ห้องสมุดออนไลน์ของวอชเทาเวอร์
ห้องสมุดออนไลน์
ของวอชเทาเวอร์
ไทย
  • คัมภีร์ไบเบิล
  • สิ่งพิมพ์
  • การประชุม
  • การเริ่มต้นของวันอันสำคัญยิ่ง
    บุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
    • บท 105

      การ​เริ่ม​ต้น​ของ​วัน​อัน​สำคัญ​ยิ่ง

      เมื่อ​พระ​เยซู​เสด็จ​ออก​จาก​กรุง​ยะรูซาเลม​ใน​ตอน​ค่ำ​วัน​จันทร์ พระองค์​กลับ​ไป​ยัง​บ้าน​เบธาเนีย​บน​เนิน​ด้าน​ตะวัน​ออก​ของ​ภูเขา​มะกอก​เทศ. สอง​วัน​แห่ง​งาน​รับใช้​รอบ​สุด​ท้าย​ของ​พระองค์​ใน​กรุง​ยะรูซาเลม​ได้​เสร็จ​สิ้น​ลง. พระ​เยซู​คง​ประทับ​แรม​กับ​ลาซะโร​สหาย​ของ​พระองค์​อีก. ตั้ง​แต่​เสด็จ​จาก​เมือง​ยะริโฮ​มา​เมื่อ​วัน​ศุกร์ นี้​เป็น​คืน​ที่​สี่​ที่​พระองค์​ประทับ​ใน​บ้าน​เบธาเนีย.

      บัด​นี้ เช้า​ตรู่​วัน​อังคาร​ที่ 11 เดือน​ไนซาน พระองค์​กับ​เหล่า​สาวก​ของ​พระองค์​เริ่ม​เดิน​ทาง​อีก. วัน​นี้​ปรากฏ​ว่า​เป็น​วัน​อัน​สำคัญ​ยิ่ง​แห่ง​งาน​รับใช้​ของ​พระ​เยซู วัน​ซึ่ง​มี​ธุระ​ยุ่ง​มาก​ที่​สุด​จวบ​จน​บัด​นี้. เป็น​วัน​สุด​ท้าย​ที่​พระองค์​ปรากฏ​ตัว​ใน​พระ​วิหาร. และ​เป็น​วัน​สุด​ท้าย​แห่ง​งาน​รับใช้​ของ​พระองค์​ใน​ที่​สาธารณะ​ก่อน​การ​พิจารณา​คดี​และ​การ​ประหาร​ชีวิต​ของ​พระองค์.

      พระ​เยซู​กับ​สาวก​ของ​พระองค์​ใช้​เส้น​ทาง​เดียว​กัน​ข้าม​ภูเขา​มะกอก​เทศ​ไป​ทาง​กรุง​ยะรูซาเลม. ตาม​ถนน​จาก​บ้าน​เบธาเนีย​นั้น เปโตร​ได้​สังเกต​ต้น​ไม้​ที่​พระ​เยซู​ทรง​สาป​แช่ง​ไว้​เมื่อ​เช้า​วัน​ก่อน. ท่าน​อุทาน​ว่า “อาจารย์​เจ้าข้า ขอ​ได้​ทอด​พระ​เนตร​ดู! ต้น​มะเดื่อ​เทศ​ที่​พระองค์​ได้​สาป​ไว้​นั้น​ก็​เหี่ยว​แห้ง​ไป​แล้ว.”

      แต่​เหตุ​ใด​พระ​เยซู​ทรง​ทำ​ให้​ต้น​ไม้​นั้น​ตาย? พระองค์​ทรง​ชี้​แจง​เหตุ​ผล​เมื่อ​พระองค์​ตรัส​ต่อ​ไป​ว่า “เรา​บอก​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ตาม​จริง​ว่า ถ้า​ท่าน​มี​ความ​เชื่อ​และ​มิ​ได้​สงสัย ท่าน​จะ​กระทำ​ได้ ใช่​ว่า​เพียง​ต้น​มะเดื่อ​เทศ​นี้​เท่า​นั้น ถึง​แม้​ท่าน​จะ​สั่ง​ภูเขา​นี้ [ภูเขา​มะกอก​เทศ​ที่​เขา​ยืน​อยู่] ว่า ‘จง​ถอย​ไป​ลง​ทะเล’ ก็​จะ​สำเร็จ. สิ่ง​สารพัด​ซึ่ง​ท่าน​จะ​อธิษฐาน​ขอ​โดย​ความ​เชื่อ​ท่าน​คง​จะ​ได้.”

      ดัง​นั้น โดย​การ​บันดาล​ให้​ต้น​ไม้​นั้น​เหี่ยว​แห้ง​ไป พระ​เยซู​จัด​ให้​มี​บทเรียน​ที่​เห็น​ได้​จริง​แก่​พวก​สาวก​ของ​พระองค์​ใน​เรื่อง​ความ​จำเป็น​ของ​พวก​เขา​ที่​จะ​มี​ความ​เชื่อ​ใน​พระเจ้า. ดัง​ที่​พระองค์​ทรง​แถลง​ว่า “เมื่อ​ท่าน​จะ​อธิษฐาน​ขอ​พระเจ้า​นั้น ท่าน​จะ​ปรารถนา​สิ่ง​ใด จง​เชื่อ​ว่า​ได้​รับ และ​ท่าน​คง​จะ​ได้​สิ่ง​นั้น.” ช่าง​เป็น​บทเรียน​สำคัญ​อะไร​เช่น​นี้​สำหรับ​พวก​เขา​ที่​จะ​เรียน​รู้ โดย​เฉพาะ​อย่าง​ยิ่ง​เมื่อ​คำนึง​ถึง​การ​ทดลอง​อัน​น่า​พรั่นพรึง​ที่​จะ​เกิด​ขึ้น​ใน​ไม่​ช้า! กระนั้น มี​ความ​เกี่ยว​พัน​กัน​อีก​อย่าง​หนึ่ง​ระหว่าง​การ​เหี่ยว​แห้ง​ไป​ของ​ต้น​มะเดื่อ​เทศ​กับ​คุณภาพ​ของ​ความ​เชื่อ.

      ชาติ​ยิศราเอล เช่น​เดียว​กับ​มะเดื่อ​เทศ​ต้น​นี้ มี​ลักษณะ​ภาย​นอก​ที่​หลอก​ลวง. ถึง​แม้​ชาติ​นั้น​อยู่​ใน​สัมพันธภาพ​โดย​อาศัย​คำ​สัญญา​ไมตรี​กับ​พระเจ้า​และ​อาจ​ปรากฏ​ภาย​นอก​ว่า​ปฏิบัติ​ตาม​กฎเกณฑ์​ต่าง ๆ ของ​พระองค์​ก็​ตาม ชาติ​นั้น​ก็​ได้​พิสูจน์​ว่า​ปราศจาก​ความ​เชื่อ ไม่​เกิด​ผล​ที่​ดี. เนื่อง​จาก​ขาด​ความ​เชื่อ ชาติ​นั้น​กำลัง​ปฏิเสธ​พระ​บุตร​ของ​พระเจ้า​เอง​ด้วย​ซ้ำ​ไป! ดัง​นั้น โดย​การ​บันดาล​ให้​ต้น​มะเดื่อ​เทศ​ที่​ไม่​เกิด​ผล​นั้น​เหี่ยว​แห้ง​ไป พระ​เยซู​แสดง​ให้​เห็น​อย่าง​ชัดเจน​ว่า ผล​จะ​ลงเอย​อย่าง​ไร​กับ​ชาติ​ที่​ไม่​บังเกิด​ผล​และ​ขาด​ความ​เชื่อ​นี้.

      อีก​ไม่​นาน พระ​เยซู​กับ​พวก​สาวก​ของ​พระองค์​ก็​เข้า​สู่​กรุง​ยะรูซาเลม และ​ดัง​ที่​เคย​เป็น​กิจวัตร​ของ​พวก​เขา​นั้น พวก​เขา​ไป​ยัง​พระ​วิหาร อัน​เป็น​ที่​ซึ่ง​พระ​เยซู​เริ่ม​สั่ง​สอน. พวก​ปุโรหิต​ใหญ่​และ​ผู้​เฒ่า​ผู้​แก่​ของ​ประชาชน​คง​คิด​ถึง​การ​ที่​พระ​เยซู​ลง​มือ​จัด​การ​กับ​คน​แลก​เปลี่ยน​เงิน​ใน​วัน​ก่อน​นั้น​อย่าง​ไม่​ต้อง​สงสัย จึง​ท้าทาย​พระองค์​ว่า “ท่าน​กระทำ​การ​นี้​โดย​อำนาจ​อะไร? ผู้​ใด​ให้​ท่าน​มี​อำนาจ​อย่าง​นี้?”

      พระ​เยซู​ตรัส​ใน​การ​ตอบ​คำ​ถาม​นั้น​ว่า “เรา​จะ​ถาม​ท่าน​ทั้ง​หลาย​สัก​ข้อ​หนึ่ง​ด้วย. ถ้า​ตอบ​ได้ เรา​จะ​บอก​ท่าน​เหมือน​กัน​ว่า​เรา​กระทำ​การ​นี้​โดย​อำนาจ​อะไร: คือ​บัพติสมา​ของ​โยฮัน​นั้น​มา​จาก​ไหน? มา​จาก​สวรรค์​หรือ​มา​จาก​มนุษย์?”

      พวก​ปุโรหิต​และ​ผู้​เฒ่า​ผู้​แก่​เริ่ม​ปรึกษา​ระหว่าง​พวก​เขา​เอง​ว่า​เขา​จะ​ตอบ​อย่าง​ไร. “ถ้า​เรา​จะ​ว่า ‘มา​จาก​สวรรค์’ ท่าน​จะ​ว่า​แก่​เรา​ว่า ‘เหตุ​ไฉน​จึง​ไม่​เชื่อ​โยฮัน​เล่า? แต่​ถ้า​เรา​ว่า ‘มา​จาก​มนุษย์’ ก็​กลัว​ประชาชน เพราะ​ว่า​ประชาชน​ทั้ง​ปวง​ถือ​ว่า​โยฮัน​เป็น​ศาสดา​พยากรณ์.”

      พวก​ผู้​นำ​ไม่​รู้​ว่า​จะ​ตอบ​อย่าง​ไร. ดัง​นั้น พวก​เขา​ทูล​ตอบ​พระ​เยซู​ว่า “พวก​ข้าพเจ้า​ไม่​ทราบ.”

      พระ​เยซู​จึง​ตรัส​ว่า “เรา​จะ​ไม่​บอก​ท่าน​ทั้ง​หลาย​เหมือน​กัน​ว่า เรา​กระทำ​การ​นี้​โดย​อำนาจ​อะไร.” มัดธาย 21:19-27; มาระโก 11:19-33; ลูกา 20:1-8.

      ▪ มี​ความ​สำคัญ​อะไร​เกี่ยว​กับ​วัน​อังคาร​ที่ 11 เดือน​ไนซาน?

      ▪ พระ​เยซู​ทรง​ให้​บทเรียน​อะไร​เมื่อ​พระองค์​บันดาล​ให้​ต้น​มะเดื่อ​เทศ​เหี่ยว​แห้ง​ไป?

      ▪ เมื่อ​มี​คน​ถาม​พระ​เยซู​ว่า พระองค์​กระทำ​สิ่ง​ต่าง ๆ โดย​อำนาจ​อะไร​นั้น พระองค์​ทรง​ตอบ​อย่าง​ไร?

  • ถูกเปิดโปงโดยอุทาหรณ์เรื่องสวนองุ่น
    บุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
    • บท 106

      ถูก​เปิดโปง​โดย​อุทาหรณ์​เรื่อง​สวน​องุ่น

      พระ​เยซู​ประทับ​อยู่ ณ พระ​วิหาร. พระองค์​เพิ่ง​ทำ​ให้​หัวหน้า​ศาสนา​ซึ่ง​เรียก​ร้อง​อยาก​ทราบ​ว่า พระองค์​ทำ​สิ่ง​ต่าง ๆ โดย​อำนาจ​ของ​ผู้​ใด​นั้น​ตะลึงงัน. ก่อน​ที่​พวก​เขา​หาย​สับสน พระ​เยซู​ตรัส​ถาม​ว่า “ท่าน​คิด​เห็น​อย่าง​ไร?” และ​ต่อ​จาก​นั้น​โดย​อุทาหรณ์​พระองค์​ทรง​เผย​ให้​เห็น​ว่า พวก​เขา​เป็น​บุคคล​ชนิด​ใด​จริง ๆ.

      พระ​เยซู​ทรง​เล่า​ว่า “ชาย​คน​หนึ่ง​มี​ลูก​สอง​คน. เมื่อ​ไป​หา​ลูก​คน​แรก เขา​บอก​ว่า ‘ลูก​เอ๋ย วัน​นี้​จง​ไป​ทำ​งาน​ใน​สวน​องุ่น.’ ฝ่าย​ลูก​นั้น​ตอบ​ว่า ‘ฉัน​จะ​ไป​ขอ​รับ’ แต่​มิ​ได้​ออก​ไป. ไป​หา​ลูก​คน​ที่​สอง เขา​ก็​พูด​เช่น​เดียว​กัน. ฝ่าย​ลูก​นั้น​ตอบ​ว่า ‘ฉัน​จะ​ไม่​ไป.’ ภาย​หลัง​เขา​รู้สึก​เสียใจ​แล้ว​ก็​ออก​ไป.” พระ​เยซู​ตรัส​ถาม​ว่า “ลูก​สอง​คน​นี้ คน​ไหน​ทำ​ตาม​ประสงค์​ของ​บิดา?”

      ฝ่าย​ปรปักษ์​ของ​พระองค์​ตอบ​ว่า “คน​ที่​สอง.”

      ดัง​นั้น พระ​เยซู​ทรง​ชี้​แจง​ว่า “เรา​บอก​แก่​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ตาม​จริง​ว่า พวก​เก็บ​ภาษี​และ​พวก​หญิง​แพศยา​ก็​เข้า​ใน​ราชอาณาจักร​ของ​พระเจ้า​ก่อน​ท่าน​ทั้ง​หลาย.” ตาม​ความ​เป็น​จริง​แล้ว ตอน​แรก พวก​คน​เก็บ​ภาษี​กับ​หญิง​แพศยา​ไม่​ยอม​รับใช้​พระเจ้า. แต่​ครั้น​แล้ว เช่น​เดียว​กับ​ลูก​คน​ที่​สอง พวก​เขา​ได้​กลับ​ใจ แล้ว​รับใช้​พระองค์. อีก​ด้าน​หนึ่ง พวก​หัวหน้า​ศาสนา เช่น​เดียว​กับ​ลูก​คน​แรก อ้าง​ว่า​รับใช้​พระเจ้า กระนั้น ดัง​ที่​พระ​เยซู​ทรง​ให้​อรรถาธิบาย​ไว้​ว่า “โยฮัน [ผู้​ให้​รับ​บัพติสมา] มา​หา​พวก​ท่าน​ใน​ทาง​แห่ง​ความ​ชอบธรรม แต่​ท่าน​หา​เชื่อ​ท่าน​ไม่. แต่​พวก​เก็บ​ภาษี​และ​พวก​หญิง​แพศยา​ได้​เชื่อ​ท่าน ฝ่าย​ท่าน​ทั้ง​หลาย​เมื่อ​เห็น​แล้ว​มิ​ได้​กลับ​ใจ​ภาย​หลัง​แล้ว​เชื่อ​โยฮัน.”

      ต่อ​จาก​นั้น​พระ​เยซู​ทรง​เผย​ให้​เห็น​ว่า ความ​ล้มเหลว​ของ​พวก​หัวหน้า​ศาสนา​เหล่า​นี้​หา​ใช่​เพียง​แต่​เป็น​การ​ละเลย​ที่​จะ​รับใช้​พระเจ้า​เท่า​นั้น​ไม่. เปล่า​เลย แต่​พวก​เขา​เป็น​คน​เลว​ทราม ชั่ว​ร้าย​จริง ๆ. พระ​เยซู​ทรง​เล่า​ว่า “ยัง​มี​เจ้าของ​สวน​ผู้​หนึ่ง​ได้​ทำ​สวน​องุ่น​แล้ว​ล้อม​รั้ว​ไว้​รอบ เขา​ได้​ขุด​บ่อ​สำหรับ​บีบ​น้ำ​องุ่น​และ​ก่อ​หอ​เฝ้า ให้​ชาว​สวน​เช่า​แล้ว​ก็​ไป​เสีย​เมือง​อื่น. ครั้น​ถึง​ฤดู​ผล​องุ่น​จึง​ใช้​พวก​บ่าว​ไป​หา​ผู้​เช่า​สวน​เพื่อ​จะ​รับ​ผล​ของ​ท่าน. แต่​ผู้​เช่า​สวน​นั้น​จับ​คน​ของ​ท่าน​เฆี่ยน​ตี​เสีย​คน​หนึ่ง ฆ่า​เสีย​คน​หนึ่ง เอา​หิน​ขว้าง​เสีย​คน​หนึ่ง. อีก​ครั้ง​หนึ่ง​ท่าน​ก็​ใช้​บ่าว​อื่น ๆ ไป​มาก​กว่า​ครั้ง​ก่อน แต่​คน​เช่า​สวน​ก็​ได้​ทำ​แก่​เขา​อย่าง​นั้น​อีก.”

      “พวก​บ่าว” ได้​แก่​พวก​ผู้​พยากรณ์​ที่ “เจ้าของ​สวน” พระ​ยะโฮวา​พระเจ้า​ใช้​ไป​หา “ผู้​เช่า​สวน” แห่ง “สวน​องุ่น” ของ​พระองค์. ผู้​เช่า​สวน​เหล่า​นี้​ได้​แก่​ตัว​แทน​ระดับ​ผู้​นำ​ของ​ชาติ​ยิศราเอล ชาติ​ซึ่ง​พระ​คัมภีร์​ระบุ​ว่า​เป็น “สวน​องุ่น” ของ​พระเจ้า.

