-
การเริ่มต้นของวันอันสำคัญยิ่งบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
-
-
บท 105
การเริ่มต้นของวันอันสำคัญยิ่ง
เมื่อพระเยซูเสด็จออกจากกรุงยะรูซาเลมในตอนค่ำวันจันทร์ พระองค์กลับไปยังบ้านเบธาเนียบนเนินด้านตะวันออกของภูเขามะกอกเทศ. สองวันแห่งงานรับใช้รอบสุดท้ายของพระองค์ในกรุงยะรูซาเลมได้เสร็จสิ้นลง. พระเยซูคงประทับแรมกับลาซะโรสหายของพระองค์อีก. ตั้งแต่เสด็จจากเมืองยะริโฮมาเมื่อวันศุกร์ นี้เป็นคืนที่สี่ที่พระองค์ประทับในบ้านเบธาเนีย.
บัดนี้ เช้าตรู่วันอังคารที่ 11 เดือนไนซาน พระองค์กับเหล่าสาวกของพระองค์เริ่มเดินทางอีก. วันนี้ปรากฏว่าเป็นวันอันสำคัญยิ่งแห่งงานรับใช้ของพระเยซู วันซึ่งมีธุระยุ่งมากที่สุดจวบจนบัดนี้. เป็นวันสุดท้ายที่พระองค์ปรากฏตัวในพระวิหาร. และเป็นวันสุดท้ายแห่งงานรับใช้ของพระองค์ในที่สาธารณะก่อนการพิจารณาคดีและการประหารชีวิตของพระองค์.
พระเยซูกับสาวกของพระองค์ใช้เส้นทางเดียวกันข้ามภูเขามะกอกเทศไปทางกรุงยะรูซาเลม. ตามถนนจากบ้านเบธาเนียนั้น เปโตรได้สังเกตต้นไม้ที่พระเยซูทรงสาปแช่งไว้เมื่อเช้าวันก่อน. ท่านอุทานว่า “อาจารย์เจ้าข้า ขอได้ทอดพระเนตรดู! ต้นมะเดื่อเทศที่พระองค์ได้สาปไว้นั้นก็เหี่ยวแห้งไปแล้ว.”
แต่เหตุใดพระเยซูทรงทำให้ต้นไม้นั้นตาย? พระองค์ทรงชี้แจงเหตุผลเมื่อพระองค์ตรัสต่อไปว่า “เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า ถ้าท่านมีความเชื่อและมิได้สงสัย ท่านจะกระทำได้ ใช่ว่าเพียงต้นมะเดื่อเทศนี้เท่านั้น ถึงแม้ท่านจะสั่งภูเขานี้ [ภูเขามะกอกเทศที่เขายืนอยู่] ว่า ‘จงถอยไปลงทะเล’ ก็จะสำเร็จ. สิ่งสารพัดซึ่งท่านจะอธิษฐานขอโดยความเชื่อท่านคงจะได้.”
ดังนั้น โดยการบันดาลให้ต้นไม้นั้นเหี่ยวแห้งไป พระเยซูจัดให้มีบทเรียนที่เห็นได้จริงแก่พวกสาวกของพระองค์ในเรื่องความจำเป็นของพวกเขาที่จะมีความเชื่อในพระเจ้า. ดังที่พระองค์ทรงแถลงว่า “เมื่อท่านจะอธิษฐานขอพระเจ้านั้น ท่านจะปรารถนาสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านคงจะได้สิ่งนั้น.” ช่างเป็นบทเรียนสำคัญอะไรเช่นนี้สำหรับพวกเขาที่จะเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงการทดลองอันน่าพรั่นพรึงที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า! กระนั้น มีความเกี่ยวพันกันอีกอย่างหนึ่งระหว่างการเหี่ยวแห้งไปของต้นมะเดื่อเทศกับคุณภาพของความเชื่อ.
ชาติยิศราเอล เช่นเดียวกับมะเดื่อเทศต้นนี้ มีลักษณะภายนอกที่หลอกลวง. ถึงแม้ชาตินั้นอยู่ในสัมพันธภาพโดยอาศัยคำสัญญาไมตรีกับพระเจ้าและอาจปรากฏภายนอกว่าปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของพระองค์ก็ตาม ชาตินั้นก็ได้พิสูจน์ว่าปราศจากความเชื่อ ไม่เกิดผลที่ดี. เนื่องจากขาดความเชื่อ ชาตินั้นกำลังปฏิเสธพระบุตรของพระเจ้าเองด้วยซ้ำไป! ดังนั้น โดยการบันดาลให้ต้นมะเดื่อเทศที่ไม่เกิดผลนั้นเหี่ยวแห้งไป พระเยซูแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผลจะลงเอยอย่างไรกับชาติที่ไม่บังเกิดผลและขาดความเชื่อนี้.
อีกไม่นาน พระเยซูกับพวกสาวกของพระองค์ก็เข้าสู่กรุงยะรูซาเลม และดังที่เคยเป็นกิจวัตรของพวกเขานั้น พวกเขาไปยังพระวิหาร อันเป็นที่ซึ่งพระเยซูเริ่มสั่งสอน. พวกปุโรหิตใหญ่และผู้เฒ่าผู้แก่ของประชาชนคงคิดถึงการที่พระเยซูลงมือจัดการกับคนแลกเปลี่ยนเงินในวันก่อนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย จึงท้าทายพระองค์ว่า “ท่านกระทำการนี้โดยอำนาจอะไร? ผู้ใดให้ท่านมีอำนาจอย่างนี้?”
พระเยซูตรัสในการตอบคำถามนั้นว่า “เราจะถามท่านทั้งหลายสักข้อหนึ่งด้วย. ถ้าตอบได้ เราจะบอกท่านเหมือนกันว่าเรากระทำการนี้โดยอำนาจอะไร: คือบัพติสมาของโยฮันนั้นมาจากไหน? มาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์?”
พวกปุโรหิตและผู้เฒ่าผู้แก่เริ่มปรึกษาระหว่างพวกเขาเองว่าเขาจะตอบอย่างไร. “ถ้าเราจะว่า ‘มาจากสวรรค์’ ท่านจะว่าแก่เราว่า ‘เหตุไฉนจึงไม่เชื่อโยฮันเล่า? แต่ถ้าเราว่า ‘มาจากมนุษย์’ ก็กลัวประชาชน เพราะว่าประชาชนทั้งปวงถือว่าโยฮันเป็นศาสดาพยากรณ์.”
พวกผู้นำไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร. ดังนั้น พวกเขาทูลตอบพระเยซูว่า “พวกข้าพเจ้าไม่ทราบ.”
พระเยซูจึงตรัสว่า “เราจะไม่บอกท่านทั้งหลายเหมือนกันว่า เรากระทำการนี้โดยอำนาจอะไร.” มัดธาย 21:19-27; มาระโก 11:19-33; ลูกา 20:1-8.
▪ มีความสำคัญอะไรเกี่ยวกับวันอังคารที่ 11 เดือนไนซาน?
▪ พระเยซูทรงให้บทเรียนอะไรเมื่อพระองค์บันดาลให้ต้นมะเดื่อเทศเหี่ยวแห้งไป?
▪ เมื่อมีคนถามพระเยซูว่า พระองค์กระทำสิ่งต่าง ๆ โดยอำนาจอะไรนั้น พระองค์ทรงตอบอย่างไร?
-
-
ถูกเปิดโปงโดยอุทาหรณ์เรื่องสวนองุ่นบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
-
-
บท 106
ถูกเปิดโปงโดยอุทาหรณ์เรื่องสวนองุ่น
พระเยซูประทับอยู่ ณ พระวิหาร. พระองค์เพิ่งทำให้หัวหน้าศาสนาซึ่งเรียกร้องอยากทราบว่า พระองค์ทำสิ่งต่าง ๆ โดยอำนาจของผู้ใดนั้นตะลึงงัน. ก่อนที่พวกเขาหายสับสน พระเยซูตรัสถามว่า “ท่านคิดเห็นอย่างไร?” และต่อจากนั้นโดยอุทาหรณ์พระองค์ทรงเผยให้เห็นว่า พวกเขาเป็นบุคคลชนิดใดจริง ๆ.
พระเยซูทรงเล่าว่า “ชายคนหนึ่งมีลูกสองคน. เมื่อไปหาลูกคนแรก เขาบอกว่า ‘ลูกเอ๋ย วันนี้จงไปทำงานในสวนองุ่น.’ ฝ่ายลูกนั้นตอบว่า ‘ฉันจะไปขอรับ’ แต่มิได้ออกไป. ไปหาลูกคนที่สอง เขาก็พูดเช่นเดียวกัน. ฝ่ายลูกนั้นตอบว่า ‘ฉันจะไม่ไป.’ ภายหลังเขารู้สึกเสียใจแล้วก็ออกไป.” พระเยซูตรัสถามว่า “ลูกสองคนนี้ คนไหนทำตามประสงค์ของบิดา?”
ฝ่ายปรปักษ์ของพระองค์ตอบว่า “คนที่สอง.”
ดังนั้น พระเยซูทรงชี้แจงว่า “เราบอกแก่ท่านทั้งหลายตามจริงว่า พวกเก็บภาษีและพวกหญิงแพศยาก็เข้าในราชอาณาจักรของพระเจ้าก่อนท่านทั้งหลาย.” ตามความเป็นจริงแล้ว ตอนแรก พวกคนเก็บภาษีกับหญิงแพศยาไม่ยอมรับใช้พระเจ้า. แต่ครั้นแล้ว เช่นเดียวกับลูกคนที่สอง พวกเขาได้กลับใจ แล้วรับใช้พระองค์. อีกด้านหนึ่ง พวกหัวหน้าศาสนา เช่นเดียวกับลูกคนแรก อ้างว่ารับใช้พระเจ้า กระนั้น ดังที่พระเยซูทรงให้อรรถาธิบายไว้ว่า “โยฮัน [ผู้ให้รับบัพติสมา] มาหาพวกท่านในทางแห่งความชอบธรรม แต่ท่านหาเชื่อท่านไม่. แต่พวกเก็บภาษีและพวกหญิงแพศยาได้เชื่อท่าน ฝ่ายท่านทั้งหลายเมื่อเห็นแล้วมิได้กลับใจภายหลังแล้วเชื่อโยฮัน.”
ต่อจากนั้นพระเยซูทรงเผยให้เห็นว่า ความล้มเหลวของพวกหัวหน้าศาสนาเหล่านี้หาใช่เพียงแต่เป็นการละเลยที่จะรับใช้พระเจ้าเท่านั้นไม่. เปล่าเลย แต่พวกเขาเป็นคนเลวทราม ชั่วร้ายจริง ๆ. พระเยซูทรงเล่าว่า “ยังมีเจ้าของสวนผู้หนึ่งได้ทำสวนองุ่นแล้วล้อมรั้วไว้รอบ เขาได้ขุดบ่อสำหรับบีบน้ำองุ่นและก่อหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่าแล้วก็ไปเสียเมืองอื่น. ครั้นถึงฤดูผลองุ่นจึงใช้พวกบ่าวไปหาผู้เช่าสวนเพื่อจะรับผลของท่าน. แต่ผู้เช่าสวนนั้นจับคนของท่านเฆี่ยนตีเสียคนหนึ่ง ฆ่าเสียคนหนึ่ง เอาหินขว้างเสียคนหนึ่ง. อีกครั้งหนึ่งท่านก็ใช้บ่าวอื่น ๆ ไปมากกว่าครั้งก่อน แต่คนเช่าสวนก็ได้ทำแก่เขาอย่างนั้นอีก.”
