-
ความปวดร้าวในสวนบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
-
-
บท 117
ความปวดร้าวในสวน
เมื่อพระเยซูทรงอธิษฐานเสร็จ พระองค์กับอัครสาวกผู้ซื่อสัตย์ 11 คน ร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวา. ครั้นแล้วพวกเขาได้ลงจากห้องชั้นบน ออกมาในความมืดอันเยือกเย็นแห่งยามราตรี และมุ่งหน้าย้อนกลับไปข้ามหุบเขาฆิดโรนไปยังบ้านเบธาเนีย. แต่กลางทาง พวกเขาแวะตรงบริเวณที่ชอบเป็นพิเศษ คือสวนเฆ็ธเซมาเน. สวนนี้ตั้งอยู่บนหรือในบริเวณใกล้เคียงภูเขามะกอกเทศ. พระเยซูทรงเคยพบปะกับอัครสาวกของพระองค์ที่นี่ในท่ามกลางต้นมะกอกเทศอยู่บ่อย ๆ.
เมื่อปล่อยอัครสาวกแปดคนไว้—บางทีใกล้ทางเข้าสวน—พระองค์ทรงสั่งพวกเขาว่า “จงนั่งอยู่ที่นี่ขณะเมื่อเราจะไปอธิษฐานที่โน่น.” ครั้นแล้วพระองค์ทรงพาอัครสาวกอีกสามคน—เปโตร, ยาโกโบ, และโยฮัน—ดำเนินต่อไปในสวน. พระเยซูทรงเศร้าพระทัยและเป็นทุกข์ยิ่งนัก. พระองค์ตรัสแก่พวกเขาว่า “จิตใจของเราเป็นทุกข์เพียงจะตาย. จงเฝ้าอยู่กับเราที่นี่เถิด.”
ครั้นดำเนินไปข้างหน้าหน่อยหนึ่ง พระเยซูย่อพระกายลงแล้วซบพระพักตร์ลงถึงพื้น เริ่มทูลอธิษฐานอย่างเร่าร้อนว่า “โอพระบิดาของข้าพเจ้า ถ้าเป็นได้ ขอให้จอกนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพเจ้าเถิด. แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพเจ้า แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์.” พระองค์ทรงหมายความว่ากระไร? ทำไมพระองค์ “เป็นทุกข์เพียงจะตาย”? พระองค์ถอยกลับจากการตัดสินพระทัยของพระองค์ที่จะวายพระชนม์และจัดเตรียมค่าไถ่ไหม?
เปล่าเลยทีเดียว! พระเยซูใช่ว่าวิงวอนขอเพื่อให้พ้นจากความตายไม่. แม้แต่ความคิดในเรื่องการหลีกเลี่ยงความตายเป็นพลีกรรม ซึ่งครั้งหนึ่งเปโตรเคยทูลแนะให้นั้นก็เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจสำหรับพระองค์. ถ้าจะพูดให้ถูกแล้ว พระองค์ทรงปวดร้าวพระทัยเพราะเกรงว่าวิธีที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ในไม่ช้า—ในฐานะอาชญากรผู้น่ารังเกียจ—จะนำคำติเตียนมาสู่พระนามของพระบิดา. บัดนี้พระองค์ทรงสำนึกว่าในไม่กี่ชั่วโมง พระองค์จะถูกตอกบนหลักในฐานะเป็นบุคคลเลวร้ายที่สุด—ผู้หมิ่นประมาทพระเจ้า! นี้แหละเป็นสิ่งที่ทำให้พระองค์เป็นทุกข์ยิ่งนัก.
หลังจากอธิษฐานอยู่นาน พระเยซูทรงกลับมาแล้วพบอัครสาวกทั้งสามคนนอนหลับอยู่. พระองค์ตรัสแก่เปโตรว่า “เป็นอย่างไรนะ เจ้าทั้งหลายจะเฝ้าอยู่กับเราสักทุ่มเดียวไม่ได้หรือ? จงเฝ้าระวังและอธิษฐานเพื่อเจ้าจะไม่ได้เข้าในการทดลอง.” อย่างไรก็ดี โดยยอมรับความเครียดที่พวกเขากำลังประสบอยู่ และเวลาที่ดึกแล้ว พระองค์ตรัสว่า “จิตใจพร้อมแล้วก็จริง แต่เนื้อหนังยังอ่อนกำลัง.”
