-
รักษาความสงบสุขในครอบครัวของคุณเคล็ดลับสำหรับความสุขในครอบครัว
-
-
บทสิบเอ็ด
รักษาความสงบสุขในครอบครัวของคุณ
1. มีสภาพการณ์อะไรบ้างที่อาจก่อให้เกิดการแตกแยกในครอบครัว?
ความสุขย่อมมีแก่คนเหล่านั้นที่อยู่ในครอบครัวซึ่งมีความรัก, ความเข้าใจ, และสันติสุข. หวังว่าครอบครัวของคุณจะเป็นเช่นนั้น. น่าเศร้าใจ ครอบครัวจำนวนนับไม่ถ้วนไม่เป็นอย่างนั้นและแตกแยกเนื่องด้วยเหตุผลไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง. อะไรทำให้ครอบครัวแตกแยก? ในบทนี้เราจะพิจารณาสามสิ่ง. ในบางครอบครัว สมาชิกไม่ได้ถือศาสนาเดียวกันหมด. ส่วนครอบครัวอื่น ลูก ๆ อาจไม่ได้มีบิดามารดาแท้ ๆ คนเดียวกัน. และก็ยังมีครอบครัวอื่นอีกที่การดิ้นรนทำมาหาเลี้ยงชีพหรือความปรารถนาที่จะได้สิ่งฝ่ายวัตถุมากขึ้นดูเหมือนบีบบังคับให้สมาชิกครอบครัวต้องแยกจากกัน. กระนั้น สภาพการณ์ที่ทำให้ครอบครัวหนึ่งแตกแยกอาจไม่มีผลกระทบต่ออีกครอบครัวหนึ่ง. อะไรก่อให้เกิดความแตกต่างกัน?
2. บางคนเสาะหาการชี้นำในชีวิตครอบครัวจากที่ไหน แต่แหล่งดีที่สุดสำหรับการชี้นำเช่นนั้นคืออะไร?
2 ทัศนะเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง. หากคุณพยายามอย่างจริงใจที่จะเข้าใจทัศนะของอีกฝ่ายหนึ่ง คุณก็คงจะมีความสังเกตเข้าใจมากขึ้นถึงวิธีที่จะรักษาครอบครัวให้เป็นหนึ่งเดียว. ปัจจัยประการที่สองคือ แหล่งแห่งการชี้นำของคุณ. ผู้คนมากมายปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของเพื่อนร่วมงาน, เพื่อนบ้าน, นักเขียนคอลัมน์ประจำหนังสือพิมพ์, หรือข้อชี้แนะอื่น ๆ ของมนุษย์. อย่างไรก็ดี บางคนได้พบสิ่งที่พระคำของพระเจ้าบอกไว้เกี่ยวกับสภาพการณ์ของตน แล้วเขาได้นำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้. การทำเช่นนี้จะช่วยครอบครัวให้รักษาความสงบสุขในบ้านไว้ได้อย่างไร?—2 ติโมเธียว 3:16, 17.
หากสามีมีความเชื่อต่างกับคุณ
3. (ก) คำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับการสมรสกับคนที่มีความเชื่อต่างกันนั้นคืออย่างไร? (ข) มีหลักการพื้นฐานอะไรบ้างที่ควรนำมาใช้หากฝ่ายหนึ่งมีความเชื่อและอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีความเชื่อ?
3 คัมภีร์ไบเบิลแนะนำเราอย่างหนักแน่นไม่ให้สมรสกับคนที่มีความเชื่อทางศาสนาต่างกัน. (พระบัญญัติ 7:3, 4; 1 โกรินโธ 7:39) อย่างไรก็ดี อาจเป็นได้ที่คุณเรียนรู้ความจริงจากคัมภีร์ไบเบิลหลังจากที่คุณแต่งงานแล้ว แต่สามีของคุณไม่ได้เรียน. ถ้าเช่นนั้นจะว่าอย่างไร? แน่นอน คำปฏิญาณในการสมรสยังมีผลบังคับใช้อยู่. (1 โกรินโธ 7:10) คัมภีร์ไบเบิลเน้นความผูกพันถาวรของสายสมรสและสนับสนุนคนที่สมรสแล้วให้แก้ปัญหาของเขาแทนที่จะหนีปัญหาเหล่านั้น. (เอเฟโซ 5:28-31; ติโต 2:4, 5) แต่จะว่าอย่างไรหากสามีคัดค้านอย่างแข็งกร้าวต่อการที่คุณปฏิบัติศาสนาของคัมภีร์ไบเบิล? เขาอาจพยายามขัดขวางคุณไว้จากการเข้าร่วมการประชุมของประชาคม หรือเขาอาจพูดว่าไม่ต้องการให้ภรรยาของเขาไปตามบ้านเรือนเพื่อพูดเรื่องศาสนา. คุณจะทำประการใด?
4. ภรรยาจะแสดงการร่วมความรู้สึกได้ในทางใดถ้าหากสามีไม่ได้มีความเชื่อเหมือนเธอ?
4 จงถามตัวเองว่า ‘ทำไมสามีของดิฉันรู้สึกอย่างนั้น?’ (สุภาษิต 16:20, 23) หากเขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ เขาก็อาจเป็นห่วงคุณ. หรือเขาอาจอยู่ภายใต้ความกดดันจากญาติพี่น้อง เนื่องจากคุณไม่เข้าส่วนร่วมอีกต่อไปในธรรมเนียมบางอย่างที่สำคัญสำหรับพวกเขา. สามีคนหนึ่งบอกว่า “เมื่ออยู่คนเดียวในบ้าน ผมรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง.” ชายคนนี้รู้สึกว่า เขากำลังสูญเสียภรรยาให้กับศาสนาหนึ่งไป. กระนั้น ความหยิ่งทะนงกันเขาไว้ไม่ให้ยอมรับว่า เขารู้สึกเดียวดาย. สามีของคุณอาจต้องการคำรับรองว่า ความรักที่คุณมีต่อพระยะโฮวามิได้หมายความว่า ตอนนี้คุณรักสามีน้อยกว่าที่เคยรักในอดีต. จงทำให้แน่ใจที่จะให้เวลากับเขา.
5. ภรรยาซึ่งมีสามีที่ต่างความเชื่อต้องรักษาความสมดุลอะไร?
5 อย่างไรก็ดี ต้องคำนึงถึงสิ่งที่สำคัญกว่านั้นอีก เพื่อคุณจะจัดการกับสภาพการณ์นั้นอย่างสุขุม. พระคำของพระเจ้ากระตุ้นเตือนภรรยาว่า “จงยอมฟังสามีของตน ซึ่งเป็นการสมควรในองค์พระผู้เป็นเจ้า.” (โกโลซาย 3:18, ฉบับแปลใหม่) ดังนั้น พระคำของพระเจ้าเตือนให้ระวังน้ำใจของการเป็นเอกเทศ. นอกจากนี้ โดยกล่าวว่า “ซึ่งเป็นการสมควรในองค์พระผู้เป็นเจ้า” ข้อคัมภีร์นี้บ่งชี้ว่า การยอมอยู่ใต้อำนาจสามีควรคำนึงถึงการยอมอยู่ใต้อำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย. ต้องมีความสมดุล.
6. ภรรยาคริสเตียนควรคำนึงถึงหลักการอะไรบ้าง?
6 สำหรับคริสเตียน การเข้าร่วมการประชุมของประชาคมและการให้คำพยานแก่คนอื่นเกี่ยวกับความเชื่อที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลนั้นเป็นลักษณะสำคัญของการนมัสการแท้และเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย. (โรม 10:9, 10, 14; เฮ็บราย 10:24, 25) ดังนั้นแล้ว คุณจะทำประการใด หากมนุษย์สั่งคุณโดยตรงไม่ให้ทำตามข้อเรียกร้องของพระเจ้าซึ่งมีการบอกชัดเจน? บรรดาอัครสาวกของพระเยซูคริสต์แถลงว่า “พวกข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้าในฐานะเป็นผู้ครอบครองยิ่งกว่ามนุษย์.” (กิจการ 5:29, ล.ม.) ตัวอย่างของพวกเขาให้แบบอย่างซึ่งนำมาใช้ได้กับสภาพการณ์หลายอย่างในชีวิต. ความรักต่อพระยะโฮวาจะกระตุ้นคุณให้แสดงความเลื่อมใสต่อพระองค์ไหมซึ่งเป็นสิทธิอันชอบธรรมของพระองค์? ขณะเดียวกัน ความรักและความนับถือที่คุณมีต่อสามีจะเป็นเหตุให้คุณพยายามทำเช่นนี้ในวิธีที่เขาพอจะยอมรับได้ไหม?—มัดธาย 4:10; 1 โยฮัน 5:3.
7. ภรรยาคริสเตียนต้องมีความตั้งใจแน่วแน่อะไร?
7 พระเยซูทรงให้ข้อสังเกตว่าอาจจะไม่เป็นเช่นนี้เสมอไป. พระองค์ทรงเตือนว่า เนื่องจากการต่อต้านการนมัสการแท้ สมาชิกที่มีความเชื่อในบางครอบครัวจะรู้สึกว่าถูกตัดขาด ประหนึ่งมีดาบมาอยู่ระหว่างเขากับคนที่เหลือในครอบครัว. (มัดธาย 10:34-36) สตรีคนหนึ่งในญี่ปุ่นประสบสิ่งนี้. เธอถูกสามีต่อต้านมาเป็นเวลา 11 ปี. เขาปฏิบัติกับเธออย่างทารุณโหดร้าย และบ่อยครั้งปิดกุญแจให้เธออยู่นอกบ้าน. แต่เธอเพียรอดทน. เพื่อน ๆ ในประชาคมคริสเตียนได้ช่วยเหลือเธอ. เธออธิษฐานไม่หยุดหย่อนและได้รับการหนุนกำลังใจมากมายจาก 1 เปโตร 2:20. สตรีคริสเตียนผู้นี้มั่นใจว่า หากเธอยืนหยัดมั่นคง สักวันหนึ่งสามีจะร่วมกับเธอในการรับใช้พระยะโฮวา. และเขาก็ได้ทำเช่นนั้น.