“พวกบ่าว” ได้แก่พวกผู้พยากรณ์ที่ “เจ้าของสวน” พระยะโฮวาพระเจ้าใช้ไปหา “ผู้เช่าสวน” แห่ง “สวนองุ่น” ของพระองค์. ผู้เช่าสวนเหล่านี้ได้แก่ตัวแทนระดับผู้นำของชาติยิศราเอล ชาติซึ่งพระคัมภีร์ระบุว่าเป็น “สวนองุ่น” ของพระเจ้า.
เนื่องจาก “ผู้เช่าสวน” ทำทารุณและฆ่า “พวกบ่าว” พระเยซูทรงชี้แจงว่า “ครั้งที่สุดท่าน [เจ้าของสวนองุ่น] ก็ใช้บุตรของท่านไปหาเขา พูดว่า ‘เขาคงจะเคารพบุตรของเรา.’ เมื่อคนเช่าสวนเห็นบุตรเจ้าของสวนมาก็พูดกันว่า ‘คนนี้แหละเป็นผู้รับมรดก ให้เราฆ่าเสียเถอะ แล้วก็ริบเอามรดกของเขา!’ เขาจึงพากันจับบุตรนั้นผลักออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย.”
บัดนี้ พระเยซูตรัสถามพวกหัวหน้าศาสนาว่า “เมื่อเจ้าของสวนมา ท่านจะทำอย่างไรแก่ผู้เช่าสวนเหล่านั้น?”
พวกหัวหน้าศาสนาทูลตอบว่า “ท่านจะล้างผลาญคนชั่วเหล่านั้นด้วยโทษร้ายแรง และสวนนั้นจะให้คนอื่นที่จะนำผลมาส่งให้ท่านตามฤดูเช่าต่อไป.”
โดยวิธีนี้ เขากล่าวคำพิพากษาต่อตัวเขาเองโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากพวกเขารวมอยู่ในท่ามกลาง “ผู้เช่าสวน” ชาวยิศราเอลแห่ง “สวนองุ่น” ยิศราเอลในระดับชาติของพระยะโฮวา. ผลที่พระยะโฮวาทรงคาดหมายจากผู้เช่าสวนดังกล่าวก็คือความเชื่อในพระบุตรของพระองค์ มาซีฮาแท้. เพราะการที่พวกเขาไม่เกิดผลดังกล่าว พระเยซูทรงเตือนว่า “ท่านทั้งหลายยังไม่ได้อ่านในคัมภีร์ [ที่บทเพลงสรรเสริญ 118:22, 23] หรือซึ่งว่า ‘ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทอดทิ้งเสียยังประกอบเข้าเป็นหัวมุมได้. และการนี้เป็นมาจากพระเจ้าและเป็นที่อัศจรรย์ประจักษ์แก่ตาของเรา?’ เหตุฉะนั้นเราบอกท่านว่า แผ่นดินของพระเจ้าจะต้องเอาไปจากท่าน ยกให้แก่ประเทศหนึ่งประเทศใดซึ่งจะกระทำให้ผลเจริญสมกับแผ่นดินนั้น. ผู้ใดล้มทับศิลานี้ ผู้นั้นจะต้องแตกหักไป. แต่ศิลานั้นจะตกทับผู้ใด ผู้นั้นจะแหลกละเอียดเป็นธุลีไป.”
บัดนี้ พวกอาลักษณ์กับพวกปุโรหิตใหญ่เข้าใจว่า พระเยซูกำลังตรัสถึงพวกเขา และพวกเขาต้องการจะฆ่าพระองค์ “ผู้รับมรดก” ที่ชอบด้วยกฎหมาย. ดังนั้น สิทธิพิเศษในการเป็นผู้ครอบครองในราชอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกเอาไปจากพวกเขาในฐานะเป็นชาติ และจะมีการสร้างชาติใหม่แห่ง ‘ผู้เช่าสวนองุ่น’ ชาติซึ่งจะเกิดผลที่เหมาะสม.
เพราะพวกหัวหน้าศาสนากลัวฝูงชนซึ่งถือว่า พระเยซูเป็นศาสดาพยากรณ์ พวกเขาจึงไม่พยายามจะสังหารพระเยซูในโอกาสนี้. มัดธาย 21:28-46; มาระโก 12:1-12; ลูกา 20:9-19; ยะซายา 5:1-7.
▪ ลูกสองคนในอุทาหรณ์เรื่องแรกของพระเยซูเป็นภาพเล็งถึงใคร?
▪ ในอุทาหรณ์เรื่องที่สอง “เจ้าของสวน” “สวนองุ่น” “ผู้เช่าสวน” “พวกบ่าว” และ “ผู้รับมรดก” เป็นภาพเล็งถึงใคร?
▪ จะเป็นประการใดกับ ‘ผู้เช่าสวนองุ่น’ และใครจะเข้ามาแทนที่พวกเขา?
-
-
อุทาหรณ์เรื่องงานเลี้ยงฉลองสมรสบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
-
-
บท 107
อุทาหรณ์เรื่องงานเลี้ยงฉลองสมรส
โดยทางอุทาหรณ์สองเรื่อง พระเยซูได้เปิดโปงพวกอาลักษณ์และปุโรหิตใหญ่ และพวกเขาต้องการจะสังหารพระองค์. แต่พระเยซูยังไม่จบเรื่องกับพวกเขา. พระองค์เล่าอุทาหรณ์อีกเรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟังต่อไปโดยตรัสว่า:
“แผ่นดินสวรรค์อุปมาเหมือนกษัตริย์องค์หนึ่งได้จัดการเตรียมอภิเษกมเหสีให้ราชโอรสของท่าน. แล้วให้ข้าราชการไปตามผู้ถูกเชิญมาในการนี้ แต่เขาไม่ใคร่จะมา.”
พระยะโฮวาพระเจ้าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงจัดเตรียมงานเลี้ยงสมรสสำหรับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์. ในที่สุด เจ้าสาวที่ประกอบด้วยสาวกผู้ถูกเจิม 144,000 คนจะร่วมกันกับพระเยซูในสวรรค์. ราษฎรของพระมหากษัตริย์คือชนชาติยิศราเอล ซึ่งได้รับโอกาสในการเป็น “อาณาจักรแห่งปุโรหิต” เมื่อถูกนำเข้าสู่คำสัญญาไมตรีเกี่ยวกับพระบัญญัติในปี 1513 ก่อนสากลศักราช. ด้วยเหตุนี้ในโอกาสนั้น มีการเสนอคำเชิญมายังงานเลี้ยงสมรสแก่พวกเขา.
อย่างไรก็ดี การเรียกครั้งแรกมิได้มีออกไปยังบรรดาผู้ที่ได้รับเชิญจนกระทั่งฤดูใบไม้ร่วงปีสากลศักราช 29 เมื่อพระเยซูกับพวกสาวกของพระองค์ (ข้าราชการของกษัตริย์) เริ่มงานประกาศราชอาณาจักร. แต่ชนยิศราเอลโดยกำเนิดซึ่งถูกเรียกโดยบ่าวตั้งแต่ปีสากลศักราช 29 ถึงปี 33 นั้นไม่เต็มใจมา. ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงให้โอกาสแก่ชาติของผู้ที่ได้รับเชิญนั้นอีกครั้งหนึ่ง ดังที่พระเยซูทรงเล่าว่า:
“ท่านยังใช้ข้าราชการอื่นไปอีก รับสั่งให้ ‘บอกผู้รับเชิญนั้นว่า “ดูเถอะ! เราได้จัดการเลี้ยงไว้แล้ว ทั้งวัวและสัตว์อ้วนพีของเราก็ฆ่าไว้เสร็จ. สิ่งสารพัดก็เตรียมไว้พร้อม จงมาในการนี้เถิด.”’” การเรียกครั้งที่สองและเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับผู้ที่ได้รับเชิญนั้นเริ่มในวันเพ็นเตคอสเต ปีสากลศักราช 33 เมื่อมีการเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงเหนือพวกสาวกของพระเยซู. การเรียกนี้ดำเนินต่อไปจนกระทั่งปีสากลศักราช 36.
อย่างไรก็ตาม ชาวยิศราเอลส่วนใหญ่ได้บอกปัดการเรียกครั้งนี้ด้วย. พระเยซูทรงตรัสว่า “แต่เขาก็เพิกเฉยเสีย บางคนก็ไปไร่นาของตน บางคนก็ไปทำการค้าขาย ฝ่ายพวกอื่นนอกนั้นก็จับข้าราชการทำอัปยศต่าง ๆ แล้วฆ่าเสีย.” พระเยซูทรงดำเนินเรื่องต่อไปว่า “กษัตริย์องค์นั้นก็ทรงพระพิโรธจึงรับสั่งให้ยกทัพไปปราบปรามคนร้ายเหล่านั้น แล้วให้เผาบ้านเมืองเสีย.” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปีสากลศักราช 70 เมื่อกรุงยะรูซาเลมถูกทำลายราบถึงดินโดยพวกโรมัน และฆาตกรเหล่านั้นได้ถูกสังหาร.
ต่อจากนั้นพระเยซูทรงชี้แจงสิ่งที่ได้เกิดขึ้นระหว่างนั้น: “ท่าน [กษัตริย์] จึงรับสั่งแก่ข้าราชการว่า การสมรสก็พร้อมอยู่แล้ว แต่ผู้รับเชิญนั้นไม่สมกับการ. เหตุฉะนั้น จงออกไปตามทางแพร่ง พบใคร ๆ ก็ให้เชิญมาในการนี้.” พวกข้าราชการได้ทำเช่นนี้ “จนการอภิเษก [ห้องสำหรับพิธีสมรส, ล.ม.] นั้นเต็มไปด้วยผู้รับเชิญ.”
งานรวบรวมแขกจากตามถนนนอกเมืองของผู้รับเชิญนั้นเริ่มในปีสากลศักราช 36. โกระเนเลียวนายร้อยชาติโรมันกับครอบครัวของเขาเป็นคนที่ไม่ใช่ชาติยิวซึ่งไม่ได้รับสุหนัตกลุ่มแรกที่ถูกรวบรวมเข้ามา. การรวบรวมบรรดาผู้ที่ไม่ใช่ชาวยิวเหล่านี้ ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้เข้าแทนที่คนเหล่านั้นซึ่งปฏิเสธการเรียกในครั้งแรกนั้นได้ดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 20.
ระหว่างศตวรรษที่ 20 นี้เองที่ห้องสำหรับพิธีสมรสเต็ม. พระเยซูทรงบรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นโดยตรัสว่า “แต่เมื่อกษัตริย์องค์นั้นเสด็จทอดพระเนตรผู้ที่รับเชิญ ก็เห็นผู้หนึ่งมิได้สวมเสื้อสำหรับงาน จึงรับสั่งถามว่า ‘สหายเอ๋ย เหตุไฉนมาที่นี่จึงไม่สวมเสื้อสำหรับงาน?’ ผู้นั้นก็นิ่งอึ้งอยู่พูดไม่ออก. ท่านจึงรับสั่งแก่พวกข้าราชการว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าคนนี้เอาไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก. ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน.’”