      เนื่อง​จาก “ผู้​เช่า​สวน” ทำ​ทารุณ​และ​ฆ่า “พวก​บ่าว” พระ​เยซู​ทรง​ชี้​แจง​ว่า “ครั้ง​ที่​สุด​ท่าน [เจ้าของ​สวน​องุ่น] ก็​ใช้​บุตร​ของ​ท่าน​ไป​หา​เขา พูด​ว่า ‘เขา​คง​จะ​เคารพ​บุตร​ของ​เรา.’ เมื่อ​คน​เช่า​สวน​เห็น​บุตร​เจ้าของ​สวน​มา​ก็​พูด​กัน​ว่า ‘คน​นี้​แหละ​เป็น​ผู้​รับ​มรดก ให้​เรา​ฆ่า​เสีย​เถอะ แล้ว​ก็​ริบ​เอา​มรดก​ของ​เขา!’ เขา​จึง​พา​กัน​จับ​บุตร​นั้น​ผลัก​ออก​ไป​นอก​สวน​แล้ว​ฆ่า​เสีย.”

      บัด​นี้ พระ​เยซู​ตรัส​ถาม​พวก​หัวหน้า​ศาสนา​ว่า “เมื่อ​เจ้าของ​สวน​มา ท่าน​จะ​ทำ​อย่าง​ไร​แก่​ผู้​เช่า​สวน​เหล่า​นั้น?”

      พวก​หัวหน้า​ศาสนา​ทูล​ตอบ​ว่า “ท่าน​จะ​ล้าง​ผลาญ​คน​ชั่ว​เหล่า​นั้น​ด้วย​โทษ​ร้ายแรง และ​สวน​นั้น​จะ​ให้​คน​อื่น​ที่​จะ​นำ​ผล​มา​ส่ง​ให้​ท่าน​ตาม​ฤดู​เช่า​ต่อ​ไป.”

      โดย​วิธี​นี้ เขา​กล่าว​คำ​พิพากษา​ต่อ​ตัว​เขา​เอง​โดย​ไม่​รู้​ตัว เนื่อง​จาก​พวก​เขา​รวม​อยู่​ใน​ท่ามกลาง “ผู้​เช่า​สวน” ชาว​ยิศราเอล​แห่ง “สวน​องุ่น” ยิศราเอล​ใน​ระดับ​ชาติ​ของ​พระ​ยะโฮวา. ผล​ที่​พระ​ยะโฮวา​ทรง​คาด​หมาย​จาก​ผู้​เช่า​สวน​ดัง​กล่าว​ก็​คือ​ความ​เชื่อ​ใน​พระ​บุตร​ของ​พระองค์ มาซีฮา​แท้. เพราะ​การ​ที่​พวก​เขา​ไม่​เกิด​ผล​ดัง​กล่าว พระ​เยซู​ทรง​เตือน​ว่า “ท่าน​ทั้ง​หลาย​ยัง​ไม่​ได้​อ่าน​ใน​คัมภีร์ [ที่​บทเพลง​สรรเสริญ 118:22, 23] หรือ​ซึ่ง​ว่า ‘ศิลา​ซึ่ง​ช่าง​ก่อ​ได้​ทอดทิ้ง​เสีย​ยัง​ประกอบ​เข้า​เป็น​หัว​มุม​ได้. และ​การ​นี้​เป็น​มา​จาก​พระเจ้า​และ​เป็น​ที่​อัศจรรย์​ประจักษ์​แก่​ตา​ของ​เรา?’ เหตุ​ฉะนั้น​เรา​บอก​ท่าน​ว่า แผ่นดิน​ของ​พระเจ้า​จะ​ต้อง​เอา​ไป​จาก​ท่าน ยก​ให้​แก่​ประเทศ​หนึ่ง​ประเทศ​ใด​ซึ่ง​จะ​กระทำ​ให้​ผล​เจริญ​สม​กับ​แผ่นดิน​นั้น. ผู้​ใด​ล้ม​ทับ​ศิลา​นี้ ผู้​นั้น​จะ​ต้อง​แตก​หัก​ไป. แต่​ศิลา​นั้น​จะ​ตก​ทับ​ผู้​ใด ผู้​นั้น​จะ​แหลก​ละเอียด​เป็น​ธุลี​ไป.”

      บัด​นี้ พวก​อาลักษณ์​กับ​พวก​ปุโรหิต​ใหญ่​เข้าใจ​ว่า พระ​เยซู​กำลัง​ตรัส​ถึง​พวก​เขา และ​พวก​เขา​ต้องการ​จะ​ฆ่า​พระองค์ “ผู้​รับ​มรดก” ที่​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย. ดัง​นั้น สิทธิ​พิเศษ​ใน​การ​เป็น​ผู้​ครอบครอง​ใน​ราชอาณาจักร​ของ​พระเจ้า​จะ​ถูก​เอา​ไป​จาก​พวก​เขา​ใน​ฐานะ​เป็น​ชาติ และ​จะ​มี​การ​สร้าง​ชาติ​ใหม่​แห่ง ‘ผู้​เช่า​สวน​องุ่น’ ชาติ​ซึ่ง​จะ​เกิด​ผล​ที่​เหมาะ​สม.

      เพราะ​พวก​หัวหน้า​ศาสนา​กลัว​ฝูง​ชน​ซึ่ง​ถือ​ว่า พระ​เยซู​เป็น​ศาสดา​พยากรณ์ พวก​เขา​จึง​ไม่​พยายาม​จะ​สังหาร​พระ​เยซู​ใน​โอกาส​นี้. มัดธาย 21:28-46; มาระโก 12:1-12; ลูกา 20:9-19; ยะซายา 5:1-7.

      ▪ ลูก​สอง​คน​ใน​อุทาหรณ์​เรื่อง​แรก​ของ​พระ​เยซู​เป็น​ภาพ​เล็ง​ถึง​ใคร?

      ▪ ใน​อุทาหรณ์​เรื่อง​ที่​สอง “เจ้าของ​สวน” “สวน​องุ่น” “ผู้​เช่า​สวน” “พวก​บ่าว” และ “ผู้​รับ​มรดก” เป็น​ภาพ​เล็ง​ถึง​ใคร?

      ▪ จะ​เป็น​ประการ​ใด​กับ ‘ผู้​เช่า​สวน​องุ่น’ และ​ใคร​จะ​เข้า​มา​แทน​ที่​พวก​เขา?

  • อุทาหรณ์เรื่องงานเลี้ยงฉลองสมรส
    บุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
    • บท 107

      อุทาหรณ์​เรื่อง​งาน​เลี้ยง​ฉลอง​สมรส

      โดย​ทาง​อุทาหรณ์​สอง​เรื่อง พระ​เยซู​ได้​เปิดโปง​พวก​อาลักษณ์​และ​ปุโรหิต​ใหญ่ และ​พวก​เขา​ต้องการ​จะ​สังหาร​พระองค์. แต่​พระ​เยซู​ยัง​ไม่​จบ​เรื่อง​กับ​พวก​เขา. พระองค์​เล่า​อุทาหรณ์​อีก​เรื่อง​หนึ่ง​ให้​พวก​เขา​ฟัง​ต่อ​ไป​โดย​ตรัส​ว่า:

      “แผ่นดิน​สวรรค์​อุปมา​เหมือน​กษัตริย์​องค์​หนึ่ง​ได้​จัด​การ​เตรียม​อภิเษก​มเหสี​ให้​ราชโอรส​ของ​ท่าน. แล้ว​ให้​ข้าราชการ​ไป​ตาม​ผู้​ถูก​เชิญ​มา​ใน​การ​นี้ แต่​เขา​ไม่​ใคร่​จะ​มา.”

      พระ​ยะโฮวา​พระเจ้า​ทรง​เป็น​พระ​มหา​กษัตริย์​ผู้​ทรง​จัด​เตรียม​งาน​เลี้ยง​สมรส​สำหรับ​พระ​เยซู​คริสต์​พระ​บุตร​ของ​พระองค์. ใน​ที่​สุด เจ้าสาว​ที่​ประกอบ​ด้วย​สาวก​ผู้​ถูก​เจิม 144,000 คน​จะ​ร่วม​กัน​กับ​พระ​เยซู​ใน​สวรรค์. ราษฎร​ของ​พระ​มหา​กษัตริย์​คือ​ชน​ชาติ​ยิศราเอล ซึ่ง​ได้​รับ​โอกาส​ใน​การ​เป็น “อาณาจักร​แห่ง​ปุโรหิต” เมื่อ​ถูก​นำ​เข้า​สู่​คำ​สัญญา​ไมตรี​เกี่ยว​กับ​พระ​บัญญัติ​ใน​ปี 1513 ก่อน​สากล​ศักราช. ด้วย​เหตุ​นี้​ใน​โอกาส​นั้น มี​การ​เสนอ​คำ​เชิญ​มา​ยัง​งาน​เลี้ยง​สมรส​แก่​พวก​เขา.

      อย่าง​ไร​ก็​ดี การ​เรียก​ครั้ง​แรก​มิ​ได้​มี​ออก​ไป​ยัง​บรรดา​ผู้​ที่​ได้​รับ​เชิญ​จน​กระทั่ง​ฤดู​ใบ​ไม้​ร่วง​ปี​สากล​ศักราช 29 เมื่อ​พระ​เยซู​กับ​พวก​สาวก​ของ​พระองค์ (ข้าราชการ​ของ​กษัตริย์) เริ่ม​งาน​ประกาศ​ราชอาณาจักร. แต่​ชน​ยิศราเอล​โดย​กำเนิด​ซึ่ง​ถูก​เรียก​โดย​บ่าว​ตั้ง​แต่​ปี​สากล​ศักราช 29 ถึง​ปี 33 นั้น​ไม่​เต็ม​ใจ​มา. ดัง​นั้น พระเจ้า​จึง​ทรง​ให้​โอกาส​แก่​ชาติ​ของ​ผู้​ที่​ได้​รับ​เชิญ​นั้น​อีก​ครั้ง​หนึ่ง ดัง​ที่​พระ​เยซู​ทรง​เล่า​ว่า:

      “ท่าน​ยัง​ใช้​ข้าราชการ​อื่น​ไป​อีก รับสั่ง​ให้ ‘บอก​ผู้​รับ​เชิญ​นั้น​ว่า “ดู​เถอะ! เรา​ได้​จัด​การ​เลี้ยง​ไว้​แล้ว ทั้ง​วัว​และ​สัตว์​อ้วน​พี​ของ​เรา​ก็​ฆ่า​ไว้​เสร็จ. สิ่ง​สารพัด​ก็​เตรียม​ไว้​พร้อม จง​มา​ใน​การ​นี้​เถิด.”’” การ​เรียก​ครั้ง​ที่​สอง​และ​เป็น​ครั้ง​สุด​ท้าย​สำหรับ​ผู้​ที่​ได้​รับ​เชิญ​นั้น​เริ่ม​ใน​วัน​เพ็นเตคอสเต ปี​สากล​ศักราช 33 เมื่อ​มี​การ​เท​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​ลง​เหนือ​พวก​สาวก​ของ​พระ​เยซู. การ​เรียก​นี้​ดำเนิน​ต่อ​ไป​จน​กระทั่ง​ปี​สากล​ศักราช 36.

      อย่าง​ไร​ก็​ตาม ชาว​ยิศราเอล​ส่วน​ใหญ่​ได้​บอก​ปัด​การ​เรียก​ครั้ง​นี้​ด้วย. พระ​เยซู​ทรง​ตรัส​ว่า “แต่​เขา​ก็​เพิกเฉย​เสีย บาง​คน​ก็​ไป​ไร่​นา​ของ​ตน บาง​คน​ก็​ไป​ทำ​การ​ค้า​ขาย ฝ่าย​พวก​อื่น​นอก​นั้น​ก็​จับ​ข้าราชการ​ทำ​อัปยศ​ต่าง ๆ แล้ว​ฆ่า​เสีย.” พระ​เยซู​ทรง​ดำเนิน​เรื่อง​ต่อ​ไป​ว่า “กษัตริย์​องค์​นั้น​ก็​ทรง​พระ​พิโรธ​จึง​รับสั่ง​ให้​ยก​ทัพ​ไป​ปราบ​ปราม​คน​ร้าย​เหล่า​นั้น แล้ว​ให้​เผา​บ้าน​เมือง​เสีย.” เหตุ​การณ์​นี้​เกิด​ขึ้น​ใน​ปี​สากล​ศักราช 70 เมื่อ​กรุง​ยะรูซาเลม​ถูก​ทำลาย​ราบ​ถึง​ดิน​โดย​พวก​โรมัน และ​ฆาตกร​เหล่า​นั้น​ได้​ถูก​สังหาร.

      ต่อ​จาก​นั้น​พระ​เยซู​ทรง​ชี้​แจง​สิ่ง​ที่​ได้​เกิด​ขึ้น​ระหว่าง​นั้น: “ท่าน [กษัตริย์] จึง​รับสั่ง​แก่​ข้าราชการ​ว่า การ​สมรส​ก็​พร้อม​อยู่​แล้ว แต่​ผู้​รับ​เชิญ​นั้น​ไม่​สม​กับ​การ. เหตุ​ฉะนั้น จง​ออก​ไป​ตาม​ทาง​แพร่ง พบ​ใคร ๆ ก็​ให้​เชิญ​มา​ใน​การ​นี้.” พวก​ข้าราชการ​ได้​ทำ​เช่น​นี้ “จน​การ​อภิเษก [ห้อง​สำหรับ​พิธี​สมรส, ล.ม.] นั้น​เต็ม​ไป​ด้วย​ผู้​รับ​เชิญ.”

      งาน​รวบ​รวม​แขก​จาก​ตาม​ถนน​นอก​เมือง​ของ​ผู้​รับ​เชิญ​นั้น​เริ่ม​ใน​ปี​สากล​ศักราช 36. โกระเนเลียว​นาย​ร้อย​ชาติ​โรมัน​กับ​ครอบครัว​ของ​เขา​เป็น​คน​ที่​ไม่​ใช่​ชาติ​ยิว​ซึ่ง​ไม่​ได้​รับ​สุหนัต​กลุ่ม​แรก​ที่​ถูก​รวบ​รวม​เข้า​มา. การ​รวบ​รวม​บรรดา​ผู้​ที่​ไม่​ใช่​ชาว​ยิว​เหล่า​นี้ ซึ่ง​ทั้ง​หมด​เป็น​ผู้​เข้า​แทน​ที่​คน​เหล่า​นั้น​ซึ่ง​ปฏิเสธ​การ​เรียก​ใน​ครั้ง​แรก​นั้น​ได้​ดำเนิน​เรื่อย​มา​จน​กระทั่ง​ถึง​ศตวรรษ​ที่ 20.

      ระหว่าง​ศตวรรษ​ที่ 20 นี้​เอง​ที่​ห้อง​สำหรับ​พิธี​สมรส​เต็ม. พระ​เยซู​ทรง​บรรยาย​ถึง​สิ่ง​ที่​เกิด​ขึ้น​ใน​ตอน​นั้น​โดย​ตรัส​ว่า “แต่​เมื่อ​กษัตริย์​องค์​นั้น​เสด็จ​ทอด​พระ​เนตร​ผู้​ที่​รับ​เชิญ ก็​เห็น​ผู้​หนึ่ง​มิ​ได้​สวม​เสื้อ​สำหรับ​งาน จึง​รับสั่ง​ถาม​ว่า ‘สหาย​เอ๋ย เหตุ​ไฉน​มา​ที่​นี่​จึง​ไม่​สวม​เสื้อ​สำหรับ​งาน?’ ผู้​นั้น​ก็​นิ่ง​อึ้ง​อยู่​พูด​ไม่​ออก. ท่าน​จึง​รับสั่ง​แก่​พวก​ข้าราชการ​ว่า ‘จง​มัด​มือ​มัด​เท้า​คน​นี้​เอา​ไป​ทิ้ง​เสีย​ที่​มืด​ภาย​นอก. ที่​นั่น​จะ​มี​การ​ร้องไห้​ขบ​เขี้ยว​เคี้ยว​ฟัน.’”

      บุรุษ​ที่​ไม่​มี​เสื้อ​สำหรับ​งาน​สมรส​นั้น​เป็น​ภาพ​เล็ง​ถึง​คริสเตียน​ปลอม​แห่ง​คริสต์​ศาสนจักร. พระเจ้า​ไม่​เคย​ยอม​รับ​คน​เหล่า​นี้​ว่า​มี​หลักฐาน​พิสูจน์​ตัว​อัน​ถูก​ต้อง​ฐานะ​เป็น​ชน​ยิศราเอล​ฝ่าย​วิญญาณ. พระเจ้า​ไม่​เคย​เจิม​พวก​เขา​ด้วย​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​ฐานะ​เป็น​รัชทายาท​แห่ง​ราชอาณาจักร​เลย. ดัง​นั้น​พวก​เขา​จึง​ถูก​โยน​ทิ้ง​เสีย​ภาย​นอก​เข้า​สู่​ความ​มืด ที่​ซึ่ง​เขา​จะ​ประสบ​ความ​พินาศ.

      พระ​เยซู​ทรง​จบ​อุทาหรณ์​ของ​พระองค์​โดย​ตรัส​ว่า “ด้วย​ผู้​รับ​เชิญ​ก็​มาก แต่​ผู้​ที่​ถูก​เลือก​ก็​น้อย.” ถูก​แล้ว มี​หลาย​คน​จาก​ชาติ​ยิศราเอล​ที่​ได้​รับ​เชิญ​เข้า​มา​เป็น​สมาชิก​แห่ง​เจ้าสาว​ของ​พระ​คริสต์ แต่​มี​เพียง​ชน​ยิศราเอล​โดย​กำเนิด​น้อย​คน​ที่​ถูก​เลือก. ส่วน​ใหญ่​ของ​แขก 144,000 คน​ซึ่ง​ได้​รับ​บำเหน็จ​ทาง​ภาค​สวรรค์​นั้น​ปรากฏ​ว่า​เป็น​คน​ที่​ไม่​ใช่​ชาติ​ยิศราเอล. มัดธาย 22:1-14; เอ็กโซโด 19:1-6; วิวรณ์ 14:1-3.

