระ​เยซู​ทรง​ตระหนัก​ว่า​พวก​เขา​ต้องการ​จะ​ทูล​ถาม​พระองค์ ดัง​นั้น​พระองค์​ทรง​ชี้​แจง​ว่า “เรา​บอก​เจ้า​ทั้ง​หลาย​ตาม​จริง​ว่า เจ้า​จะ​ร้องไห้​และ​คร่ำ​ครวญ แต่​โลก​จะ​ชื่นชม​ยินดี เจ้า​จะ​เป็น​ทุกข์​เศร้า​โศก แต่​ความ​ทุกข์​โศก​ของ​เจ้า​จะ​กลับ​กลาย​เป็น​ความ​ชื่นชม​ยินดี.” บ่าย​วัน​นั้น เมื่อ​พระ​เยซู​ถูก​ประหาร​นั้น พวก​หัวหน้า​ศาสนา​ฝ่าย​โลก​ชื่นชม​ยินดี แต่​พวก​สาวก​เป็น​ทุกข์​เศร้า​โศก. อย่าง​ไร​ก็​ตาม ความ​ทุกข์​โศก​ของ​พวก​เขา​ได้​เปลี่ยน​เป็น​ความ​ชื่นชม​ยินดี เมื่อ​พระ​เยซู​ถูก​ปลุก​ให้​คืน​พระ​ชนม์. และ​ความ​ยินดี​ของ​พวก​เขา​มี​อยู่​ต่อ​ไป​เมื่อ​พระองค์​ทรง​มอบ​อำนาจ​ให้​เขา​ใน​คราว​เทศกาล​เพ็นเตคอสเต​ให้​เป็น​พยาน​ของ​พระองค์​โดย​เท​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​ของ​พระเจ้า​ลง​เหนือ​พวก​เขา.

      ใน​การ​เปรียบ​เทียบ​สภาพการณ์​ของ​พวก​อัครสาวก​กับ​สภาพ​ของ​ผู้​หญิง​ระหว่าง​ความ​เจ็บ​ปวด​รวดร้าว​ใน​การ​คลอด​บุตร​ของ​เธอ​นั้น พระ​เยซู​ตรัส​ว่า “เมื่อ​ผู้​หญิง​กำลัง​คลอด​บุตร เธอ​มี​ความ​ทุกข์​เพราะ​ถึง​เวลา​กำหนด​แล้ว.” แต่​พระ​เยซู​ตรัส​ว่า​เมื่อ​บุตร​ของ​เธอ​คลอด​แล้ว เธอ​มิ​ได้​คิด​ถึง​ความ​ลำบาก​ของ​เธอ​อีก​ต่อ​ไป และ​พระ​เยซู​ทรง​หนุน​ใจ​พวก​อัครสาวก​ของ​พระองค์​ว่า “เหตุ​ฉะนั้น เจ้า​ทั้ง​หลาย​ก็​เช่น​กัน คือ​ขณะ​นี้​มี​ความ​ทุกข์​โศก​จริง ๆ แต่​เรา​จะ​เห็น​เจ้า​อีก [เมื่อ​เรา​ได้​รับ​การ​ปลุก​ให้​คืน​พระ​ชนม์] และ​หัวใจ​ของ​เจ้า​จะ​เบิกบาน​ยินดี​และ​จะ​ไม่​มี​ผู้​ใด​เอา​ความ​ชื่นชม​ยินดี​ไป​เสีย​จาก​เจ้า.”

      จน​กระทั่ง​เวลา​นี้ พวก​อัครสาวก​ไม่​เคย​ทูล​ขอ​ใน​นาม​ของ​พระ​เยซู​เลย. แต่​บัด​นี้​พระองค์​ตรัส​ว่า “ถ้า​เจ้า​ขอ​สิ่ง​ใด​จาก​พระ​บิดา พระองค์​จะ​ประทาน​สิ่ง​นั้น​แก่​เจ้า​ใน​นาม​ของ​เรา. . . . ด้วย​ว่า​พระ​บิดา​เอง​ทรง​รัก​เจ้า​ทั้ง​หลาย เพราะ​เจ้า​ได้​แสดง​ความ​รัก​ต่อ​เรา​และ​ได้​เชื่อ​ว่า​เรา​มา​เป็น​ผู้​แทน​พระ​บิดา. เรา​ได้​มา​จาก​พระ​บิดา​และ​เข้า​มา​ใน​โลก. ต่อ​ไป​นี้ เรา​จะ​ไป​จาก​โลก​และ​จะ​ไป​หา​พระ​บิดา.”