บุรุษที่ไม่มีเสื้อสำหรับงานสมรสนั้นเป็นภาพเล็งถึงคริสเตียนปลอมแห่งคริสต์ศาสนจักร. พระเจ้าไม่เคยยอมรับคนเหล่านี้ว่ามีหลักฐานพิสูจน์ตัวอันถูกต้องฐานะเป็นชนยิศราเอลฝ่ายวิญญาณ. พระเจ้าไม่เคยเจิมพวกเขาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ฐานะเป็นรัชทายาทแห่งราชอาณาจักรเลย. ดังนั้นพวกเขาจึงถูกโยนทิ้งเสียภายนอกเข้าสู่ความมืด ที่ซึ่งเขาจะประสบความพินาศ.
พระเยซูทรงจบอุทาหรณ์ของพระองค์โดยตรัสว่า “ด้วยผู้รับเชิญก็มาก แต่ผู้ที่ถูกเลือกก็น้อย.” ถูกแล้ว มีหลายคนจากชาติยิศราเอลที่ได้รับเชิญเข้ามาเป็นสมาชิกแห่งเจ้าสาวของพระคริสต์ แต่มีเพียงชนยิศราเอลโดยกำเนิดน้อยคนที่ถูกเลือก. ส่วนใหญ่ของแขก 144,000 คนซึ่งได้รับบำเหน็จทางภาคสวรรค์นั้นปรากฏว่าเป็นคนที่ไม่ใช่ชาติยิศราเอล. มัดธาย 22:1-14; เอ็กโซโด 19:1-6; วิวรณ์ 14:1-3.
▪ ใครเป็นบรรดาคนที่ได้รับเชิญมายังงานเลี้ยงสมรสในตอนแรก และมีการเสนอคำเชิญแก่พวกเขาเมื่อไร?
▪ การเรียกครั้งแรกมีออกไปยังคนเหล่านั้นที่ได้รับเชิญเมื่อไร และใครเป็นบ่าวที่ถูกใช้ให้เรียกเขา?
▪ มีการเรียกครั้งที่สองเมื่อไร และใครได้รับเชิญหลังจากนั้น?
▪ บุรุษที่ไม่มีเสื้อสำหรับงานสมรสเป็นภาพเล็งถึงใคร?
▪ ใครคือหลายคนที่ถูกเรียก และน้อยคนที่ถูกเลือก?
-
-
พวกเขาจับผิดพระเยซูไม่ได้บุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
-
-
บท 108
พวกเขาจับผิดพระเยซูไม่ได้
เพราะเหตุที่พระเยซูทรงสั่งสอนอยู่ในพระวิหารและเพิ่งเล่าอุทาหรณ์สามเรื่องให้ศัตรูทางศาสนาของพระองค์ฟังซึ่งเปิดโปงความชั่วของเขา พวกฟาริซายจึงโกรธแค้นและปรึกษากันที่จะทำให้พระองค์ติดกับโดยพูดอะไรบางอย่างซึ่งพวกเขาจะจับกุมพระองค์ได้. พวกเขาวางแผนร้าย แล้วใช้สานุศิษย์ของตนไปพร้อมกับพรรคพวกของเฮโรด เพื่อพยายามจะจับผิดพระองค์.
คนพวกนี้ทูลว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบอยู่ว่า ท่านเป็นผู้สัตย์ซื่อ ได้สั่งสอนในทางของพระเจ้าจริง ๆ โดยมิได้เกรงกลัวผู้ใด. เพราะท่านมิได้เห็นแก่หน้าของบุคคล. เหตุฉะนั้น ขอโปรดให้ข้าพเจ้าทราบว่า ท่านคิดเห็นอย่างไร? ควรจะส่งส่วย [ภาษี, ล.ม.] ให้แก่กายะซาหรือไม่?”
พระเยซูมิได้หลงไปกับการยกยอปอปั้นนั้น. พระองค์ทรงตระหนักว่า หากพระองค์ตรัสว่า ‘ไม่ ไม่ถูกต้องหรือไม่สมควรที่จะชำระภาษีนี้’ พระองค์ก็จะมีความผิดฐานปลุกระดมก่อการกบฏต่อโรม. กระนั้น หากพระองค์ตรัสว่า ‘ใช่ ท่านควรชำระภาษีนี้’ พวกยิวซึ่งรังเกียจการที่เขาต้องอยู่ใต้บังคับของโรมนั้น ก็จะเกลียดชังพระองค์. ดังนั้นพระองค์ตรัสตอบว่า “โอ คนหน้าซื่อใจคด จะทดลองเราทำไม? จงให้เราดูเงินส่วยนั้น.”
เมื่อพวกเขาเอาเงินตราแผ่นหนึ่งมาถวายพระองค์ พระองค์ตรัสถามว่า “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร?”
พวกเขาทูลตอบว่า “ของกายะซา.”
“เหตุฉะนั้น ของ ๆ กายะซา จงถวายแก่กายะซา และของ ๆ พระเจ้า จงถวายแก่พระเจ้า.” เมื่อคนพวกนี้ได้ยินคำตอบที่คมคายของพระเยซู พวกเขาก็ตะลึงงัน. แล้วพวกเขาก็จากไป ละพระองค์ไว้ตามลำพัง.
ครั้นเห็นพวกฟาริซายล้มเหลวในการจับผิดพระเยซู พวกซาดูกาย ผู้ซึ่งกล่าวว่าการกลับเป็นขึ้นจากตายไม่มี ได้มาเฝ้าพระองค์แล้วทูลถามว่า “อาจารย์เจ้าข้า โมเซสั่งว่า ‘ถ้าผู้ใดตายยังไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายรับพี่สะใภ้สืบเผ่าพันธุ์ต่อไป.’ ฝ่ายพวกข้าพเจ้ามีน้องชายอยู่เจ็ดคน พี่หัวปีมีภรรยาแล้วก็ตายเมื่อยังไม่มีบุตร แล้วก็ละภรรยาไว้ให้แก่น้องชาย. ครั้นน้องที่สองที่สามตายก็ได้ละภรรยาไว้ให้เป็นภรรยาต่อ ๆ กันไปจนถึงคนที่เจ็ด. ในที่สุดหญิงนั้นก็ตายด้วย. ในวันที่เป็นขึ้นมาจากความตาย หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของผู้ใดในเจ็ดคนนั้น? ด้วยนางได้เป็นภรรยาของชายทั้งเจ็ดแล้ว.”
พระเยซูตรัสตอบว่า “เพราะข้อนี้พวกท่านหลงผิดมิใช่หรือ เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้จักพระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า? เมื่อมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากตายนั้นจะไม่มีการสมรสหรือยกให้เป็นสามีภรรยากันอีก แต่เป็นเหมือนทูตสวรรค์. แต่เรื่องคนซึ่งตายแล้วที่เขาจะเป็นขึ้นอีกนั้น ท่านทั้งหลายยังไม่ได้อ่านคัมภีร์ของโมเซหรือ ซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้แก่โมเซที่ต้นไม้นั้นว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮาม พระเจ้าของยิศฮาค และพระเจ้าของยาโคบ’? พระองค์มิได้เป็นพระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น. ท่านทั้งหลายหลงผิด [เข้าใจผิด, ล.ม.] ไปมาก.”
อีกครั้งหนึ่งฝูงชนพิศวงเนื่องจากคำตอบของพระเยซู. กระทั่งบางคนในพวกอาลักษณ์ก็ยอมรับว่า “อาจารย์เจ้าข้า ท่านพูดดีแล้ว.”
เมื่อพวกฟาริซายเห็นว่า พระเยซูได้ทำให้พวกซาดูกายนิ่งอึ้งไป พวกเขาจึงมาหาพระองค์. เพื่อทดลองพระองค์ต่อไป อาลักษณ์คนหนึ่งในพวกเขาทูลถามว่า “พระบัญญัติข้อใดเป็นเอกเป็นใหญ่กว่าบัญญัติทั้งปวง?”
พระเยซูตรัสตอบว่า “พระบัญญัติที่เป็นเอกเป็นใหญ่กว่าบัญญัติทั้งปวงนั้นคือว่า ‘ดูก่อน พวกยิศราเอล จงฟังเถิด พระยะโฮวาพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าองค์เดียว จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของเจ้า.’ และพระบัญญัติที่สองนั้นคือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง.’ และพระบัญญัติอื่นที่ใหญ่กว่าพระบัญญัติทั้งสองนี้ไม่มี.” ที่จริง พระเยซูตรัสเสริมอีกว่า “พระบัญญัติและคำพยากรณ์ทั้งสิ้นก็รวมอยู่ในพระบัญญัติสองข้อนี้.”
อาลักษณ์คนนั้นเห็นพ้องด้วยว่า “ดีแล้ว อาจารย์เจ้าข้า ท่านกล่าวถูกจริงว่า ‘พระเจ้ามีแต่องค์เดียว และนอกจากพระองค์นั้นพระเจ้าอื่นไม่มีเลย’ และซึ่งจะรักพระองค์ด้วยสุดใจสุดความเข้าใจและสิ้นสุดกำลัง และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ก็ประเสริฐกว่าของถวายและของบูชาทั้งสิ้น.”
โดยสังเกตออกว่า อาลักษณ์ได้ตอบอย่างมีความเข้าใจดี พระเยซูทรงบอกเขาว่า “ท่านไม่ไกลจากแผ่นดินของพระเจ้า.”
บัดนี้ เป็นเวลาสามวัน—วันอาทิตย์ วันจันทร์ และวันอังคาร—ที่พระเยซูทรงสั่งสอนอยู่ในพระวิหาร. ประชาชนรับฟังพระองค์ด้วยความพึงพอใจ กระนั้น พวกหัวหน้าศาสนาต้องการจะสังหารพระองค์ แต่จนบัดนี้ความพยายามของเขาไม่สำเร็จ. มัดธาย 22:15-40; มาระโก 12:13-34; ลูกา 20:20-40.
▪ พวกฟาริซายวางแผนร้ายอะไรเพื่อทำให้พระเยซูติดกับ และผลจะเป็นประการใดหากพระองค์จะให้คำตอบที่ว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่?
▪ พระเยซูทรงทำลายความพยายามของพวกซาดูกายที่จะทำให้พระองค์ติดกับนั้นโดยวิธีใด?
▪ พวกฟาริซายใช้ความพยายามอะไรต่อไปเพื่อทดลองพระเยซู และผลเป็นประการใด?
▪ ระหว่างงานสั่งสอนครั้งสุดท้ายของพระองค์ในกรุงยะรูซาเลม พระเยซูทรงสั่งสอนในพระวิหารกี่วัน และพร้อมด้วยผลประการใด?
-
-
ทรงประณามผู้ต่อต้านพระองค์บุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
-
-
บท 109
ทรงประณามผู้ต่อต้านพระองค์
พระเยซูได้ทรงทำให้ผู้ต่อต้านพระองค์ทางศาสนาประสบความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงจนพวกเขาไม่กล้าถามอะไรพระองค์อีกต่อไป. ดังนั้นพระองค์เป็นฝ่ายริเริ่มเปิดโปงความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพวกเขา. พระองค์ตรัสถามว่า “พวกท่านคิดเห็นอย่างไรด้วยเรื่องพระคริสต์? ท่านเป็นบุตรของผู้ใด?”
พวกฟาริซายทูลตอบว่า “เป็นบุตรของดาวิด.”
ถึงแม้พระเยซูมิได้ปฏิเสธว่าดาวิดเป็นบรรพบุรุษทางร่างกายของพระคริสต์หรือพระมาซีฮาก็ตาม พระองค์ตรัสถามว่า “ถ้าอย่างนั้น เป็นไฉนดาวิดโดยเดชพระวิญญาณ [การดลบันดาล, ล.ม. ที่บทเพลงสรรเสริญ 110] ได้เรียกพระองค์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ เช่น ‘พระยะโฮวาได้ตรัสแก่องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า “จงนั่งเบื้องขวาของเรากว่าเราจะปราบศัตรูของท่านให้เป็นม้ารองเท้าของท่าน”’? ถ้าดาวิดเรียกท่านว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ แล้ว ท่านจะเป็นบุตรของดาวิดได้อย่างไร?”