8, 9. ภรรยาควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงการวางอุปสรรคโดยไม่จำเป็นไว้ตรงหน้าสามี?
8 มีหลายสิ่งซึ่งใช้ได้ผลที่คุณสามารถทำได้เพื่อจะโน้มน้าวเจตคติของคู่ชีวิตของคุณ. ตัวอย่างเช่น หากสามีคัดค้านศาสนาของคุณ ก็อย่าให้เขามีสาเหตุที่ฟังขึ้นในการบ่นเรื่องอื่น. จงดูแลบ้านช่องให้สะอาด. เอาใจใส่การปรากฏตัวของคุณ. จงแสดงความรักและความหยั่งรู้ค่าอย่างไม่อั้น. แทนที่จะวิจารณ์ จงเป็นคนเกื้อหนุน. แสดงให้เห็นว่าคุณหมายพึ่งเขาในตำแหน่งประมุข. อย่าแก้เผ็ดหากคุณรู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม. (1 เปโตร 2:21, 23) จงยอมให้กับความไม่สมบูรณ์ของมนุษย์ และหากเกิดการโต้เถียงขึ้น จงถ่อมใจเป็นฝ่ายขอโทษก่อน.—เอเฟโซ 4:26.
9 อย่าให้การเข้าร่วมประชุมของคุณเป็นสาเหตุให้อาหารที่เขาจะรับประทานนั้นล่าช้า. คุณอาจเลือกที่จะเข้าร่วมในงานเผยแพร่แบบคริสเตียนตอนที่สามีไม่อยู่บ้าน. เป็นการสุขุมที่ภรรยาคริสเตียนจะละเว้นจากการเผยแพร่ให้สามีเมื่อเขาไม่อยากฟัง. แทนที่จะทำเช่นนั้น เธอปฏิบัติตามคำแนะนำของอัครสาวกเปโตรที่ว่า “ท่านทั้งหลายที่เป็นภรรยา จงยอมอยู่ใต้อำนาจสามีของท่าน เพื่อว่า ถ้าคนใดไม่เชื่อฟังพระคำ แม้นไม่เอ่ยปาก เขาก็อาจถูกโน้มน้าวโดยการประพฤติของภรรยา เนื่องจากได้เห็นประจักษ์ถึงการประพฤติอันบริสุทธิ์ของท่านทั้งหลายพร้อมกับความนับถืออันสุดซึ้ง.” (1 เปโตร 3:1, 2, ล.ม.) ภรรยาคริสเตียนพยายามสำแดงผลแห่งพระวิญญาณของพระเจ้าให้เต็มที่ยิ่งขึ้น.—ฆะลาเตีย 5:22, 23.
เมื่อภรรยาไม่เป็นคริสเตียน
10. สามีที่มีความเชื่อควรปฏิบัติอย่างไรต่อภรรยาหากเธอมีความเชื่อต่างกับเขา?
10 จะว่าอย่างไรถ้าสามีเป็นคริสเตียนและภรรยาไม่ได้เป็น? คัมภีร์ไบเบิลให้การชี้นำสำหรับสถานการณ์เช่นนั้น. พระคัมภีร์บอกว่า “ถ้าพี่น้องคนใดมีภรรยาไม่เชื่อถือพระคริสต์, และนางพอใจอยู่กับสามี, อย่าให้สามีทิ้งนางนั้นเลย.” (1 โกรินโธ 7:12) พระคัมภีร์ยังตักเตือนสามีด้วยว่า “จงรักภรรยาของตน [“ต่อ ๆ ไป,” ล.ม.].”—โกโลซาย 3:19.
11. สามีจะแสดงความสังเกตเข้าใจและใช้ตำแหน่งประมุขอย่างผ่อนหนักผ่อนเบากับภรรยาได้อย่างไรหากเธอไม่ได้เป็นคริสเตียน?
11 หากภรรยาของคุณมีความเชื่อต่างจากคุณ จงระวังเป็นพิเศษที่จะแสดงความนับถือต่อภรรยาและคำนึงถึงความรู้สึกของเธอ. ในฐานะเป็นผู้ใหญ่ เธอสมควรได้รับเสรีภาพในระดับหนึ่งที่จะปฏิบัติความเชื่อของเธอทางศาสนา ถึงแม้คุณไม่เห็นด้วยกับความเชื่อนั้น. ครั้งแรกที่คุณพูดคุยกับเธอเรื่องความเชื่อของคุณ อย่าคาดหมายให้เธอทิ้งความเชื่อที่ยึดถือมานานเพื่อจะรับเอาสิ่งใหม่. แทนที่จะพูดทันทีทันใดว่า ธรรมเนียมที่เธอกับครอบครัวของเธอยึดมั่นมาเป็นเวลานานนั้นไม่ถูก จงหาเหตุผลกับเธอจากพระคัมภีร์ด้วยความเพียรอดทน. อาจเป็นได้ที่เธอรู้สึกว่าถูกละเลยหากคุณอุทิศเวลาจำนวนมากให้กับกิจกรรมของประชาคม. เธออาจต่อต้านความพยายามของคุณที่จะรับใช้พระยะโฮวา กระนั้น สิ่งหลักอาจเป็นเพียงว่า “ดิฉันต้องการเวลาของคุณมากขึ้น!” จงอดทน. โดยที่คุณคำนึงถึงเธอด้วยความรัก ในที่สุด เธออาจได้รับการช่วยให้รับเอาการนมัสการแท้.—โกโลซาย 3:12-14; 1 เปโตร 3:8, 9.
การอบรมบุตร
12. ถึงแม้ว่าสามีและภรรยามีความเชื่อที่ต่างกัน ควรนำหลักการในพระคัมภีร์มาใช้อย่างไรในการอบรมลูก?
12 ในครอบครัวที่ไม่เป็นหนึ่งเดียวในการนมัสการ บางครั้งการสั่งสอนบุตรในด้านศาสนากลายเป็นปัญหา. ควรนำหลักการในพระคัมภีร์มาใช้อย่างไร? คัมภีร์ไบเบิลมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบในการสั่งสอนบุตรให้บิดาเป็นอันดับแรก แต่มารดาก็มีบทบาทสำคัญด้วย. (สุภาษิต 1:8; เทียบกับเยเนซิศ 18:19; พระบัญญัติ 11:18, 19.) ถึงแม้ผู้เป็นบิดาไม่ยอมรับตำแหน่งประมุขของพระคริสต์ เขาก็ยังเป็นประมุขของครอบครัว.
13, 14. หากสามีห้ามภรรยาพาลูกไปยังการประชุมคริสเตียนหรือศึกษากับเขา เธออาจทำประการใด?
13 บิดาที่ไม่มีความเชื่อบางคนไม่คัดค้านถ้ามารดาสั่งสอนบุตรในเรื่องศาสนา. ส่วนบิดาคนอื่น ๆ คัดค้าน. จะว่าอย่างไรหากสามีไม่ยอมให้คุณพาลูก ๆ ไปยังการประชุมของประชาคม หรือถึงกับห้ามคุณศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพวกเขาที่บ้านด้วยซ้ำ? ตอนนี้คุณต้องทำให้พันธะหน้าที่หลายอย่างสมดุลกัน—ไม่ว่าจะเป็นพันธะหน้าที่ต่อพระยะโฮวาพระเจ้า, ต่อประมุขที่เป็นสามีของคุณ, และต่อลูก ๆ ที่รักของคุณ. คุณจะทำให้พันธะหน้าที่เหล่านี้ประสานกันได้อย่างไร?
14 แน่นอนคุณจะอธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องนั้น. (ฟิลิปปอย 4:6, 7; 1 โยฮัน 5:14) แต่ในที่สุด คุณเป็นคนที่ต้องตัดสินใจว่าจะยึดแนวทางใด. หากคุณดำเนินต่อไปด้วยความผ่อนหนักผ่อนเบา โดยทำให้สามีของคุณเข้าใจว่า คุณไม่ได้ท้าทายตำแหน่งประมุขของเขา ในที่สุดการต่อต้านของเขาอาจลดน้อยลง. ถึงแม้สามีห้ามคุณพาลูกไปยังการประชุมหรือศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างเป็นทางการกับพวกเขา คุณก็ยังคงสามารถสอนเขาได้. โดยการสนทนากันทุกวันและตัวอย่างที่ดีของคุณ พยายามปลูกฝังความรักต่อพระยะโฮวาระดับหนึ่งเข้าไว้ในตัวเขา, ตลอดจนความเชื่อในพระคำของพระองค์, ความนับถือต่อบิดามารดา—ซึ่งรวมทั้งผู้เป็นบิดาของเขาด้วย—ความห่วงใยด้วยความรักต่อคนอื่น, และความหยั่งรู้ค่าต่อนิสัยเอาจริงเอาจังในการทำงาน. ในที่สุด ผู้เป็นบิดาอาจสังเกตผลดีและอาจหยั่งรู้คุณค่าความพยายามของคุณ.—สุภาษิต 23:24.
15. หน้าที่รับผิดชอบของบิดาผู้มีความเชื่อในการอบรมบุตรคืออะไร?
15 หากคุณเป็นสามีที่มีความเชื่อและภรรยาไม่มีความเชื่อ คุณต้องแบกหน้าที่รับผิดชอบในการอบรมบุตรของคุณ “ด้วยการตีสอนและการปรับความคิดจิตใจตามหลักการของพระยะโฮวา.” (เอเฟโซ 6:4, ล.ม.) แน่นอน ขณะที่ทำเช่นนั้น คุณควรเป็นคนกรุณา, แสดงความรัก, และมีเหตุผลในการปฏิบัติกับภรรยา.