      ถ้อย​คำ​ของ​พระ​เยซู​เป็น​การ​หนุน​กำลังใจ​อย่าง​มาก​มาย​แก่​พวก​อัครสาวก. พวก​เขา​พูด​ว่า “ด้วย​เหตุ​นี้ พวก​ข้าพเจ้า​จึง​เชื่อ​ว่า​พระองค์​ได้​มา​จาก​พระเจ้า.” พระ​เยซู​ตรัส​ถาม​ว่า “เดี๋ยว​นี้ เจ้า​ทั้ง​หลาย​เชื่อ​แล้ว​หรือ? ดู​เถิด! เวลา​จะ​มา จริง​ที​เดียว เวลา​นั้น​ก็​มา​ถึง​แล้ว คือ​เมื่อ​พวก​เจ้า​แต่​ละ​คน​จะ​กระจัด​กระจาย​ไป​ยัง​บ้าน​ช่อง​ของ​ตน และ​เจ้า​จะ​ละ​เรา​ไป​แต่​ลำพัง.” อาจ​ดู​เหมือน​เป็น​เรื่อง​เหลือเชื่อ เหตุ​การณ์​นี้​เกิด​ขึ้น​ก่อน​ที่​คืน​นั้น​สิ้น​สุด​ลง!

      พระ​เยซู​ทรง​กล่าว​ใน​ตอน​ท้าย​ว่า “เรา​ได้​บอก​สิ่ง​เหล่า​นี้​แก่​เจ้า​ทั้ง​หลาย​แล้ว​เพื่อ​เจ้า​จะ​มี​สันติ​สุข​โดย​เรา. ใน​โลก​นี้​เจ้า​มี​ความ​ทุกข์​ลำบาก แต่​จง​กล้า​หาญ​เถิด! เรา​ชนะ​โลก​แล้ว.” พระ​เยซู​ชนะ​โลก​โดย​การ​ทำ​ให้​พระทัย​ประสงค์​ของ​พระเจ้า​สำเร็จ​ลุ​ล่วง​ไป​ด้วย​ความ​ซื่อ​สัตย์ ถึง​แม้​ซาตาน​และ​โลก​ของ​มัน​พยายาม​ทำ​ทุก​สิ่ง​ทุก​อย่าง​เพื่อ​ทำลาย​ความ​ซื่อ​สัตย์​มั่นคง​ของ​พระ​เยซู​ก็​ตาม.

      คำ​อธิษฐาน​สุด​ท้าย​ใน​ห้อง​ชั้น​บน

      เพราะ​ถูก​กระตุ้น​ด้วย​ความ​รัก​อัน​สุด​ซึ้ง​ต่อ​พวก​อัครสาวก​ของ​พระองค์ พระ​เยซู​จึง​เตรียม​พวก​เขา​ไว้​สำหรับ​การ​จาก​ไป​ของ​พระองค์​ที่​จวน​จะ​ถึง​แล้ว. บัด​นี้ หลัง​จาก​การ​ตักเตือน​และ​ปลอบโยน​พวก​เขา​อย่าง​ยืด​ยาว พระองค์​แหงน​พระ​พักตร์​ขึ้น​ดู​ฟ้า​สวรรค์​แล้ว​ทูล​วิงวอน​พระ​บิดา​ของ​พระองค์​ว่า “ขอ​ทรง​โปรด​ให้​พระ​บุตร​ของ​พระองค์​ได้​รับ​เกียรติ เพื่อ​พระ​บุตร​จะ​ได้​ถวาย​เกียรติ​แด่​พระองค์ ดัง​ที่​พระองค์​ได้​ทรง​โปรด​ให้​พระ​บุตร​มี​อำนาจ​เหนือ​เนื้อหนัง​ทั้ง​สิ้น เพื่อ​พระ​บุตร​จะ​ได้​ประทาน​ชีวิต​นิรันดร์​แก่​บรรดา​คน​ที่​พระองค์​ทรง​ประทาน​แก่​พระ​บุตร​นั้น.”