พวกฟาริซายนิ่งเงียบ เพราะพวกเขาไม่ทราบเอกลักษณ์แท้จริงของพระคริสต์หรือผู้ถูกเจิม. พระมาซีฮาใช่ว่าเป็นเพียงลูกหลานที่เป็นมนุษย์ของดาวิด ดังที่พวกฟาริซายดูเหมือนว่าเชื่อเท่านั้นไม่ หากแต่พระองค์เคยทรงดำรงอยู่ในสวรรค์ และจึงเป็นผู้อยู่เหนือกว่า หรือเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของดาวิด.
บัดนี้พระเยซูทรงหันไปยังฝูงชนและพวกสาวกของพระองค์ ทรงเตือนเรื่องพวกอาลักษณ์กับพวกฟาริซาย. เนื่องจากคนเหล่านี้สอนกฎหมายของพระเจ้า “นั่งบนที่นั่งของโมเซ” พระเยซูทรงตักเตือนว่า “ทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอนพวกท่าน จงถือประพฤติตาม.” แต่พระองค์ตรัสเสริมอีกว่า “เว้นแต่การประพฤติของเขาอย่าได้ทำตามเลย เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน แต่เขาเองหาทำตามไม่.”
พวกเขาเป็นคนหน้าซื่อใจคด และพระเยซูทรงประณามพวกเขาด้วยภาษาอย่างเดียวกันกับที่พระองค์ใช้ระหว่างเสวยพระกระยาหารในบ้านของฟาริซายคนหนึ่งหลายเดือนก่อนหน้านั้น. พระองค์ตรัสว่า “เขากระทำการของเขาเพื่อให้มนุษย์เห็นเท่านั้น.” และพระองค์ทรงเสนอตัวอย่าง โดยให้อรรถาธิบายว่า:
“เครื่องกันอันตรายของเขา ๆ กระทำให้กว้าง.” กลักเล็ก ๆ เหล่านี้ซึ่งใส่ไว้บนหน้าผากหรือบนแขนนั้น บรรจุสี่ตอนของพระบัญญัติคือ เอ็กโซโด 13:1-10, 11–16; และพระบัญญัติ 6:4-9; 11:13-21. แต่พวกฟาริซายเพิ่มขนาดของกลักเหล่านี้เพื่อให้เกิดความประทับใจว่าพวกเขาเป็นคนร้อนรนในเรื่องพระบัญญัติ.
พระเยซูตรัสต่อไปว่า เขา ‘ขยายพู่เสื้อให้ใหญ่ขึ้น.’ ที่พระธรรมอาฤธโม 15:38-40 พวกยิศราเอลได้รับพระบัญชาให้ทำพู่เสื้อของเขา แต่พวกฟาริซายทำพู่เสื้อของเขาใหญ่กว่าใคร ๆ. ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำนั้นก็เพื่อโอ้อวด! พระเยซูทรงตรัสว่า ‘พวกเขาชอบที่นั่งโดดเด่นที่สุด.’
น่าเศร้าที่พวกสาวกของพระองค์เองได้รับผลกระทบจากความปรารถนาในเรื่องความเด่นดังเช่นนี้ด้วย. ดังนั้นพระองค์ทรงแนะนำว่า “ท่านทั้งหลายอย่าใคร่ให้เขาเรียกว่า ‘อาจารย์’ เลย ด้วยท่านมีพระอาจารย์แต่ผู้เดียว ท่านทั้งหลายเป็นพี่น้องกันทั้งหมด. และอย่าใคร่ให้ผู้ใดในแผ่นดินโลกเรียกตนว่า ‘บิดา’ เพราะท่านมีพระบิดาแต่ผู้เดียว คือผู้ที่สถิตอยู่ในสวรรค์. อย่าใคร่ให้ผู้ใดเรียกท่านว่า ‘นาย’ [ผู้นำ, ล.ม.] ด้วยว่านาย [ผู้นำ, ล.ม.] ของท่านมีแต่ผู้เดียวคือพระคริสต์.” พวกสาวกต้องสลัดตัวให้พ้นจากความปรารถนาที่จะเป็นคนสำคัญอันดับหนึ่ง. พระเยซูทรงตักเตือนว่า “ผู้ใดที่เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นย่อมต้องปรนนิบัติท่านทั้งหลาย.”
ต่อจากนั้นพระองค์ทรงแถลงวิบัติเป็นชุด ๆ ต่อพวกอาลักษณ์และพวกฟาริซาย ทรงเรียกพวกเขาหลายครั้งว่าคนหน้าซื่อใจคด. พระองค์ตรัสว่าพวกเขา “ปิดเมือง [ราชอาณาจักร, ล.ม.] สวรรค์ไว้จากมนุษย์” และ “พวกเขามักริบเอาเรือนของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานยืดยาว.”
พระเยซูตรัสว่า “วิบัติแก่เจ้า คนนำทางตาบอด.” พระองค์ทรงประณามการขาดค่านิยมทางฝ่ายวิญญาณของพวกฟาริซาย ดังที่ปรากฏจากการแบ่งแยกตามอำเภอใจที่พวกเขาทำนั้น. ตัวอย่างเช่น พวกเขาบอกว่า ‘ผู้ใดจะสาบานต่อโบสถ์ก็เป็นคำลอย ๆ แต่ผู้ใดจะสาบานต่อทองคำของโบสถ์ผู้นั้นจะต้องเป็นตามคำสาบาน.’ โดยการที่พวกเขาเน้นหนักเรื่องทองคำของพระวิหารยิ่งกว่าค่านิยมทางฝ่ายวิญญาณของสถานที่นมัสการนั้น พวกเขาเผยให้เห็นว่าเขาเป็นคนตาบอดทางด้านศีลธรรม.
ครั้นแล้ว ดังที่พระองค์เคยกระทำก่อนหน้านั้น พระเยซูทรงประณามพวกฟาริซายในเรื่องการละเลย “ข้อสำคัญแห่งพระบัญญัติ คือความชอบธรรม ความเมตตา ความเชื่อ” ขณะที่ให้ความสนใจส่วนใหญ่ต่อการถวายสิบลดหนึ่ง หรือส่วนหนึ่งในสิบของสมุนไพรที่ไม่สำคัญ.
พระเยซูทรงขนานนามพวกฟาริซายว่า “คนนำทางตาบอด ที่กรองลูกน้ำออก แต่กลืนตัวอูฐเข้าไป!” พวกเขากรองลูกน้ำออกจากเหล้าองุ่น ไม่เพียงแต่มันเป็นแมลงเท่านั้น หากแต่เพราะนั่นไม่สะอาดทางด้านพิธีกรรม. กระนั้น การที่พวกเขาไม่เอาใจใส่ต่อเรื่องที่สำคัญกว่าในพระบัญญัตินั้นก็เปรียบได้กับการกลืนตัวอูฐเข้าไป ซึ่งเป็นสัตว์ที่ไม่สะอาดทางด้านพิธีกรรมเช่นกัน. มัดธาย 22:41–23:24; มาระโก 12:35-40; ลูกา 20:41-47; เลวีติโก 11:4, 21–24.
▪ ทำไมพวกฟาริซายนิ่งเงียบเมื่อพระเยซูทรงถามพวกเขาเรื่องสิ่งที่ดาวิดตรัสไว้ในบทเพลงสรรเสริญ 110?
▪ ทำไมพวกฟาริซายขยายกลักใส่ข้อคัมภีร์ของเขาให้กว้างขึ้น และขยายพู่เสื้อของเขาให้ใหญ่ขึ้น?
▪ พระเยซูทรงให้คำแนะนำอะไรแก่พวกสาวกของพระองค์?
▪ พวกฟาริซายทำการแบ่งแยกตามอำเภอใจเช่นไร และพระเยซูทรงประณามพวกเขาอย่างไรในการละเลยเรื่องที่สำคัญกว่า?
-
-
งานสั่งสอน ณ พระวิหารเสร็จสิ้นบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
-
-
บท 110
งานสั่งสอน ณ พระวิหารเสร็จสิ้น
พระเยซูทรงปรากฏตัวครั้งสุดท้าย ณ พระวิหาร. ที่จริง พระองค์กำลังจะทรงยุติงานสั่งสอนสาธารณะชนบนแผ่นดินโลก ยกเว้นระหว่างเหตุการณ์เกี่ยวกับการพิจารณาคดีพระองค์และการประหารชีวิตในสามวันต่อมา. บัดนี้ พระองค์ทรงประณามพวกอาลักษณ์และฟาริซายต่อไป.
พระองค์ทรงเปล่งเสียงดังอีกสามครั้งที่ว่า “วิบัติแก่เจ้า พวกอาลักษณ์และพวกฟาริซาย คนหน้าซื่อใจคด!” ทีแรก พระองค์ทรงประกาศวิบัติเหนือพวกเขา เพราะเขาขัดชำระ “ถ้วยจานแต่ภายนอก ส่วนภายในถ้วยจานนั้นเต็มไปด้วยการฉกชิงและการอธรรม.” ดังนั้นพระองค์ทรงตักเตือนว่า “จงชำระถ้วยจานภายในเสียก่อน เพื่อข้างนอกจะได้หมดจดด้วย.”
ต่อจากนั้นพระองค์ทรงแถลงวิบัติต่อพวกอาลักษณ์และพวกฟาริซายเนื่องด้วยความผุพังและเปื่อยเน่าภายในซึ่งพวกเขาพยายามจะปิดบังไว้โดยการแสดงความเลื่อมใสภายนอก. พระองค์ตรัสว่า “เจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและสารพัดโสโครก.”
ในที่สุด ความหน้าซื่อใจคดของพวกเขาก็ปรากฏชัดจากความเต็มใจของพวกเขาที่จะสร้างอุโมงค์ฝังศพสำหรับพวกผู้พยากรณ์แล้วตกแต่งอุโมงค์เหล่านั้นเพื่อดึงความสนใจมาสู่การกระทำแบบใจบุญสุนทานของเขาเอง. กระนั้น ดังที่พระเยซูทรงเปิดโปง พวกเขา “เป็นบุตรของผู้ที่ได้ฆ่าศาสดาพยากรณ์เหล่านั้น.” ที่จริง ใครก็ตามที่บังอาจแฉความหน้าซื่อใจคดของพวกเขาก็อยู่ในอันตราย!
โดยดำเนินเรื่องต่อไป พระเยซูตรัสคำประณามแบบรุนแรงที่สุด. พระองค์ตรัสว่า “โอพวกชาติงูร้าย เจ้าจะพ้นจากการปรับโทษในนรก [เกเฮนนา, ล.ม.] อย่างไรได้?” เกเฮนนาคือหุบเขาใช้เป็นสถานที่ทิ้งขยะของกรุงยะรูซาเลม. ดังนั้นพระเยซูตรัสว่า เพราะการติดตามแนวทางที่ชั่วร้ายของเขา พวกอาลักษณ์กับฟาริซายจะประสบพินาศกรรมชั่วนิรันดร์.