หากคุณนับถือศาสนาต่างจากบิดามารดา
16, 17. ลูกต้องจดจำหลักการอะไรบ้างในคัมภีร์ไบเบิลหากเขารับเอาความเชื่อที่ต่างจากบิดามารดา?
16 ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอีกต่อไปที่แม้แต่เด็กซึ่งเป็นผู้เยาว์จะรับเอาทัศนะทางศาสนาที่ต่างจากของบิดามารดา. คุณได้ทำเช่นนั้นไหม? ถ้าเช่นนั้น คัมภีร์ไบเบิลมีคำแนะนำสำหรับคุณ.
17 พระคำของพระเจ้ากล่าวว่า “จงเชื่อฟังบิดามารดาของตนร่วมสามัคคีกันกับองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าการนี้ชอบธรรม: ‘จงให้เกียรติบิดาและมารดาของตน.’” (เอเฟโซ 6:1, 2, ล.ม.) นั่นเกี่ยวข้องกับความนับถืออย่างเหมาะสมต่อบิดามารดา. อย่างไรก็ดี ขณะที่การเชื่อฟังบิดามารดาเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ควรทำเช่นนั้นโดยไม่คำนึงถึงพระเจ้าเที่ยงแท้. เมื่อเด็กโตพอที่จะเริ่มทำการตัดสินใจแล้ว เขาจะแบกความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นระดับหนึ่งสำหรับการกระทำของเขา. เป็นเช่นนี้ไม่เฉพาะกับเรื่องกฎหมายทางโลกเท่านั้น แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับกฎหมายของพระเจ้าด้วย. คัมภีร์ไบเบิลแถลงว่า “เราทั้งหลายทุกคนต้องให้การด้วยตัวเองแก่พระเจ้า.”—โรม 14:12.
18, 19. หากลูกนับถือศาสนาที่ต่างจากบิดามารดา เขาจะช่วยบิดามารดาให้เข้าใจความเชื่อของเขาได้ดีขึ้นอย่างไร?
18 หากความเชื่อของคุณทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในชีวิตคุณ จงพยายามเข้าใจแง่คิดของบิดามารดาคุณ. ท่านคงจะชอบใจ ถ้าผลจากการที่คุณเรียนรู้และนำคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลมาใช้ ทำให้คุณกลายเป็นคนมีความนับถือมากขึ้น, เชื่อฟังมากขึ้น, เอาเป็นธุระมากขึ้นในสิ่งที่ท่านเรียกร้องจากคุณ. อย่างไรก็ดี หากความเชื่อใหม่ของคุณยังทำให้คุณปฏิเสธความเชื่อถือและธรรมเนียมที่ท่านยึดมั่นเป็นส่วนตัวแล้ว ท่านอาจรู้สึกว่าคุณกำลังปฏิเสธมรดกที่ท่านหมายมั่นจะให้คุณ. ท่านอาจเป็นห่วงสวัสดิภาพของคุณด้วย หากสิ่งที่คุณทำอยู่นั้นไม่เป็นที่นิยมชมชอบในชุมชน หรือว่าถ้าเรื่องนั้นทำให้คุณหันเหไปจากการติดตามสิ่งที่ท่านรู้สึกว่าอาจช่วยคุณให้มั่งคั่งทางด้านวัตถุ. ความหยิ่งทะนงอาจเป็นอุปสรรคด้วย. ท่านอาจรู้สึกว่า คุณกำลังบอกในทำนองว่า คุณเป็นฝ่ายถูกและท่านเป็นฝ่ายผิด.
19 เพราะฉะนั้น เร็วเท่าที่เป็นไปได้ จงพยายามจัดแจงให้บิดามารดาของคุณพบกับผู้ปกครองบางคนหรือพยานฯ ที่อาวุโสคนอื่นจากประชาคมท้องถิ่น. จงสนับสนุนบิดามารดาของคุณให้ไปหอประชุมเพื่อมาฟังกับหูในเรื่องที่มีการพิจารณาและเพื่อมาเห็นกับตาว่าพยานพระยะโฮวาเป็นคนชนิดใด. ในที่สุด ท่าทีของบิดามารดาคุณอาจอ่อนลงก็ได้. แม้แต่เมื่อบิดามารดาต่อต้านอย่างแข็งกร้าว, ทำลายสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล, และห้ามลูกเข้าร่วมการประชุมคริสเตียนก็ตาม ตามปกติแล้วมีโอกาสต่าง ๆ ที่จะอ่านได้ในที่อื่น, พูดคุยกับเพื่อนคริสเตียน, และให้คำพยานอีกทั้งช่วยคนอื่นเมื่อสบโอกาส. คุณสามารถอธิษฐานถึงพระยะโฮวาได้ด้วย. เยาวชนบางคนต้องรอจนกระทั่งเขาโตพอที่จะใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านก่อนที่เขาจะทำได้มากขึ้น. อย่างไรก็ดี ไม่ว่าสภาพการณ์ที่บ้านจะเป็นอย่างไรก็ตาม อย่าลืม “ให้เกียรติบิดาและมารดาของตน.” จงทำส่วนของคุณเพื่อส่งเสริมสันติสุขในบ้าน. (โรม 12:17, 18) ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด จงติดตามสันติสุขกับพระเจ้า.
ข้อท้าทายในการเป็นพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยง
20. เด็กอาจมีความรู้สึกอย่างไรหากบิดาหรือมารดาเป็นพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยง?
20 ในหลายครอบครัว สภาพการณ์ที่เป็นข้อท้าทายมากที่สุดไม่ใช่เรื่องศาสนา แต่เป็นปัญหาเรื่องพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยง. หลายครอบครัวในทุกวันนี้รวมเอาเด็กที่เกิดจากคู่สมรสเดิมของบิดาหรือมารดาหรือของทั้งสองฝ่าย. ในครอบครัวดังกล่าว ลูกอาจเกิดความอิจฉาริษยาและความขุ่นเคือง หรือบางทีมีความขัดแย้งเรื่องความจงรักภักดีต่อฝ่ายต่าง ๆ. ผลก็คือ เขาอาจไม่สนใจไยดีต่อความพยายามอย่างจริงใจของพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยงที่จะเป็นบิดาหรือมารดาที่ดี. อะไรจะช่วยได้เพื่อทำให้ครอบครัวที่มีพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยงประสบผลสำเร็จ?
21. ทั้ง ๆ ที่มีสภาพการณ์พิเศษเฉพาะ ทำไมพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยงควรหมายพึ่งหลักการที่พบในคัมภีร์ไบเบิลเพื่อได้ความช่วยเหลือ?
21 ขอให้ตระหนักว่า แม้จะมีสภาพการณ์พิเศษเฉพาะ หลักการในคัมภีร์ไบเบิลที่ก่อให้เกิดความสำเร็จในครอบครัวอื่นก็นำมาใช้ในครอบครัวแบบนี้ได้เช่นกัน. การละเลยหลักการเหล่านั้นอาจดูเหมือนบรรเทาปัญหาไปชั่วระยะหนึ่ง ทว่าคงจะนำไปสู่ความปวดร้าวใจในภายหลัง. (บทเพลงสรรเสริญ 127:1; สุภาษิต 29:15) จงปลูกฝังสติปัญญาและการสังเกตเข้าใจ—สติปัญญาในการนำหลักการของพระเจ้ามาใช้โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ระยะยาว และการสังเกตเข้าใจเพื่อจะมองออกว่า ทำไมสมาชิกในครอบครัวจึงพูดและทำอย่างนั้น. มีความจำเป็นในการร่วมความรู้สึกด้วย.—สุภาษิต 16:21; 24:3; 1 เปโตร 3:8.
22. ทำไมอาจพบว่ายากสำหรับเด็กที่จะยอมรับพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยง?
22 หากคุณเป็นพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยง คุณอาจจำได้ว่า ตอนเป็นเพื่อนของครอบครัวนี้ เด็ก ๆ อาจยินดีต้อนรับคุณ. แต่เมื่อคุณมาเป็นพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยง ท่าทีของเขาอาจเปลี่ยนไป. เนื่องจากยังไม่ลืมบิดาหรือมารดาแท้ ๆ ซึ่งไม่ได้อยู่กับพวกเขาอีกต่อไป เด็กอาจต่อสู้กับความขัดแย้งในเรื่องความภักดี อาจจะรู้สึกว่าคุณต้องการช่วงชิงความรักใคร่ที่เขามีต่อบิดาหรือมารดาที่ไม่อยู่นั้น. บางครั้ง เขาอาจเตือนคุณตรง ๆ ว่า คุณไม่ใช่พ่อของเขา หรือแม่ของเขา. คำพูดเช่นนั้นคงบาดใจ. กระนั้น “อย่าให้ใจของเจ้าโกรธเร็ว.” (ท่านผู้ประกาศ 7:9) การสังเกตเข้าใจและความร่วมรู้สึกเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อจะรับมือกับอารมณ์ความรู้สึกของเด็ก.
23. อาจดำเนินการตีสอนอย่างไรในครอบครัวที่มีลูกเลี้ยง?
23 คุณลักษณะเหล่านั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งเมื่อคนเราดำเนินการตีสอน. การตีสอนอย่างเสมอต้นเสมอปลายนับว่าจำเป็นยิ่ง. (สุภาษิต 6:20; 13:1) และเนื่องจากเด็กใช่ว่าจะเหมือนกันหมด การตีสอนอาจต่างกันไปในแต่ละราย. พ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยงบางคนพบว่า อย่างน้อยที่สุดในตอนเริ่มต้น อาจเป็นการดีกว่าสำหรับบิดาหรือมารดาแท้ ๆ จะจัดการเรื่องนี้. แต่นับว่าสำคัญที่บิดามารดาทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันในการตีสอนและสนับสนุนเรื่องนั้น ไม่เข้าข้างลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองมากกว่าลูกเลี้ยง. (สุภาษิต 24:23) การเชื่อฟังเป็นสิ่งสำคัญ แต่จำเป็นต้องยอมให้กับความไม่สมบูรณ์. อย่าทำเลยเถิด. จงตีสอนด้วยความรัก.—โกโลซาย 3:21.