      พระ​เยซู​ทรง​เริ่ม​นำ​อรรถบท​ที่​กระตุ้น​ใจ​อะไร​เช่น​นี้—ชีวิต​นิรันดร์! เนื่อง​จาก​ได้​รับ “อำนาจ​เหนือ​เนื้อหนัง​ทั้ง​สิ้น” พระ​เยซู​ทรง​สามารถ​ถ่ายทอด​ผล​ประโยชน์​จาก​เครื่อง​บูชา​ไถ่​ของ​พระองค์​ให้​แก่​มวล​มนุษยชาติ​ที่​กำลัง​จะ​ตาย​นั้น​ได้. กระนั้น พระองค์​ทรง​ประทาน “ชีวิต​นิรันดร์” ให้​เฉพาะ​แต่​คน​เหล่า​นั้น​ที่​พระ​บิดา​พอ​พระทัย. ใน​การ​ขยาย​อรรถบท​เกี่ยว​กับ​ชีวิต​นิรันดร์​นี้ พระ​เยซู​ทรง​อธิษฐาน​ต่อ​ไป​ว่า:

      “นี้​แหละ​หมาย​ถึง​ชีวิต​นิรันดร์ คือ​การ​ที่​เขา​รับ​ความ​รู้​เกี่ยว​ด้วย​พระองค์​ผู้​เป็น​พระเจ้า​เที่ยง​แท้​องค์​เดียว​และ​เกี่ยว​ด้วย​ผู้​ที่​พระองค์​ทรง​ใช้​มา​คือ​พระ​เยซู​คริสต์.” ถูก​แล้ว ความ​รอด​ขึ้น​อยู่​กับ​การ​รับ​เอา​ความ​รู้​เกี่ยว​ด้วย​ทั้ง​พระเจ้า​และ​พระ​บุตร​ของ​พระองค์. แต่​จำเป็น​ต้อง​มี​มาก​กว่า​เพียง​ความ​รู้​ที่​สมอง.

      คน​เรา​ต้อง​มา​รู้​จัก​พระองค์​ทั้ง​สอง​อย่าง​สนิทสนม พัฒนา​มิตรภาพ​แบบ​ที่​มี​ความ​เข้าใจ​กับ​พระองค์. คน​เรา​ต้อง​รู้สึก​ดัง​ที่​พระองค์​ทั้ง​สอง​ทรง​รู้สึก​เกี่ยว​กับ​เรื่อง​ต่าง ๆ และ​แล​ดู​สิ่ง​ต่าง ๆ โดย​พระ​เนตร​ของ​พระองค์. และ​ยิ่ง​กว่า​อะไร​ทั้ง​หมด คน​เรา​ต้อง​พยายาม​ที่​จะ​เลียน​แบบ​คุณลักษณะ​อัน​ไม่​มี​ที่​เปรียบ​ได้​ของ​พระองค์​ทั้ง​สอง​ใน​การ​ปฏิบัติ​กับ​คน​อื่น ๆ.

      พระ​เยซู​ทรง​อธิษฐาน​ต่อ​ไป​ว่า “ข้าพเจ้า​ได้​ถวาย​พระ​เกียรติ​แด่​พระองค์​แล้ว​ที่​แผ่นดิน​โลก กิจการ​ที่​พระองค์​ได้​ทรง​มอบ​ให้​ข้าพเจ้า​กระทำ​นั้น ข้าพเจ้า​ทำ​ให้​สำเร็จ​แล้ว.” ด้วย​เหตุ​ที่​ได้​ปฏิบัติ​หน้า​ที่​มอบหมาย​ของ​พระองค์​ให้​สำเร็จ​ลุ​ล่วง​ไป​จน​ถึง​ขั้น​นี้ และ​มี​ความ​มั่น​ใจ​ใน​เรื่อง​ผล​สำเร็จ​ของ​พระองค์​ใน​อนาคต พระองค์​ทูล​อ้อน​วอน​ว่า “พระ​บิดา​เจ้าข้า ขอ​ทรง​โปรด​ให้​ข้าพเจ้า​ได้​รับ​เกียรติ​เคียง​ข้าง​พระองค์ คือ​เกียรติ​ซึ่ง​ข้าพเจ้า​ได้​มี​เคียง​ข้าง​พระองค์​ก่อน​ที่​โลก​อุบัติ​ขึ้น.” ถูก​แล้ว บัด​นี้​พระองค์​ทูล​ขอ​เพื่อ​จะ​ได้​รับ​การ​กลับ​คืน​สู่​สง่า​ราศี​ฝ่าย​สวรรค์​ดัง​ที่​พระองค์​เคย​มี​ตอน​ก่อน​โดย​ทาง​การ​กลับ​เป็น​ขึ้น​จาก​ตาย.