      ▪ ใคร​เป็น​บรรดา​คน​ที่​ได้​รับ​เชิญ​มา​ยัง​งาน​เลี้ยง​สมรส​ใน​ตอน​แรก และ​มี​การ​เสนอ​คำ​เชิญ​แก่​พวก​เขา​เมื่อ​ไร?

      ▪ การ​เรียก​ครั้ง​แรก​มี​ออก​ไป​ยัง​คน​เหล่า​นั้น​ที่​ได้​รับ​เชิญ​เมื่อ​ไร และ​ใคร​เป็น​บ่าว​ที่​ถูก​ใช้​ให้​เรียก​เขา?

      ▪ มี​การ​เรียก​ครั้ง​ที่​สอง​เมื่อ​ไร และ​ใคร​ได้​รับ​เชิญ​หลัง​จาก​นั้น?

      ▪ บุรุษ​ที่​ไม่​มี​เสื้อ​สำหรับ​งาน​สมรส​เป็น​ภาพ​เล็ง​ถึง​ใคร?

      ▪ ใคร​คือ​หลาย​คน​ที่​ถูก​เรียก และ​น้อย​คน​ที่​ถูก​เลือก?

  • พวกเขาจับผิดพระเยซูไม่ได้
    บุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
    • บท 108

      พวก​เขา​จับ​ผิด​พระ​เยซู​ไม่​ได้

      เพราะ​เหตุ​ที่​พระ​เยซู​ทรง​สั่ง​สอน​อยู่​ใน​พระ​วิหาร​และ​เพิ่ง​เล่า​อุทาหรณ์​สาม​เรื่อง​ให้​ศัตรู​ทาง​ศาสนา​ของ​พระองค์​ฟัง​ซึ่ง​เปิดโปง​ความ​ชั่ว​ของ​เขา พวก​ฟาริซาย​จึง​โกรธ​แค้น​และ​ปรึกษา​กัน​ที่​จะ​ทำ​ให้​พระองค์​ติด​กับ​โดย​พูด​อะไร​บาง​อย่าง​ซึ่ง​พวก​เขา​จะ​จับ​กุม​พระองค์​ได้. พวก​เขา​วาง​แผน​ร้าย แล้ว​ใช้​สานุศิษย์​ของ​ตน​ไป​พร้อม​กับ​พรรค​พวก​ของ​เฮโรด เพื่อ​พยายาม​จะ​จับ​ผิด​พระองค์.

      คน​พวก​นี้​ทูล​ว่า “อาจารย์​เจ้าข้า ข้าพเจ้า​ทั้ง​หลาย​ทราบ​อยู่​ว่า ท่าน​เป็น​ผู้​สัตย์​ซื่อ ได้​สั่ง​สอน​ใน​ทาง​ของ​พระเจ้า​จริง ๆ โดย​มิ​ได้​เกรง​กลัว​ผู้​ใด. เพราะ​ท่าน​มิ​ได้​เห็น​แก่​หน้า​ของ​บุคคล. เหตุ​ฉะนั้น ขอ​โปรด​ให้​ข้าพเจ้า​ทราบ​ว่า ท่าน​คิด​เห็น​อย่าง​ไร? ควร​จะ​ส่ง​ส่วย [ภาษี, ล.ม.] ให้​แก่​กายะซา​หรือ​ไม่?”

      พระ​เยซู​มิ​ได้​หลง​ไป​กับ​การ​ยกยอปอปั้น​นั้น. พระองค์​ทรง​ตระหนัก​ว่า หาก​พระองค์​ตรัส​ว่า ‘ไม่ ไม่​ถูก​ต้อง​หรือ​ไม่​สม​ควร​ที่​จะ​ชำระ​ภาษี​นี้’ พระองค์​ก็​จะ​มี​ความ​ผิด​ฐาน​ปลุกระดม​ก่อ​การ​กบฏ​ต่อ​โรม. กระนั้น หาก​พระองค์​ตรัส​ว่า ‘ใช่ ท่าน​ควร​ชำระ​ภาษี​นี้’ พวก​ยิว​ซึ่ง​รังเกียจ​การ​ที่​เขา​ต้อง​อยู่​ใต้​บังคับ​ของ​โรม​นั้น ก็​จะ​เกลียด​ชัง​พระองค์. ดัง​นั้น​พระองค์​ตรัส​ตอบ​ว่า “โอ คน​หน้า​ซื่อ​ใจ​คด จะ​ทดลอง​เรา​ทำไม? จง​ให้​เรา​ดู​เงิน​ส่วย​นั้น.”

      เมื่อ​พวก​เขา​เอา​เงิน​ตรา​แผ่น​หนึ่ง​มา​ถวาย​พระองค์ พระองค์​ตรัส​ถาม​ว่า “รูป​และ​คำ​จารึก​นี้​เป็น​ของ​ใคร?”

      พวก​เขา​ทูล​ตอบ​ว่า “ของ​กายะซา.”

      “เหตุ​ฉะนั้น ของ ๆ กายะซา จง​ถวาย​แก่​กายะซา และ​ของ ๆ พระเจ้า จง​ถวาย​แก่​พระเจ้า.” เมื่อ​คน​พวก​นี้​ได้​ยิน​คำ​ตอบ​ที่​คมคาย​ของ​พระ​เยซู พวก​เขา​ก็​ตะลึงงัน. แล้ว​พวก​เขา​ก็​จาก​ไป ละ​พระองค์​ไว้​ตาม​ลำพัง.

      ครั้น​เห็น​พวก​ฟาริซาย​ล้มเหลว​ใน​การ​จับ​ผิด​พระ​เยซู พวก​ซาดูกาย ผู้​ซึ่ง​กล่าว​ว่า​การ​กลับ​เป็น​ขึ้น​จาก​ตาย​ไม่​มี ได้​มา​เฝ้า​พระองค์​แล้ว​ทูล​ถาม​ว่า “อาจารย์​เจ้าข้า โมเซ​สั่ง​ว่า ‘ถ้า​ผู้​ใด​ตาย​ยัง​ไม่​มี​บุตร ก็​ให้​น้อง​ชาย​รับ​พี่​สะใภ้​สืบ​เผ่า​พันธุ์​ต่อ​ไป.’ ฝ่าย​พวก​ข้าพเจ้า​มี​น้อง​ชาย​อยู่​เจ็ด​คน พี่​หัวปี​มี​ภรรยา​แล้ว​ก็​ตาย​เมื่อ​ยัง​ไม่​มี​บุตร แล้ว​ก็​ละ​ภรรยา​ไว้​ให้​แก่​น้อง​ชาย. ครั้น​น้อง​ที่​สอง​ที่​สาม​ตาย​ก็​ได้​ละ​ภรรยา​ไว้​ให้​เป็น​ภรรยา​ต่อ ๆ กัน​ไป​จน​ถึง​คน​ที่​เจ็ด. ใน​ที่​สุด​หญิง​นั้น​ก็​ตาย​ด้วย. ใน​วัน​ที่​เป็น​ขึ้น​มา​จาก​ความ​ตาย หญิง​นั้น​จะ​เป็น​ภรรยา​ของ​ผู้​ใด​ใน​เจ็ด​คน​นั้น? ด้วย​นาง​ได้​เป็น​ภรรยา​ของ​ชาย​ทั้ง​เจ็ด​แล้ว.”

      พระ​เยซู​ตรัส​ตอบ​ว่า “เพราะ​ข้อ​นี้​พวก​ท่าน​หลง​ผิด​มิ​ใช่​หรือ เพราะ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ไม่​รู้​จัก​พระ​คัมภีร์​หรือ​ฤทธิ์​เดช​ของ​พระเจ้า? เมื่อ​มนุษย์​จะ​เป็น​ขึ้น​มา​จาก​ตาย​นั้น​จะ​ไม่​มี​การ​สมรส​หรือ​ยก​ให้​เป็น​สามี​ภรรยา​กัน​อีก แต่​เป็น​เหมือน​ทูต​สวรรค์. แต่​เรื่อง​คน​ซึ่ง​ตาย​แล้ว​ที่​เขา​จะ​เป็น​ขึ้น​อีก​นั้น ท่าน​ทั้ง​หลาย​ยัง​ไม่​ได้​อ่าน​คัมภีร์​ของ​โมเซ​หรือ ซึ่ง​พระเจ้า​ได้​ตรัส​ไว้​แก่​โมเซ​ที่​ต้น​ไม้​นั้น​ว่า ‘เรา​เป็น​พระเจ้า​ของ​อับราฮาม พระเจ้า​ของ​ยิศฮาค และ​พระเจ้า​ของ​ยาโคบ’? พระองค์​มิ​ได้​เป็น​พระเจ้า​ของ​คน​ตาย แต่​เป็น​พระเจ้า​ของ​คน​เป็น. ท่าน​ทั้ง​หลาย​หลง​ผิด [เข้าใจ​ผิด, ล.ม.] ไป​มาก.”

      อีก​ครั้ง​หนึ่ง​ฝูง​ชน​พิศวง​เนื่อง​จาก​คำ​ตอบ​ของ​พระ​เยซู. กระทั่ง​บาง​คน​ใน​พวก​อาลักษณ์​ก็​ยอม​รับ​ว่า “อาจารย์​เจ้าข้า ท่าน​พูด​ดี​แล้ว.”

      เมื่อ​พวก​ฟาริซาย​เห็น​ว่า พระ​เยซู​ได้​ทำ​ให้​พวก​ซาดูกาย​นิ่ง​อึ้ง​ไป พวก​เขา​จึง​มา​หา​พระองค์. เพื่อ​ทดลอง​พระองค์​ต่อ​ไป อาลักษณ์​คน​หนึ่ง​ใน​พวก​เขา​ทูล​ถาม​ว่า “พระ​บัญญัติ​ข้อ​ใด​เป็น​เอก​เป็น​ใหญ่​กว่า​บัญญัติ​ทั้ง​ปวง?”

      พระ​เยซู​ตรัส​ตอบ​ว่า “พระ​บัญญัติ​ที่​เป็น​เอก​เป็น​ใหญ่​กว่า​บัญญัติ​ทั้ง​ปวง​นั้น​คือ​ว่า ‘ดู​ก่อน พวก​ยิศราเอล จง​ฟัง​เถิด พระ​ยะโฮวา​พระเจ้า​ของ​เรา​เป็น​พระเจ้า​องค์​เดียว จง​รัก​พระองค์​ผู้​เป็น​พระเจ้า​ด้วย​สุด​ใจ​สุด​จิต​ของ​เจ้า ด้วย​สุด​ความ​คิด​และ​ด้วย​สิ้น​สุด​กำลัง​ของ​เจ้า.’ และ​พระ​บัญญัติ​ที่​สอง​นั้น​คือ ‘จง​รัก​เพื่อน​บ้าน​เหมือน​รัก​ตน​เอง.’ และ​พระ​บัญญัติ​อื่น​ที่​ใหญ่​กว่า​พระ​บัญญัติ​ทั้ง​สอง​นี้​ไม่​มี.” ที่​จริง พระ​เยซู​ตรัส​เสริม​อีก​ว่า “พระ​บัญญัติ​และ​คำ​พยากรณ์​ทั้ง​สิ้น​ก็​รวม​อยู่​ใน​พระ​บัญญัติ​สอง​ข้อ​นี้.”

      อาลักษณ์​คน​นั้น​เห็น​พ้อง​ด้วย​ว่า “ดี​แล้ว อาจารย์​เจ้าข้า ท่าน​กล่าว​ถูก​จริง​ว่า ‘พระเจ้า​มี​แต่​องค์​เดียว และ​นอก​จาก​พระองค์​นั้น​พระเจ้า​อื่น​ไม่​มี​เลย’ และ​ซึ่ง​จะ​รัก​พระองค์​ด้วย​สุด​ใจ​สุด​ความ​เข้าใจ​และ​สิ้น​สุด​กำลัง และ​รัก​เพื่อน​บ้าน​เหมือน​รัก​ตน​เอง ก็​ประเสริฐ​กว่า​ของ​ถวาย​และ​ของ​บูชา​ทั้ง​สิ้น.”

      โดย​สังเกต​ออก​ว่า อาลักษณ์​ได้​ตอบ​อย่าง​มี​ความ​เข้าใจ​ดี พระ​เยซู​ทรง​บอก​เขา​ว่า “ท่าน​ไม่​ไกล​จาก​แผ่นดิน​ของ​พระเจ้า.”

      บัด​นี้ เป็น​เวลา​สาม​วัน—วัน​อาทิตย์ วัน​จันทร์ และ​วัน​อังคาร—ที่​พระ​เยซู​ทรง​สั่ง​สอน​อยู่​ใน​พระ​วิหาร. ประชาชน​รับ​ฟัง​พระองค์​ด้วย​ความ​พึง​พอ​ใจ กระนั้น พวก​หัวหน้า​ศาสนา​ต้องการ​จะ​สังหาร​พระองค์ แต่​จน​บัด​นี้​ความ​พยายาม​ของ​เขา​ไม่​สำเร็จ. มัดธาย 22:15-40; มาระโก 12:13-34; ลูกา 20:20-40.

      ▪ พวก​ฟาริซาย​วาง​แผน​ร้าย​อะไร​เพื่อ​ทำ​ให้​พระ​เยซู​ติด​กับ และ​ผล​จะ​เป็น​ประการ​ใด​หาก​พระองค์​จะ​ให้​คำ​ตอบ​ที่​ว่า ใช่ หรือ ไม่​ใช่?

      ▪ พระ​เยซู​ทรง​ทำลาย​ความ​พยายาม​ของ​พวก​ซาดูกาย​ที่​จะ​ทำ​ให้​พระองค์​ติด​กับ​นั้น​โดย​วิธี​ใด?

      ▪ พวก​ฟาริซาย​ใช้​ความ​พยายาม​อะไร​ต่อ​ไป​เพื่อ​ทดลอง​พระ​เยซู และ​ผล​เป็น​ประการ​ใด?

      ▪ ระหว่าง​งาน​สั่ง​สอน​ครั้ง​สุด​ท้าย​ของ​พระองค์​ใน​กรุง​ยะรูซาเลม พระ​เยซู​ทรง​สั่ง​สอน​ใน​พระ​วิหาร​กี่​วัน และ​พร้อม​ด้วย​ผล​ประการ​ใด?

  • ทรงประณามผู้ต่อต้านพระองค์
    บุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
    • บท 109

      ทรง​ประณาม​ผู้​ต่อ​ต้าน​พระองค์

      พระ​เยซู​ได้​ทรง​ทำ​ให้​ผู้​ต่อ​ต้าน​พระองค์​ทาง​ศาสนา​ประสบ​ความ​พ่าย​แพ้​อย่าง​สิ้นเชิง​จน​พวก​เขา​ไม่​กล้า​ถาม​อะไร​พระองค์​อีก​ต่อ​ไป. ดัง​นั้น​พระองค์​เป็น​ฝ่าย​ริเริ่ม​เปิดโปง​ความ​รู้​เท่า​ไม่​ถึง​การณ์​ของ​พวก​เขา. พระองค์​ตรัส​ถาม​ว่า “พวก​ท่าน​คิด​เห็น​อย่าง​ไร​ด้วย​เรื่อง​พระ​คริสต์? ท่าน​เป็น​บุตร​ของ​ผู้​ใด?”

      พวก​ฟาริซาย​ทูล​ตอบ​ว่า “เป็น​บุตร​ของ​ดาวิด.”

      ถึง​แม้​พระ​เยซู​มิ​ได้​ปฏิเสธ​ว่า​ดาวิด​เป็น​บรรพบุรุษ​ทาง​ร่าง​กาย​ของ​พระ​คริสต์​หรือ​พระ​มาซีฮา​ก็​ตาม พระองค์​ตรัส​ถาม​ว่า “ถ้า​อย่าง​นั้น เป็น​ไฉน​ดาวิด​โดย​เดช​พระ​วิญญาณ [การ​ดล​บันดาล, ล.ม. ที่​บทเพลง​สรรเสริญ 110] ได้​เรียก​พระองค์​ว่า ‘องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า’ เช่น ‘พระ​ยะโฮวา​ได้​ตรัส​แก่​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​ข้าพเจ้า​ว่า “จง​นั่ง​เบื้อง​ขวา​ของ​เรา​กว่า​เรา​จะ​ปราบ​ศัตรู​ของ​ท่าน​ให้​เป็น​ม้า​รอง​เท้า​ของ​ท่าน”’? ถ้า​ดาวิด​เรียก​ท่าน​ว่า ‘องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า’ แล้ว ท่าน​จะ​เป็น​บุตร​ของ​ดาวิด​ได้​อย่าง​ไร?”

      พวก​ฟาริซาย​นิ่ง​เงียบ เพราะ​พวก​เขา​ไม่​ทราบ​เอกลักษณ์​แท้​จริง​ของ​พระ​คริสต์​หรือ​ผู้​ถูก​เจิม. พระ​มาซีฮา​ใช่​ว่า​เป็น​เพียง​ลูก​หลาน​ที่​เป็น​มนุษย์​ของ​ดาวิด ดัง​ที่​พวก​ฟาริซาย​ดู​เหมือน​ว่า​เชื่อ​เท่า​นั้น​ไม่ หาก​แต่​พระองค์​เคย​ทรง​ดำรง​อยู่​ใน​สวรรค์ และ​จึง​เป็น​ผู้​อยู่​เหนือ​กว่า หรือ​เป็น​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้าของ​ดาวิด.