พระเยซูตรัสเกี่ยวกับคนเหล่านั้นซึ่งพระองค์ทรงใช้ไปในฐานะตัวแทนของพระองค์ว่า “เจ้าก็ฆ่าเสียบ้าง ตรึงเสีย [บนหลัก] บ้าง เฆี่ยนตีในธรรมศาลาของเจ้าบ้าง ข่มเหงไล่ให้ออกจากเมืองนี้ไปเมืองโน้นบ้าง บรรดาโลหิตอันชอบธรรมซึ่งตกที่แผ่นดินโลก ตั้งแต่โลหิตของเฮเบลผู้ชอบธรรมจนถึงโลหิตของซะคาเรียบุตรบาราเคีย [ชื่อยะโฮยาดาในโครนิกาฉบับสอง] ที่พวกเจ้าได้ฆ่าเสียในระหว่างโบสถ์กับแท่นนั้นคงตกบนพวกเจ้าทั้งหลาย. เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า บรรดาสิ่งเหล่านั้นจะบังเกิดขึ้นแก่คนสมัยนี้.”
เพราะซะคาเรียได้ติเตียนพวกผู้นำของยิศราเอล “พวกนั้นจึงได้คิดร้ายต่อซะคาเรีย เขาได้เอาหินขว้างท่านตายในบริเวณโบสถ์วิหารของพระยะโฮวาตามรับสั่งของกษัตริย์.” แต่ดังที่พระเยซูทรงบอกไว้ล่วงหน้า พวกยิศราเอลจะต้องชดใช้สำหรับโลหิตอันชอบธรรมที่หลั่งออกนั้นทั้งหมด. พวกเขาชดใช้ 37 ปีต่อมา ในปีสากลศักราช 70 คราวเมื่อกองทัพโรมันทำลายกรุงยะรูซาเลม และชาวยิวกว่าหนึ่งล้านคนตายไป.
ขณะที่พระเยซูทรงครุ่นคิดถึงสภาพการณ์อันน่าขนพองสยองเกล้านี้ พระองค์ทรงเป็นทุกข์. พระองค์ทรงแถลงอีกครั้งหนึ่งว่า “โอยะรูซาเลม ๆ . . . เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนือง ๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน. แต่เจ้าไม่ยอม. นี่แหละ! เรือนของเจ้าก็ถูกปล่อยไว้ให้ร้างตามลำพังเจ้า.”
ครั้นแล้ว พระเยซูตรัสเสริมอีกว่า “ตั้งแต่นี้ต่อไปเจ้าจะไม่เห็นเราอีกกว่าเจ้าจะออกปากกล่าวว่า ‘ความสุขเจริญจงมีแก่ท่านผู้มาในนามของพระเจ้า!’” วันนั้นจะอยู่ในคราวการประทับของพระคริสต์เมื่อพระองค์เสด็จเข้าสู่ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ และประชาชนแลเห็นพระองค์ด้วยตาแห่งความเชื่อ.
บัดนี้ พระเยซูทรงดำเนินไปยังบริเวณที่พระองค์สามารถสังเกตตู้เก็บเงินถวายในพระวิหารและฝูงชนที่เอาเงินมาใส่ในตู้นั้นได้. คนมั่งมีใส่เงินหลายเหรียญ. แต่ครั้นแล้วมีหญิงม่ายจนคนหนึ่งก็มาด้วยและเอาเงินเหรียญเล็ก ๆ สองเหรียญซึ่งมีค่าน้อยนิดใส่ลงไปด้วย.
ทรงเรียกพวกสาวกของพระองค์มา พระเยซูตรัสว่า “เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า หญิงม่ายจนคนนี้ได้ใส่ไว้ในตู้เก็บเงินถวายมากกว่าคนทั้งปวงที่ใส่ไว้นั้น.” พวกเขาคงต้องฉงนสนเท่ห์ว่าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร. ดังนั้นพระเยซูทรงชี้แจงว่า “คนทั้งปวงนั้นได้เอาเงินเหลือใช้ของเขามาใส่ไว้ แต่ผู้หญิงคนนี้ขัดสนที่สุด ยังได้เอาเงินที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตของตนมาใส่จนหมด.” ภายหลังตรัสเรื่องเหล่านี้แล้ว พระเยซูทรงออกจากพระวิหารไปเป็นครั้งสุดท้าย.
เพราะรู้สึกตะลึงในขนาดและความงดงามของพระวิหาร สาวกคนหนึ่งของพระองค์จึงอุทานว่า “อาจารย์เจ้าข้า ขอพระองค์ทอดพระเนตรดูศิลาและตึกเหล่านี้!” ถูกแล้ว ตามที่มีรายงานไว้ ศิลานั้นยาวกว่า 11 เมตร กว้างมากกว่า 5 เมตร และสูงกว่า 3 เมตร.
พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านเห็นตึกใหญ่เหล่านี้หรือ? ศิลาที่ซ้อนทับกันอยู่ที่นี่ซึ่งจะไม่ถูกทำลายลงก็หามิได้.”
ภายหลังตรัสเรื่องเหล่านี้แล้ว พระเยซูกับพวกอัครสาวกข้ามหุบเขาฆิดโรน แล้วขึ้นไปบนภูเขามะกอกเทศ. จากที่นี้พวกเขาสามารถมองลงไปยังพระวิหารอันสง่างาม. มัดธาย 23:25–24:3; มาระโก 12:41–13:3; ลูกา 21:1-6; 2 โครนิกา 24:20-22.
▪ พระเยซูทรงทำอะไรระหว่างการไปเยือนพระวิหารครั้งสุดท้าย?
▪ ความหน้าซื่อใจคดของพวกอาลักษณ์และพวกฟาริซายปรากฏชัดอย่างไร?
▪ “การปรับโทษในเกเฮนนา” หมายความว่ากระไร?
▪ ทำไมพระเยซูตรัสว่าหญิงม่ายนั้นบริจาคเงินมากกว่าคนมั่งมี?
-
-
สัญลักษณ์ของยุคสุดท้ายบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
-
-
บท 111
สัญลักษณ์ของยุคสุดท้าย
ขณะนี้เป็นตอนบ่ายวันอังคาร. เมื่อพระเยซูประทับบนภูเขามะกอกเทศ ทอดพระเนตรพระวิหารที่อยู่เบื้องล่าง เปโตร, อันดะเรอา, ยาโกโบ, และโยฮันมาเฝ้าพระองค์เป็นส่วนตัว. พวกเขาเป็นห่วงในเรื่องพระวิหาร เนื่องจากพระเยซูเพิ่งได้บอกล่วงหน้าว่า ศิลาที่ซ้อนทับกันอยู่ที่นี่ ซึ่งจะไม่ถูกทำลายลงก็หามิได้.
แต่ดูเหมือนว่า เขายังมีมากกว่าเรื่องนั้นอีกในจิตใจของเขาขณะเมื่อเข้าไปเฝ้าพระเยซู. ไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านั้น พระองค์ได้ตรัสถึงเรื่อง “การประทับ” ของพระองค์ สมัย “เมื่อบุตรมนุษย์มาปรากฏ.” และในโอกาสหนึ่งก่อนหน้านั้น พระองค์ได้แจ้งให้พวกเขาทราบเรื่อง “อวสานของระบบ.” ดังนั้นพวกอัครสาวกจึงอยากรู้อยากเห็นมากทีเดียว.
พวกเขาทูลว่า “ขอโปรดบอกข้าพเจ้าทั้งหลายเถิดว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร [ซึ่งยังผลด้วยพินาศกรรมสำหรับกรุงยะรูซาเลมและพระวิหารของกรุงนั้น] และจะมีอะไรเป็นสัญลักษณ์แห่งการประทับของพระองค์ และช่วงอวสานของระบบนี้?” ที่แท้แล้ว คำถามของพวกเขามีสามตอน. ทีแรก พวกเขาต้องการทราบในเรื่องอวสานของกรุงยะรูซาเลมกับพระวิหารของกรุงนั้น ต่อจากนั้นก็เกี่ยวกับการประทับของพระเยซูด้วยขัตติยอำนาจ และในที่สุดก็เรื่องอวสานแห่งระบบทั้งสิ้น.
พระเยซูทรงตอบคำถามทั้งสามตอนนั้นโดยคำตอบที่ยืดยาว. พระองค์ทรงเสนอสัญลักษณ์ที่ระบุเวลาเมื่อระบบของพวกยิวจะสิ้นสุดลง แต่พระองค์จัดเตรียมให้มากกว่านั้นอีก. พระองค์ยังทรงให้สัญลักษณ์ ซึ่งจะทำให้พวกสาวกของพระองค์ในอนาคตระวังตัวเพื่อเขาจะรู้ได้ว่าพวกเขามีชีวิตอยู่ระหว่างการประทับของพระองค์และใกล้จะถึงจุดอวสานของระบบทั้งสิ้น.
ขณะที่หลายปีผ่านไป พวกอัครสาวกสังเกตความสมจริงแห่งคำพยากรณ์ของพระเยซู. ถูกแล้ว สิ่งที่พระองค์ทรงบอกไว้ล่วงหน้านั้นแหละเริ่มเกิดขึ้นในสมัยของพวกเขา. ด้วยเหตุนี้ คริสเตียนซึ่งมีชีวิตอยู่ 37 ปีต่อมา ในปีสากลศักราช 70 มิได้ประสบพินาศกรรมแห่งระบบของพวกยิวพร้อมกับพระวิหารนั้นโดยไม่ทันรู้ตัว.
อย่างไรก็ดี การประทับของพระคริสต์และช่วงอวสานของระบบแห่งสิ่งต่าง ๆ มิได้เกิดขึ้นในปี 70. การประทับของพระองค์ด้วยขัตติยอำนาจอุบัติขึ้นภายหลังจากนั้นอีกนานมาก. แต่เมื่อไรล่ะ? การพิจารณาคำพยากรณ์ของพระเยซูเปิดเผยเรื่องนี้.
พระเยซูทรงบอกล่วงหน้าว่าจะมี ‘สงครามและรายงานเรื่องสงคราม.’ ‘ชาติจะลุกขึ้นต่อสู้ชาติ’ และจะมีการขาดแคลนอาหาร แผ่นดินไหว และโรคระบาด. พวกสาวกของพระองค์จะถูกเกลียดชังและถูกสังหาร. จะเกิดผู้พยากรณ์เท็จขึ้นและนำหลายคนให้หลงทาง. การละเลยกฎหมายจะทวีขึ้น และความรักของคนจำนวนมากจะเยือกเย็นลง. ในขณะเดียวกัน ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรจะได้รับการประกาศไปตลอดทั่วแผ่นดินโลกเพื่อเป็นคำพยานแก่นานาชาติ.
ถึงแม้คำพยากรณ์ของพระเยซูมีความสมจริงในขอบเขตจำกัดก่อนพินาศกรรมของกรุงยะรูซาเลมในปีสากลศักราช 70 ก็ตาม ความสมจริงในขอบเขตใหญ่ของคำพยากรณ์นั้นได้เกิดขึ้นระหว่างการประทับของพระองค์และช่วงอวสานของระบบนี้. การทบทวนดูเหตุการณ์ของโลกตั้งแต่ปี 1914 อย่างรอบคอบเผยให้เห็นว่า คำพยากรณ์สำคัญของพระเยซูได้ประสบความสมจริงในขอบเขตใหญ่ตั้งแต่ปีนั้น.