      ใน​การ​สรุป​งาน​สำคัญ​ของ​พระองค์​บน​แผ่นดิน​โลก พระ​เยซู​ตรัส​ว่า “ข้าพเจ้า​ได้​กระทำ​ให้​พระ​นาม​ของ​พระองค์​ประจักษ์​แจ้ง​แก่​คน​ทั้ง​หลาย​ที่​พระองค์​ทรง​ประทาน​แก่​ข้าพเจ้า​จาก​โลก. คน​เหล่า​นั้น​เป็น​ของ​พระองค์​แล้ว และ​พระองค์​ได้​ประทาน​เขา​ให้​แก่​ข้าพเจ้า และ​เขา​ได้​ปฏิบัติ​ตาม​คำ​ของ​พระองค์.” พระ​เยซู​ทรง​ใช้​พระ​นาม​ของ​พระเจ้า พระ​ยะโฮวา​ใน​งาน​รับใช้​ของ​พระองค์ และ​แสดง​ให้​เห็น​การ​ออก​เสียง​ที่​ถูก​ต้อง​ของ​พระ​นาม​นั้น แต่​พระองค์​ทรง​กระทำ​ยิ่ง​กว่า​การ​สำแดง​พระ​นาม​ของ​พระเจ้า​ให้​ประจักษ์​แก่​พวก​อัครสาวก​ของ​พระองค์. พระองค์​ทรง​เพิ่ม​พูน​ความ​รู้​และ​ความ​หยั่ง​รู้​ค่า​ของ​เขา​ใน​พระ​ยะโฮวา บุคลิก​ลักษณะ และ​พระ​ประสงค์​ของ​พระองค์​ด้วย.

      โดย​ยกย่อง​พระ​ยะโฮวา​ฐานะ​ผู้​ที่​สูง​กว่า​พระองค์ ผู้​ที่​พระองค์​รับใช้​นั้น พระ​เยซู​ยอม​รับ​ด้วย​ความ​ถ่อม​ใจ​ว่า “พระ​ดำรัส​ที่​พระองค์​ทรง​ประทาน​แก่​ข้าพเจ้า​นั้น ข้าพเจ้า​ได้​ให้​แก่​เขา​แล้ว และ​เขา​ก็​ได้​รับ​ไว้​แล้ว​และ​รู้​แน่​ว่า​ข้าพเจ้า​ได้​มา​ใน​ฐานะ​เป็น​ผู้​แทน​ของ​พระองค์ และ​เขา​เชื่อ​แล้ว​ว่า​พระองค์​ได้​ทรง​ใช้​ข้าพเจ้า​มา.”

      ใน​การ​แสดง​ให้​เห็น​ความ​แตกต่าง​ระหว่าง​พวก​สาวก​ของ​พระองค์​กับ​มนุษยชาติ​อื่น ๆ นอก​นั้น พระ​เยซู​อธิษฐาน​ต่อ​ไป​ว่า “ข้าพเจ้า​มิ​ได้​ทูล​ขอ​เกี่ยว​กับ​โลก แต่​เกี่ยว​กับ​คน​เหล่า​นั้น​ที่​พระองค์​ทรง​ประทาน​แก่​ข้าพเจ้า . . . เมื่อ​ข้าพเจ้า​ยัง​อยู่​กับ​คน​เหล่า​นั้น ข้าพเจ้า​เคย​ได้​พิทักษ์​รักษา​พวก​เขา . . . และ​ข้าพเจ้า​ได้​ป้องกัน​รักษา​เขา​ไว้​และ​ไม่​มี​สัก​คน​หนึ่ง​ใน​พวก​เขา​เสีย​ไป​นอก​จาก​ลูก​ของ​ความ​พินาศ” กล่าว​คือ​ยูดา อิศการิโอด. ใน​ขณะ​นั้น​ที​เดียว ยูดา​กำลัง​ดำเนิน​การ​อย่าง​ร้ายกาจ​เพื่อ​ขาย​พระ​เยซู. ด้วย​เหตุ​นี้ ยูดา​ทำ​ให้​พระ​คัมภีร์​สำเร็จ​โดย​ไม่​ได้​ตั้งใจ.