      บัด​นี้​พระ​เยซู​ทรง​หัน​ไป​ยัง​ฝูง​ชน​และ​พวก​สาวก​ของ​พระองค์ ทรง​เตือน​เรื่อง​พวก​อาลักษณ์​กับ​พวก​ฟาริซาย. เนื่อง​จาก​คน​เหล่า​นี้​สอน​กฎหมาย​ของ​พระเจ้า “นั่ง​บน​ที่​นั่ง​ของ​โมเซ” พระ​เยซู​ทรง​ตักเตือน​ว่า “ทุก​สิ่ง​ซึ่ง​เขา​สั่ง​สอน​พวก​ท่าน จง​ถือ​ประพฤติ​ตาม.” แต่​พระองค์​ตรัส​เสริม​อีก​ว่า “เว้น​แต่​การ​ประพฤติ​ของ​เขา​อย่า​ได้​ทำ​ตาม​เลย เพราะ​เขา​เป็น​แต่​ผู้​สั่ง​สอน แต่​เขา​เอง​หา​ทำ​ตาม​ไม่.”

      พวก​เขา​เป็น​คน​หน้า​ซื่อ​ใจ​คด และ​พระ​เยซู​ทรง​ประณาม​พวก​เขา​ด้วย​ภาษา​อย่าง​เดียว​กัน​กับ​ที่​พระองค์​ใช้​ระหว่าง​เสวย​พระ​กระยาหาร​ใน​บ้าน​ของ​ฟาริซาย​คน​หนึ่ง​หลาย​เดือน​ก่อน​หน้า​นั้น. พระองค์​ตรัส​ว่า “เขา​กระทำ​การ​ของ​เขา​เพื่อ​ให้​มนุษย์​เห็น​เท่า​นั้น.” และ​พระองค์​ทรง​เสนอ​ตัว​อย่าง โดย​ให้​อรรถาธิบาย​ว่า:

      “เครื่อง​กัน​อันตราย​ของ​เขา ๆ กระทำ​ให้​กว้าง.” กลัก​เล็ก ๆ เหล่า​นี้​ซึ่ง​ใส่​ไว้​บน​หน้าผาก​หรือ​บน​แขน​นั้น บรรจุ​สี่​ตอน​ของ​พระ​บัญญัติ​คือ เอ็กโซโด 13:1-10, 11–16; และ​พระ​บัญญัติ 6:4-9; 11:13-21. แต่​พวก​ฟาริซาย​เพิ่ม​ขนาด​ของ​กลัก​เหล่า​นี้​เพื่อ​ให้​เกิด​ความ​ประทับใจ​ว่า​พวก​เขา​เป็น​คน​ร้อน​รน​ใน​เรื่อง​พระ​บัญญัติ.

      พระ​เยซู​ตรัส​ต่อ​ไป​ว่า เขา ‘ขยาย​พู่​เสื้อ​ให้​ใหญ่​ขึ้น.’ ที่​พระ​ธรรม​อาฤธโม 15:38-40 พวก​ยิศราเอล​ได้​รับ​พระ​บัญชา​ให้​ทำ​พู่​เสื้อ​ของ​เขา แต่​พวก​ฟาริซาย​ทำ​พู่​เสื้อ​ของ​เขา​ใหญ่​กว่า​ใคร ๆ. ทุก​สิ่ง​ทุก​อย่าง​ที่​ทำ​นั้น​ก็​เพื่อ​โอ้อวด! พระ​เยซู​ทรง​ตรัส​ว่า ‘พวก​เขา​ชอบ​ที่​นั่ง​โดด​เด่น​ที่​สุด.’

      น่า​เศร้า​ที่​พวก​สาวก​ของ​พระองค์​เอง​ได้​รับ​ผล​กระทบ​จาก​ความ​ปรารถนา​ใน​เรื่อง​ความ​เด่น​ดัง​เช่น​นี้​ด้วย. ดัง​นั้น​พระองค์​ทรง​แนะ​นำ​ว่า “ท่าน​ทั้ง​หลาย​อย่า​ใคร่​ให้​เขา​เรียก​ว่า ‘อาจารย์’ เลย ด้วย​ท่าน​มี​พระ​อาจารย์​แต่​ผู้​เดียว ท่าน​ทั้ง​หลาย​เป็น​พี่​น้อง​กัน​ทั้ง​หมด. และ​อย่า​ใคร่​ให้​ผู้​ใด​ใน​แผ่นดิน​โลก​เรียก​ตน​ว่า ‘บิดา’ เพราะ​ท่าน​มี​พระ​บิดา​แต่​ผู้​เดียว คือ​ผู้​ที่​สถิต​อยู่​ใน​สวรรค์. อย่า​ใคร่​ให้​ผู้​ใด​เรียก​ท่าน​ว่า ‘นาย’ [ผู้​นำ, ล.ม.] ด้วย​ว่า​นาย [ผู้​นำ, ล.ม.] ของ​ท่าน​มี​แต่​ผู้​เดียว​คือ​พระ​คริสต์.” พวก​สาวก​ต้อง​สลัด​ตัว​ให้​พ้น​จาก​ความ​ปรารถนา​ที่​จะ​เป็น​คน​สำคัญ​อันดับ​หนึ่ง. พระ​เยซู​ทรง​ตักเตือน​ว่า “ผู้​ใด​ที่​เป็น​ใหญ่​ใน​พวก​ท่าน ผู้​นั้น​ย่อม​ต้อง​ปรนนิบัติ​ท่าน​ทั้ง​หลาย.”

      ต่อ​จาก​นั้น​พระองค์​ทรง​แถลง​วิบัติ​เป็น​ชุด ๆ ต่อ​พวก​อาลักษณ์​และ​พวก​ฟาริซาย ทรง​เรียก​พวก​เขา​หลาย​ครั้ง​ว่า​คน​หน้า​ซื่อ​ใจ​คด. พระองค์​ตรัส​ว่า​พวก​เขา “ปิด​เมือง [ราชอาณาจักร, ล.ม.] สวรรค์​ไว้​จาก​มนุษย์” และ “พวก​เขา​มัก​ริบ​เอา​เรือน​ของ​หญิง​ม่าย และ​แสร้ง​อธิษฐาน​ยืด​ยาว.”

      พระ​เยซู​ตรัส​ว่า “วิบัติ​แก่​เจ้า คน​นำ​ทาง​ตา​บอด.” พระองค์​ทรง​ประณาม​การ​ขาด​ค่า​นิยม​ทาง​ฝ่าย​วิญญาณ​ของ​พวก​ฟาริซาย ดัง​ที่​ปรากฏ​จาก​การ​แบ่ง​แยก​ตาม​อำเภอใจ​ที่​พวก​เขา​ทำ​นั้น. ตัว​อย่าง​เช่น พวก​เขา​บอก​ว่า ‘ผู้​ใด​จะ​สาบาน​ต่อ​โบสถ์​ก็​เป็น​คำ​ลอย ๆ แต่​ผู้​ใด​จะ​สาบาน​ต่อ​ทองคำ​ของ​โบสถ์​ผู้​นั้น​จะ​ต้อง​เป็น​ตาม​คำ​สาบาน.’ โดย​การ​ที่​พวก​เขา​เน้น​หนัก​เรื่อง​ทองคำ​ของ​พระ​วิหาร​ยิ่ง​กว่า​ค่า​นิยม​ทาง​ฝ่าย​วิญญาณ​ของ​สถาน​ที่​นมัสการ​นั้น พวก​เขา​เผย​ให้​เห็น​ว่า​เขา​เป็น​คน​ตา​บอด​ทาง​ด้าน​ศีลธรรม.

      ครั้น​แล้ว ดัง​ที่​พระองค์​เคย​กระทำ​ก่อน​หน้า​นั้น พระ​เยซู​ทรง​ประณาม​พวก​ฟาริซาย​ใน​เรื่อง​การ​ละเลย “ข้อ​สำคัญ​แห่ง​พระ​บัญญัติ คือ​ความ​ชอบธรรม ความ​เมตตา ความ​เชื่อ” ขณะ​ที่​ให้​ความ​สนใจ​ส่วน​ใหญ่​ต่อ​การ​ถวาย​สิบ​ลด​หนึ่ง หรือ​ส่วน​หนึ่ง​ใน​สิบ​ของ​สมุน​ไพร​ที่​ไม่​สำคัญ.

      พระ​เยซู​ทรง​ขนาน​นาม​พวก​ฟาริซาย​ว่า “คน​นำ​ทาง​ตา​บอด ที่​กรอง​ลูก​น้ำ​ออก แต่​กลืน​ตัว​อูฐ​เข้า​ไป!” พวก​เขา​กรอง​ลูก​น้ำ​ออก​จาก​เหล้า​องุ่น ไม่​เพียง​แต่​มัน​เป็น​แมลง​เท่า​นั้น หาก​แต่​เพราะ​นั่น​ไม่​สะอาด​ทาง​ด้าน​พิธีกรรม. กระนั้น การ​ที่​พวก​เขา​ไม่​เอา​ใจ​ใส่​ต่อ​เรื่อง​ที่​สำคัญ​กว่า​ใน​พระ​บัญญัติ​นั้น​ก็​เปรียบ​ได้​กับ​การ​กลืน​ตัว​อูฐ​เข้า​ไป ซึ่ง​เป็น​สัตว์​ที่​ไม่​สะอาด​ทาง​ด้าน​พิธีกรรม​เช่น​กัน. มัดธาย 22:41–23:24; มาระโก 12:35-40; ลูกา 20:41-47; เลวีติโก 11:4, 21–24.

      ▪ ทำไม​พวก​ฟาริซาย​นิ่ง​เงียบ​เมื่อ​พระ​เยซู​ทรง​ถาม​พวก​เขา​เรื่อง​สิ่ง​ที่​ดาวิด​ตรัส​ไว้​ใน​บทเพลง​สรรเสริญ 110?

      ▪ ทำไม​พวก​ฟาริซาย​ขยาย​กลัก​ใส่​ข้อ​คัมภีร์​ของ​เขา​ให้​กว้าง​ขึ้น และ​ขยาย​พู่​เสื้อ​ของ​เขา​ให้​ใหญ่​ขึ้น?

      ▪ พระ​เยซู​ทรง​ให้​คำ​แนะ​นำ​อะไร​แก่​พวก​สาวก​ของ​พระองค์?

      ▪ พวก​ฟาริซาย​ทำ​การ​แบ่ง​แยก​ตาม​อำเภอใจ​เช่น​ไร และ​พระ​เยซู​ทรง​ประณาม​พวก​เขา​อย่าง​ไร​ใน​การ​ละเลย​เรื่อง​ที่​สำคัญ​กว่า?

  • งานสั่งสอน ณ พระวิหารเสร็จสิ้น
    บุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
    • บท 110

      งาน​สั่ง​สอน ณ พระ​วิหาร​เสร็จ​สิ้น

      พระ​เยซู​ทรง​ปรากฏ​ตัว​ครั้ง​สุด​ท้าย ณ พระ​วิหาร. ที่​จริง พระองค์​กำลัง​จะ​ทรง​ยุติ​งาน​สั่ง​สอน​สาธารณะ​ชน​บน​แผ่นดิน​โลก ยก​เว้น​ระหว่าง​เหตุ​การณ์​เกี่ยว​กับ​การ​พิจารณา​คดี​พระองค์​และ​การ​ประหาร​ชีวิต​ใน​สาม​วัน​ต่อ​มา. บัด​นี้ พระองค์​ทรง​ประณาม​พวก​อาลักษณ์​และ​ฟาริซาย​ต่อ​ไป.

      พระองค์​ทรง​เปล่ง​เสียง​ดัง​อีก​สาม​ครั้ง​ที่​ว่า “วิบัติ​แก่​เจ้า พวก​อาลักษณ์​และ​พวก​ฟาริซาย คน​หน้า​ซื่อ​ใจ​คด!” ที​แรก พระองค์​ทรง​ประกาศ​วิบัติ​เหนือ​พวก​เขา เพราะ​เขา​ขัด​ชำระ “ถ้วย​จาน​แต่​ภาย​นอก ส่วน​ภาย​ใน​ถ้วย​จาน​นั้น​เต็ม​ไป​ด้วย​การ​ฉก​ชิง​และ​การ​อธรรม.” ดัง​นั้น​พระองค์​ทรง​ตักเตือน​ว่า “จง​ชำระ​ถ้วย​จาน​ภาย​ใน​เสีย​ก่อน เพื่อ​ข้าง​นอก​จะ​ได้​หมดจด​ด้วย.”

      ต่อ​จาก​นั้น​พระองค์​ทรง​แถลง​วิบัติ​ต่อ​พวก​อาลักษณ์​และ​พวก​ฟาริซาย​เนื่อง​ด้วย​ความ​ผุ​พัง​และ​เปื่อย​เน่า​ภาย​ใน​ซึ่ง​พวก​เขา​พยายาม​จะ​ปิด​บัง​ไว้​โดย​การ​แสดง​ความ​เลื่อมใส​ภาย​นอก. พระองค์​ตรัส​ว่า “เจ้า​เป็น​เหมือน​อุโมงค์​ฝัง​ศพ​ซึ่ง​ฉาบ​ด้วย​ปูน​ขาว ข้าง​นอก​ดู​งดงาม แต่​ข้าง​ใน​เต็ม​ไป​ด้วย​กระดูก​คน​ตาย​และ​สารพัด​โสโครก.”

      ใน​ที่​สุด ความ​หน้า​ซื่อ​ใจ​คด​ของ​พวก​เขา​ก็​ปรากฏ​ชัด​จาก​ความ​เต็ม​ใจ​ของ​พวก​เขา​ที่​จะ​สร้าง​อุโมงค์​ฝัง​ศพ​สำหรับ​พวก​ผู้​พยากรณ์​แล้ว​ตกแต่ง​อุโมงค์​เหล่า​นั้น​เพื่อ​ดึง​ความ​สนใจ​มา​สู่​การ​กระทำ​แบบ​ใจบุญสุนทาน​ของ​เขา​เอง. กระนั้น ดัง​ที่​พระ​เยซู​ทรง​เปิดโปง พวก​เขา “เป็น​บุตร​ของ​ผู้​ที่​ได้​ฆ่า​ศาสดา​พยากรณ์​เหล่า​นั้น.” ที่​จริง ใคร​ก็​ตาม​ที่​บังอาจ​แฉ​ความ​หน้า​ซื่อ​ใจ​คด​ของ​พวก​เขา​ก็​อยู่​ใน​อันตราย!

      โดย​ดำเนิน​เรื่อง​ต่อ​ไป พระ​เยซู​ตรัส​คำ​ประณาม​แบบ​รุนแรง​ที่​สุด. พระองค์​ตรัส​ว่า “โอ​พวก​ชาติ​งู​ร้าย เจ้า​จะ​พ้น​จาก​การ​ปรับ​โทษ​ใน​นรก [เกเฮนนา, ล.ม.] อย่าง​ไร​ได้?” เกเฮนนา​คือ​หุบเขา​ใช้​เป็น​สถาน​ที่​ทิ้ง​ขยะ​ของ​กรุง​ยะรูซาเลม. ดัง​นั้น​พระ​เยซู​ตรัส​ว่า เพราะ​การ​ติด​ตาม​แนว​ทาง​ที่​ชั่ว​ร้าย​ของ​เขา พวก​อาลักษณ์​กับ​ฟาริซาย​จะ​ประสบ​พินาศกรรม​ชั่วนิรันดร์.

      พระ​เยซู​ตรัส​เกี่ยว​กับ​คน​เหล่า​นั้น​ซึ่ง​พระองค์​ทรง​ใช้​ไป​ใน​ฐานะ​ตัว​แทน​ของ​พระองค์​ว่า “เจ้า​ก็​ฆ่า​เสีย​บ้าง ตรึง​เสีย [บน​หลัก] บ้าง เฆี่ยน​ตี​ใน​ธรรมศาลา​ของ​เจ้า​บ้าง ข่มเหง​ไล่​ให้​ออก​จาก​เมือง​นี้​ไป​เมือง​โน้น​บ้าง บรรดา​โลหิต​อัน​ชอบธรรม​ซึ่ง​ตก​ที่​แผ่นดิน​โลก ตั้ง​แต่​โลหิต​ของ​เฮเบล​ผู้​ชอบธรรม​จน​ถึง​โลหิต​ของ​ซะคาเรีย​บุตร​บาราเคีย [ชื่อ​ยะโฮยาดา​ใน​โครนิกา​ฉบับ​สอง] ที่​พวก​เจ้า​ได้​ฆ่า​เสีย​ใน​ระหว่าง​โบสถ์​กับ​แท่น​นั้น​คง​ตก​บน​พวก​เจ้า​ทั้ง​หลาย. เรา​บอก​เจ้า​ทั้ง​หลาย​ตาม​จริง​ว่า บรรดา​สิ่ง​เหล่า​นั้น​จะ​บังเกิด​ขึ้น​แก่​คน​สมัย​นี้.”

      เพราะ​ซะคาเรีย​ได้​ติเตียน​พวก​ผู้​นำ​ของ​ยิศราเอล “พวก​นั้น​จึง​ได้​คิด​ร้าย​ต่อ​ซะคาเรีย เขา​ได้​เอา​หิน​ขว้าง​ท่าน​ตาย​ใน​บริเวณ​โบสถ์​วิหาร​ของ​พระ​ยะโฮวา​ตาม​รับสั่ง​ของ​กษัตริย์.” แต่​ดัง​ที่​พระ​เยซู​ทรง​บอก​ไว้​ล่วง​หน้า พวก​ยิศราเอล​จะ​ต้อง​ชด​ใช้​สำหรับ​โลหิต​อัน​ชอบธรรม​ที่​หลั่ง​ออก​นั้น​ทั้ง​หมด. พวก​เขา​ชด​ใช้ 37 ปี​ต่อ​มา ใน​ปี​สากล​ศักราช 70 คราว​เมื่อ​กองทัพ​โรมัน​ทำลาย​กรุง​ยะรูซาเลม และ​ชาว​ยิว​กว่า​หนึ่ง​ล้าน​คน​ตาย​ไป.