24. อะไรสามารถช่วยสกัดกั้นปัญหาด้านศีลธรรมระหว่างสมาชิกที่เป็นเพศตรงข้ามในครอบครัวที่มีพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยง?
24 การสนทนากันในครอบครัวอาจช่วยได้มากในการป้องกันความยุ่งยาก. การทำเช่นนี้อาจช่วยครอบครัวให้จัดเรื่องสำคัญที่สุดเป็นจุดรวมในชีวิตเสมอ. (เทียบกับฟิลิปปอย 1:9-11.) การสนทนานั้นยังช่วยแต่ละคนให้เห็นวิธีที่เขาสามารถมีส่วนส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายของครอบครัว. นอกจากนี้ การสนทนาในครอบครัวแบบตรงไปตรงมาอาจสกัดกั้นปัญหาทางศีลธรรม. เด็กผู้หญิงต้องเข้าใจวิธีที่จะแต่งกายและปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมเมื่อพ่อเลี้ยงหรือพี่ชายน้องชายต่างบิดามารดาอยู่ใกล้ ๆ และเด็กผู้ชายต้องได้รับคำแนะนำเรื่องความประพฤติที่เหมาะสมต่อแม่เลี้ยงและพี่สาวน้องสาวต่างบิดามารดาหากมี.—1 เธซะโลนิเก 4:3-8.
25. คุณลักษณะอะไรบ้างอาจช่วยรักษาความสงบสุขในครอบครัวที่มีพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยง?
25 เมื่อเผชิญข้อท้าทายเป็นพิเศษในการเป็นพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยง จงอดทน. ต้องใช้เวลาเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ใหม่. การได้รับความรักและความนับถือจากเด็กซึ่งคุณไม่มีความผูกพันทางสายเลือดอาจเป็นงานที่ยากมาก. แต่นั่นมีทางเป็นไปได้. หัวใจที่สุขุมและมีความสังเกตเข้าใจ ควบคู่กับความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะทำให้พระยะโฮวาพอพระทัย เป็นเคล็ดลับสู่สันติสุขในครอบครัวที่มีพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยง. (สุภาษิต 16:20) คุณลักษณะดังกล่าวอาจช่วยคุณรับมือกับสภาพการณ์อื่น ๆ ได้ด้วย.
การติดตามด้านวัตถุทำให้ครอบครัวของคุณแตกแยกไหม?
26. ปัญหาและเจตคติเกี่ยวกับสิ่งฝ่ายวัตถุอาจทำให้ครอบครัวแตกแยกได้ในทางใดบ้าง?
26 ปัญหาและเจตคติเกี่ยวกับสิ่งฝ่ายวัตถุอาจทำให้ครอบครัวแตกแยกในหลายทาง. น่าเศร้าใจ บางครอบครัวแตกแยกกันเนื่องจากการโต้เถียงในเรื่องเงินและความปรารถนาจะร่ำรวย—หรืออย่างน้อยที่สุดก็รวยขึ้นอีกสักหน่อย. การแตกแยกอาจเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองฝ่ายทำงานอาชีพและปลูกฝังเจตคติแบบ “เงินฉัน, เงินคุณ.” ถึงแม้หลีกเลี่ยงการโต้เถียง เมื่อทั้งคู่ทำงาน เขาอาจพบว่า ตัวเองมีตารางเวลาซึ่งเหลือเวลาให้กันและกันไม่มากนัก. แนวโน้มที่กำลังเพิ่มขึ้นในโลกคือ บิดาอยู่ห่างจากครอบครัวเป็นระยะเวลานาน—เป็นเดือนหรือเป็นปีด้วยซ้ำ—เพื่อจะหาเงินได้มากกว่าที่เขาสามารถหาได้เมื่ออยู่ที่บ้าน. นี่อาจนำไปสู่ปัญหาร้ายแรงทีเดียว.
27. มีหลักการอะไรบ้างที่สามารถช่วยครอบครัวที่อยู่ภายใต้ความกดดันด้านการเงิน?
27 ไม่อาจจะวางกฎเกณฑ์เพื่อจัดการกับสถานการณ์เหล่านี้ได้ เนื่องจากแต่ละครอบครัวต้องรับมือกับความกดดันและความจำเป็นที่ต่างกัน. กระนั้น คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลสามารถช่วยได้. ตัวอย่างเช่น สุภาษิต 13:10 (ล.ม.) ชี้แจงว่า บางครั้งอาจหลีกเลี่ยงการโต้เถียงที่ไม่จำเป็นได้โดย “ปรึกษาหารือกัน.” นี่พาดพิงถึงไม่เพียงการบอกทัศนะของเราเองเท่านั้น แต่แสวงหาคำแนะนำและสอบถามดูว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีทัศนะเช่นไรด้วย. นอกจากนี้ การวางแผนงบประมาณอย่างที่ตรงกับสภาพจริงอาจช่วยทำให้ความพยายามของครอบครัวเป็นหนึ่งเดียว. บางครั้งนับว่าจำเป็น—บางทีชั่วระยะหนึ่ง—ที่ทั้งคู่ต้องทำงานนอกบ้านเพื่อเอาใจใส่ดูแลค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีลูกหรือผู้อื่นที่อยู่ในอุปการะ. เมื่อเป็นเช่นนี้ สามีอาจทำให้ภรรยามั่นใจว่า เขายังคงมีเวลาให้เธออยู่. เขาพร้อมกับลูก ๆ สามารถช่วยเหลือด้วยความรักเกี่ยวกับงานบางอย่างที่ตามปกติแล้วเธออาจจัดการตามลำพัง.—ฟิลิปปอย 2:1-4.
28. ข้อเตือนใจอะไรบ้าง หากนำมาปฏิบัติแล้ว จะช่วยครอบครัวให้ดำเนินไปสู่เอกภาพได้?
28 อย่างไรก็ดี โปรดจำไว้เสมอว่า ถึงแม้เงินเป็นสิ่งจำเป็นในระบบนี้ก็ตาม มันไม่ได้นำความสุขมาให้. เงินไม่ได้ให้ชีวิตอย่างแน่นอน. (ท่านผู้ประกาศ 7:12) ที่จริง การเน้นมากเกินไปในสิ่งฝ่ายวัตถุอาจก่อความเสียหายด้านวิญญาณและด้านศีลธรรมได้. (1 ติโมเธียว 6:9-12) ดีกว่ามากสักเพียงไรที่จะแสวงหาราชอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน พร้อมกับมั่นใจว่าพระองค์จะอวยพระพรความพยายามของเราที่จะได้มาซึ่งสิ่งจำเป็นในชีวิต! (มัดธาย 6:25-33; เฮ็บราย 13:5) โดยการให้ผลประโยชน์ฝ่ายวิญญาณอยู่ในอันดับแรกเสมอ และโดยการติดตามสันติสุขกับพระเจ้าก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด คุณอาจประสบว่า ครอบครัวของคุณ ถึงแม้อาจจะแตกแยกเนื่องจากสภาพแวดล้อมบางอย่างก็ตาม จะเป็นครอบครัวที่เป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริงในแนวทางสำคัญที่สุด.
-
-
คุณสามารถเอาชนะปัญหาที่ยังความเสียหายแก่ครอบครัวได้เคล็ดลับสำหรับความสุขในครอบครัว
-
-
บทสิบสอง
คุณสามารถเอาชนะปัญหาที่ยังความเสียหายแก่ครอบครัวได้
1. มีปัญหาอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่ในบางครอบครัว?
รถยนต์เก่าคันนั้นเพิ่งล้างและขัดเงาเสร็จ. สำหรับคนที่สัญจรไปมา รถยนต์คันนั้นดูเงาวับ เกือบจะเหมือนรถใหม่. แต่ภายใต้พื้นผิวรถนั้น สนิมที่กัดกร่อนกำลังกินตัวถังรถ. บางครอบครัวก็คล้ายกัน. ถึงแม้ทุกสิ่งที่ปรากฏภายนอกดูดี แต่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มซ่อนความวิตกกลัวและความเจ็บปวดไว้. ภายในบ้าน มีสิ่งที่บ่อนทำลายสันติสุขในครอบครัว. ปัญหาสองประการที่อาจก่อผลกระทบเช่นนี้คือ การติดสุราและความรุนแรง.
ความเสียหายที่เกิดจากการติดสุรา
2. (ก) ทัศนะของคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการใช้เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์คืออย่างไร? (ข) การติดสุราคืออะไร?
2 คัมภีร์ไบเบิลมิได้กล่าวโทษการใช้เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อย่างพอประมาณ ทว่าพระคัมภีร์กล่าวโทษการเมาเหล้า. (สุภาษิต 23:20, 21; 1 โกรินโธ 6:9, 10; 1 ติโมเธียว 5:23; ติโต 2:2, 3) อย่างไรก็ดี การติดสุราหนักยิ่งกว่าการเมาเหล้า เป็นการติดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์แบบเรื้อรังและไม่สามารถควบคุมการบริโภคของเขา. คนที่ติดสุราอาจเป็นผู้ใหญ่ก็ได้. น่าเศร้า พวกเขาอาจเป็นหนุ่มสาวได้ด้วย.
3, 4. จงพรรณนาผลกระทบของการติดสุราที่มีต่อคู่ชีวิตของคนติดสุราและต่อลูก ๆ.