จากนั้นพระเยซูเสด็จออกไปเป็นครั้งที่สอง และทูลขอเพื่อพระเจ้าจะเลื่อน “จอกนี้” ไปจากพระองค์ กล่าวคือส่วนมอบหมาย หรือพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวาสำหรับพระองค์. เมื่อพระองค์กลับมา พระองค์พบสามคนนอนหลับอยู่ในเมื่อพวกเขาควรจะอธิษฐานเพื่อพวกเขาจะไม่ตกเข้าสู่การทดลอง. เมื่อพระเยซูตรัสกับพวกเขา พวกเขาไม่รู้ว่าจะทูลตอบประการใด.
ในที่สุด ครั้งที่สาม พระเยซูทรงดำเนินไประยะประมาณขว้างหินตก แล้วทรงคุกเข่าลง พระองค์ทรงอธิษฐานโดยร้องเสียงดังและน้ำพระเนตรไหลว่า “พระบิดาเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้จอกนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพเจ้า.” พระเยซูทรงรู้สึกอย่างแรงกล้าถึงความปวดร้าวแสนสาหัสเนื่องจากคำติเตียนซึ่งความตายของพระองค์ฐานะอาชญากรจะนำมาสู่พระนามของพระบิดา. ทั้งนี้ การถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้หมิ่นประมาท—ผู้ซึ่งแช่งด่าพระเจ้า—เป็นเรื่องที่แทบเหลือวิสัยจะทนทานได้.
ถึงกระนั้น พระเยซูทรงอธิษฐานต่อไปว่า “อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพเจ้า แต่ให้เป็นตามพระทัยของพระองค์.” พระเยซูทรงยินยอมให้พระทัยประสงค์ของพระองค์เป็นไปตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าด้วยความเชื่อฟัง. ตอนนี้ ทูตองค์หนึ่งจากสวรรค์ปรากฏตัวและชูกำลังพระองค์ด้วยถ้อยคำที่หนุนกำลังใจ. อาจเป็นได้ที่ทูตสวรรค์แจ้งแก่พระเยซูว่าพระองค์ได้รับการแย้มพระโอษฐ์ด้วยความพอพระทัยจากพระยะโฮวา.
กระนั้น ภาระหนักหน่วงเสียนี่กระไรที่อยู่บนบ่าของพระเยซู! ชีวิตถาวรของพระองค์และชีวิตถาวรของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งสิ้นขึ้นอยู่กับความซื่อสัตย์มั่นคงของพระองค์. ความเครียดทางด้านความรู้สึกมีมากยิ่งนัก. ดังนั้น พระเยซูทรงอธิษฐานอย่างเร่าร้อนยิ่งขึ้นต่อไป และพระเสโทของพระองค์กลายเป็นเหมือนหยดเลือดขณะตกลงถึงดิน. วารสารของแพทยสมาคมแห่งอเมริกา ออกความเห็นว่า “ถึงแม้นี้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยทีเดียวก็ตาม เหงื่อที่หลั่งออกเหมือนเลือด . . . อาจเกิดขึ้นในภาวะทางด้านความรู้สึกที่รุนแรงได้.”
หลังจากนั้นพระเยซูกลับมาหาอัครสาวกของพระองค์เป็นครั้งที่สาม และทรงพบว่าพวกเขานอนหลับอยู่อีกครั้งหนึ่ง. พวกเขาหมดกำลังเนื่องจากความทุกข์โศกเศร้าอย่างหนัก. พระองค์ทรงร้องอุทานว่า “เจ้ายังจะนอนต่อไปให้หายเหนื่อยอีกหรือ! พอเถอะ! นี่แน่ะ เวลาซึ่งบุตรมนุษย์ต้องถูกมอบไว้ในมือคนบาปมาถึงแล้ว! ลุกขึ้น ให้เราพากันไปเถอะ. ผู้ที่จะมอบเราไว้มาใกล้แล้ว.”ขณะที่พระองค์ยังตรัสอยู่นั้น ยูดา อิศการิโอดก็เข้ามาใกล้ ติดตามด้วยฝูงชนจำนวนมากถือคบเพลิงและโคมไฟกับอาวุธต่าง ๆ. มัดธาย 26:30, 36–47; 16:21-23; มาระโก 14:26, 32–43; ลูกา 22:39-47; โยฮัน 18:1-3; เฮ็บราย 5:7.