      พระ​เยซู​ทรง​อธิษฐาน​ต่อ​ไป​ว่า “โลก​ได้​เกลียด​ชัง​เขา. . . . ข้าพเจ้า​ทูล​ขอ​พระองค์​มิ​ให้​เอา​เขา​ไป​จาก​โลก แต่​ขอ​ทรง​พิทักษ์​รักษา​เขา​ไว้​เนื่อง​จาก​ตัว​ชั่ว​ร้าย​นั้น. เขา​ไม่​เป็น​ส่วน​ของ​โลก​เหมือน​ข้าพเจ้า​ไม่​เป็น​ส่วน​ของ​โลก.” พวก​สาวก​ของ​พระ​เยซู​อยู่​ใน​โลก สังคม​มนุษย์​ที่​ถูก​รวบ​รวม​นี้​ซึ่ง​ปกครอง​โดย​ซาตาน แต่​พวก​เขา​ต้อง​อยู่​ต่าง​หาก​จาก​โลก​และ​ความ​ชั่ว​ของ​โลก​อยู่​เสมอ.

      พระ​เยซู​ตรัส​ต่อ​ไป​ว่า “ขอ​ทรง​โปรด​จัด​เขา​ไว้​ต่าง​หาก​ให้​บริสุทธิ์​ด้วย​ความ​จริง พระ​คำ​ของ​พระองค์​เป็น​ความ​จริง.” ใน​ที่​นี้​พระ​เยซู​ทรง​เรียก​พระ​คัมภีร์​ภาค​ภาษา​ฮีบรู​ที่​ได้​รับ​การ​ดล​บันดาล ซึ่ง​พระองค์​ทรง​ยก​จาก​ที่​นั่น​มา​อ้าง​อยู่​เรื่อย ๆ นั้น​ว่า “ความ​จริง.” แต่​สิ่ง​ที่​พระองค์​ได้​สอน​พวก​สาวก และ​สิ่ง​ที่​พวก​เขา​ได้​เขียน​ใน​ภาย​หลัง​โดย​การ​ดล​บันดาล​ฐานะ​เป็น​พระ​คัมภีร์​คริสเตียน​ภาค​ภาษา​กรีก​นั้น​ก็​เป็น “ความ​จริง” เช่น​กัน. ความ​จริง​นี้​สามารถ​จัด​คน​เรา​ไว้​ต่าง​หาก​ให้​บริสุทธิ์ เปลี่ยน​ชีวิต​ของ​เขา​อย่าง​สิ้นเชิง และ​ทำ​ให้​เขา​เป็น​บุคคล​ที่​อยู่​ต่าง​หาก​จาก​โลก​ได้.

      บัด​นี้​พระ​เยซู​อธิษฐาน “มิ​ได้​เกี่ยว​กับ​คน​เหล่า​นี้​เท่า​นั้น แต่​เกี่ยว​กับ​คน​เหล่า​นั้น​ที่​แสดง​ความ​เชื่อ​ใน [พระองค์] เพราะ​ถ้อย​คำ​ของ​เขา​นั้น​ด้วย.” ดัง​นั้น​พระ​เยซู​ทรง​อธิษฐาน​เผื่อ​คน​เหล่า​นั้น​ผู้​ซึ่ง​จะ​มา​เป็น​สาวก​ผู้​ถูก​เจิม​ของ​พระองค์ และ​สาวก​คน​อื่น ๆ ใน​อนาคต​ที่​ยัง​จะ​ถูก​รวบ​รวม​เข้า​มา​ใน “ฝูง​เดียว.” พระองค์​ทูล​ขอ​อะไร​สำหรับ​คน​เหล่า​นี้​ทั้ง​หมด?