      ขณะ​ที่​พระ​เยซู​ทรง​ครุ่น​คิด​ถึง​สภาพการณ์​อัน​น่า​ขนพอง​สยอง​เกล้า​นี้ พระองค์​ทรง​เป็น​ทุกข์. พระองค์​ทรง​แถลง​อีก​ครั้ง​หนึ่ง​ว่า “โอ​ยะรูซาเลม ๆ . . . เรา​ใคร่​จะ​รวบ​รวม​ลูก​ของ​เจ้า​ไว้​เนือง ๆ เหมือน​แม่​ไก่​กก​ลูก​อยู่​ใต้​ปีก​ของ​มัน. แต่​เจ้า​ไม่​ยอม. นี่​แหละ! เรือน​ของ​เจ้า​ก็​ถูก​ปล่อย​ไว้​ให้​ร้าง​ตาม​ลำพัง​เจ้า.”

      ครั้น​แล้ว พระ​เยซู​ตรัส​เสริม​อีก​ว่า “ตั้ง​แต่​นี้​ต่อ​ไป​เจ้า​จะ​ไม่​เห็น​เรา​อีก​กว่า​เจ้า​จะ​ออก​ปาก​กล่าว​ว่า ‘ความ​สุข​เจริญ​จง​มี​แก่​ท่าน​ผู้​มา​ใน​นาม​ของ​พระเจ้า!’” วัน​นั้น​จะ​อยู่​ใน​คราว​การ​ประทับ​ของ​พระ​คริสต์​เมื่อ​พระองค์​เสด็จ​เข้า​สู่​ราชอาณาจักร​ฝ่าย​สวรรค์ และ​ประชาชน​แล​เห็น​พระองค์​ด้วย​ตา​แห่ง​ความ​เชื่อ.

      บัด​นี้ พระ​เยซู​ทรง​ดำเนิน​ไป​ยัง​บริเวณ​ที่​พระองค์​สามารถ​สังเกต​ตู้​เก็บ​เงิน​ถวาย​ใน​พระ​วิหาร​และ​ฝูง​ชน​ที่​เอา​เงิน​มา​ใส่​ใน​ตู้​นั้น​ได้. คน​มั่งมี​ใส่​เงิน​หลาย​เหรียญ. แต่​ครั้น​แล้ว​มี​หญิง​ม่าย​จน​คน​หนึ่ง​ก็​มา​ด้วย​และ​เอา​เงิน​เหรียญ​เล็ก ๆ สอง​เหรียญ​ซึ่ง​มี​ค่า​น้อย​นิด​ใส่​ลง​ไป​ด้วย.

      ทรง​เรียก​พวก​สาวก​ของ​พระองค์​มา พระ​เยซู​ตรัส​ว่า “เรา​บอก​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ตาม​จริง​ว่า หญิง​ม่าย​จน​คน​นี้​ได้​ใส่​ไว้​ใน​ตู้​เก็บ​เงิน​ถวาย​มาก​กว่า​คน​ทั้ง​ปวง​ที่​ใส่​ไว้​นั้น.” พวก​เขา​คง​ต้อง​ฉงน​สนเท่ห์​ว่า​เป็น​เช่น​นี้​ได้​อย่าง​ไร. ดัง​นั้น​พระ​เยซู​ทรง​ชี้​แจง​ว่า “คน​ทั้ง​ปวง​นั้น​ได้​เอา​เงิน​เหลือ​ใช้​ของ​เขา​มา​ใส่​ไว้ แต่​ผู้​หญิง​คน​นี้​ขัดสน​ที่​สุด ยัง​ได้​เอา​เงิน​ที่​มี​อยู่​สำหรับ​เลี้ยง​ชีวิต​ของ​ตน​มา​ใส่​จน​หมด.” ภาย​หลัง​ตรัส​เรื่อง​เหล่า​นี้​แล้ว พระ​เยซู​ทรง​ออก​จาก​พระ​วิหาร​ไป​เป็น​ครั้ง​สุด​ท้าย.

      เพราะ​รู้สึก​ตะลึง​ใน​ขนาด​และ​ความ​งดงาม​ของ​พระ​วิหาร สาวก​คน​หนึ่ง​ของ​พระองค์​จึง​อุทาน​ว่า “อาจารย์​เจ้าข้า ขอ​พระองค์​ทอด​พระ​เนตร​ดู​ศิลา​และ​ตึก​เหล่า​นี้!” ถูก​แล้ว ตาม​ที่​มี​รายงาน​ไว้ ศิลา​นั้น​ยาว​กว่า 11 เมตร กว้าง​มาก​กว่า 5 เมตร และ​สูง​กว่า 3 เมตร.

      พระ​เยซู​ตรัส​ตอบ​ว่า “ท่าน​เห็น​ตึก​ใหญ่​เหล่า​นี้​หรือ? ศิลา​ที่​ซ้อน​ทับ​กัน​อยู่​ที่​นี่​ซึ่ง​จะ​ไม่​ถูก​ทำลาย​ลง​ก็​หา​มิ​ได้.”

      ภาย​หลัง​ตรัส​เรื่อง​เหล่า​นี้​แล้ว พระ​เยซู​กับ​พวก​อัครสาวก​ข้าม​หุบเขา​ฆิดโรน แล้ว​ขึ้น​ไป​บน​ภูเขา​มะกอก​เทศ. จาก​ที่​นี้​พวก​เขา​สามารถ​มอง​ลง​ไป​ยัง​พระ​วิหาร​อัน​สง่า​งาม. มัดธาย 23:25–24:3; มาระโก 12:41–13:3; ลูกา 21:1-6; 2 โครนิกา 24:20-22.

      ▪ พระ​เยซู​ทรง​ทำ​อะไร​ระหว่าง​การ​ไป​เยือน​พระ​วิหาร​ครั้ง​สุด​ท้าย?

      ▪ ความ​หน้า​ซื่อ​ใจ​คด​ของ​พวก​อาลักษณ์​และ​พวก​ฟาริซาย​ปรากฏ​ชัด​อย่าง​ไร?

      ▪ “การ​ปรับ​โทษ​ใน​เกเฮนนา” หมายความ​ว่า​กระไร?

      ▪ ทำไม​พระ​เยซู​ตรัส​ว่า​หญิง​ม่าย​นั้น​บริจาค​เงิน​มาก​กว่า​คน​มั่งมี?

  • สัญลักษณ์ของยุคสุดท้าย
    บุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
    • บท 111

      สัญลักษณ์​ของ​ยุค​สุด​ท้าย

      ขณะ​นี้​เป็น​ตอน​บ่าย​วัน​อังคาร. เมื่อ​พระ​เยซู​ประทับ​บน​ภูเขา​มะกอก​เทศ ทอด​พระ​เนตร​พระ​วิหาร​ที่​อยู่​เบื้อง​ล่าง เปโตร, อันดะเรอา, ยาโกโบ, และ​โยฮัน​มา​เฝ้า​พระองค์​เป็น​ส่วน​ตัว. พวก​เขา​เป็น​ห่วง​ใน​เรื่อง​พระ​วิหาร เนื่อง​จาก​พระ​เยซู​เพิ่ง​ได้​บอก​ล่วง​หน้า​ว่า ศิลา​ที่​ซ้อน​ทับ​กัน​อยู่​ที่​นี่ ซึ่ง​จะ​ไม่​ถูก​ทำลาย​ลง​ก็​หา​มิ​ได้.

      แต่​ดู​เหมือน​ว่า เขา​ยัง​มี​มาก​กว่า​เรื่อง​นั้น​อีก​ใน​จิตใจ​ของ​เขา​ขณะ​เมื่อ​เข้า​ไป​เฝ้า​พระ​เยซู. ไม่​กี่​สัปดาห์​ก่อน​หน้า​นั้น พระองค์​ได้​ตรัส​ถึง​เรื่อง “การ​ประทับ” ของ​พระองค์ สมัย “เมื่อ​บุตร​มนุษย์​มา​ปรากฏ.” และ​ใน​โอกาส​หนึ่ง​ก่อน​หน้า​นั้น พระองค์​ได้​แจ้ง​ให้​พวก​เขา​ทราบ​เรื่อง “อวสาน​ของ​ระบบ.” ดัง​นั้น​พวก​อัครสาวก​จึง​อยาก​รู้​อยาก​เห็น​มาก​ที​เดียว.

      พวก​เขา​ทูล​ว่า “ขอ​โปรด​บอก​ข้าพเจ้า​ทั้ง​หลาย​เถิด​ว่า สิ่ง​เหล่า​นี้​จะ​เกิด​ขึ้น​เมื่อ​ไร [ซึ่ง​ยัง​ผล​ด้วย​พินาศกรรม​สำหรับ​กรุง​ยะรูซาเลม​และ​พระ​วิหาร​ของ​กรุง​นั้น] และ​จะ​มี​อะไร​เป็น​สัญลักษณ์​แห่ง​การ​ประทับ​ของ​พระองค์ และ​ช่วง​อวสาน​ของ​ระบบ​นี้?” ที่​แท้​แล้ว คำ​ถาม​ของ​พวก​เขา​มี​สาม​ตอน. ที​แรก พวก​เขา​ต้องการ​ทราบ​ใน​เรื่อง​อวสาน​ของ​กรุง​ยะรูซาเลม​กับ​พระ​วิหาร​ของ​กรุง​นั้น ต่อ​จาก​นั้น​ก็​เกี่ยว​กับ​การ​ประทับ​ของ​พระ​เยซู​ด้วย​ขัตติยอำนาจ และ​ใน​ที่​สุด​ก็​เรื่อง​อวสาน​แห่ง​ระบบ​ทั้ง​สิ้น.

      พระ​เยซู​ทรง​ตอบ​คำ​ถาม​ทั้ง​สาม​ตอน​นั้น​โดย​คำ​ตอบ​ที่​ยืด​ยาว. พระองค์​ทรง​เสนอ​สัญลักษณ์​ที่​ระบุ​เวลา​เมื่อ​ระบบ​ของ​พวก​ยิว​จะ​สิ้น​สุด​ลง แต่​พระองค์​จัด​เตรียม​ให้​มาก​กว่า​นั้น​อีก. พระองค์​ยัง​ทรง​ให้​สัญลักษณ์ ซึ่ง​จะ​ทำ​ให้​พวก​สาวก​ของ​พระองค์​ใน​อนาคต​ระวัง​ตัว​เพื่อ​เขา​จะ​รู้​ได้​ว่า​พวก​เขา​มี​ชีวิต​อยู่​ระหว่าง​การ​ประทับ​ของ​พระองค์​และ​ใกล้​จะ​ถึง​จุด​อวสาน​ของ​ระบบ​ทั้ง​สิ้น.

      ขณะ​ที่​หลาย​ปี​ผ่าน​ไป พวก​อัครสาวก​สังเกต​ความ​สม​จริง​แห่ง​คำ​พยากรณ์​ของ​พระ​เยซู. ถูก​แล้ว สิ่ง​ที่​พระองค์​ทรง​บอก​ไว้​ล่วง​หน้า​นั้น​แหละ​เริ่ม​เกิด​ขึ้น​ใน​สมัย​ของ​พวก​เขา. ด้วย​เหตุ​นี้ คริสเตียน​ซึ่ง​มี​ชีวิต​อยู่ 37 ปี​ต่อ​มา ใน​ปี​สากล​ศักราช 70 มิ​ได้​ประสบ​พินาศกรรม​แห่ง​ระบบ​ของ​พวก​ยิว​พร้อม​กับ​พระ​วิหาร​นั้น​โดย​ไม่​ทัน​รู้​ตัว.

      อย่าง​ไร​ก็​ดี การ​ประทับ​ของ​พระ​คริสต์​และ​ช่วง​อวสาน​ของ​ระบบ​แห่ง​สิ่ง​ต่าง ๆ มิ​ได้​เกิด​ขึ้น​ใน​ปี 70. การ​ประทับ​ของ​พระองค์​ด้วย​ขัตติยอำนาจ​อุบัติ​ขึ้น​ภาย​หลัง​จาก​นั้น​อีก​นาน​มาก. แต่​เมื่อ​ไร​ล่ะ? การ​พิจารณา​คำ​พยากรณ์​ของ​พระ​เยซู​เปิด​เผย​เรื่อง​นี้.

      พระ​เยซู​ทรง​บอก​ล่วง​หน้า​ว่า​จะ​มี ‘สงคราม​และ​รายงาน​เรื่อง​สงคราม.’ ‘ชาติ​จะ​ลุก​ขึ้น​ต่อ​สู้​ชาติ’ และ​จะ​มี​การ​ขาด​แคลน​อาหาร แผ่นดิน​ไหว และ​โรค​ระบาด. พวก​สาวก​ของ​พระองค์​จะ​ถูก​เกลียด​ชัง​และ​ถูก​สังหาร. จะ​เกิด​ผู้​พยากรณ์​เท็จ​ขึ้น​และ​นำ​หลาย​คน​ให้​หลง​ทาง. การ​ละเลย​กฎหมาย​จะ​ทวี​ขึ้น และ​ความ​รัก​ของ​คน​จำนวน​มาก​จะ​เยือกเย็น​ลง. ใน​ขณะ​เดียว​กัน ข่าว​ดี​เรื่อง​ราชอาณาจักร​จะ​ได้​รับ​การ​ประกาศ​ไป​ตลอด​ทั่ว​แผ่นดิน​โลก​เพื่อ​เป็น​คำ​พยาน​แก่​นานา​ชาติ.

      ถึง​แม้​คำ​พยากรณ์​ของ​พระ​เยซู​มี​ความ​สม​จริง​ใน​ขอบ​เขต​จำกัด​ก่อน​พินาศกรรม​ของ​กรุง​ยะรูซาเลม​ใน​ปี​สากล​ศักราช 70 ก็​ตาม ความ​สม​จริง​ใน​ขอบ​เขต​ใหญ่​ของ​คำ​พยากรณ์​นั้น​ได้​เกิด​ขึ้น​ระหว่าง​การ​ประทับ​ของ​พระองค์​และ​ช่วง​อวสาน​ของ​ระบบ​นี้. การ​ทบทวน​ดู​เหตุ​การณ์​ของ​โลก​ตั้ง​แต่​ปี 1914 อย่าง​รอบคอบ​เผย​ให้​เห็น​ว่า คำ​พยากรณ์​สำคัญ​ของ​พระ​เยซู​ได้​ประสบ​ความ​สม​จริง​ใน​ขอบ​เขต​ใหญ่​ตั้ง​แต่​ปี​นั้น.

      อีก​ส่วน​หนึ่ง​ของ​สัญลักษณ์​ที่​พระ​เยซู​ทรง​ให้​ไว้​ก็​คือ การ​ปรากฏ​ของ “สิ่ง​อัน​น่า​เกลียด​ซึ่ง​ก่อ​ให้​เกิด​ความ​เริศร้าง.” ใน​ปี​สากล​ศักราช 66 สิ่ง​อัน​น่า​เกลียด​นี้​ปรากฏ​ใน​ลักษณะ​ของ “กองทัพ​ที่​ตั้ง​ค่าย” ของ​โรม​ซึ่ง​ล้อม​กรุง​ยะรูซาเลม​และ​ขุด​อุโมงค์​ใต้​กำแพง​พระ​วิหาร. “สิ่ง​อัน​น่า​รังเกียจ” ตั้ง​อยู่​ใน​ที่​ที่​มัน​ไม่​ควร​จะ​อยู่.

      ใน​ความ​สม​จริง​ใน​ขอบ​เขต​ที่​ใหญ่​โต​ของ​สัญลักษณ์​นั้น สิ่ง​อัน​น่า​เกลียด​คือ​สันนิบาต​ชาติ​และ​สหประชาชาติ​ผู้​สืบ​ตำแหน่ง​ของ​องค์การ​นั้น. คริสต์​ศาสนจักร​ถือ​ว่า​องค์การ​เพื่อ​สันติภาพ​ของ​โลก​องค์การ​นี้​เป็น​สิ่ง​ที่​ทำ​หน้า​ที่​แทน​ราชอาณาจักร​ของ​พระเจ้า. ช่าง​น่า​สะอิดสะเอียน​สัก​เพียง​ไร! เพราะ​ฉะนั้น ใน​ที่​สุด อำนาจ​ทาง​การ​เมือง​ซึ่ง​มี​ความ​สัมพันธ์​กับ​สหประชาชาติ​จะ​หัน​มา​เล่น​งาน​คริสต์​ศาสนจักร (ซึ่ง​ยะรูซาเลม​เคย​เป็น​ภาพ​เล็ง​ถึง) และ​จะ​ทำ​ให้​ศาสนจักร​นี้​เริศร้าง.

      ฉะนั้น พระ​เยซู​ทรง​บอก​ล่วง​หน้า​ไว้​ว่า “จะ​มี​ความ​ทุกข์​ลำบาก​ใหญ่​ยิ่ง ซึ่ง​ไม่​เคย​มี​ตั้ง​แต่​เดิม​โลก​มา​จน​บัด​นี้ หรือ​ใน​เบื้อง​หน้า​จะ​ไม่​มี​ต่อ​ไป​อีก.” ถึง​แม้​พินาศกรรม​ของ​กรุง​ยะรูซาเลม​ใน​ปี​สากล​ศักราช 70 นับ​ว่า​เป็น​ความ​ทุกข์​ลำบาก​ใหญ่​จริง ๆ โดย​ที่​มี​รายงาน​ว่า​มาก​กว่า​หนึ่ง​ล้าน​คน​เสีย​ชีวิต​ก็​ตาม นั่น​มิ​ใช่​ความ​ทุกข์​ลำบาก​ใหญ่​ยิ่ง​กว่า​มหา​อุทกภัย​ทั่ว​โลก​ใน​สมัย​ของ​โนฮา. ดัง​นั้น​ความ​สำเร็จ​สม​จริง​ใน​ขอบ​เขต​ใหญ่​ของ​คำ​พยากรณ์​ของ​พระ​เยซู​ตอน​นี้​ยัง​จะ​ต้อง​ได้​เป็น​จริง​อยู่.