▪ ภายหลังออกจากห้องชั้นบนแล้ว พระเยซูทรงพาพวกอัครสาวกไปที่ไหน และพระองค์ทรงทำอะไรที่นั่น?
▪ ระหว่างที่พระเยซูทรงอธิษฐานอยู่นั้น พวกอัครสาวกทำอะไร?
▪ ทำไมพระเยซูรู้สึกปวดร้าว และพระองค์ทูลขออะไรจากพระเจ้า?
▪ การที่พระเสโทของพระเยซูกลายเป็นหยดเลือดนั้นบ่งชี้ถึงอะไร?
-
-
การทรยศและการจับกุมบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
-
-
บท 118
การทรยศและการจับกุม
เป็นเวลาเลยเที่ยงคืนไปแล้วขณะที่ยูดาพาคนกลุ่มใหญ่ที่ประกอบด้วยทหาร พวกปุโรหิตใหญ่ พวกฟาริซายและคนอื่น ๆ เข้าไปในสวนเฆ็ธเซมาเน. พวกปุโรหิตได้ตกลงที่จะจ่ายให้ยูดาเป็นเงิน 30 แผ่นสำหรับการทรยศต่อพระเยซู.
ก่อนหน้านั้น เมื่อยูดาออกไปจากการรับประทานปัศคาแล้ว ดูเหมือนว่าเขาได้ไปหาพวกปุโรหิตใหญ่โดยตรง. คนเหล่านี้ได้ประชุมเจ้าหน้าที่ของเขาเอง อีกทั้งทหารกลุ่มหนึ่งด้วย. บางทียูดาอาจพาพวกเขาไปยังสถานที่ซึ่งพระเยซูกับพวกอัครสาวกของพระองค์ฉลองปัศคาก่อน. เมื่อพบว่าพวกเขาออกไปแล้ว คนกลุ่มใหญ่ที่ถืออาวุธและถือโคมไฟและคบเพลิงจึงได้ติดตามยูดาออกไปจากกรุงยะรูซาเลมแล้วข้ามหุบเขาฆิดโรน.
ขณะที่ยูดานำฝูงคนขึ้นไปบนภูเขามะกอกเทศนั้น เขารู้สึกแน่ใจว่าเขาทราบว่าจะพบพระเยซูได้ที่ไหน. ระหว่างสัปดาห์ที่ผ่านไป ขณะที่พระเยซูกับพวกอัครสาวกเดินทางไป ๆ มา ๆ ระหว่างบ้านเบธาเนียกับกรุงยะรูซาเลมนั้น พวกเขามักจะแวะในสวนเฆ็ธเซมาเนอยู่เสมอเพื่อพักผ่อนและสนทนากัน. แต่บัดนี้ โดยที่พระเยซูอาจซ่อนอยู่ในความมืดใต้ต้นมะกอกเทศก็ได้ พวกทหารจะชี้ตัวพระองค์ได้อย่างไร? พวกเขาอาจไม่เคยเห็นพระองค์มาก่อนก็ได้. ยูดาจึงให้อาณัติสัญญาณ โดยบอกว่า “เราจะจูบผู้ใดก็เป็นผู้นั้นแหละ จงจับคุมเขาไปให้มั่นคง.”
ยูดานำคนกลุ่มใหญ่เข้าไปในสวน เห็นพระเยซูอยู่กับพวกอัครสาวกของพระองค์ จึงตรงเข้าไปหาพระองค์. เขาทูลว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้ายินดีที่พบอาจารย์” แล้วเขาก็จูบพระองค์อย่างละมุนละไม.
พระเยซูทรงตอบโต้ว่า “สหายเอ๋ย ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไรหรือ?” จากนั้น โดยตอบคำถามของพระองค์เอง พระองค์ตรัสว่า “ยูดา ท่านจะมอบบุตรมนุษย์ด้วยอาการจูบหรือ?” แต่ก็พอแล้วสำหรับผู้ทรยศต่อพระองค์! พระเยซูทรงก้าวออกไปข้างหน้าสู่แสงไฟของคบเพลิงที่ลุกไหม้อยู่และโคมไฟ และตรัสถามว่า “ท่านทั้งหลายมาหาผู้ใด?”
คำตอบคือว่า “มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ.”