      “เพื่อ​เขา​ทุก​คน​จะ​ได้​เป็น​อัน​หนึ่ง​อัน​เดียว​กัน ดัง​ที่​พระองค์ คือ​พระ​บิดา​ร่วม​สามัคคี​กัน​กับ​ข้าพเจ้า และ​ข้าพเจ้า​ร่วม​สามัคคี​กัน​กับ​พระองค์ . . . เพื่อ​เขา​จะ​ได้​เป็น​อัน​หนึ่ง​อัน​เดียว​กัน​ดัง​ที่​พระองค์​กับ​ข้าพเจ้า​เป็น​อัน​หนึ่ง​อัน​เดียว​กัน.” พระ​เยซู​กับ​พระ​บิดา​ของ​พระองค์​หา​ใช่​บุคคล​ผู้​เดียว​กัน​จริง ๆ ตาม​ตัว​อักษร​ไม่ หาก​แต่​พระองค์​ทั้ง​สอง​เห็น​พ้อง​ต้อง​กัน​ใน​สิ่ง​สารพัด. พระ​เยซู​อธิษฐาน​เพื่อ​พวก​สาวก​ของ​พระองค์​ประสบ​ความ​เป็น​อัน​หนึ่ง​อัน​เดียว​กัน​เช่น​เดียว​กัน​นี้​เพื่อ​ว่า “โลก​จะ​ได้​รู้​ว่า​พระองค์​ทรง​ใช้​ข้าพเจ้า​มา และ​รู้​ว่า​พระองค์​ทรง​รัก​เขา​ดัง​ที่​พระองค์​ทรง​รัก​ข้าพเจ้า.”

      บัด​นี้ พระ​เยซู​ทรง​ทูล​ขอ​พระ​บิดา​ทาง​ภาค​สวรรค์​เพื่อ​เห็น​แก่​คน​เหล่า​นั้น​ผู้​ซึ่ง​จะ​เป็น​สาวก​ผู้​ถูก​เจิม​ของ​พระองค์. พระ​เยซู​ทูล​ขอ​อะไร? “ให้​คน​เหล่า​นั้น . . . อยู่​กับ​ข้าพเจ้า​ใน​ที่​ซึ่ง​ข้าพเจ้า​อยู่​นั้น เพื่อ​เขา​จะ​ได้​เห็น​สง่า​ราศี​ของ​ข้าพเจ้า​ซึ่ง​พระองค์​ทรง​ประทาน​แก่​ข้าพเจ้า เพราะ​พระองค์​ทรง​รัก​ข้าพเจ้า​ก่อน​ที่​มี​การ​วาง​ราก​สร้าง​โลก” กล่าว​คือ ก่อน​ฮาวา​ตั้ง​ครรภ์​ลูก​ของ​นาง​กับ​อาดาม. นาน​ก่อน​หน้า​นั้น พระเจ้า​ทรง​รัก​พระ​บุตร​องค์​เดียว​ของ​พระองค์ ผู้​ซึ่ง​มา​เป็น​พระ​เยซู​คริสต์.

      เมื่อ​จบ​คำ​อธิษฐาน​ของ​พระองค์ พระ​เยซู​ทรง​เน้น​อีก​ครั้ง​ว่า “ข้าพเจ้า​ได้​กระทำ​ให้​เขา​รู้​จัก​พระ​นาม​ของ​พระองค์​แล้ว และ​ยัง​จะ​กระทำ​ให้​เขา​รู้​อีก เพื่อ​ความ​รัก​ที่​พระองค์​ได้​ทรง​รัก​ข้าพเจ้า​นั้น​จะ​มี​อยู่​ใน​เขา และ​ข้าพเจ้า​จะ​ร่วม​สามัคคี​กัน​กับ​เขา.” สำหรับ​พวก​อัครสาวก การ​เรียน​รู้​พระ​นาม​ของ​พระเจ้า​พาด​พิง​ถึง​การ​มา​รู้​จัก​ความ​รัก​ของ​พระเจ้า​เป็น​ส่วน​ตัว. โยฮัน 14:1–17:26; 13:27, 35, 36; 10:16, ล.ม.; ลูกา 22:3, 4; เอ็กโซโด 24:10; 1 กษัตริย์ 19:9-13; ยะซายา 6:1-5; ฆะลาเตีย 6:16; บทเพลง​สรรเสริญ 35:19; 69:4; สุภาษิต 8:22, 30.

      ▪ พระ​เยซู​กำลัง​จะ​เสด็จ​ไป​ที่​ไหน และ​โธมา​ได้​รับ​คำ​ตอบ​อะไร​เกี่ยว​กับ​ทาง​ไป​ที่​นั่น?

      ▪ โดย​คำ​ทูล​ขอ​ของ​เขา ดู​เหมือน​ฟิลิป​ต้องการ​ให้​พระ​เยซู​สำแดง​อะไร?