3 คัมภีร์ไบเบิลชี้แจงไว้นานมาแล้วว่า การใช้แอลกอฮอล์อย่างผิด ๆ อาจทำลายความสงบสุขในครอบครัวได้. (พระบัญญัติ 21:18-21) ทั้งครอบครัวจะได้รับผลกระทบที่กัดกร่อนของการติดสุรา. คู่สมรสอาจหมกมุ่นพยายามจะหยุดยั้งการดื่มของคนที่ติดสุราหรือที่จะรับมือกับพฤติกรรมของเขาซึ่งไม่อาจคาดการณ์ได้.a เธอพยายามซ่อนเหล้าไว้, โยนทิ้ง, ซ่อนเงินของเขา, และขอร้องให้แสดงความรักของเขาต่อครอบครัว, ต่อชีวิต, ต่อพระเจ้าด้วยซ้ำ—แต่คนที่ติดสุรายังคงดื่มต่อไป. ขณะที่ความพยายามของเธอที่จะควบคุมการดื่มของเขานั้นประสบความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เธอรู้สึกข้องขัดใจและรู้สึกว่าไร้ความสามารถ. เธออาจเริ่มทนทุกข์เนื่องจากความกลัว, ความโกรธ, ความรู้สึกผิด, ความหงุดหงิด, ความกระวนกระวาย, และการขาดความนับถือตัวเอง.
4 เด็ก ๆ หนีไม่พ้นผลกระทบจากการที่บิดาหรือมารดาติดสุรา. บางคนถูกทำร้ายร่างกาย. ส่วนคนอื่นถูกทำร้ายทางเพศ. เขาอาจถึงกับโทษตัวเองที่บิดาหรือมารดาติดสุราด้วยซ้ำ. บ่อยครั้ง ความสามารถของเขาที่จะวางใจคนอื่นถูกทำลายเนื่องจากพฤติกรรมที่ไม่คงเส้นคงวาของบิดาหรือมารดาที่ติดสุรา. เนื่องจากไม่สามารถพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้านได้อย่างสบายใจ เด็กอาจหัดที่จะเก็บกดความรู้สึกของตนไว้ บ่อยครั้งยังผลเป็นความเสียหายต่อร่างกาย. (สุภาษิต 17:22) เด็กเช่นนั้นอาจขาดความมั่นใจในตัวเอง หรือขาดความนับถือตัวเองแม้เมื่อเป็นผู้ใหญ่.
ครอบครัวอาจทำอะไรได้บ้าง?
5. จะจัดการกับการติดสุราได้โดยวิธีใด และทำไมเรื่องนี้จึงยาก?
5 ถึงแม้นักวิชาการหลายคนบอกว่าโรคพิษสุราเรื้อรังไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ก็ตาม แต่ส่วนใหญ่เห็นพ้องว่าการหายเป็นปกติในระดับหนึ่งเป็นไปได้โดยโครงการอดเหล้าอย่างเด็ดขาด. (เทียบกับมัดธาย 5:29.) อย่างไรก็ดี การทำให้ผู้ที่ติดสุรายอมรับความช่วยเหลือนั้นเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก เนื่องจากเขามักไม่ยอมรับว่าตนมีปัญหา. ถึงอย่างไรก็ตาม เมื่อสมาชิกในครอบครัวลงมือจัดการกับวิธีที่โรคพิษสุราเรื้อรังมีผลกระทบต่อพวกเขาแล้ว คนที่ติดสุราอาจเริ่มตระหนักว่าตัวเขามีปัญหา. แพทย์คนหนึ่งซึ่งมีประสบการณ์ในการช่วยเหลือผู้ที่ติดสุราและครอบครัวของเขาบอกว่า “ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ ให้ครอบครัวทำกิจวัตรประจำวันต่อไปในวิธีที่เป็นประโยชน์มากที่สุดเท่าที่พวกเขาทำได้. คนที่ติดสุราต้องสังเกตเห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่ามีความแตกต่างกันมากเพียงไรระหว่างตัวเขากับคนอื่นในครอบครัว.”
6. อะไรเป็นแหล่งที่ดีที่สุดของคำแนะนำสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกติดสุรา?
6 หากมีคนที่ติดสุราอยู่ในครอบครัวของคุณ คำแนะนำที่มีขึ้นโดยการดลใจในคัมภีร์ไบเบิลสามารถช่วยคุณในการดำเนินชีวิตในวิธีที่เป็นประโยชน์มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้. (ยะซายา 48:17; 2 ติโมเธียว 3:16, 17) จงพิจารณาหลักการบางอย่างที่ได้ช่วยครอบครัวต่าง ๆ ให้รับมืออย่างเป็นผลสำเร็จกับการติดสุรา.
7. หากสมาชิกในครอบครัวเป็นคนที่ติดสุรา ใครต้องรับผิดชอบ?
7 อย่ารับเอาคำตำหนิทั้งหมด. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ทุกคนต้องแบกภาระของตนเอง.” และ “เราทั้งหลายทุกคนต้องให้การด้วยตัวเองแก่พระเจ้า.” (ฆะลาเตีย 6:5; โรม 14:12) ผู้ที่ติดสุราอาจพยายามบอกเป็นนัยว่า สมาชิกในครอบครัวเป็นเหตุให้เขาเป็นอย่างนั้น. ตัวอย่างเช่น เขาอาจพูดว่า “หากพวกคุณปฏิบัติกับผมดีกว่านี้ ผมคงจะไม่ดื่ม.” หากคนอื่นแสดงออกมาว่าเห็นพ้องกับเขาแล้ว ก็เท่ากับส่งเสริมเขาให้ดื่มต่อไป. แต่ถึงแม้ว่าเราได้รับผลร้ายจากสภาพแวดล้อมหรือจากคนอื่น ๆ เราทุกคน—รวมทั้งคนที่ติดสุราด้วย—ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราทำ.—เทียบกับฟิลิปปอย 2:12.
8. มีวิธีใดบ้างที่อาจช่วยคนที่ติดสุราให้เผชิญกับผลอันเกิดจากปัญหาของเขา?
8 อย่าคิดว่าคุณต้องปกป้องคนที่ติดสุราไว้จากผลที่เกิดขึ้นจากการดื่มของเขาเสมอไป. สุภาษิตในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับคนที่บันดาลโทสะนั้นอาจนำมาใช้ได้เหมือนกันกับคนที่ติดสุราที่ว่า “ถ้าจะช่วยเขาก็จะต้องช่วยกันร่ำไป.” (สุภาษิต 19:19) ให้คนที่ติดสุรารู้สึกถึงผลจากการดื่มของเขา. ให้เขาทำความสะอาดสิ่งที่เขาทำเลอะเทอะไว้ หรือให้เขาโทรศัพท์บอกนายจ้างของเขาตอนเช้าหลังจากที่มีการดื่ม.
9, 10. ทำไมครอบครัวของคนที่ติดสุราควรยอมรับความช่วยเหลือ และเขาควรแสวงหาความช่วยเหลือจากใครโดยเฉพาะ?
9 ยอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่น. สุภาษิต 17:17 (ล.ม.) บอกว่า “มิตรแท้ย่อมรักอยู่ทุกเวลา และเป็นพี่น้องซึ่งเกิดมาเพื่อยามที่มีความทุกข์ยาก.” เมื่อมีคนที่ติดสุราอยู่ในครอบครัวของคุณ ย่อมมีความทุกข์ยาก. คุณจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ. อย่าลังเลที่จะหมายพึ่ง “มิตรแท้” เพื่อได้การหนุนใจ. (สุภาษิต 18:24) การพูดคุยกับคนอื่นซึ่งเข้าใจปัญหาหรือเป็นผู้ที่เคยเผชิญสภาพการณ์คล้ายกันอาจทำให้คุณได้ข้อแนะที่ใช้ได้ผลจริงในเรื่องสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ. แต่จงเป็นคนสมดุล. จงพูดกับคนที่คุณไว้วางใจ คนที่จะไม่แพร่งพราย “สิ่งที่ได้พูดคุยแบบไว้เนื้อเชื่อใจกัน” ของคุณ.—สุภาษิต 11:13, ล.ม.
10 เรียนรู้ที่จะวางใจคริสเตียนผู้ปกครอง. ผู้ปกครองในประชาคมคริสเตียนอาจเป็นแหล่งสำคัญของความช่วยเหลือ. ชายผู้อาวุโสเหล่านี้มีความรู้ในพระคำของพระเจ้าและมีประสบการณ์ในการนำหลักการของพระคัมภีร์มาใช้. พวกเขาอาจปรากฏว่าเป็น “เหมือนที่หลบซ่อนให้พ้นลมและที่กำบังให้พ้นพายุฝน เหมือนสายธารในประเทศที่แล้งน้ำ เหมือนร่มเงาแห่งหินผาใหญ่ในแดนกันดาร.” (ยะซายา 32:2, ล.ม.) คริสเตียนผู้ปกครองไม่เพียงแต่ป้องกันประชาคมในฐานะเป็นกลุ่มไว้จากอิทธิพลที่เป็นอันตรายเท่านั้น แต่พวกเขายังปลอบประโลม, ให้ความสดชื่น, และมีความสนใจเป็นส่วนตัวต่อปัจเจกบุคคลซึ่งมีปัญหาด้วย. จงรับประโยชน์เต็มที่จากความช่วยเหลือของเขา.
11, 12. ใครจัดเตรียมความช่วยเหลือสำคัญที่สุดสำหรับครอบครัวของคนที่ติดสุรา และมีการให้การเกื้อหนุนเช่นนั้นโดยวิธีใด?
11 สำคัญที่สุด จงรับเอากำลังจากพระยะโฮวา. คัมภีร์ไบเบิลรับรองกับเราอย่างอบอุ่นว่า “พระยะโฮวาทรงสถิตอยู่ใกล้ผู้ที่มีใจชอกช้ำ, และคนที่มีใจสุภาพ [“หมดกำลังใจ,” ล.ม.] พระองค์จะทรงช่วยให้รอด.” (บทเพลงสรรเสริญ 34:18) หากคุณรู้สึกชอกช้ำใจหรือหมดกำลังใจเนื่องจากความกดดันในการอยู่กับสมาชิกครอบครัวที่ติดสุราแล้ว ขอให้รู้ว่า “พระยะโฮวาทรงสถิตอยู่ใกล้.” พระองค์ทรงเข้าใจว่าสภาพการณ์ในครอบครัวของคุณลำบากสักเพียงไร.—1 เปโตร 5:6, 7.