พระเยซูตรัสตอบว่า “เราเป็นผู้นั้นแหละ” ขณะที่พระองค์ทรงยืนอย่างไม่สะทกสะท้านต่อหน้าพวกเขา. เพราะตะลึงงันเนื่องจากความกล้าหาญของพระองค์ และไม่รู้ว่าจะคาดคิดอะไร คนพวกนั้นจึงถอยหลังและล้มลงกับพื้น.
พระเยซูตรัสต่อไปอย่างสงบว่า “เราบอกท่านแล้วว่า เราเป็นผู้นั้นแหละ. เหตุฉะนั้น ถ้าท่านแสวงหาเรา จงปล่อยให้คนเหล่านี้ไปเถิด.” ก่อนหน้านั้นไม่นานในห้องชั้นบน พระเยซูได้กราบทูลพระบิดาของพระองค์ในคำอธิษฐานเพื่อให้พระบิดาพิทักษ์รักษาพวกอัครสาวกผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ไว้ และไม่ให้สักคนหนึ่งในพวกเขาเสียไป “เว้นแต่ลูกของความพินาศ.” ดังนั้น เพื่อคำของพระองค์จะเป็นจริง พระองค์ทรงขอให้ปล่อยพวกสาวกของพระองค์ไป.
เมื่อพวกทหารควบคุมตัวได้แล้ว ยืนขึ้นและเริ่มมัดพระเยซู พวกอัครสาวกก็ตระหนักว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น. พวกเขาทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าจะเอาดาบฟันเขาหรือ?” ก่อนพระเยซูตอบ เปโตรขยับดาบหนึ่งในสองเล่มที่อัครสาวกได้นำมาด้วยนั้น ฟันมาละโค ทาสของมหาปุโรหิต. การฟันของเปโตรพลาดศีรษะของทาสไป แต่ทว่าไปตัดหูข้างขวาขาด.
พระเยซูตรัสขณะที่พระองค์เข้าแทรกว่า “ขอเสียทีเถอะ.” โดยแตะใบหูนั้น พระองค์ทรงรักษาแผลให้หาย. ครั้นแล้วพระองค์ทรงสอนบทเรียนสำคัญ พระองค์ตรัสสั่งแก่เปโตรว่า “จงเอาดาบใส่ฝักเสีย ด้วยว่าบรรดาผู้ถือดาบจะต้องพินาศเพราะดาบ. ท่านถือว่าเราจะขอพระบิดาของเรา และในประเดี๋ยวเดียวพระองค์จะทรงประทานทูตสวรรค์แก่เรากว่าสิบสองกองไม่ได้หรือ?”
พระเยซูทรงเต็มพระทัยที่จะถูกจับกุม เพราะพระองค์ทรงอธิบายว่า “ถ้าอย่างนั้นคำที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า จำจะต้องเป็นอย่างนั้น จะสำเร็จอย่างไรได้?” และพระองค์ตรัสเสริมว่า “จอกซึ่งพระบิดาของเราทรงประทานแก่เรา เราจะไม่ดื่มหรือ?” พระองค์ทรงเห็นพ้องด้วยโดยตลอดกับพระทัยประสงค์ของพระเจ้าสำหรับพระองค์.
ต่อจากนั้น พระเยซูทรงปราศรัยกับฝูงชน. พระองค์ตรัสถามว่า “ท่านทั้งหลายถือดาบถือตะบองออกมาจับเราเหมือนจะจับโจรหรือ? เราได้นั่งสั่งสอนท่านในวิหารทุกวัน ท่านก็หาได้จับเราไม่. แต่เหตุการณ์ที่ได้บังเกิดขึ้นทั้งนี้เพื่อคำของศาสดาพยากรณ์ในพระคัมภีร์จะสำเร็จ.”
ถึงตอนนั้นพวกทหารกับนายทหารและเจ้าหน้าที่ของพวกยิวจับพระเยซูไว้แล้วมัดพระองค์. เมื่อเห็นเช่นนี้ พวกอัครสาวกจึงละทิ้งพระเยซูแล้วหนีไป. อย่างไรก็ดี ชายหนุ่มคนหนึ่ง—ดูเหมือนจะเป็นสาวกมาระโก—ยังคงอยู่ในท่ามกลางฝูงชน. เขาอาจอยู่ที่บ้านซึ่งพระเยซูได้ฉลองปัศคา และหลังจากนั้นได้ติดตามฝูงชนไปจากที่นั่น. แต่ตอนนี้ คนจำเขาได้และมีการพยายามจะจับตัวเขา. แต่เขาทิ้งผ้าป่านคลุมตัวเขาไว้แล้วหนีไป. มัดธาย 26:47-56; มาระโก 14:43–52; ลูกา 22:47-53; โยฮัน 17:12; 18:3-12.