อีกส่วนหนึ่งของสัญลักษณ์ที่พระเยซูทรงให้ไว้ก็คือ การปรากฏของ “สิ่งอันน่าเกลียดซึ่งก่อให้เกิดความเริศร้าง.” ในปีสากลศักราช 66 สิ่งอันน่าเกลียดนี้ปรากฏในลักษณะของ “กองทัพที่ตั้งค่าย” ของโรมซึ่งล้อมกรุงยะรูซาเลมและขุดอุโมงค์ใต้กำแพงพระวิหาร. “สิ่งอันน่ารังเกียจ” ตั้งอยู่ในที่ที่มันไม่ควรจะอยู่.
ในความสมจริงในขอบเขตที่ใหญ่โตของสัญลักษณ์นั้น สิ่งอันน่าเกลียดคือสันนิบาตชาติและสหประชาชาติผู้สืบตำแหน่งขององค์การนั้น. คริสต์ศาสนจักรถือว่าองค์การเพื่อสันติภาพของโลกองค์การนี้เป็นสิ่งที่ทำหน้าที่แทนราชอาณาจักรของพระเจ้า. ช่างน่าสะอิดสะเอียนสักเพียงไร! เพราะฉะนั้น ในที่สุด อำนาจทางการเมืองซึ่งมีความสัมพันธ์กับสหประชาชาติจะหันมาเล่นงานคริสต์ศาสนจักร (ซึ่งยะรูซาเลมเคยเป็นภาพเล็งถึง) และจะทำให้ศาสนจักรนี้เริศร้าง.
ฉะนั้น พระเยซูทรงบอกล่วงหน้าไว้ว่า “จะมีความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง ซึ่งไม่เคยมีตั้งแต่เดิมโลกมาจนบัดนี้ หรือในเบื้องหน้าจะไม่มีต่อไปอีก.” ถึงแม้พินาศกรรมของกรุงยะรูซาเลมในปีสากลศักราช 70 นับว่าเป็นความทุกข์ลำบากใหญ่จริง ๆ โดยที่มีรายงานว่ามากกว่าหนึ่งล้านคนเสียชีวิตก็ตาม นั่นมิใช่ความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่งกว่ามหาอุทกภัยทั่วโลกในสมัยของโนฮา. ดังนั้นความสำเร็จสมจริงในขอบเขตใหญ่ของคำพยากรณ์ของพระเยซูตอนนี้ยังจะต้องได้เป็นจริงอยู่.
ความมั่นใจระหว่างยุคสุดท้าย
ขณะที่วันอังคารที่ 11 เดือนไนซานใกล้จะสิ้นสุดลง พระเยซูทรงสนทนากับพวกอัครสาวกของพระองค์ต่อถึงสัญลักษณ์แห่งการประทับของพระองค์ด้วยขัตติยอำนาจและช่วงอวสานของระบบนี้. พระองค์ทรงเตือนพวกเขาในเรื่องการติดตามพระคริสต์ปลอม. พระองค์ตรัสว่า จะมีการใช้ความพยายามเพื่อจะ “ล่อลวงให้หลง ถ้าเป็นได้ถึงแม้ผู้ที่ถูกเลือกสรรแล้ว.” แต่ดุจดังนกอินทรีซึ่งมีสายตายาวไกล ผู้ถูกเลือกสรรเหล่านี้จะรวมกลุ่มกันยังที่ซึ่งจะพบอาหารฝ่ายวิญญาณแท้ได้ กล่าวคือร่วมกับพระคริสต์แท้ ณ การประทับของพระองค์อันไม่ประจักษ์แก่ตา. พวกเขาจะไม่ถูกนำไปผิดทาง แล้วถูกรวบรวมไปยังพระคริสต์ปลอม.
พระคริสต์ปลอมจะทำได้ก็เพียงการปรากฏแบบที่ประจักษ์ได้เท่านั้น. ตรงกันข้าม การประทับของพระเยซูจะไม่ประจักษ์แก่ตา. เหตุการณ์นั้นจะอุบัติขึ้นระหว่างสมัยอันน่ากลัวในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ดังที่พระเยซูตรัสว่า “ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะไม่ส่องสว่าง.” ถูกแล้ว ช่วงนี้จะเป็นระยะเวลาอันมืดมนที่สุดแห่งการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ. นั่นจะเป็นประหนึ่งว่าดวงอาทิตย์มืดไประหว่างเวลากลางวัน และเสมือนว่าดวงจันทร์ไม่ส่องแสงในเวลากลางคืน.
พระเยซูตรัสต่อไปว่า “บรรดาสิ่งซึ่งมีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้านหวั่นไหว.” โดยวิธีนี้พระองค์ทรงชี้แจงว่าในฟ้าสวรรค์จริง ๆ จะมีปรากฏการณ์ที่เป็นลางบอกเหตุ. ฟ้าสวรรค์จะไม่เป็นเพียงอาณาเขตของพวกนกเท่านั้น แต่จะเต็มด้วยเครื่องบินรบ จรวด และยานสำรวจอวกาศ. ความกลัวและความรุนแรงจะมีมากกว่าสิ่งใด ๆ ที่ได้ประสบมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมนุษย์.
ผลก็คือ พระเยซูตรัสว่าจะมี ‘ความปวดร้าวของชาติต่าง ๆ ไม่รู้จักทางออกเนื่องจากเสียงกึกก้องของทะเลและความปั่นป่วนของมัน ขณะที่มนุษย์สลบไปเนื่องจากความกลัวและการคอยท่าดูเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินโลกที่มีคนอาศัยอยู่.’ ที่จริง ช่วงเวลาอันมืดมนนี้แห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์จะนำไปสู่สมัยที่พระเยซูตรัสว่า “นิมิตแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะพิลาปร่ำไร.”
แต่ใช่ว่าทุกคนจะพิลาปร่ำไห้เมื่อ ‘บุตรมนุษย์เสด็จด้วยฤทธานุภาพ’ เพื่อทำลายระบบอันชั่วช้านี้. “ผู้ที่ถูกเลือกสรร” 144,000 คนซึ่งจะมีส่วนร่วมกับพระคริสต์ในราชอาณาจักรของพระองค์ทางภาคสวรรค์จะไม่พิลาปร่ำไห้ ทั้งสหายของพวกเขา หมู่ชนซึ่งพระเยซูทรงเรียกก่อนหน้านั้นว่า “แกะอื่น” ของพระองค์ก็ไม่พิลาปร่ำไห้ด้วย. ทั้ง ๆ ที่ดำรงชีวิตอยู่ระหว่างช่วงเวลาอันมืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็ตาม คนเหล่านี้ตอบรับการหนุนกำลังใจโดยพระเยซูที่ว่า “เมื่อเหตุการณ์ทั้งปวงนี้เริ่มจะบังเกิดขึ้นนั้น ท่านทั้งหลายจงเงยหน้าและผงกศีรษะขึ้น ด้วยความรอดของท่านใกล้จะถึงแล้ว.”
เพื่อว่าพวกสาวกของพระองค์ผู้ซึ่งจะดำรงชีวิตอยู่ระหว่างยุคสุดท้ายจะกำหนดได้ว่าจุดอวสานใกล้เข้ามาแล้ว พระเยซูทรงให้อุทาหรณ์เรื่องนี้: “จงดูต้นมะเดื่อเทศและต้นไม้ทั้งปวงเถิด เมื่อผลิใบออกแล้ว ท่านทั้งหลายก็เห็นและรู้อยู่เองว่าฤดูร้อนจวนจะถึงแล้ว. เช่นนั้นแหละ เมื่อท่านทั้งหลายเห็นเหตุการณ์ทั้งปวงนั้นบังเกิดมา จงรู้ว่าแผ่นดินของพระเจ้าใกล้จะถึงแล้ว. เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า คนชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนสิ่งทั้งปวงนั้นจะบังเกิดขึ้น.”
ด้วยเหตุนี้ เมื่อพวกสาวกของพระองค์เห็นลักษณะสำคัญต่าง ๆ กันหลายประการของสัญลักษณ์ได้สำเร็จเป็นจริง พวกเขาควรสำนึกว่าจุดอวสานของระบบนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และราชอาณาจักรของพระเจ้าจะกวาดล้างความชั่วทั้งสิ้นในไม่ช้า. ที่จริง จุดอวสานจะอุบัติขึ้นภายในช่วงชีวิตของชนที่ได้เห็นความสมจริงของเหตุการณ์ทั้งมวลที่พระเยซูทรงบอกไว้ล่วงหน้า. ในการตักเตือนสาวกเหล่านั้นผู้ซึ่งจะมีชีวิตอยู่ระหว่างยุคสุดท้ายอันสำคัญนี้ พระเยซูตรัสว่า:
“แต่จงระวังให้ดี เกลือกว่าใจของท่านจะล้นไปด้วยอาการดื่มเหล้าองุ่นมากและด้วยการเมา และด้วยคิดกังวลถึงชีวิตนี้ แล้วเวลานั้นจะมาถึงท่านดุจบ่วงแร้วเมื่อท่านไม่ทันคิด. เพราะว่าวันนั้นจะมาถึงคนทั้งปวงที่อยู่ทั่วแผ่นดินโลก. เหตุฉะนั้น จงเฝ้าอธิษฐานอยู่ทุกเวลา เพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งจะบังเกิดมานั้น และจะยืนอยู่ต่อหน้าบุตรมนุษย์ได้.”
สาวพรหมจารีฉลาดกับสาวพรหมจารีโง่
พระเยซูทรงตอบคำทูลขอของพวกอัครสาวกในเรื่องสัญลักษณ์แห่งการประทับของพระองค์ด้วยขัตติยอำนาจแล้ว. บัดนี้พระองค์ทรงเสนอลักษณะสำคัญต่อไปของสัญลักษณ์โดยคำอุปมา หรืออุทาหรณ์สามเรื่อง.
ความสมจริงของอุทาหรณ์แต่ละเรื่องจะสังเกตได้โดยคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่ระหว่างการประทับของพระองค์. พระองค์ทรงแนะนำอุทาหรณ์เรื่องแรกด้วยคำตรัสว่า “ขณะนั้นแผ่นดินสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคน ถือตะเกียงของตนออกไปรับเจ้าบ่าว. เป็นหญิงมีปัญญาห้าคน เป็นคนโง่ห้าคน.”
ด้วยถ้อยคำที่ว่า “แผ่นดินสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคน” พระเยซูมิได้หมายความว่าครึ่งหนึ่งของบรรดาผู้ที่ได้รับราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์เป็นมรดกนั้นเป็นคนโง่ และอีกครึ่งหนึ่งเป็นคนฉลาดสุขุม! เปล่าเลย แต่พระองค์ทรงหมายความว่า เกี่ยวกับราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์นั้น มีลักษณะพิเศษอย่างนี้หรืออย่างนั้น หรือไม่ก็เรื่องที่เกี่ยวข้องกับราชอาณาจักรนั้นจะเป็นในทำนองนี้หรือทำนองนั้นเป็นต้น.
สาวพรหมจารีสิบคนหมายถึงคริสเตียนทุกคนซึ่งมีโอกาสจะได้รับราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ หรือผู้ที่อ้างว่าอยู่ในแนวทางนั้น. ในเทศกาลเพ็นเตคอสเตปีสากลศักราช 33 นั่นเองที่ประชาคมคริสเตียนได้รับคำมั่นสัญญาในเรื่องการสมรสกับพระเยซูคริสต์ เจ้าบ่าวผู้ทรงสง่าราศีซึ่งกลับฟื้นคืนพระชนม์แล้ว. แต่การสมรสนั้นจะมีขึ้นในสวรรค์ในเวลาใดเวลาหนึ่งที่มิได้ระบุเจาะจงในอนาคต.