      ความ​มั่น​ใจ​ระหว่าง​ยุค​สุด​ท้าย

      ขณะ​ที่​วัน​อังคาร​ที่ 11 เดือน​ไนซาน​ใกล้​จะ​สิ้น​สุด​ลง พระ​เยซู​ทรง​สนทนา​กับ​พวก​อัครสาวก​ของ​พระองค์​ต่อ​ถึง​สัญลักษณ์​แห่ง​การ​ประทับ​ของ​พระองค์​ด้วย​ขัตติยอำนาจ​และ​ช่วง​อวสาน​ของ​ระบบ​นี้. พระองค์​ทรง​เตือน​พวก​เขา​ใน​เรื่อง​การ​ติด​ตาม​พระ​คริสต์​ปลอม. พระองค์​ตรัส​ว่า จะ​มี​การ​ใช้​ความ​พยายาม​เพื่อ​จะ “ล่อ​ลวง​ให้​หลง ถ้า​เป็น​ได้​ถึง​แม้​ผู้​ที่​ถูก​เลือก​สรร​แล้ว.” แต่​ดุจ​ดัง​นก​อินทรี​ซึ่ง​มี​สายตา​ยาว​ไกล ผู้​ถูก​เลือก​สรร​เหล่า​นี้​จะ​รวม​กลุ่ม​กัน​ยัง​ที่​ซึ่ง​จะ​พบ​อาหาร​ฝ่าย​วิญญาณ​แท้​ได้ กล่าว​คือ​ร่วม​กับ​พระ​คริสต์​แท้ ณ การ​ประทับ​ของ​พระองค์​อัน​ไม่​ประจักษ์​แก่​ตา. พวก​เขา​จะ​ไม่​ถูก​นำ​ไป​ผิด​ทาง แล้ว​ถูก​รวบ​รวม​ไป​ยัง​พระ​คริสต์​ปลอม.

      พระ​คริสต์​ปลอม​จะ​ทำ​ได้​ก็​เพียง​การ​ปรากฏ​แบบ​ที่​ประจักษ์​ได้​เท่า​นั้น. ตรง​กัน​ข้าม การ​ประทับ​ของ​พระ​เยซู​จะ​ไม่​ประจักษ์​แก่​ตา. เหตุ​การณ์​นั้น​จะ​อุบัติ​ขึ้น​ระหว่าง​สมัย​อัน​น่า​กลัว​ใน​ประวัติศาสตร์​ของ​มนุษย์ ดัง​ที่​พระ​เยซู​ตรัส​ว่า “ดวง​อาทิตย์​จะ​มืด​ไป และ​ดวง​จันทร์​จะ​ไม่​ส่อง​สว่าง.” ถูก​แล้ว ช่วง​นี้​จะ​เป็น​ระยะ​เวลา​อัน​มืดมน​ที่​สุด​แห่ง​การ​ดำรง​อยู่​ของ​มนุษยชาติ. นั่น​จะ​เป็น​ประหนึ่ง​ว่า​ดวง​อาทิตย์​มืด​ไป​ระหว่าง​เวลา​กลางวัน และ​เสมือน​ว่า​ดวง​จันทร์​ไม่​ส่อง​แสง​ใน​เวลา​กลางคืน.

      พระ​เยซู​ตรัส​ต่อ​ไป​ว่า “บรรดา​สิ่ง​ซึ่ง​มี​อำนาจ​ใน​ท้องฟ้า​จะ​สะเทือน​สะท้าน​หวั่นไหว.” โดย​วิธี​นี้​พระองค์​ทรง​ชี้​แจง​ว่า​ใน​ฟ้า​สวรรค์​จริง ๆ จะ​มี​ปรากฏการณ์​ที่​เป็น​ลาง​บอก​เหตุ. ฟ้า​สวรรค์​จะ​ไม่​เป็น​เพียง​อาณา​เขต​ของ​พวก​นก​เท่า​นั้น แต่​จะ​เต็ม​ด้วย​เครื่องบิน​รบ จรวด และ​ยาน​สำรวจ​อวกาศ. ความ​กลัว​และ​ความ​รุนแรง​จะ​มี​มาก​กว่า​สิ่ง​ใด ๆ ที่​ได้​ประสบ​มา​ก่อน​ใน​ประวัติศาสตร์​ของ​มนุษย์.

      ผล​ก็​คือ พระ​เยซู​ตรัส​ว่า​จะ​มี ‘ความ​ปวด​ร้าว​ของ​ชาติ​ต่าง ๆ ไม่​รู้​จัก​ทาง​ออก​เนื่อง​จาก​เสียง​กึกก้อง​ของ​ทะเล​และ​ความ​ปั่นป่วน​ของ​มัน ขณะ​ที่​มนุษย์​สลบ​ไป​เนื่อง​จาก​ความ​กลัว​และ​การ​คอย​ท่า​ดู​เหตุ​การณ์​ต่าง ๆ ที่​เกิด​ขึ้น​บน​แผ่นดิน​โลก​ที่​มี​คน​อาศัย​อยู่.’ ที่​จริง ช่วง​เวลา​อัน​มืดมน​นี้​แห่ง​การ​ดำรง​อยู่​ของ​มนุษย์​จะ​นำ​ไป​สู่​สมัย​ที่​พระ​เยซู​ตรัส​ว่า “นิมิต​แห่ง​บุตร​มนุษย์​จะ​ปรากฏ​ขึ้น​ใน​ท้องฟ้า มนุษย์​ทุก​ชาติ​ทั่ว​โลก​จะ​พิลาป​ร่ำไร.”

      แต่​ใช่​ว่า​ทุก​คน​จะ​พิลาป​ร่ำไห้​เมื่อ ‘บุตร​มนุษย์​เสด็จ​ด้วย​ฤทธานุภาพ’ เพื่อ​ทำลาย​ระบบ​อัน​ชั่ว​ช้า​นี้. “ผู้​ที่​ถูก​เลือก​สรร” 144,000 คน​ซึ่ง​จะ​มี​ส่วน​ร่วม​กับ​พระ​คริสต์​ใน​ราชอาณาจักร​ของ​พระองค์​ทาง​ภาค​สวรรค์​จะ​ไม่​พิลาป​ร่ำไห้ ทั้ง​สหาย​ของ​พวก​เขา หมู่​ชน​ซึ่ง​พระ​เยซู​ทรง​เรียก​ก่อน​หน้า​นั้น​ว่า “แกะ​อื่น” ของ​พระองค์​ก็​ไม่​พิลาป​ร่ำไห้​ด้วย. ทั้ง ๆ ที่​ดำรง​ชีวิต​อยู่​ระหว่าง​ช่วง​เวลา​อัน​มืดมน​ที่​สุด​ใน​ประวัติศาสตร์​ของ​มนุษย์​ก็​ตาม คน​เหล่า​นี้​ตอบรับ​การ​หนุน​กำลังใจ​โดย​พระ​เยซู​ที่​ว่า “เมื่อ​เหตุ​การณ์​ทั้ง​ปวง​นี้​เริ่ม​จะ​บังเกิด​ขึ้น​นั้น ท่าน​ทั้ง​หลาย​จง​เงย​หน้า​และ​ผงก​ศีรษะ​ขึ้น ด้วย​ความ​รอด​ของ​ท่าน​ใกล้​จะ​ถึง​แล้ว.”

      เพื่อ​ว่า​พวก​สาวก​ของ​พระองค์​ผู้​ซึ่ง​จะ​ดำรง​ชีวิต​อยู่​ระหว่าง​ยุค​สุด​ท้าย​จะ​กำหนด​ได้​ว่า​จุด​อวสาน​ใกล้​เข้า​มา​แล้ว พระ​เยซู​ทรง​ให้​อุทาหรณ์​เรื่อง​นี้: “จง​ดู​ต้น​มะเดื่อ​เทศ​และ​ต้น​ไม้​ทั้ง​ปวง​เถิด เมื่อ​ผลิ​ใบ​ออก​แล้ว ท่าน​ทั้ง​หลาย​ก็​เห็น​และ​รู้​อยู่​เอง​ว่า​ฤดู​ร้อน​จวน​จะ​ถึง​แล้ว. เช่น​นั้น​แหละ เมื่อ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​เห็น​เหตุ​การณ์​ทั้ง​ปวง​นั้น​บังเกิด​มา จง​รู้​ว่า​แผ่นดิน​ของ​พระเจ้า​ใกล้​จะ​ถึง​แล้ว. เรา​บอก​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ตาม​จริง​ว่า คน​ชั่ว​อายุ​นี้​จะ​ไม่​ล่วง​ลับ​ไป​ก่อน​สิ่ง​ทั้ง​ปวง​นั้น​จะ​บังเกิด​ขึ้น.”

      ด้วย​เหตุ​นี้ เมื่อ​พวก​สาวก​ของ​พระองค์​เห็น​ลักษณะ​สำคัญ​ต่าง ๆ กัน​หลาย​ประการ​ของ​สัญลักษณ์​ได้​สำเร็จ​เป็น​จริง พวก​เขา​ควร​สำนึก​ว่า​จุด​อวสาน​ของ​ระบบ​นั้น​ใกล้​เข้า​มา​แล้ว และ​ราชอาณาจักร​ของ​พระเจ้า​จะ​กวาด​ล้าง​ความ​ชั่ว​ทั้ง​สิ้น​ใน​ไม่​ช้า. ที่​จริง จุด​อวสาน​จะ​อุบัติ​ขึ้น​ภาย​ใน​ช่วง​ชีวิต​ของ​ชน​ที่​ได้​เห็น​ความ​สม​จริง​ของ​เหตุ​การณ์​ทั้ง​มวล​ที่​พระ​เยซู​ทรง​บอก​ไว้​ล่วง​หน้า. ใน​การ​ตักเตือน​สาวก​เหล่า​นั้น​ผู้​ซึ่ง​จะ​มี​ชีวิต​อยู่​ระหว่าง​ยุค​สุด​ท้าย​อัน​สำคัญ​นี้ พระ​เยซู​ตรัส​ว่า:

      “แต่​จง​ระวัง​ให้​ดี เกลือก​ว่า​ใจ​ของ​ท่าน​จะ​ล้น​ไป​ด้วย​อาการ​ดื่ม​เหล้า​องุ่น​มาก​และ​ด้วย​การ​เมา และ​ด้วย​คิด​กังวล​ถึง​ชีวิต​นี้ แล้ว​เวลา​นั้น​จะ​มา​ถึง​ท่าน​ดุจ​บ่วง​แร้ว​เมื่อ​ท่าน​ไม่​ทัน​คิด. เพราะ​ว่า​วัน​นั้น​จะ​มา​ถึง​คน​ทั้ง​ปวง​ที่​อยู่​ทั่ว​แผ่นดิน​โลก. เหตุ​ฉะนั้น จง​เฝ้า​อธิษฐาน​อยู่​ทุก​เวลา เพื่อ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​จะ​พ้น​เหตุ​การณ์​ทั้ง​ปวง​ซึ่ง​จะ​บังเกิด​มา​นั้น และ​จะ​ยืน​อยู่​ต่อ​หน้า​บุตร​มนุษย์​ได้.”

      สาว​พรหมจารี​ฉลาด​กับ​สาว​พรหมจารี​โง่

      พระ​เยซู​ทรง​ตอบ​คำ​ทูล​ขอ​ของ​พวก​อัครสาวก​ใน​เรื่อง​สัญลักษณ์​แห่ง​การ​ประทับ​ของ​พระองค์​ด้วย​ขัตติยอำนาจ​แล้ว. บัด​นี้​พระองค์​ทรง​เสนอ​ลักษณะ​สำคัญ​ต่อ​ไป​ของ​สัญลักษณ์​โดย​คำ​อุปมา หรือ​อุทาหรณ์​สาม​เรื่อง.

      ความ​สม​จริง​ของ​อุทาหรณ์​แต่​ละ​เรื่อง​จะ​สังเกต​ได้​โดย​คน​เหล่า​นั้น​ที่​มี​ชีวิต​อยู่​ระหว่าง​การ​ประทับ​ของ​พระองค์. พระองค์​ทรง​แนะ​นำ​อุทาหรณ์​เรื่อง​แรก​ด้วย​คำ​ตรัส​ว่า “ขณะ​นั้น​แผ่นดิน​สวรรค์​จะ​เปรียบ​เหมือน​หญิง​พรหมจารี​สิบ​คน ถือ​ตะเกียง​ของ​ตน​ออก​ไป​รับ​เจ้าบ่าว. เป็น​หญิง​มี​ปัญญา​ห้า​คน เป็น​คน​โง่​ห้า​คน.”

      ด้วย​ถ้อย​คำ​ที่​ว่า “แผ่นดิน​สวรรค์​จะ​เปรียบ​เหมือน​หญิง​พรหมจารี​สิบ​คน” พระ​เยซู​มิ​ได้​หมายความ​ว่า​ครึ่ง​หนึ่ง​ของ​บรรดา​ผู้​ที่​ได้​รับ​ราชอาณาจักร​ฝ่าย​สวรรค์​เป็น​มรดก​นั้น​เป็น​คน​โง่ และ​อีก​ครึ่ง​หนึ่ง​เป็น​คน​ฉลาด​สุขุม! เปล่า​เลย แต่​พระองค์​ทรง​หมายความ​ว่า เกี่ยว​กับ​ราชอาณาจักร​ฝ่าย​สวรรค์​นั้น มี​ลักษณะ​พิเศษ​อย่าง​นี้​หรือ​อย่าง​นั้น หรือ​ไม่​ก็​เรื่อง​ที่​เกี่ยว​ข้อง​กับ​ราชอาณาจักร​นั้น​จะ​เป็น​ใน​ทำนอง​นี้​หรือ​ทำนอง​นั้น​เป็น​ต้น.

      สาว​พรหมจารี​สิบ​คน​หมาย​ถึง​คริสเตียน​ทุก​คน​ซึ่ง​มี​โอกาส​จะ​ได้​รับ​ราชอาณาจักร​ฝ่าย​สวรรค์ หรือ​ผู้​ที่​อ้าง​ว่า​อยู่​ใน​แนว​ทาง​นั้น. ใน​เทศกาล​เพ็นเตคอสเต​ปี​สากล​ศักราช 33 นั่น​เอง​ที่​ประชาคม​คริสเตียน​ได้​รับ​คำ​มั่น​สัญญา​ใน​เรื่อง​การ​สมรส​กับ​พระ​เยซู​คริสต์ เจ้าบ่าว​ผู้​ทรง​สง่า​ราศี​ซึ่ง​กลับ​ฟื้น​คืน​พระ​ชนม์​แล้ว. แต่​การ​สมรส​นั้น​จะ​มี​ขึ้น​ใน​สวรรค์​ใน​เวลา​ใด​เวลา​หนึ่ง​ที่​มิ​ได้​ระบุ​เจาะจง​ใน​อนาคต.

      ใน​อุทาหรณ์​นั้น สาว​พรหมจารี​สิบ​คน​ออก​ไป​โดย​มี​จุด​มุ่ง​หมาย​ใน​การ​ต้อนรับ​เจ้าบ่าว และ​เข้า​ร่วม​ขบวน​แห่​การ​สมรส​นั้น. เมื่อ​เขา​มา​ถึง พวก​เธอ​จะ​จุด​ตะเกียง​ของ​ตน​เพื่อ​ทำ​ให้​เส้น​ทาง​ที่​มี​ขบวน​แห่​สว่างไสว โดย​วิธี​นี้​เป็น​การ​ให้​เกียรติ​เขา​ขณะ​ที่​เขา​พา​เจ้าสาว​เข้า​สู่​บ้าน​ที่​เตรียม​ไว้​สำหรับ​เขา. อย่าง​ไร​ก็​ดี พระ​เยซู​ทรง​ชี้​แจง​ว่า “ฝ่าย​คน​โง่​นั้น​เอา​ตะเกียง​ของ​ตน​ไป แต่​หา​ได้​เอา​น้ำมัน​ไป​ด้วย​ไม่ ส่วน​คน​ที่​มี​ปัญญา​นั้น​ได้​เอา​น้ำมัน​ใส่​กา​ไป​พร้อม​กับ​ตะเกียง​ของ​ตน​ด้วย. เมื่อ​เจ้าบ่าว​ยัง​ช้า​อยู่​ก็​พา​กัน​ง่วง​เหงา​หลับ​ไป.”

      การ​มา​ที่​ชักช้า​เนิ่นนาน​ของ​เจ้าบ่าว​บ่ง​ชี้​ว่า​การ​ประทับ​ของ​พระ​คริสต์​ใน​ฐานะ​พระ​มหา​กษัตริย์​ที่​ปกครอง​อยู่​นั้น​จะ​ต้อง​อยู่​ใน​อนาคต​อัน​ห่าง​ไกล. ใน​ที่​สุด​พระองค์​เสด็จ​มา​ยัง​พระ​ที่​นั่ง​ของ​พระองค์​ใน​ปี 1914. ระหว่าง​กลางคืน​อัน​ยาว​นาน​ก่อน​หน้า​นั้น สาว​พรหมจารี​ทั้ง​หมด​ก็​หลับ​ไป. แต่​พวก​เธอ​มิ​ได้​ถูก​ประณาม​เพราะ​เรื่อง​นี้. การ​ประณาม​สาว​พรหมจารี​โง่​ก็​เพราะ​พวก​เธอ​ไม่​มี​น้ำมัน​ใน​กา​ของ​ตน. พระ​เยซู​ทรง​ชี้​แจง​ว่า​สาว​พรหมจารี​ตื่น​ขึ้น​อย่าง​ไร​ก่อน​ที่​เจ้าบ่าว​มา​ถึง: “ครั้น​เวลา​เที่ยง​คืน​ก็​มี​เสียง​ร้อง​มา​ว่า ‘เจ้าบ่าว​มา​แล้ว! จง​ออก​มา​รับ​ท่าน​เถิด.’ พวก​พรหมจารี​เหล่า​นั้น​ก็​ลุก​ขึ้น​ตกแต่ง​ตะเกียง​ของ​ตน. พวก​ที่​โง่​นั้น​ก็​พูด​กับ​พวก​ที่​มี​ปัญญา​ว่า ‘ขอ​แบ่ง​น้ำมัน​ของ​ท่าน​ให้​เรา​บ้าง ตะเกียง​ของ​เรา​จวน​จะ​ดับ​อยู่​แล้ว.’ พวก​ที่​มี​ปัญญา​จึง​ตอบ​ว่า ‘น่า​กลัว​น้ำมัน​จะ​ไม่​พอ​สำหรับ​เรา​และ​เจ้า. จง​ไป​หา​คน​ขาย ซื้อ​สำหรับ​ตัว​เอง​จะ​ดี​กว่า.’”