▪ ทำไมยูดารู้สึกมั่นใจว่าเขาจะพบพระเยซูในสวนเฆ็ธเซมาเน?
▪ พระเยซูทรงสำแดงความห่วงใยต่อพวกอัครสาวกของพระองค์อย่างไร?
▪ เปโตรลงมือจัดการอย่างไรเพื่อปกป้องพระเยซู แต่พระเยซูตรัสอะไรแก่เปโตร?
▪ พระเยซูทรงเผยให้เห็นโดยวิธีใดว่าพระองค์ทรงเห็นพ้องด้วยโดยตลอดกับพระทัยประสงค์ของพระเจ้าสำหรับพระองค์?
▪ เมื่อพวกอัครสาวกละทิ้งพระเยซู ใครที่ยังอยู่ต่อไป และเกิดอะไรขึ้นกับเขา?
-
-
ถูกพาไปหาอันนาศ แล้วก็กายะฟาบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
-
-
บท 119
ถูกพาไปหาอันนาศ แล้วก็กายะฟา
พระเยซูซึ่งถูกมัดเหมือนอาชญากรทั่ว ๆ ไป ถูกพาไปหาอันนาศ อดีตมหาปุโรหิตที่มีอิทธิพล. อันนาศเป็นมหาปุโรหิตคราวเมื่อพระเยซูเป็นเด็กวัย 12 พรรษาที่ทำให้พวกศาสนาจารย์ ณ พระวิหารประหลาดใจ. บุตรชายของอันนาศหลายคนได้รับใช้ฐานะมหาปุโรหิตในภายหลัง และตอนนี้กายะฟาบุตรเขยของเขาอยู่ในตำแหน่งนั้น.
บางทีพระเยซูอาจถูกพาไปยังบ้านของอันนาศก่อน เนื่องจากปุโรหิตใหญ่คนนี้เป็นคนเด่นมาเป็นเวลานานในชีวิตด้านศาสนาของพวกยิว. การหยุดระหว่างทางเพื่อพบอันนาศเช่นนี้เปิดโอกาสให้มหาปุโรหิตกายะฟารวบรวมซันเฮดริน ศาลสูงของยิวซึ่งมีสมาชิก 71 คน อีกทั้งเพื่อรวบรวมพยานเท็จด้วย.
ปุโรหิตใหญ่อันนาศซักถามพระเยซูในเรื่องพวกสาวกและคำสอนของพระองค์. อย่างไรก็ดี พระเยซูตรัสตอบว่า “เราได้กล่าวให้โลกฟังโดยเปิดเผย. เราได้สั่งสอนในธรรมศาลาและในพระวิหารที่พวกยูดายเคยชุมนุมกันอยู่ทุกครั้งเสมอ เราหาได้สอนสิ่งใดในที่ลับไม่. ท่านถามเราทำไม? จงถามผู้ที่ได้ฟังเราว่าเราได้สั่งสอนเขาอย่างไร. นี่แน่ะ ซึ่งเราได้กล่าวนั้นเขาก็รู้.”
ถึงตอนนี้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ใกล้พระเยซูตบพระพักตร์พระองค์ พูดว่า “เจ้าตอบมหาปุโรหิต [ปุโรหิตใหญ่, ล.ม.] อย่างนั้นหรือ?”
พระเยซูตรัสว่า “ถ้าเราพูดผิด จงเป็นพยานถึงความผิดนั้น แต่ถ้าเราพูดถูก ตบเราทำไม?” หลังจากการโต้ตอบเช่นนี้แล้ว อันนาศส่งพระเยซูทั้งยังถูกมัดอยู่ไปหากายะฟา.
ขณะนี้ ปุโรหิตใหญ่ทั้งหมดและผู้เฒ่าผู้แก่กับพวกอาลักษณ์ ถูกแล้ว ศาลซันเฮดรินทั้งคณะกำลังเริ่มต้นที่จะประชุมกัน. สถานที่แห่งการประชุมของพวกเขาดูเหมือนจะเป็นบ้านของกายะฟา. การจัดให้มีการพิจารณาคดีดังกล่าวในคืนปัศคาเป็นการขัดกับกฎหมายของพวกยิวอย่างเห็นได้ชัด. แต่นี้มิได้ขัดขวางพวกหัวหน้าศาสนาไว้จากจุดประสงค์ชั่วของพวกเขา.