12 การเชื่อสิ่งที่พระเจ้าตรัสในพระคำของพระองค์สามารถช่วยคุณให้รับมือกับความกระวนกระวายได้. (บทเพลงสรรเสริญ 130:3, 4; มัดธาย 6:25-34; 1 โยฮัน 3:19, 20) การศึกษาพระคำของพระเจ้าและดำเนินชีวิตตามหลักการในพระคำนั้นทำให้คุณสามารถได้รับความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งสามารถให้คุณมี “กำลังที่เกินกว่ากำลังปกติ” เพื่อรับมือวันต่อวัน.—2 โกรินโธ 4:7, ล.ม.b
13. ปัญหาประการที่สองซึ่งยังความเสียหายแก่หลายครอบครัวนั้นคืออะไร?
13 การใช้แอลกอฮอล์ในทางผิดอาจนำไปสู่ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ยังความเสียหายแก่หลายครอบครัว นั่นคือ ความรุนแรงภายในครอบครัว.
ความเสียหายที่เกิดจากความรุนแรงภายในครอบครัว
14. ความรุนแรงภายในครอบครัวเริ่มขึ้นเมื่อไร และสถานการณ์ในทุกวันนี้เป็นเช่นไร?
14 การกระทำที่รุนแรงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เป็นเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับสองพี่น้องคือ คายินและเฮเบล. (เยเนซิศ 4:8) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มนุษยชาติถูกก่อกวนด้วยความรุนแรงในครอบครัวทุกรูปแบบ. มีสามีซึ่งทุบตีภรรยา, ภรรยาเล่นงานสามี, บิดามารดาตีลูกเล็ก ๆ ของตนอย่างทารุณ, และลูกที่โตแล้วประทุษร้ายบิดามารดาผู้สูงอายุ.
15. สมาชิกในครอบครัวได้รับผลกระทบด้านอารมณ์อย่างไรจากความรุนแรงภายในครอบครัว?
15 ความเสียหายที่เกิดจากความรุนแรงภายในครอบครัวมีมากยิ่งกว่าแผลเป็นทางร่างกายทีเดียว. ภรรยาคนหนึ่งที่ถูกทุบตีบอกว่า “เราต้องรับมือกับความรู้สึกผิดและความอับอายเป็นอันมาก. แทบทุกเช้า เราอยากจะนอนต่อไป หวังแต่ว่านั่นเป็นฝันร้ายเท่านั้น.” เด็ก ๆ ซึ่งเห็นหรือประสบความรุนแรงภายในครอบครัวอาจเป็นคนรุนแรงเมื่อเขาเติบโตขึ้นและเมื่อมีครอบครัวของตัวเอง.
16, 17. การทำร้ายทางด้านอารมณ์คืออะไร และสมาชิกในครอบครัวได้รับผลกระทบอย่างไรจากเรื่องนี้?
16 ความรุนแรงภายในครอบครัวไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำร้ายร่างกาย. บ่อยครั้งเป็นการประทุษร้ายทางวาจา. สุภาษิต 12:18 บอกว่า “คำพูดพล่อย ๆ ของคนบางจำพวกเหมือนการแทงของกระบี่.” “การแทง” เหล่านี้ซึ่งส่อลักษณะความรุนแรงภายในครอบครัวรวมถึงการด่าตะคอก, อีกทั้งการตำหนิวิจารณ์อยู่รำไป, การว่าเสีย ๆ หาย ๆ, และการข่มขู่ว่าจะใช้กำลังอย่างรุนแรง. บาดแผลจากความรุนแรงด้านอารมณ์เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและคนอื่นมักไม่สังเกต.
17 ที่น่าเศร้าอย่างยิ่งคือการทำร้ายเด็กทางด้านอารมณ์—นั่นคือการเอาแต่ติว่าและดูถูกความสามารถ, เชาวน์ปัญญา, หรือคุณค่าของความเป็นคนของเด็ก. การสบประมาทด้วยวาจาเช่นนั้นอาจทำลายกำลังใจของเด็ก. จริงอยู่ เด็กทุกคนจำเป็นต้องได้รับการตีสอน. แต่คัมภีร์ไบเบิลสั่งผู้เป็นบิดาว่า “อย่ายั่วบุตรของตนให้ขัดเคืองใจ, เกรงว่าเขาจะท้อใจ.”—โกโลซาย 3:21.
วิธีหลีกเลี่ยงความรุนแรงภายในครอบครัว
18. ความรุนแรงภายในครอบครัวเริ่มต้นที่ไหน และคัมภีร์ไบเบิลแสดงว่าอะไรเป็นวิธีหยุดยั้งการทำเช่นนั้น?
18 ความรุนแรงภายในครอบครัวเริ่มต้นในหัวใจและจิตใจ วิธีที่เราปฏิบัติเริ่มต้นกับวิธีที่เราคิด. (ยาโกโบ 1:14, 15) เพื่อยุติความรุนแรง ผู้ประทุษร้ายต้องเปลี่ยนแนวความคิดของเขา. (โรม 12:2) นั่นเป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้. พระคำของพระเจ้ามีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงผู้คน. พระคำนั้นสามารถถอนรากถอนโคนทัศนะที่ก่อให้เกิดความเสียหาย “ที่ฝังรากลึก” ด้วยซ้ำ. (2 โกรินโธ 10:4, ล.ม.; เฮ็บราย 4:12) ความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลสามารถช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงในตัวผู้คนจนกล่าวได้ว่าเขาสวมบุคลิกภาพใหม่.—เอเฟโซ 4:22-24; โกโลซาย 3:8-10.
19. คริสเตียนควรมีทัศนะและปฏิบัติต่อคู่สมรสอย่างไร?
19 ทัศนะต่อคู่สมรส. พระคำของพระเจ้ากล่าวว่า “สามีควรจะรักภรรยาของตนเหมือนรักกายของตนเองด้วย. ผู้ที่รักภรรยาของตนเองก็รักตัวเอง.” (เอเฟโซ 5:28) คัมภีร์ไบเบิลกล่าวด้วยว่า สามีควรให้ “เกียรติยศแก่ภรรยาเหมือนหนึ่งเป็นภาชนะที่อ่อนแอกว่า.” (1 เปโตร 3:7) ภรรยาได้รับการเตือนสอนให้ “รักสามี” และให้มี “ความนับถืออย่างสุดซึ้ง” ต่อสามี. (ติโต 2:4; เอเฟโซ 5:33, ล.ม.) แน่นอน ไม่มีสามีที่เกรงกลัวพระเจ้าคนใดจะพูดได้ด้วยความสัตย์ว่า เขาให้เกียรติภรรยาจริง ๆ หากเขาประทุษร้ายเธอทางกายหรือทางวาจา. และไม่มีภรรยาคนใดซึ่งตะเบ็งเสียงใส่สามี, เรียกเขาโดยใช้คำกระทบกระเทียบ, หรือดุด่าเขาอยู่เรื่อย จะพูดได้ว่าเธอรักและนับถือเขาอย่างแท้จริง.
20. บิดามารดารับผิดชอบต่อผู้ใดในเรื่องลูก ๆ ของตน และทำไมบิดามารดาไม่ควรคาดหมายจากลูก ๆ อย่างที่ไม่ตรงกับสภาพจริง?
20 ทัศนะที่ถูกต้องต่อบุตร. บุตรไม่เพียงแต่สมควร แท้จริง จำเป็นต้องได้รับความรักและความเอาใจใส่จากบิดามารดาของเขา. พระคำของพระเจ้าเรียกบุตรว่า “มรดกจากพระยะโฮวา” และ “รางวัล.” (บทเพลงสรรเสริญ 127:3, ล.ม.) บิดามารดามีหน้าที่รับผิดชอบจำเพาะพระยะโฮวาที่จะเอาใจใส่ดูแลมรดกนั้น. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึง “ธรรมเนียม [“ลักษณะนิสัย,” ล.ม.] อย่างเด็ก” และ “ความโฉดเขลา” ของวัยเด็ก. (1 โกรินโธ 13:11; สุภาษิต 22:15) บิดามารดาไม่ควรประหลาดใจหากเขาพบความโฉดเขลาในตัวบุตร. เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่. บิดามารดาไม่ควรเรียกร้องเกินกว่าที่ควรจะเป็นสำหรับวัยของเด็ก, พื้นเพของครอบครัว, และความสามารถของเด็ก.—ดูเยเนซิศ 33:12-14.
21. ผู้เลื่อมใสในพระเจ้ามองดูบิดามารดาผู้สูงอายุและปฏิบัติกับท่านอย่างไร?
21 ทัศนะต่อบิดามารดาผู้สูงอายุ. เลวีติโก 19:32 บอกว่า “จงคำนับคนผมหงอกและนับถือคนแก่.” ฉะนั้น พระบัญญัติของพระเจ้าส่งเสริมความนับถือและการคำนึงถึงอย่างสูงส่งต่อผู้สูงอายุ. นี่อาจเป็นการท้าทายเมื่อบิดามารดาที่สูงอายุดูเหมือนว่าเรียกร้องจนเกินไปหรือป่วยและบางทีเคลื่อนไหวหรือคิดอย่างเชื่องช้า. กระนั้น ลูก ๆ ได้รับการเตือนให้ “ทดแทนบุญคุณบิดามารดา . . . เสมอ.” (1 ติโมเธียว 5:4, ล.ม.) ทั้งนี้หมายถึงการปฏิบัติกับท่านอย่างมีศักดิ์ศรีและด้วยความนับถือ บางทีถึงกับจัดหาให้ท่านทางด้านการเงินด้วยซ้ำ. การปฏิบัติอย่างโหดร้ายกับบิดามารดาผู้สูงอายุทางด้านร่างกายหรือด้านอื่น ๆ ขัดกันโดยสิ้นเชิงกับแนวทางที่คัมภีร์ไบเบิลสั่งให้เราปฏิบัติ.