ในอุทาหรณ์นั้น สาวพรหมจารีสิบคนออกไปโดยมีจุดมุ่งหมายในการต้อนรับเจ้าบ่าว และเข้าร่วมขบวนแห่การสมรสนั้น. เมื่อเขามาถึง พวกเธอจะจุดตะเกียงของตนเพื่อทำให้เส้นทางที่มีขบวนแห่สว่างไสว โดยวิธีนี้เป็นการให้เกียรติเขาขณะที่เขาพาเจ้าสาวเข้าสู่บ้านที่เตรียมไว้สำหรับเขา. อย่างไรก็ดี พระเยซูทรงชี้แจงว่า “ฝ่ายคนโง่นั้นเอาตะเกียงของตนไป แต่หาได้เอาน้ำมันไปด้วยไม่ ส่วนคนที่มีปัญญานั้นได้เอาน้ำมันใส่กาไปพร้อมกับตะเกียงของตนด้วย. เมื่อเจ้าบ่าวยังช้าอยู่ก็พากันง่วงเหงาหลับไป.”
การมาที่ชักช้าเนิ่นนานของเจ้าบ่าวบ่งชี้ว่าการประทับของพระคริสต์ในฐานะพระมหากษัตริย์ที่ปกครองอยู่นั้นจะต้องอยู่ในอนาคตอันห่างไกล. ในที่สุดพระองค์เสด็จมายังพระที่นั่งของพระองค์ในปี 1914. ระหว่างกลางคืนอันยาวนานก่อนหน้านั้น สาวพรหมจารีทั้งหมดก็หลับไป. แต่พวกเธอมิได้ถูกประณามเพราะเรื่องนี้. การประณามสาวพรหมจารีโง่ก็เพราะพวกเธอไม่มีน้ำมันในกาของตน. พระเยซูทรงชี้แจงว่าสาวพรหมจารีตื่นขึ้นอย่างไรก่อนที่เจ้าบ่าวมาถึง: “ครั้นเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องมาว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว! จงออกมารับท่านเถิด.’ พวกพรหมจารีเหล่านั้นก็ลุกขึ้นตกแต่งตะเกียงของตน. พวกที่โง่นั้นก็พูดกับพวกที่มีปัญญาว่า ‘ขอแบ่งน้ำมันของท่านให้เราบ้าง ตะเกียงของเราจวนจะดับอยู่แล้ว.’ พวกที่มีปัญญาจึงตอบว่า ‘น่ากลัวน้ำมันจะไม่พอสำหรับเราและเจ้า. จงไปหาคนขาย ซื้อสำหรับตัวเองจะดีกว่า.’”
น้ำมันหมายถึงสิ่งซึ่งทำให้คริสเตียนแท้ส่องแสงในฐานะเป็นดวงสว่าง. นั่นคือพระวจนะที่ได้รับการดลบันดาลของพระเจ้า ซึ่งพวกคริสเตียนยึดไว้อย่างเหนียวแน่น พร้อมกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งช่วยเขาให้เข้าใจพระวจนะนั้น. น้ำมันฝ่ายวิญญาณทำให้สาวพรหมจารีที่ฉลาดสุขุมส่องแสงออกไปในการต้อนรับเจ้าบ่าวระหว่างขบวนแห่มายังงานเลี้ยงฉลองการสมรส. แต่ชนจำพวกสาวพรหมจารีโง่ไม่มีน้ำมันฝ่ายวิญญาณที่จำเป็นนั้นในตัวพวกเธอเอง ในกาของพวกเธอ. ดังนั้นพระเยซูทรงพรรณนาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น:
“เมื่อเขา [สาวพรหมจารีโง่] กำลังไปซื้อ [น้ำมัน] นั้น เจ้าบ่าวก็มาถึง ผู้ที่พร้อมอยู่แล้วก็ได้เข้าไปกับท่านในงานสมรส แล้วก็ปิดประตูเสีย. ภายหลังพรหมจารีพวกนั้นมาร้องว่า ‘ท่านเจ้าข้า ๆ ขอเปิดให้ข้าพเจ้าเข้าไปด้วย!’ ฝ่ายท่านตอบว่า ‘เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า เราไม่รู้จักเจ้า.’”
หลังจากพระคริสต์เสด็จมาถึงในราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์แล้ว ชนจำพวกพรหมจารีที่ฉลาดสุขุมซึ่งประกอบด้วยคริสเตียนแท้ผู้ถูกเจิมตื่นตัวต่อสิทธิพิเศษของพวกเขาในการส่องแสงสว่างในโลกที่มืดมนนี้โดยการสรรเสริญเจ้าบ่าวที่เสด็จกลับมา. แต่คนเหล่านั้นซึ่งสาวพรหมจารีโง่เป็นภาพเล็งถึงนั้นไม่พร้อมที่จะเสนอคำสรรเสริญที่แสดงการยินดีต้อนรับนี้. ดังนั้นเมื่อถึงเวลา พระคริสต์ไม่ทรงเปิดประตูเข้าสู่งานเลี้ยงฉลองสมรสในสวรรค์ให้แก่พวกเขา. พระองค์ทรงทิ้งพวกเขาไว้ภายนอกในความมืดมิดที่สุดแห่งรัตติกาลของโลก เพื่อให้สูญสิ้นไปพร้อมกับผู้กระทำการละเลยกฎหมายคนอื่น ๆ ทั้งหมด. พระเยซูทรงสรุปว่า “เหตุฉะนั้น จงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือโมงนั้น.”
อุทาหรณ์เรื่องเงินตะลันต์
พระเยซูทรงดำเนินการสนทนาต่อไปกับพวกอัครสาวกของพระองค์บนภูเขามะกอกเทศโดยการเล่าอุทาหรณ์อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่สองในชุดอุทาหรณ์สามเรื่อง. ไม่กี่วันก่อนหน้านั้น ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ ณ เมืองยะริโฮ พระองค์ทรงเล่าอุทาหรณ์เรื่องเงินชั่งเพื่อแสดงให้เห็นว่าราชอาณาจักรยังอยู่ในอนาคตเป็นเวลาอีกนาน. อุทาหรณ์ที่พระองค์ทรงเล่าขณะนี้ แม้มีลักษณะคล้ายคลึงกันหลายอย่าง ก็พรรณนาถึงกิจการงานระหว่างการประทับของพระคริสต์ด้วยขัตติยอำนาจ อันเป็นความสำเร็จสมจริงของอุทาหรณ์นั้น. เรื่องนั้นให้อรรถาธิบายว่าพวกสาวกของพระองค์ต้องทำงานระหว่างที่ยังอยู่บนแผ่นดินโลกเพื่อเพิ่มพูน “ทรัพย์สมบัติของพระองค์.”
พระเยซูทรงเริ่มต้นว่า “และ [สภาพการณ์อันเกี่ยวข้องกับราชอาณาจักร] ยังเปรียบเหมือนชายผู้หนึ่งออกไปเที่ยวเมืองอื่น จึงเรียกพวกบ่าวของตนมาฝากทรัพย์สมบัติไว้.” พระเยซูคือชายผู้นั้นซึ่งก่อนเดินทางไปต่างแดนที่สวรรค์ ก็ได้มอบทรัพย์สมบัติของตนไว้กับพวกบ่าว—พวกสาวกซึ่งมีโอกาสที่จะได้รับราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์. ทรัพย์สมบัติเหล่านี้มิใช่สมบัติฝ่ายวัตถุ หากแต่เป็นภาพเล็งถึงเขตที่ได้รับการเพาะปลูกแล้วซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างศักยภาพไว้สำหรับการก่อให้เกิดสาวกมากขึ้น.
พระเยซูทรงมอบทรัพย์สมบัติของพระองค์ให้กับพวกบ่าวก่อนเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ไม่นาน. โดยวิธีใด? โดยสั่งพวกเขาให้ทำงานต่อไปในเขตที่ได้รับการเพาะปลูกแล้วโดยการประกาศข่าวเรื่องราชอาณาจักรไปถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก. ดังที่พระเยซูตรัสว่า “คนหนึ่งท่านให้ห้าตะลันต์ คนหนึ่งสองตะลันต์ และอีกคนหนึ่งตะลันต์เดียว ตามความสามารถของบ่าวนั้น แล้วท่านก็ไป.”
เงินแปดตะลันต์—ทรัพย์สมบัติของพระคริสต์—ได้รับการแจกจ่ายไปโดยวิธีนี้ตามความสามารถ หรือความเป็นไปได้ทางฝ่ายวิญญาณของพวกบ่าว. พวกบ่าวหมายถึงชนจำพวกสาวก. ในศตวรรษแรก ชนจำพวกที่ได้รับเงินห้าตะลันต์นั้นดูเหมือนว่านับรวมทั้งพวกอัครสาวกด้วย. พระเยซูทรงเล่าต่อไปว่า พวกบ่าวที่ได้รับห้ากับสองตะลันต์นั้นต่างก็ทำให้เงินนั้นเพิ่มขึ้นสองเท่าโดยการประกาศราชอาณาจักรและการทำให้คนเป็นสาวก. แต่บ่าวที่ได้รับตะลันต์เดียวนั้นได้เอาเงินซ่อนไว้ในดิน.
พระเยซูทรงเล่าต่อไปว่า “ครั้นอยู่มาช้านาน นายจึงมาคิดบัญชีกับบ่าวเหล่านั้น.” พระคริสต์มิได้เสด็จกลับมาเพื่อคิดบัญชีจนกระทั่งศตวรรษที่ 20 ราว ๆ 1,900 ปีต่อมา ดังนั้นจึงนับว่าเป็นเวลา “อยู่มาช้านาน” จริง ๆ. ต่อจากนั้นพระเยซูทรงชี้แจงว่า:
“คนที่ได้รับห้าตะลันต์นั้นก็เอาเงินกำไรอีกห้าตะลันต์มาชี้แจงว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้มอบเงินห้าตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์.’ นายจึงตอบว่า ‘ดีแล้ว เจ้าเป็นบ่าวซื่อตรงดี! เจ้าซื่อสัตย์ในของเล็กน้อย. เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก. เจ้าจงร่วมความยินดีกับนายเถิด.’” บ่าวที่ได้รับเงินสองตะลันต์ก็ได้ทำให้เงินตะลันต์นั้นทวีขึ้นสองเท่าตัวเช่นเดียวกัน และเขาจึงได้รับคำชมเชยและรางวัลอย่างเดียวกัน.
แต่บ่าวที่ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้เข้าร่วมความยินดีกับนายของตนโดยวิธีใด? เอาละ ความยินดีของนาย พระเยซูคริสต์ นั่นคือการได้รับสิทธิการครอบครองราชอาณาจักรเมื่อพระองค์เสด็จไปต่างแดนหาพระบิดาของพระองค์ในสวรรค์. สำหรับบ่าวที่ซื่อสัตย์ในสมัยปัจจุบัน พวกเขามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับราชอาณาจักรมากยิ่งขึ้น และเมื่อพวกเขาจบชีวิตทางแผ่นดินโลกแล้ว เขาจะได้รับความยินดีสุดยอดในการถูกปลุกขึ้นจากตายสู่ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์. แต่จะว่าอย่างไรกับบ่าวคนที่สาม?