หลายสัปดาห์ก่อน คราวเมื่อพระเยซูปลุกลาซะโรให้ฟื้นขึ้นจากตาย ศาลซันเฮดรินได้ตกลงกันแล้วว่าพระองค์ต้องตาย. และสองวันก่อนหน้านั้นทีเดียว พวกผู้มีอำนาจทางศาสนาได้ปรึกษากันที่จะจับพระเยซูโดยอุบายอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมเพื่อสังหารพระองค์. นึกดูซิ ที่แท้แล้วพระองค์ถูกตัดสินก่อนการพิจารณาคดีของพระองค์เสียด้วยซ้ำ!
บัดนี้เขาพยายามที่จะหาพยานซึ่งจะเสนอหลักฐานเท็จเพื่อว่าอาจตั้งข้อกล่าวหาฟ้องพระเยซูได้. อย่างไรก็ดี ไม่อาจพบพยานผู้ซึ่งให้การตรงกัน. ในที่สุด สองคนแสดงตัวออกมาและยืนยันว่า “ข้าพเจ้าได้ยินคนนี้ว่า ‘เราจะทำลายโบสถ์ [พระวิหาร] นี้ที่สร้างไว้ด้วยมือมนุษย์ และในสามวันจะสร้างขึ้นใหม่อีกโบสถ์หนึ่งซึ่งไม่ทำด้วยมือมนุษย์เลย.”
กายะฟาถามว่า “ท่านไม่ตอบอะไรบ้างหรือ? ซึ่งเขาเบิกความปรับปรำท่านนั้นจะว่าอย่างไร?” แต่พระเยซูคงนิ่งอยู่. แม้แต่ในข้อกล่าวหาเท็จนี้ พยานก็ไม่อาจทำให้เรื่องราวของเขาประสานกันได้ ยังความอัปยศอดสูแก่ศาลซันเฮดริน. ดังนั้น มหาปุโรหิตจึงลองใช้กลยุทธ์ที่ต่างกัน.
กายะฟาทราบว่าพวกยิวมีความรู้สึกไวเพียงไรเกี่ยวกับใคร ๆ ที่อ้างว่าเป็นพระบุตรแท้ของพระเจ้า. ในสองคราวก่อนหน้านั้น พวกเขาได้ด่วนตราหน้าพระเยซูว่าเป็นผู้หมิ่นประมาทที่คู่ควรกับความตาย ครั้งหนึ่งได้ทึกทักอย่างผิด ๆ ว่าพระองค์อ้างว่าเท่าเทียมกับพระเจ้า. ตอนนี้กายะฟาสั่งอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมว่า “เราให้เจ้าสาบานต่อพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ให้บอกเราว่า เจ้าเป็นพระคริสต์บุตรของพระเจ้าหรือไม่!”
ไม่ว่าพวกยิวจะคิดอย่างไรก็ตาม พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง. และการเงียบอยู่ต่อไปอาจถูกแปลความหมายว่าเป็นการปฏิเสธการที่พระองค์เป็นพระคริสต์. ดังนั้น พระเยซูตรัสตอบอย่างกล้าหาญว่า “เราเป็น และท่านทั้งหลายจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของผู้ทรงฤทธานุภาพและเสด็จมาในเมฆฟ้า.”
ถึงตอนนี้ กายะฟา ด้วยการแสดงออกอย่างที่เร้าใจ จึงฉีกเสื้อผ้าของเขาแล้วอุทานว่า “เขาพูดหมิ่นประมาทแล้ว! เราต้องการพยานอะไรอีกเล่า? นี่แน่ะ ท่านทั้งหลายก็ได้ยินคำหมิ่นประมาทของเขาแล้ว. ท่านคิดเห็นอย่างไร?”