22. คุณลักษณะสำคัญในการเอาชนะความรุนแรงภายในครอบครัวคืออะไร และจะสำแดงคุณลักษณะนั้นได้อย่างไร?
22 จงปลูกฝังการรู้จักบังคับตน. สุภาษิต 29:11 (ล.ม.) กล่าวว่า “คนโฉดเขลาปล่อยอารมณ์ออกมาหมด แต่ผู้ที่ฉลาดจะระงับอารมณ์จนถึงที่สุด.” คุณจะควบคุมอารมณ์ได้อย่างไร? แทนที่จะปล่อยให้ความข้องขัดใจก่อตัวขึ้นภายใน จงลงมือจัดการอย่างฉับไวที่จะยุติความยุ่งยากที่เกิดขึ้น. (เอเฟโซ 4:26, 27) ออกไปจากที่ที่เกิดเหตุหากคุณรู้สึกตัวว่าการควบคุมอารมณ์กำลังจะหมดไป. จงอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าให้การรู้จักบังคับตนเกิดขึ้นในตัวคุณ. (ฆะลาเตีย 5:22, 23) การไปเดินเล่นหรือออกกำลังกายบ้างอาจช่วยคุณควบคุมอารมณ์ได้. (สุภาษิต 17:14, 27) พยายามที่จะ “โกรธช้า.”—สุภาษิต 14:29, ฉบับแปลใหม่.
จะแยกกันอยู่หรือว่าจะอยู่ด้วยกันต่อไป?
23. อาจเกิดอะไรขึ้นหากสมาชิกในประชาคมคริสเตียนยอมจำนนครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่กลับใจจากการบันดาลโทสะ บางทีรวมเอาการทำร้ายร่างกายต่อครอบครัวของเขาด้วย?
23 คัมภีร์ไบเบิลจัด “การเป็นศัตรูกัน, การวิวาทกัน, . . . การโกรธกัน” อยู่ในบรรดาการที่พระเจ้าแถลงว่าผิดและแจ้งว่า “คนเหล่านั้นที่กระทำการเช่นนั้นจะรับส่วนในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้.” (ฆะลาเตีย 5:19-21) เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนซึ่งยอมจำนนครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่กลับใจจากการบันดาลโทสะอย่างรุนแรง บางทีรวมทั้งการทำร้ายร่างกายคู่สมรสหรือลูก อาจถูกตัดสัมพันธ์จากประชาคมคริสเตียน. (เทียบกับ 2 โยฮัน 9, 10.) โดยวิธีนี้ ประชาคมได้รับการรักษาไว้ให้สะอาดปราศจากผู้ที่กระทำทารุณ.—1 โกรินโธ 5:6, 7; ฆะลาเตีย 5:9.
24. (ก) คู่สมรสที่ถูกทำร้ายอาจเลือกปฏิบัติอย่างไร? (ข) เพื่อน ๆ และผู้ปกครองที่ห่วงใยอาจเกื้อหนุนฝ่ายที่ถูกทำร้ายได้อย่างไร แต่พวกเขาไม่ควรทำอะไร?
24 จะว่าอย่างไรกับคริสเตียนซึ่งตอนนี้ถูกคู่สมรสที่กระทำทารุณนั้นทุบตีซึ่งไม่แสดงท่าทีว่าจะเปลี่ยนแปลงเลย? บางคนเลือกที่จะอยู่กินต่อไปกับคู่สมรสที่กระทำทารุณนั้นด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง. ส่วนคนอื่นตัดสินใจเลือกที่จะจากไป เพราะรู้สึกว่าสุขภาพด้านร่างกาย, จิตใจ, และด้านวิญญาณ—บางทีกระทั่งชีวิตของเขาด้วยซ้ำ—อยู่ในอันตราย. สิ่งที่ผู้ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงภายในครอบครัวเลือกจะทำในสภาพการณ์เหล่านี้เป็นการตัดสินใจส่วนตัวจำเพาะพระยะโฮวา. (1 โกรินโธ 7:10, 11) มิตรสหาย, ญาติพี่น้อง, หรือคริสเตียนผู้ปกครองที่ปรารถนาดีอาจอยากจะเสนอความช่วยเหลือและให้คำแนะนำ ทว่าเขาไม่ควรบีบคั้นผู้ตกเป็นเหยื่อให้ลงมือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ. นั่นเป็นการตัดสินใจที่เขาเองต้องทำ.—โรม 14:4; ฆะลาเตีย 6:5.
จุดจบสำหรับปัญหาที่ยังความเสียหาย
25. พระประสงค์ของพระยะโฮวาสำหรับครอบครัวคืออะไร?
25 เมื่อพระยะโฮวาทรงนำอาดามและฮาวาให้อยู่ร่วมกันในการสมรสนั้น พระองค์ไม่เคยประสงค์ที่จะให้ครอบครัวถูกกัดกร่อนเนื่องจากปัญหาที่ยังความเสียหาย เช่น การติดสุราหรือความรุนแรง. (เอเฟโซ 3:14, 15) ครอบครัวควรเป็นสถานที่ซึ่งความรักและสันติสุขจะเฟื่องฟูและสมาชิกแต่ละคนจะได้รับการเอาใจใส่ดูแลความจำเป็นด้านจิตใจ, ด้านอารมณ์, และด้านวิญญาณ. อย่างไรก็ดี เมื่อเริ่มมีบาป ชีวิตครอบครัวจึงเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว.—เทียบกับท่านผู้ประกาศ 8:9.
26. มีอนาคตอะไรรออยู่สำหรับคนเหล่านั้นซึ่งพยายามจะดำเนินชีวิตประสานกับข้อเรียกร้องของพระยะโฮวา?
26 น่ายินดี พระยะโฮวาไม่ได้ล้มเลิกพระประสงค์ของพระองค์สำหรับครอบครัว. พระองค์ทรงสัญญาจะนำมาซึ่งโลกใหม่ที่สงบสุขซึ่งผู้คน “จะอยู่อย่างปลอดภัย ไม่มีผู้ใดกระทำให้เขากลัว.” (ยะเอศเคล 34:28, ฉบับแปลใหม่) ในตอนนั้น การติดสุรา, ความรุนแรงภายในครอบครัว, และปัญหาอื่น ๆ ทั้งหมดที่ยังความเสียหายแก่ครอบครัวในทุกวันนี้จะเป็นเหตุการณ์ในอดีต. ผู้คนจะยิ้มแย้ม ไม่ใช่ซ่อนความวิตกกลัวและความเจ็บปวดไว้ แต่เพราะเขาประสบความ “ชื่นชมยินดีด้วยความสงบสุขอันบริบูรณ์.”—บทเพลงสรรเสริญ 37:11.
a ถึงแม้เรากล่าวถึงคนติดสุราว่าเป็นผู้ชาย หลักการต่าง ๆ ในที่นี้นำมาใช้เหมือนกันเมื่อคนติดสุราเป็นผู้หญิง.
b ในบางประเทศ มีศูนย์รักษา, โรงพยาบาล, และโครงการฟื้นฟูสุขภาพซึ่งเชี่ยวชาญในการช่วยคนติดสุราและครอบครัวของเขา. จะแสวงหาความช่วยเหลือเช่นนั้นหรือไม่เป็นการตัดสินใจเฉพาะตัว. สมาคมว็อชเทาเวอร์ไม่ได้สนับสนุนวิธีการรักษาอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ. อย่างไรก็ตาม ต้องระวัง เพื่อว่าในการแสวงหาความช่วยเหลือนั้น คนเราจะไม่เข้าไปพัวพันในกิจกรรมที่อะลุ่มอล่วยหลักการของพระคัมภีร์.
-
-
หากชีวิตสมรสอยู่ในขั้นวิกฤติเคล็ดลับสำหรับความสุขในครอบครัว
-
-
บทสิบสาม
หากชีวิตสมรสอยู่ในขั้นวิกฤติ
1, 2. เมื่อชีวิตสมรสอยู่ภายใต้ความตึงเครียด ควรจะถามคำถามอะไร?
ในปี 1988 สตรีชาวอิตาลีคนหนึ่งชื่อลูชีอารู้สึกสลดหดหู่มาก.a หลังจากสิบปี ชีวิตสมรสของเธอกำลังจะสิ้นสุดลง. เธอพยายามหลายครั้งหลายหนที่จะคืนดีกับสามี ทว่าไม่เกิดผล. ดังนั้น เธอจึงแยกไปอยู่ต่างหากเนื่องจากเข้ากันไม่ได้และจากนั้นต้องเผชิญกับการเลี้ยงดูลูกสาวสองคนด้วยตัวเอง. เมื่อมองย้อนหลังถึงตอนนั้น ลูชีอาเล่าว่า “ดิฉันมั่นใจว่าไม่มีอะไรจะรักษาชีวิตสมรสของเราไว้ได้.”
2 หากคุณมีปัญหาในชีวิตสมรส คุณอาจเข้าใจได้ว่าลูชีอารู้สึกอย่างไร. ชีวิตสมรสของคุณอาจตกอยู่ในความยุ่งยากและคุณอาจสงสัยว่าชีวิตสมรสของคุณจะไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่. หากเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น คุณจะพบว่าเป็นประโยชน์ที่จะพิจารณาคำถามนี้: ฉันได้ปฏิบัติตามคำแนะนำที่ดีทุกอย่างซึ่งพระเจ้าประทานให้ในคัมภีร์ไบเบิลเพื่อช่วยทำให้ชีวิตสมรสประสบผลสำเร็จไหม?—บทเพลงสรรเสริญ 119:105.