      ▪ ทำไม​ผู้​ที่​ได้​เห็น​พระ​เยซู​ก็​ได้​เห็น​พระ​บิดา​ด้วย?

      ▪ พวก​สาวก​ของ​พระ​เยซู​จะ​กระทำ​การ​งาน​ที่​ยิ่ง​ใหญ่​กว่า​ที่​พระองค์​ได้​กระทำ​นั้น​อย่าง​ไร?

      ▪ ซาตาน​ไม่​มี​สิทธิ​เหนือ​พระ​เยซู​ใน​ความหมาย​เช่น​ไร?

      ▪ พระ​ยะโฮวา​ทรง​ปลูก​เถา​องุ่น​ที่​เป็น​นัย​เมื่อ​ไร และ​คน​อื่น ๆ เข้า​มา​เป็น​ส่วน​ของ​เถา​องุ่น​นั้น​เมื่อ​ไร​และ​โดย​วิธี​ใด?

      ▪ ใน​ที่​สุด เถา​องุ่น​ที่​เป็น​นัย​นั้น​มี​กี่​กิ่ง?

      ▪ พระเจ้า​ทรง​ประสงค์​ผล​อะไร​จาก​กิ่ง​เหล่า​นั้น?

      ▪ เรา​จะ​เป็น​มิตร​สหาย​ของ​พระ​เยซู​ได้​อย่าง​ไร?

      ▪ ทำไม​โลก​จึง​เกลียด​ชัง​พวก​สาวก​ของ​พระ​เยซู?

      ▪ คำ​เตือน​อะไร​ของ​พระ​เยซู​ที่​ทำ​ให้​พวก​อัครสาวก​ของ​พระองค์​ไม่​สบาย​ใจ?

      ▪ ทำไม​พวก​อัครสาวก​ไม่​ถาม​พระ​เยซู​ใน​เรื่อง​ที่​ว่า​พระองค์​จะ​เสด็จ​ไป​ที่​ไหน?

      ▪ อะไร​โดย​เฉพาะ​ที่​พวก​อัครสาวก​ไม่​เข้าใจ?

      ▪ พระ​เยซู​ยก​อุทาหรณ์​อะไร​เพื่อ​แสดง​ว่า​สภาพการณ์​ของ​อัครสาวก​จะ​เปลี่ยน​จาก​ความ​ทุกข์​โศก​มา​เป็น​ความ​ยินดี?

      ▪ พระ​เยซู​ตรัส​ว่า​พวก​อัครสาวก​จะ​ทำ​อะไร​ใน​ไม่​ช้า?

      ▪ พระ​เยซู​ชนะ​โลก​โดย​วิธี​ใด?

      ▪ พระ​เยซู​ได้​รับ “อำนาจ​เหนือ​เนื้อหนัง​ทั้ง​สิ้น” ใน​ความหมาย​เช่น​ไร?

      ▪ การ​รับ​เอา​ความ​รู้​เกี่ยว​ด้วย​พระเจ้า​และ​พระ​บุตร​ของ​พระองค์​หมาย​ถึง​อะไร?

      ▪ พระ​เยซู​ทรง​ทำ​ให้​พระ​นาม​ของ​พระเจ้า​ประจักษ์​แจ้ง​โดย​วิธี​ใด?

      ▪ “ความ​จริง” คือ​อะไร และ​ความ​จริง​นั้น ‘จัด​คริสเตียน​ไว้​ต่าง​หาก​ให้​บริสุทธิ์’ โดย​วิธี​ใด?

      ▪ พระเจ้า, พระ​บุตร​ของ​พระองค์, และ​ผู้​นมัสการ​แท้​ทุก​คน​เป็น​อัน​หนึ่ง​อัน​เดียว​กัน​อย่าง​ไร?

      ▪ มี “การ​วาง​ราก​สร้าง​โลก” เมื่อ​ไร?

หนังสือภาษาไทย (1971-2026)
ออกจากระบบ
เข้าสู่ระบบ
  • ไทย
  • แชร์
  • การตั้งค่า
  • Copyright © 2025 Watch Tower Bible and Tract Society of Pennsylvania
  • เงื่อนไขการใช้งาน
  • นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
  • การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
  • JW.ORG
  • เข้าสู่ระบบ
แชร์