ศาลซันเฮเดรินประกาศว่า “ควรปรับโทษถึงตาย.” ต่อจากนั้นพวกเขาเริ่มล้อเล่นพระองค์ และพวกเขาพูดหลายอย่างเป็นการหมิ่นประมาทพระองค์. เขาตบพระพักตร์พระองค์ แล้วถ่มน้ำลายรด. คนอื่น ๆ ปิดพระพักตร์ของพระองค์ แล้วตบพระองค์ด้วยกำปั้น แล้วพูดอย่างแดกดันว่า “เจ้าพระคริสต์ จงทายให้เราฟังว่า ใครตบ?” พฤติการณ์ที่สบประมาท ผิดกฎหมายเช่นนี้ได้เกิดขึ้นระหว่างการพิจารณาคดีในเวลากลางคืน. มัดธาย 26:57-68; 26:3, 4; มาระโก 14:53-65; ลูกา 22:54, 63–65; โยฮัน 18:13-24; 11:45-53; 10:31-39; 5:16-18.
▪ พระเยซูถูกพาไปที่ไหนก่อน และเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์ที่นั่น?
▪ ต่อจากนั้นพระเยซูถูกพาไปที่ไหน และด้วยจุดมุ่งหมายอะไร?
▪ กายะฟาสามารถทำให้ศาลซันเฮดรินประกาศว่าพระเยซูสมควรจะตายนั้นโดยวิธีใด?
▪ พฤติการณ์ที่สบประมาท ผิดกฎหมายอะไรเกิดขึ้นระหว่างการพิจารณาคดี?
-
-
การปฏิเสธในลานบ้านบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
-
-
บท 120
การปฏิเสธในลานบ้าน
หลังจากละทิ้งพระเยซูในสวนเฆ็ธเซมาเน แล้วหนีไปด้วยความกลัวพร้อมกับอัครสาวกคนอื่น ๆ เปโตรกับโยฮันก็หยุดหนี. บางทีเขาทั้งสองตามทันพระเยซูเมื่อพระองค์ถูกพามาที่บ้านของอันนาศ. เมื่ออันนาศส่งพระองค์ไปหามหาปุโรหิตกายะฟา เปโตรกับโยฮันตามไปในระยะห่างพอควร ดูเหมือนจะอยู่ในระหว่างความกลัวเนื่องด้วยชีวิตของเขาเองกับความห่วงใยอันสุดซึ้งในสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับนายของเขา.
เมื่อมาถึงทำเนียบอันกว้างขวางของกายะฟา โยฮันเข้าไปในบริเวณบ้านได้ เนื่องจากมหาปุโรหิตรู้จักเขา. อย่างไรก็ดี เปโตรถูกทิ้งไว้ให้ยืนอยู่ข้างนอกที่ประตู. แต่ในไม่ช้าโยฮันก็กลับมาและพูดกับคนเฝ้าประตู หญิงรับใช้ และเปโตรก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไป.
บัดนี้อากาศหนาว และพวกคนใช้ในบ้านกับเจ้าหน้าที่ของมหาปุโรหิตได้ก่อไฟด้วยถ่านไม้. เปโตรเข้าร่วมผิงไฟให้อุ่นกับพวกเขาระหว่างคอยผลของการพิจารณาคดีพระเยซู. ณ ที่นั่น ในแสงไฟที่ลุกโพลง คนเฝ้าประตูซึ่งปล่อยให้เปโตรเข้าไปมองเห็นเขาชัดขึ้น. เธออุทานว่า “ท่านได้อยู่กับเยซูชาวฆาลิลายด้วย!”
เพราะเดือดร้อนใจที่ถูกจำได้ต่อหน้าพวกเขาทั้งหมด เปโตรปฏิเสธที่เคยรู้จักพระเยซู. เขาบอกว่า “ที่เจ้าว่านั้นข้าไม่รู้และไม่เข้าใจ.”
จากนั้น เปโตรก็ออกไปอยู่ใกล้ทางออกประตู. ที่นั่น หญิงสาวอีกคนหนึ่งสังเกตเห็นเขา และพูดกับคนเหล่านั้นที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ว่า “คนนี้ได้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธ.” อีกครั้งหนึ่ง เปโตรปฏิเสธเรื่องนั้น โดยสาบานว่า “คนนั้นข้าไม่รู้จัก!”