บ่าวผู้นี้บ่นว่า “นายเจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าท่านเป็นคนใจแข็ง. ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาทรัพย์ของท่านไปซ่อนไว้ใต้ดิน. ดูเถิด ของ ๆ ท่านเท่าไรท่านก็ได้เท่านั้น.” บ่าวนั้นจงใจไม่ยอมทำงานในทุ่งนาที่ได้รับการเพาะปลูกโดยการประกาศและทำให้คนเป็นสาวก. ดังนั้นนายจึงเรียกเขาว่า “อ้ายข้าชั่วช้าและเกียจคร้าน” แล้วแถลงคำพิพากษาว่า “จงเอาเงินตะลันต์เดียวนั้นไปจากเขา . . . เอาอ้ายข้าชาติชั่วช้าไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ซึ่งมีแต่การร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน.” คนเหล่านั้นในชนจำพวกบ่าวชั่วนี้ที่ถูกทิ้งเสียภายนอกถูกตัดสิทธิ์จากความยินดีฝ่ายสวรรค์ใด ๆ.
เรื่องนี้ชี้แจงบทเรียนสำคัญสำหรับผู้ที่อ้างว่าเป็นสาวกของพระคริสต์ทุกคน. หากว่าเขาจะได้รับคำชมเชยและบำเหน็จจากพระองค์และหลีกเลี่ยงจากการถูกทิ้งไปยังที่มืดภายนอกและความพินาศในที่สุด พวกเขาต้องทำงานเพื่อเพิ่มพูนทรัพย์สมบัติของนายทางภาคสวรรค์โดยการมีส่วนอย่างเต็มที่ในงานประกาศ. คุณขยันขันแข็งในงานนี้ไหม?
เมื่อพระคริสต์เสด็จมาถึงด้วยขัตติยอำนาจ
พระเยซูยังคงประทับอยู่กับพวกอัครสาวกของพระองค์บนภูเขามะกอกเทศ. เพื่อตอบคำทูลขอของพวกเขาในเรื่องสัญลักษณ์แห่งการประทับของพระองค์และช่วงอวสานของระบบ บัดนี้พระองค์ทรงเล่าให้พวกเขาฟังเรื่องสุดท้ายในชุดอุทาหรณ์สามเรื่องนั้น. พระเยซูทรงเริ่มต้นว่า “เมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยรัศมีภาพของพระองค์กับทั้งหมู่ทูตสวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะทรงนั่งบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์.”
มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นทูตสวรรค์ด้วยสง่าราศีทางภาคสวรรค์ของพวกเขาได้. ดังนั้น การเสด็จมาถึงของพระเยซูคริสต์ บุตรมนุษย์พร้อมกับทูตสวรรค์ต้องไม่ประจักษ์แก่ตาของมนุษย์. การเสด็จมาถึงนั้นอุบัติขึ้นในปี 1914. แต่ด้วยวัตถุประสงค์อะไร? พระเยซูชี้แจงว่า “บรรดาชนชาติต่าง ๆ จะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกเขาทั้งหลายออกจากกัน เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ. ส่วนฝูงแกะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ฝูงแพะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องซ้าย.”
เพื่อพรรณนาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นแก่คนเหล่านั้นที่ถูกแยกมาอยู่ฝ่ายที่ทรงโปรดปราน พระเยซูตรัสว่า “ขณะนั้นพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาว่า ‘ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาแผ่นดินซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้าง [การวางราก, ล.ม.] โลก.” แกะแห่งคำอุทาหรณ์นี้จะไม่ได้ปกครองร่วมกับพระคริสต์ในสวรรค์ แต่จะได้รับราชอาณาจักรเป็นมรดกในแง่ของการเป็นประชากรทางภาคพื้นโลกของราชอาณาจักรนั้น. “การวางรากโลก” ได้เกิดขึ้นคราวเมื่ออาดามและฮาวาแรกให้กำเนิดลูกหลานผู้ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการจัดเตรียมของพระเจ้าเพื่อไถ่ถอนมนุษยชาติ.
แต่ทำไมแกะถูกแยกไว้ทางเบื้องขวาพระหัตถ์อันเป็นที่โปรดปรานของพระมหากษัตริย์ล่ะ? กษัตริย์ตรัสตอบว่า “เพราะว่าเมื่อเราอยากอาหาร ท่านก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำท่านก็ได้ให้เราดื่ม. เราเป็นแขกแปลกหน้าท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้. เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม. เมื่อเราเจ็บท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา. เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคารท่านก็ได้มาหาเรา.”
เนื่องจากแกะอยู่บนแผ่นดินโลก พวกเขาจึงต้องการทราบว่าเขาทำการดีดังกล่าวนั้นเพื่อพระมหากษัตริย์ทางภาคสวรรค์ของเขาได้อย่างไร. พวกเขาทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ทรงอยากพระกระยาหาร หรือทรงกระหายน้ำและได้จัดมาถวายแก่พระองค์แต่เมื่อไร? ที่ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้าและได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกายและได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร? ที่ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ทรงประชวรหรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร และได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร?”
พระมหากษัตริย์ตรัสตอบว่า “เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่ผู้เล็กน้อยที่สุดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรา ก็เหมือนท่านได้กระทำแก่เราด้วย.” พวกพี่น้องของพระคริสต์ได้แก่ชนที่เหลืออยู่บนแผ่นดินโลกจากจำนวน 144,000 คนผู้ซึ่งจะปกครองร่วมกับพระองค์ในสวรรค์. และพระเยซูตรัสว่า การทำดีต่อพวกเขาก็เป็นเหมือนการทำดีต่อพระองค์ด้วย.
ต่อจากนั้นพระมหากษัตริย์ตรัสต่อพวกแพะ. “เจ้าทั้งหลายผู้ต้องแช่งสาป จงถอยไปจากเราเข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารและพรรคพวกของมันนั้น. เพราะเมื่อเราอยากอาหาร เจ้าก็มิได้ให้เรากิน เรากระหายน้ำ เจ้าก็มิได้ให้เราดื่ม. เราเป็นแขกแปลกหน้า เจ้าก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย เจ้าก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เราเจ็บและต้องจำอยู่ในพันธนาคาร เจ้าก็ไม่ได้เยี่ยมเรา.”
แต่พวกแพะบ่นว่า “พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ทรงอยากพระกระยาหาร หรือทรงกระหายน้ำ หรือทรงเป็นแขกแปลกหน้าและเปลือยพระกาย หรือทรงประชวรและต้องจำอยู่ในพันธนาคาร และข้าพเจ้ามิได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นแต่เมื่อไร?” แพะถูกตัดสินอย่างที่เป็นผลร้ายโดยอาศัยหลักเดียวกันกับที่แกะถูกตัดสินอย่างเป็นที่โปรดปราน. พระเยซูตอบว่า “ซึ่งเจ้ามิได้กระทำแก่ผู้เล็กน้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้ เจ้าก็มิได้กระทำแก่พวกเราด้วย.”
ดังนั้นการประทับของพระคริสต์ด้วยขัตติยอำนาจ ซึ่งมาก่อนจุดอวสานของระบบชั่วนี้ในคราวความทุกข์ลำบากใหญ่นั้น จะเป็นวาระแห่งการพิพากษา. แพะ “จะต้องไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่ผู้ชอบธรรม [แกะ] จะเข้าในชีวิตนิรันดร์.” มัดธาย 24:2–25:46; 13:40, 49; มาระโก 13:3-37; ลูกา 21:7-36; 19:43, 44; 17:20-30; 2 ติโมเธียว 3:1-5; โยฮัน 10:16; วิวรณ์ 14:1-3.
▪ อะไรกระตุ้นพวกอัครสาวกให้ถาม แต่ดูเหมือนว่าพวกเขายังคำนึงถึงอะไรอื่นด้วย?
▪ คำพยากรณ์ส่วนใดของพระเยซูสมจริงในปีสากลศักราช 70 แต่อะไรไม่เกิดขึ้นในครั้งนั้น?
▪ คำพยากรณ์ของพระเยซูสำเร็จสมจริงครั้งแรกเมื่อไร แต่มีความสมจริงในขอบเขตที่ใหญ่เมื่อไร?
▪ สิ่งอันน่าเกลียดในความสมจริงครั้งแรก และครั้งสุดท้ายนั้นคืออะไร?
▪ ทำไมความทุกข์ลำบากใหญ่ไม่มีความสมจริงครั้งสุดท้ายด้วยพินาศกรรมของกรุงยะรูซาเลม?
▪ สภาพการณ์อะไรของโลกเป็นสัญลักษณ์แห่งการประทับของพระคริสต์?
▪ ‘มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะพิลาปร่ำไร’ เมื่อไร แต่เหล่าสาวกของพระคริสต์จะทำประการใด?
▪ พระเยซูตรัสคำอุทาหรณ์อะไรเพื่อช่วยเหล่าสาวกของพระองค์ในอนาคตวินิจฉัยออกว่าจุดอวสานใกล้เข้ามาแล้ว?
▪ พระเยซูให้คำตักเตือนอะไรแก่สาวกของพระองค์ผู้ซึ่งจะมีชีวิตอยู่ระหว่างสมัยสุดท้าย?
▪ สาวพรหมจารีสิบคนเป็นภาพเล็งถึงใคร?
▪ มีการทำคำสัญญาในเรื่องการสมรสของประชาคมคริสเตียนกับเจ้าบ่าวเมื่อไร แต่เมื่อไรที่เจ้าบ่าวมาถึงเพื่อรับเจ้าสาวไปยังงานเลี้ยงฉลองการสมรส?
▪ น้ำมันเป็นภาพเล็งถึงอะไร และการเป็นเจ้าของน้ำมันนั้นทำให้สาวพรหมจารีที่สุขุมสามารถทำอะไรได้?
▪ งานเลี้ยงฉลองการสมรสมีขึ้นที่ไหน?
▪ สาวพรหมจารีโง่สูญเสียบำเหน็จที่ยอดเยี่ยมอะไรไป และบั้นปลายของเขาเป็นเช่นไร?
▪ อุทาหรณ์เรื่องเงินตะลันต์สอนบทเรียนอะไร?
▪ ใครคือพวกบ่าว และทรัพย์สมบัติที่พวกเขาได้รับมอบไว้คืออะไร?
▪ นายมาคิดบัญชีเมื่อไร และท่านพบอะไร?
▪ บ่าวผู้ซื่อสัตย์เข้าร่วมความยินดีอะไร และเกิดอะไรขึ้นกับบ่าวคนที่สาม คือบ่าวชั่วนั้น?
▪ ทำไมการประทับของพระคริสต์ต้องไม่ประจักษ์แก่ตา และพระองค์ทรงกระทำงานอะไรในคราวนั้น?
▪ แกะได้รับราชอาณาจักรเป็นมรดกในแง่ใด?
▪ “การวางรากของโลก” เกิดขึ้นเมื่อไร?
▪ ประชาชนถูกตัดสินว่าเป็นแกะหรือแพะโดยอาศัยอะไรเป็นหลัก?
-
-
ปัศคาครั้งสุดท้ายของพระเยซูใกล้จะถึงแล้วบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
-
-
บท 112
ปัศคาครั้งสุดท้ายของพระเยซูใกล้จะถึงแล้ว
ขณะที่วันอังคารที่ 11 เดือนไนซานจบลง พระเยซูเลิกการสอนอัครสาวกบนภูเขามะกอกเทศ. ช่างเป็นวันที่เต็มด้วยธุระ ใช้ความบากบั่นเสียนี่กระไร! บัดนี้ บางทีระหว่างเสด็จกลับไปยังบ้านเบธาเนียเพื่อค้างคืน พระองค์ทรงแจ้งแก่พวกอัครสาวกว่า “ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่าอีกสองวันจะถึงเทศกาลปัศคา บุตรมนุษย์จะต้องมอบไว้ให้เขาตรึง.”
-