      น้ำมัน​หมาย​ถึง​สิ่ง​ซึ่ง​ทำ​ให้​คริสเตียน​แท้​ส่อง​แสง​ใน​ฐานะ​เป็น​ดวง​สว่าง. นั่น​คือ​พระ​วจนะ​ที่​ได้​รับ​การ​ดล​บันดาล​ของ​พระเจ้า ซึ่ง​พวก​คริสเตียน​ยึด​ไว้​อย่าง​เหนียวแน่น พร้อม​กัน​กับ​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​ซึ่ง​ช่วย​เขา​ให้​เข้าใจ​พระ​วจนะ​นั้น. น้ำมัน​ฝ่าย​วิญญาณ​ทำ​ให้​สาว​พรหมจารี​ที่​ฉลาด​สุขุม​ส่อง​แสง​ออก​ไป​ใน​การ​ต้อนรับ​เจ้าบ่าว​ระหว่าง​ขบวน​แห่​มา​ยัง​งาน​เลี้ยง​ฉลอง​การ​สมรส. แต่​ชน​จำพวก​สาว​พรหมจารี​โง่​ไม่​มี​น้ำมัน​ฝ่าย​วิญญาณ​ที่​จำเป็น​นั้น​ใน​ตัว​พวก​เธอ​เอง ใน​กา​ของ​พวก​เธอ. ดัง​นั้น​พระ​เยซู​ทรง​พรรณนา​ถึง​สิ่ง​ที่​เกิด​ขึ้น:

      “เมื่อ​เขา [สาว​พรหมจารี​โง่] กำลัง​ไป​ซื้อ [น้ำมัน] นั้น เจ้าบ่าว​ก็​มา​ถึง ผู้​ที่​พร้อม​อยู่​แล้ว​ก็​ได้​เข้า​ไป​กับ​ท่าน​ใน​งาน​สมรส แล้ว​ก็​ปิด​ประตู​เสีย. ภาย​หลัง​พรหมจารี​พวก​นั้น​มา​ร้อง​ว่า ‘ท่าน​เจ้าข้า ๆ ขอ​เปิด​ให้​ข้าพเจ้า​เข้า​ไป​ด้วย!’ ฝ่าย​ท่าน​ตอบ​ว่า ‘เรา​บอก​เจ้า​ทั้ง​หลาย​ตาม​จริง​ว่า เรา​ไม่​รู้​จัก​เจ้า.’”

      หลัง​จาก​พระ​คริสต์​เสด็จ​มา​ถึง​ใน​ราชอาณาจักร​ฝ่าย​สวรรค์​แล้ว ชน​จำพวก​พรหมจารี​ที่​ฉลาด​สุขุม​ซึ่ง​ประกอบ​ด้วย​คริสเตียน​แท้​ผู้​ถูก​เจิม​ตื่น​ตัว​ต่อ​สิทธิ​พิเศษ​ของ​พวก​เขา​ใน​การ​ส่อง​แสง​สว่าง​ใน​โลก​ที่​มืดมน​นี้​โดย​การ​สรรเสริญ​เจ้าบ่าว​ที่​เสด็จ​กลับ​มา. แต่​คน​เหล่า​นั้น​ซึ่ง​สาว​พรหมจารี​โง่​เป็น​ภาพ​เล็ง​ถึง​นั้น​ไม่​พร้อม​ที่​จะ​เสนอ​คำ​สรรเสริญ​ที่​แสดง​การ​ยินดี​ต้อนรับ​นี้. ดัง​นั้น​เมื่อ​ถึง​เวลา พระ​คริสต์​ไม่​ทรง​เปิด​ประตู​เข้า​สู่​งาน​เลี้ยง​ฉลอง​สมรส​ใน​สวรรค์​ให้​แก่​พวก​เขา. พระองค์​ทรง​ทิ้ง​พวก​เขา​ไว้​ภาย​นอก​ใน​ความ​มืด​มิด​ที่​สุด​แห่ง​รัต​ติ​กาล​ของ​โลก เพื่อ​ให้​สูญ​สิ้น​ไป​พร้อม​กับ​ผู้​กระทำ​การ​ละเลย​กฎหมาย​คน​อื่น ๆ ทั้ง​หมด. พระ​เยซู​ทรง​สรุป​ว่า “เหตุ​ฉะนั้น จง​เฝ้า​ระวัง​อยู่ เพราะ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ไม่​รู้​กำหนด​วัน​หรือ​โมง​นั้น.”

      อุทาหรณ์​เรื่อง​เงิน​ตะลันต์

      พระ​เยซู​ทรง​ดำเนิน​การ​สนทนา​ต่อ​ไป​กับ​พวก​อัครสาวก​ของ​พระองค์​บน​ภูเขา​มะกอก​เทศ​โดย​การ​เล่า​อุทาหรณ์​อีก​เรื่อง​หนึ่ง เป็น​เรื่อง​ที่​สอง​ใน​ชุด​อุทาหรณ์​สาม​เรื่อง. ไม่​กี่​วัน​ก่อน​หน้า​นั้น ขณะ​ที่​พระองค์​ประทับ​อยู่ ณ เมือง​ยะริโฮ พระองค์​ทรง​เล่า​อุทาหรณ์​เรื่อง​เงิน​ชั่ง​เพื่อ​แสดง​ให้​เห็น​ว่า​ราชอาณาจักร​ยัง​อยู่​ใน​อนาคต​เป็น​เวลา​อีก​นาน. อุทาหรณ์​ที่​พระองค์​ทรง​เล่า​ขณะ​นี้ แม้​มี​ลักษณะ​คล้ายคลึง​กัน​หลาย​อย่าง ก็​พรรณนา​ถึง​กิจการ​งาน​ระหว่าง​การ​ประทับ​ของ​พระ​คริสต์​ด้วย​ขัตติยอำนาจ อัน​เป็น​ความ​สำเร็จ​สม​จริง​ของ​อุทาหรณ์​นั้น. เรื่อง​นั้น​ให้​อรรถาธิบาย​ว่า​พวก​สาวก​ของ​พระองค์​ต้อง​ทำ​งาน​ระหว่าง​ที่​ยัง​อยู่​บน​แผ่นดิน​โลก​เพื่อ​เพิ่ม​พูน “ทรัพย์​สมบัติ​ของ​พระองค์.”

      พระ​เยซู​ทรง​เริ่ม​ต้น​ว่า “และ [สภาพการณ์​อัน​เกี่ยว​ข้อง​กับ​ราชอาณาจักร] ยัง​เปรียบ​เหมือน​ชาย​ผู้​หนึ่ง​ออก​ไป​เที่ยว​เมือง​อื่น จึง​เรียก​พวก​บ่าว​ของ​ตน​มา​ฝาก​ทรัพย์​สมบัติ​ไว้.” พระ​เยซู​คือ​ชาย​ผู้​นั้น​ซึ่ง​ก่อน​เดิน​ทาง​ไป​ต่าง​แดน​ที่​สวรรค์ ก็​ได้​มอบ​ทรัพย์​สมบัติ​ของ​ตน​ไว้​กับ​พวก​บ่าว—พวก​สาวก​ซึ่ง​มี​โอกาส​ที่​จะ​ได้​รับ​ราชอาณาจักร​ฝ่าย​สวรรค์. ทรัพย์​สมบัติ​เหล่า​นี้​มิ​ใช่​สมบัติ​ฝ่าย​วัตถุ หาก​แต่​เป็น​ภาพ​เล็ง​ถึง​เขต​ที่​ได้​รับ​การ​เพาะ​ปลูก​แล้ว​ซึ่ง​พระองค์​ได้​ทรง​สร้าง​ศักยภาพ​ไว้​สำหรับ​การ​ก่อ​ให้​เกิด​สาวก​มาก​ขึ้น.

      พระ​เยซู​ทรง​มอบ​ทรัพย์​สมบัติ​ของ​พระองค์​ให้​กับ​พวก​บ่าว​ก่อน​เสด็จ​ขึ้น​สู่​สวรรค์​ไม่​นาน. โดย​วิธี​ใด? โดย​สั่ง​พวก​เขา​ให้​ทำ​งาน​ต่อ​ไป​ใน​เขต​ที่​ได้​รับ​การ​เพาะ​ปลูก​แล้ว​โดย​การ​ประกาศ​ข่าว​เรื่อง​ราชอาณาจักร​ไป​ถึง​ที่​สุด​ปลาย​แผ่นดิน​โลก. ดัง​ที่​พระ​เยซู​ตรัส​ว่า “คน​หนึ่ง​ท่าน​ให้​ห้า​ตะลันต์ คน​หนึ่ง​สอง​ตะลันต์ และ​อีก​คน​หนึ่ง​ตะลันต์​เดียว ตาม​ความ​สามารถ​ของ​บ่าว​นั้น แล้ว​ท่าน​ก็​ไป.”

      เงิน​แปด​ตะลันต์—ทรัพย์​สมบัติ​ของ​พระ​คริสต์—ได้​รับ​การ​แจก​จ่าย​ไป​โดย​วิธี​นี้​ตาม​ความ​สามารถ หรือ​ความ​เป็น​ไป​ได้​ทาง​ฝ่าย​วิญญาณ​ของ​พวก​บ่าว. พวก​บ่าว​หมาย​ถึง​ชน​จำพวก​สาวก. ใน​ศตวรรษ​แรก ชน​จำพวก​ที่​ได้​รับ​เงิน​ห้า​ตะลันต์​นั้น​ดู​เหมือน​ว่า​นับ​รวม​ทั้ง​พวก​อัครสาวก​ด้วย. พระ​เยซู​ทรง​เล่า​ต่อ​ไป​ว่า พวก​บ่าว​ที่​ได้​รับ​ห้า​กับ​สอง​ตะลันต์​นั้น​ต่าง​ก็​ทำ​ให้​เงิน​นั้น​เพิ่ม​ขึ้น​สอง​เท่า​โดย​การ​ประกาศ​ราชอาณาจักร​และ​การ​ทำ​ให้​คน​เป็น​สาวก. แต่​บ่าว​ที่​ได้​รับ​ตะลันต์​เดียว​นั้น​ได้​เอา​เงิน​ซ่อน​ไว้​ใน​ดิน.

      พระ​เยซู​ทรง​เล่า​ต่อ​ไป​ว่า “ครั้น​อยู่​มา​ช้า​นาน นาย​จึง​มา​คิด​บัญชี​กับ​บ่าว​เหล่า​นั้น.” พระ​คริสต์​มิ​ได้​เสด็จ​กลับ​มา​เพื่อ​คิด​บัญชี​จน​กระทั่ง​ศตวรรษ​ที่ 20 ราว ๆ 1,900 ปี​ต่อ​มา ดัง​นั้น​จึง​นับ​ว่า​เป็น​เวลา “อยู่​มา​ช้า​นาน” จริง ๆ. ต่อ​จาก​นั้น​พระ​เยซู​ทรง​ชี้​แจง​ว่า:

      “คน​ที่​ได้​รับ​ห้า​ตะลันต์​นั้น​ก็​เอา​เงิน​กำไร​อีก​ห้า​ตะลันต์​มา​ชี้​แจง​ว่า ‘นาย​เจ้าข้า ท่าน​ได้​มอบ​เงิน​ห้า​ตะลันต์​ไว้​กับ​ข้าพเจ้า ดู​เถิด ข้าพเจ้า​ได้​กำไร​มา​อีก​ห้า​ตะลันต์.’ นาย​จึง​ตอบ​ว่า ‘ดี​แล้ว เจ้า​เป็น​บ่าว​ซื่อ​ตรง​ดี! เจ้า​ซื่อ​สัตย์​ใน​ของ​เล็ก​น้อย. เรา​จะ​ตั้ง​เจ้า​ให้​ดู​แล​ของ​มาก. เจ้า​จง​ร่วม​ความ​ยินดี​กับ​นาย​เถิด.’” บ่าว​ที่​ได้​รับ​เงิน​สอง​ตะลันต์​ก็​ได้​ทำ​ให้​เงิน​ตะลันต์​นั้น​ทวี​ขึ้น​สอง​เท่า​ตัว​เช่น​เดียว​กัน และ​เขา​จึง​ได้​รับ​คำ​ชมเชย​และ​รางวัล​อย่าง​เดียว​กัน.

      แต่​บ่าว​ที่​ซื่อ​สัตย์​เหล่า​นี้​ได้​เข้า​ร่วม​ความ​ยินดี​กับ​นาย​ของ​ตน​โดย​วิธี​ใด? เอา​ละ ความ​ยินดี​ของ​นาย พระ​เยซู​คริสต์ นั่น​คือ​การ​ได้​รับ​สิทธิ​การ​ครอบครอง​ราชอาณาจักร​เมื่อ​พระองค์​เสด็จ​ไป​ต่าง​แดน​หา​พระ​บิดา​ของ​พระองค์​ใน​สวรรค์. สำหรับ​บ่าว​ที่​ซื่อ​สัตย์​ใน​สมัย​ปัจจุบัน พวก​เขา​มี​ความ​ยินดี​อย่าง​ยิ่ง​ที่​ได้​รับ​มอบหมาย​หน้า​ที่​รับผิดชอบ​เกี่ยว​กับ​ราชอาณาจักร​มาก​ยิ่ง​ขึ้น และ​เมื่อ​พวก​เขา​จบ​ชีวิต​ทาง​แผ่นดิน​โลก​แล้ว เขา​จะ​ได้​รับ​ความ​ยินดี​สุด​ยอด​ใน​การ​ถูก​ปลุก​ขึ้น​จาก​ตาย​สู่​ราชอาณาจักร​ฝ่าย​สวรรค์. แต่​จะ​ว่า​อย่าง​ไร​กับ​บ่าว​คน​ที่​สาม?

      บ่าว​ผู้​นี้​บ่น​ว่า “นาย​เจ้าข้า ข้าพเจ้า​รู้​อยู่​ว่า​ท่าน​เป็น​คน​ใจ​แข็ง. ข้าพเจ้า​กลัว​จึง​เอา​ทรัพย์​ของ​ท่าน​ไป​ซ่อน​ไว้​ใต้​ดิน. ดู​เถิด ของ ๆ ท่าน​เท่า​ไร​ท่าน​ก็​ได้​เท่า​นั้น.” บ่าว​นั้น​จงใจ​ไม่​ยอม​ทำ​งาน​ใน​ทุ่ง​นา​ที่​ได้​รับ​การ​เพาะ​ปลูก​โดย​การ​ประกาศ​และ​ทำ​ให้​คน​เป็น​สาวก. ดัง​นั้น​นาย​จึง​เรียก​เขา​ว่า “อ้าย​ข้า​ชั่ว​ช้า​และ​เกียจ​คร้าน” แล้ว​แถลง​คำ​พิพากษา​ว่า “จง​เอา​เงิน​ตะลันต์​เดียว​นั้น​ไป​จาก​เขา . . . เอา​อ้าย​ข้า​ชาติ​ชั่ว​ช้า​ไป​ทิ้ง​เสีย​ที่​มืด​ภาย​นอก ซึ่ง​มี​แต่​การ​ร้องไห้​ขบ​เขี้ยว​เคี้ยว​ฟัน.” คน​เหล่า​นั้น​ใน​ชน​จำพวก​บ่าว​ชั่ว​นี้​ที่​ถูก​ทิ้ง​เสีย​ภาย​นอก​ถูก​ตัด​สิทธิ์​จาก​ความ​ยินดี​ฝ่าย​สวรรค์​ใด ๆ.

      เรื่อง​นี้​ชี้​แจง​บทเรียน​สำคัญ​สำหรับ​ผู้​ที่​อ้าง​ว่า​เป็น​สาวก​ของ​พระ​คริสต์​ทุก​คน. หาก​ว่า​เขา​จะ​ได้​รับ​คำ​ชมเชย​และ​บำเหน็จ​จาก​พระองค์​และ​หลีก​เลี่ยง​จาก​การ​ถูก​ทิ้ง​ไป​ยัง​ที่​มืด​ภาย​นอก​และ​ความ​พินาศ​ใน​ที่​สุด พวก​เขา​ต้อง​ทำ​งาน​เพื่อ​เพิ่ม​พูน​ทรัพย์​สมบัติ​ของ​นาย​ทาง​ภาค​สวรรค์​โดย​การ​มี​ส่วน​อย่าง​เต็ม​ที่​ใน​งาน​ประกาศ. คุณ​ขยัน​ขันแข็ง​ใน​งาน​นี้​ไหม?