เปโตรยังคงอยู่ในลานบ้าน พยายามไม่ให้เป็นเป้าสายตาเท่าที่เป็นไปได้. บางทีถึงตอนนี้เขาสะดุ้งเนื่องจากไก่ขันในความมืดยามเช้าตรู่. ในระหว่างนั้น การพิจารณาคดีของพระเยซูดำเนินต่อไป ดูเหมือนว่าดำเนินการอยู่ในส่วนหนึ่งของบ้านที่อยู่เหนือลานนั้น. เปโตรกับคนอื่น ๆ คงคอยอยู่ข้างล่างเพื่อดูพยานต่าง ๆ ที่ไป ๆ มา ๆ ซึ่งถูกนำเข้ามาเพื่อให้การ.
ราว ๆ หนึ่งชั่วโมงได้ผ่านไปตั้งแต่เปโตรถูกจำได้ครั้งสุดท้ายว่าเป็นผู้สมทบกับพระเยซู. บัดนี้คนเหล่านั้นหลายคนที่ยืนอยู่รอบ ๆ ได้มาหาเขาและพูดว่า “เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่แล้ว ด้วยว่าภาษาของเจ้าส่อตัวเจ้าเอง.” คนหนึ่งในกลุ่มนั้นเป็นญาติของมาละโค ซึ่งเปโตรได้ฟันหูเขาขาด. เขาพูดว่า “ข้าได้เห็นเจ้ากับท่านนั้นในสวน มิใช่หรือ?”
เปโตรยืนยันอย่างแข็งขันว่า “คนนั้นข้าไม่รู้จัก!” ที่จริง โดยสบถและสาบานในเรื่องนั้น ที่แท้แล้ว เป็นการขอให้เหตุร้ายตกแก่เขาเองหากเขาไม่ได้พูดความจริง เขาพยายามทำให้พวกนั้นเชื่อมั่นใจว่าพวกเขาล้วนเข้าใจผิด.
ขณะที่เปโตรทำการปฏิเสธครั้งที่สาม ไก่ก็ขัน. และทันใดนั้น พระเยซูผู้ซึ่งดูเหมือนว่าออกมาอยู่ข้างนอกบนระเบียงเหนือลานบ้าน ทรงเหลียวมาทอดพระเนตรดูเขา. พลันเปโตรก็หวนรำลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้ตรัสเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านั้นในห้องชั้นบนว่า “ก่อนไก่ขันสองหนท่านจะปฏิเสธเราถึงสามครั้ง.” เพราะรู้สึกตะลึงงันเนื่องจากบาปอันหนักหน่วงของเขา เปโตรจึงออกไปข้างนอก และร้องไห้อย่างขมขื่น.
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? หลังจากมั่นใจจริง ๆ ในความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณของตน เปโตรปฏิเสธนายของเขาติด ๆ กันสามครั้งโดยฉับพลันนั้นได้อย่างไร? ไม่ต้องสงสัยว่าสภาพแวดล้อมทำให้เปโตรติดกับโดยไม่รู้ตัว. ความจริงได้ถูกบิดเบือน และมีการวาดภาพพระเยซูเสมือนเป็นอาชญากรที่เลวทรามต่ำช้า. มีการทำให้สิ่งที่ถูกต้องดูเหมือนว่าผิด คนที่ปราศจากผิดเสมือนเป็นผู้มีความผิด. ดังนั้น เนื่องจากความกดดันในโอกาสนั้น เปโตรจึงหลุดจากสภาพที่สมดุล. ความสำนึกอันเหมาะสมของเขาในเรื่องความภักดีถูกทำลายโดยฉับพลัน. ยังความเศร้าระทมแก่เขาที่เขาตกตะลึงพรึงเพริดไปเนื่องจากความกลัวหน้ามนุษย์. ขออย่าให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นกับเราเลย! มัดธาย 26:57, 58, 69–75; มาระโก 14:30, 53, 54, 66–72; ลูกา 22:54-62; โยฮัน 18:15-18, 25–27.
▪ เปโตรกับโยฮันเข้าไปในลานบ้านของมหาปุโรหิตโดยวิธีใด?
▪ ขณะที่เปโตรกับโยฮันอยู่ในลานบ้าน อะไรดำเนินอยู่ในบ้านนั้น?
▪ ไก่ขันกี่ครั้ง และเปโตรปฏิเสธว่าไม่รู้จักพระคริสต์บ่อยเท่าไร?
▪ การที่เปโตรสบถและสาบานนั้นหมายความอย่างไร?
▪ อะไรเป็นเหตุให้เปโตรปฏิเสธว่าท่านไม่รู้จักพระเยซู?
-