      เมื่อ​พระ​คริสต์​เสด็จ​มา​ถึง​ด้วย​ขัตติยอำนาจ

      พระ​เยซู​ยัง​คง​ประทับ​อยู่​กับ​พวก​อัครสาวก​ของ​พระองค์​บน​ภูเขา​มะกอก​เทศ. เพื่อ​ตอบ​คำ​ทูล​ขอ​ของ​พวก​เขา​ใน​เรื่อง​สัญลักษณ์​แห่ง​การ​ประทับ​ของ​พระองค์​และ​ช่วง​อวสาน​ของ​ระบบ บัด​นี้​พระองค์​ทรง​เล่า​ให้​พวก​เขา​ฟัง​เรื่อง​สุด​ท้าย​ใน​ชุด​อุทาหรณ์​สาม​เรื่อง​นั้น. พระ​เยซู​ทรง​เริ่ม​ต้น​ว่า “เมื่อ​บุตร​มนุษย์​จะ​เสด็จ​มา​ด้วย​รัศมีภาพ​ของ​พระองค์​กับ​ทั้ง​หมู่​ทูต​สวรรค์ เมื่อ​นั้น​พระองค์​จะ​ทรง​นั่ง​บน​พระ​ที่​นั่ง​อัน​รุ่งเรือง​ของ​พระองค์.”

      มนุษย์​ไม่​สามารถ​มอง​เห็น​ทูต​สวรรค์​ด้วย​สง่า​ราศี​ทาง​ภาค​สวรรค์​ของ​พวก​เขา​ได้. ดัง​นั้น การ​เสด็จ​มา​ถึง​ของ​พระ​เยซู​คริสต์ บุตร​มนุษย์​พร้อม​กับ​ทูต​สวรรค์​ต้อง​ไม่​ประจักษ์​แก่​ตา​ของ​มนุษย์. การ​เสด็จ​มา​ถึง​นั้น​อุบัติ​ขึ้น​ใน​ปี 1914. แต่​ด้วย​วัตถุ​ประสงค์​อะไร? พระ​เยซู​ชี้​แจง​ว่า “บรรดา​ชน​ชาติ​ต่าง ๆ จะ​ประชุม​พร้อม​กัน​ต่อ​พระ​พักตร์​พระองค์ และ​พระองค์​จะ​ทรง​แยก​เขา​ทั้ง​หลาย​ออก​จาก​กัน เหมือน​อย่าง​ผู้​เลี้ยง​แกะ​แยก​แกะ​ออก​จาก​แพะ. ส่วน​ฝูง​แกะ​นั้น​จะ​ทรง​จัด​ให้​อยู่​เบื้อง​ขวา​พระ​หัตถ์​ของ​พระองค์ แต่​ฝูง​แพะ​นั้น​จะ​ทรง​จัด​ให้​อยู่​เบื้อง​ซ้าย.”

      เพื่อ​พรรณนา​ถึง​สิ่ง​ที่​จะ​เกิด​ขึ้น​แก่​คน​เหล่า​นั้น​ที่​ถูก​แยก​มา​อยู่​ฝ่าย​ที่​ทรง​โปรดปราน พระ​เยซู​ตรัส​ว่า “ขณะ​นั้น​พระ​มหา​กษัตริย์​จะ​ตรัส​แก่​บรรดา​ผู้​ที่​อยู่​เบื้อง​ขวา​ว่า ‘ท่าน​ทั้ง​หลาย​ที่​ได้​รับ​พระ​พร​จาก​พระ​บิดา​ของ​เรา จง​มา​รับ​เอา​แผ่นดิน​ซึ่ง​ได้​ตระเตรียม​ไว้​สำหรับ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ตั้ง​แต่​แรก​สร้าง [การ​วาง​ราก, ล.ม.] โลก.” แกะ​แห่ง​คำ​อุทาหรณ์​นี้​จะ​ไม่​ได้​ปกครอง​ร่วม​กับ​พระ​คริสต์​ใน​สวรรค์ แต่​จะ​ได้​รับ​ราชอาณาจักร​เป็น​มรดก​ใน​แง่​ของ​การ​เป็น​ประชากร​ทาง​ภาคพื้น​โลก​ของ​ราชอาณาจักร​นั้น. “การ​วาง​ราก​โลก” ได้​เกิด​ขึ้น​คราว​เมื่อ​อาดาม​และ​ฮาวา​แรก​ให้​กำเนิด​ลูก​หลาน​ผู้​ซึ่ง​จะ​ได้​รับ​ประโยชน์​จาก​การ​จัด​เตรียม​ของ​พระเจ้า​เพื่อ​ไถ่​ถอน​มนุษยชาติ.

      แต่​ทำไม​แกะ​ถูก​แยก​ไว้​ทาง​เบื้อง​ขวา​พระ​หัตถ์​อัน​เป็น​ที่​โปรดปราน​ของ​พระ​มหา​กษัตริย์​ล่ะ? กษัตริย์​ตรัส​ตอบ​ว่า “เพราะ​ว่า​เมื่อ​เรา​อยาก​อาหาร ท่าน​ก็​ได้​จัด​หา​ให้​เรา​กิน เรา​กระหาย​น้ำ​ท่าน​ก็​ได้​ให้​เรา​ดื่ม. เรา​เป็น​แขก​แปลก​หน้า​ท่าน​ก็​ได้​ต้อนรับ​เรา​ไว้. เรา​เปลือย​กาย​ท่าน​ก็​ได้​ให้​เสื้อ​ผ้า​เรา​นุ่ง​ห่ม. เมื่อ​เรา​เจ็บ​ท่าน​ก็​ได้​มา​เยี่ยม​เรา. เมื่อ​เรา​ต้อง​จำ​อยู่​ใน​พันธนาคาร​ท่าน​ก็​ได้​มา​หา​เรา.”

      เนื่อง​จาก​แกะ​อยู่​บน​แผ่นดิน​โลก พวก​เขา​จึง​ต้องการ​ทราบ​ว่า​เขา​ทำ​การ​ดี​ดัง​กล่าว​นั้น​เพื่อ​พระ​มหา​กษัตริย์​ทาง​ภาค​สวรรค์​ของ​เขา​ได้​อย่าง​ไร. พวก​เขา​ทูล​ถาม​ว่า “พระองค์​เจ้าข้า ที่​ข้าพเจ้า​เห็น​พระองค์​ทรง​อยาก​พระ​กระยาหาร หรือ​ทรง​กระหาย​น้ำ​และ​ได้​จัด​มา​ถวาย​แก่​พระองค์​แต่​เมื่อ​ไร? ที่​ข้าพเจ้า​ได้​เห็น​พระองค์​ทรง​เป็น​แขก​แปลก​หน้า​และ​ได้​ต้อนรับ​ไว้ หรือ​เปลือย​พระ​กาย​และ​ได้​สวม​ฉลองพระองค์​ให้​แต่​เมื่อ​ไร? ที่​ข้าพเจ้า​เห็น​พระองค์​ทรง​ประชวร​หรือ​ต้อง​จำ​อยู่​ใน​พันธนาคาร และ​ได้​มา​เฝ้า​พระองค์​นั้น​แต่​เมื่อ​ไร?”

      พระ​มหา​กษัตริย์​ตรัส​ตอบ​ว่า “เรา​บอก​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ตาม​จริง​ว่า ซึ่ง​ท่าน​ได้​กระทำ​แก่​ผู้​เล็ก​น้อย​ที่​สุด​คน​หนึ่ง​ใน​พวก​พี่​น้อง​ของ​เรา ก็​เหมือน​ท่าน​ได้​กระทำ​แก่​เรา​ด้วย.” พวก​พี่​น้อง​ของ​พระ​คริสต์​ได้​แก่​ชน​ที่​เหลือ​อยู่​บน​แผ่นดิน​โลก​จาก​จำนวน 144,000 คน​ผู้​ซึ่ง​จะ​ปกครอง​ร่วม​กับ​พระองค์​ใน​สวรรค์. และ​พระ​เยซู​ตรัส​ว่า การ​ทำ​ดี​ต่อ​พวก​เขา​ก็​เป็น​เหมือน​การ​ทำ​ดี​ต่อ​พระองค์​ด้วย.

      ต่อ​จาก​นั้น​พระ​มหา​กษัตริย์​ตรัส​ต่อ​พวก​แพะ. “เจ้า​ทั้ง​หลาย​ผู้​ต้อง​แช่ง​สาป จง​ถอย​ไป​จาก​เรา​เข้า​ไป​อยู่​ใน​ไฟ​ซึ่ง​ไหม้​อยู่​เป็น​นิตย์ ซึ่ง​เตรียม​ไว้​สำหรับ​มาร​และ​พรรค​พวก​ของ​มัน​นั้น. เพราะ​เมื่อ​เรา​อยาก​อาหาร เจ้า​ก็​มิ​ได้​ให้​เรา​กิน เรา​กระหาย​น้ำ เจ้า​ก็​มิ​ได้​ให้​เรา​ดื่ม. เรา​เป็น​แขก​แปลก​หน้า เจ้า​ก็​ไม่​ได้​ต้อนรับ​เรา​ไว้ เรา​เปลือย​กาย เจ้า​ก็​ไม่​ได้​ให้​เสื้อ​ผ้า​เรา​นุ่ง​ห่ม เรา​เจ็บ​และ​ต้อง​จำ​อยู่​ใน​พันธนาคาร เจ้า​ก็​ไม่​ได้​เยี่ยม​เรา.”

      แต่​พวก​แพะ​บ่น​ว่า “พระองค์​เจ้าข้า ที่​ข้าพเจ้า​ได้​เห็น​พระองค์​ทรง​อยาก​พระ​กระยาหาร หรือ​ทรง​กระหาย​น้ำ หรือ​ทรง​เป็น​แขก​แปลก​หน้า​และ​เปลือย​พระ​กาย หรือ​ทรง​ประชวร​และ​ต้อง​จำ​อยู่​ใน​พันธนาคาร และ​ข้าพเจ้า​มิ​ได้​ปรนนิบัติ​พระองค์​นั้น​แต่​เมื่อ​ไร?” แพะ​ถูก​ตัดสิน​อย่าง​ที่​เป็น​ผล​ร้าย​โดย​อาศัย​หลัก​เดียว​กัน​กับ​ที่​แกะ​ถูก​ตัดสิน​อย่าง​เป็น​ที่​โปรดปราน. พระ​เยซู​ตอบ​ว่า “ซึ่ง​เจ้า​มิ​ได้​กระทำ​แก่​ผู้​เล็ก​น้อย​ที่​สุด​สัก​คน​หนึ่ง​ใน​พวก​นี้ เจ้า​ก็​มิ​ได้​กระทำ​แก่​พวก​เรา​ด้วย.”

      ดัง​นั้น​การ​ประทับ​ของ​พระ​คริสต์​ด้วย​ขัตติยอำนาจ ซึ่ง​มา​ก่อน​จุด​อวสาน​ของ​ระบบ​ชั่ว​นี้​ใน​คราว​ความ​ทุกข์​ลำบาก​ใหญ่​นั้น จะ​เป็น​วาระ​แห่ง​การ​พิพากษา. แพะ “จะ​ต้อง​ไป​รับ​โทษ​อยู่​เป็น​นิตย์ แต่​ผู้​ชอบธรรม [แกะ] จะ​เข้า​ใน​ชีวิต​นิรันดร์.” มัดธาย 24:2–25:46; 13:40, 49; มาระโก 13:3-37; ลูกา 21:7-36; 19:43, 44; 17:20-30; 2 ติโมเธียว 3:1-5; โยฮัน 10:16; วิวรณ์ 14:1-3.

      ▪ อะไร​กระตุ้น​พวก​อัครสาวก​ให้​ถาม แต่​ดู​เหมือน​ว่า​พวก​เขา​ยัง​คำนึง​ถึง​อะไร​อื่น​ด้วย?

      ▪ คำ​พยากรณ์​ส่วน​ใด​ของ​พระ​เยซู​สม​จริง​ใน​ปี​สากล​ศักราช 70 แต่​อะไร​ไม่​เกิด​ขึ้น​ใน​ครั้ง​นั้น?

      ▪ คำ​พยากรณ์​ของ​พระ​เยซู​สำเร็จ​สม​จริง​ครั้ง​แรก​เมื่อ​ไร แต่​มี​ความ​สม​จริง​ใน​ขอบ​เขต​ที่​ใหญ่​เมื่อ​ไร?

      ▪ สิ่ง​อัน​น่า​เกลียด​ใน​ความ​สม​จริง​ครั้ง​แรก และ​ครั้ง​สุด​ท้าย​นั้น​คือ​อะไร?

      ▪ ทำไม​ความ​ทุกข์​ลำบาก​ใหญ่​ไม่​มี​ความ​สม​จริง​ครั้ง​สุด​ท้าย​ด้วย​พินาศกรรม​ของ​กรุง​ยะรูซาเลม?

      ▪ สภาพการณ์​อะไร​ของ​โลก​เป็น​สัญลักษณ์​แห่ง​การ​ประทับ​ของ​พระ​คริสต์?

      ▪ ‘มนุษย์​ทุก​ชาติ​ทั่ว​โลก​จะ​พิลาป​ร่ำไร’ เมื่อ​ไร แต่​เหล่า​สาวก​ของ​พระ​คริสต์​จะ​ทำ​ประการ​ใด?

      ▪ พระ​เยซู​ตรัส​คำ​อุทาหรณ์​อะไร​เพื่อ​ช่วย​เหล่า​สาวก​ของ​พระองค์​ใน​อนาคต​วินิจฉัย​ออก​ว่า​จุด​อวสาน​ใกล้​เข้า​มา​แล้ว?

      ▪ พระ​เยซู​ให้​คำ​ตักเตือน​อะไร​แก่​สาวก​ของ​พระองค์​ผู้​ซึ่ง​จะ​มี​ชีวิต​อยู่​ระหว่าง​สมัย​สุด​ท้าย?

      ▪ สาว​พรหมจารี​สิบ​คน​เป็น​ภาพ​เล็ง​ถึง​ใคร?

      ▪ มี​การ​ทำ​คำ​สัญญา​ใน​เรื่อง​การ​สมรส​ของ​ประชาคม​คริสเตียน​กับ​เจ้าบ่าว​เมื่อ​ไร แต่​เมื่อ​ไร​ที่​เจ้าบ่าว​มา​ถึง​เพื่อ​รับ​เจ้าสาว​ไป​ยัง​งาน​เลี้ยง​ฉลอง​การ​สมรส?

      ▪ น้ำมัน​เป็น​ภาพ​เล็ง​ถึง​อะไร และ​การ​เป็น​เจ้าของ​น้ำมัน​นั้น​ทำ​ให้​สาว​พรหมจารี​ที่​สุขุม​สามารถ​ทำ​อะไร​ได้?

      ▪ งาน​เลี้ยง​ฉลอง​การ​สมรส​มี​ขึ้น​ที่​ไหน?

      ▪ สาว​พรหมจารี​โง่​สูญ​เสีย​บำเหน็จ​ที่​ยอด​เยี่ยม​อะไร​ไป และ​บั้น​ปลาย​ของ​เขา​เป็น​เช่น​ไร?

      ▪ อุทาหรณ์​เรื่อง​เงิน​ตะลันต์​สอน​บทเรียน​อะไร?

      ▪ ใคร​คือ​พวก​บ่าว และ​ทรัพย์​สมบัติ​ที่​พวก​เขา​ได้​รับ​มอบ​ไว้​คือ​อะไร?

      ▪ นาย​มา​คิด​บัญชี​เมื่อ​ไร และ​ท่าน​พบ​อะไร?

      ▪ บ่าว​ผู้​ซื่อ​สัตย์​เข้า​ร่วม​ความ​ยินดี​อะไร และ​เกิด​อะไร​ขึ้น​กับ​บ่าว​คน​ที่​สาม คือ​บ่าว​ชั่ว​นั้น?

      ▪ ทำไม​การ​ประทับ​ของ​พระ​คริสต์​ต้อง​ไม่​ประจักษ์​แก่​ตา และ​พระองค์​ทรง​กระทำ​งาน​อะไร​ใน​คราว​นั้น?

      ▪ แกะ​ได้​รับ​ราชอาณาจักร​เป็น​มรดก​ใน​แง่​ใด?

      ▪ “การ​วาง​ราก​ของ​โลก” เกิด​ขึ้น​เมื่อ​ไร?

      ▪ ประชาชน​ถูก​ตัดสิน​ว่า​เป็น​แกะ​หรือ​แพะ​โดย​อาศัย​อะไร​เป็น​หลัก?

  • ปัศคาครั้งสุดท้ายของพระเยซูใกล้จะถึงแล้ว
    บุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
    • บท 112

      ปัศคา​ครั้ง​สุด​ท้าย​ของ​พระ​เยซู​ใกล้​จะ​ถึง​แล้ว

      ขณะ​ที่​วัน​อังคาร​ที่ 11 เดือน​ไนซาน​จบ​ลง พระ​เยซู​เลิก​การ​สอน​อัครสาวก​บน​ภูเขา​มะกอก​เทศ. ช่าง​เป็น​วัน​ที่​เต็ม​ด้วย​ธุระ ใช้​ความ​บากบั่น​เสีย​นี่​กระไร! บัด​นี้ บาง​ที​ระหว่าง​เสด็จ​กลับ​ไป​ยัง​บ้าน​เบธาเนีย​เพื่อ​ค้าง​คืน พระองค์​ทรง​แจ้ง​แก่​พวก​อัครสาวก​ว่า “ท่าน​ทั้ง​หลาย​รู้​อยู่​ว่า​อีก​สอง​วัน​จะ​ถึง​เทศกาล​ปัศคา บุตร​มนุษย์​จะ​ต้อง​มอบ​ไว้​ให้​เขา​ตรึง.”

หนังสือภาษาไทย (1971-2026)
ออกจากระบบ
เข้าสู่ระบบ
  • ไทย
  • แชร์
  • การตั้งค่า
  • Copyright © 2025 Watch Tower Bible and Tract Society of Pennsylvania
  • เงื่อนไขการใช้งาน
  • นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
  • การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
  • JW.ORG
  • เข้าสู่ระบบ
แชร์