3. ถึงแม้การหย่าร้างกลายเป็นที่นิยมกันก็ตาม มีการรายงานถึงปฏิกิริยาเช่นไรในหมู่ผู้คนจำนวนมากที่หย่าร้างกันและครอบครัวของเขา?
3 เมื่อเกิดความตึงเครียดอย่างรุนแรงระหว่างสามีกับภรรยา การทำให้ชีวิตสมรสสิ้นสุดลงอาจดูเหมือนเป็นแนวปฏิบัติที่ง่ายที่สุด. แต่ขณะที่หลายประเทศมีครอบครัวที่แตกสลายเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกตะลึง การวิจัยเมื่อไม่นานมานี้บ่งชี้ว่า ชายและหญิงส่วนใหญ่ที่หย่าร้างนั้นเกิดความเสียใจในภายหลังที่เลิกกัน. จำนวนหนึ่งมีปัญหาด้านสุขภาพ ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ มากกว่าคนเหล่านั้นซึ่งยังคงรักษาสายสมรสไว้. ความสับสนและการขาดความสุขของเด็กที่พ่อแม่หย่ากันนั้นบ่อยครั้งยังคงมีอยู่ต่อไปเป็นเวลาหลายปี. บิดามารดาและเพื่อน ๆ ของครอบครัวที่แตกสลายก็เป็นทุกข์ด้วย. และพระเจ้าผู้ทรงริเริ่มการสมรสทรงมองดูสภาพการณ์นั้นอย่างไร?
4. ควรจัดการกับปัญหาในชีวิตสมรสโดยวิธีใด?
4 ดังที่ได้ชี้ชัดในบทก่อน ๆ พระเจ้าทรงมุ่งหมายให้การสมรสเป็นความผูกพันตลอดชีวิต. (เยเนซิศ 2:24) ถ้าเช่นนั้น ทำไมชีวิตสมรสหลายรายจริง ๆ จึงล้มเหลว? สิ่งนั้นคงไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน. ตามปกติมักมีสัญญาณเตือน. ปัญหาเล็ก ๆ ในชีวิตสมรสอาจใหญ่ขึ้น ๆ จนกระทั่งดูเหมือนจะเอาชนะไม่ได้. แต่ถ้าได้จัดการกับปัญหาเหล่านี้ทันทีโดยอาศัยคัมภีร์ไบเบิลแล้ว การแตกหักในชีวิตสมรสหลายรายอาจหลีกเลี่ยงได้.
จงมองตามความเป็นจริง
5. สภาพการณ์อะไรซึ่งตรงกับความเป็นจริงที่ชีวิตสมรสไม่ว่ารายใด ๆ ก็ตามต้องเผชิญ?
5 ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่บางครั้งนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ คือ การที่คู่สมรสฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายอาจมีการคาดหมายแบบที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง. นิยายรัก ๆ ใคร่ ๆ, นิตยสาร, รายการโทรทัศน์, และภาพยนตร์ซึ่งเป็นที่นิยมอาจสร้างความหวังและความฝันที่ต่างกันลิบลับจากชีวิตจริง. เมื่อความฝันเหล่านี้ไม่เป็นจริง คนเราอาจรู้สึกว่าถูกหลอก, ไม่พอใจ, ถึงกับรู้สึกขมขื่นด้วยซ้ำ. แต่บุคคลที่ไม่สมบูรณ์สองคนจะประสบความสุขในชีวิตสมรสได้อย่างไร? ต้องบากบั่นพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งสัมพันธภาพที่ประสบผลสำเร็จ.
6. (ก) คัมภีร์ไบเบิลให้ทัศนะที่สมดุลอะไรในเรื่องชีวิตสมรส? (ข) มีอะไรบ้างที่เป็นเหตุของความไม่ลงรอยกันในชีวิตสมรส?
6 คัมภีร์ไบเบิลใช้ได้ผลจริง. พระคัมภีร์ยอมรับว่าชีวิตสมรสนำมาซึ่งความสุข แต่ก็เตือนด้วยว่า คนเหล่านั้นที่แต่งงาน “จะยุ่งยากลำบากใจ.” (1 โกรินโธ 7:28) ดังที่ได้ชี้ชัดมาแล้ว คู่สมรสทั้งสองฝ่ายเป็นคนไม่สมบูรณ์และมีแนวโน้มที่จะทำบาป. โครงสร้างด้านจิตใจและด้านอารมณ์กับการอบรมเลี้ยงดูที่แต่ละฝ่ายได้รับนั้นต่างกัน. บางครั้งคู่สมรสไม่เห็นพ้องกันในเรื่องเงิน, ลูก, และญาติของทั้งสองฝ่าย. การไม่มีเวลาพอที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยกันและปัญหาเรื่องเพศก็อาจเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งกันได้.b ต้องใช้เวลาเพื่อจะจัดการกับเรื่องดังกล่าว แต่ขอให้มีกำลังใจ! คู่สมรสส่วนใหญ่สามารถเผชิญกับปัญหาดังกล่าวและพบทางแก้ที่ต่างฝ่ายต่างยอมรับได้.
พูดเรื่องที่ผิดใจกัน
7, 8. หากมีความรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจหรือมีการเข้าใจผิดระหว่างคู่สมรส อะไรเป็นวิธีตามหลักพระคัมภีร์ในการจัดการกับเรื่องเหล่านั้น?
7 หลายคนพบว่ายากที่จะสงบอารมณ์อยู่ได้เมื่อเขาถกกันเรื่องความรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจ, ความเข้าใจผิด, หรือความผิดพลาดส่วนตัว. แทนที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉันรู้สึกว่าคุณเข้าใจฉันผิด” ฝ่ายหนึ่งอาจแสดงอารมณ์ออกมาและทำให้ปัญหาบานปลายขึ้น. หลายคนจะพูดว่า “คุณสนใจแต่ตัวเองเท่านั้น” หรือ “คุณไม่รักฉัน.” เนื่องจากไม่ต้องการเข้าไปสู่การโต้เถียง อีกฝ่ายหนึ่งอาจไม่ยอมตอบโต้.
8 แนวทางดีกว่าที่พึงติดตามคือเอาใจใส่ฟังคำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า “โกรธเถิด, แต่อย่าให้เป็นการบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่.” (เอเฟโซ 4:26) มีการถามคู่สมรสที่มีความสุขคู่หนึ่งตอนวันครบรอบแต่งงาน 60 ปีของเขาเกี่ยวกับเรื่องเคล็ดลับของชีวิตสมรสของเขาที่ประสบผลสำเร็จ. ผู้ที่เป็นสามีบอกว่า “เราได้พยายามจะไม่เข้านอนจนกว่าจะได้จัดการกับเรื่องผิดใจกันนั้นให้เรียบร้อย ไม่ว่านั่นอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยเพียงไรก็ตาม.”
9. (ก) ในพระคัมภีร์มีการระบุว่าอะไรเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งของการสื่อความ? (ข) บ่อยครั้งคู่สมรสต้องทำอะไร ถึงแม้การทำเช่นนี้ต้องมีความกล้าและความถ่อมใจ?
9 เมื่อสามีกับภรรยาไม่เห็นพ้องต้องกัน แต่ละฝ่ายต้อง “ว่องไวในการฟัง, ช้าในการพูด, ช้าในการโกรธ.” (ยาโกโบ 1:19) หลังจากรับฟังอย่างถี่ถ้วนแล้ว ทั้งคู่ อาจเห็นความจำเป็นต้องขอโทษ. (ยาโกโบ 5:16) การพูดด้วยความจริงใจว่า “ขอโทษที่ทำให้คุณเสียใจ” ต้องใช้ความถ่อมและความกล้า. แต่การจัดการกับความผิดใจกันด้วยท่าทีเช่นนี้จะบังเกิดผลทีเดียวในการช่วยคู่สมรสให้ไม่เพียงแต่แก้ปัญหาของตนเท่านั้น แต่ยังช่วยพัฒนาความอบอุ่นและความสนิทสนมซึ่งจะทำให้เขาประสบความพอใจมากขึ้นที่มีกันและกันเป็นเพื่อน.
การให้สิ่งอันพึงได้ในชีวิตสมรส
10. วิธีป้องกันเช่นไรที่เปาโลแนะนำคริสเตียนชาวโกรินโธซึ่งอาจนำมาใช้ได้กับคริสเตียนในทุกวันนี้?
10 เมื่ออัครสาวกเปาโลเขียนถึงชาวโกรินโธ ท่านแนะนำให้ทำการสมรส “เนื่องด้วยการประพฤติผิดทางเพศแพร่หลาย.” (1 โกรินโธ 7:2, ล.ม.) โลกในทุกวันนี้เลวร้ายพอ ๆ กับเมืองโกรินโธโบราณ หรือเลวร้ายยิ่งกว่าด้วยซ้ำ. เรื่องผิดศีลธรรมซึ่งชาวโลกสนทนากันอย่างเปิดเผย, วิธีที่เขาแต่งตัวแบบไม่สุภาพเรียบร้อย, และเรื่องทางกามารมณ์ที่มีแสดงอย่างเด่นชัดในนิตยสารและหนังสือ, ทีวี, หรือภาพยนตร์, ล้วนกระตุ้นความปรารถนาทางเพศแบบผิดทำนองคลองธรรม. สำหรับชาวโกรินโธที่มีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมคล้ายกันนั้น อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า “แต่งงานเสียก็ดีกว่ามีใจเร่าร้อนด้วยกามราคะ.”—1 โกรินโธ 7:9, ฉบับแปลใหม่.
11, 12. (ก) อะไรที่สามีและภรรยาพึงให้แก่กันและกัน และควรให้ด้วยน้ำใจแบบไหน? (ข) ควรจัดการกับสถานการณ์โดยวิธีใดหากต้องมีการงดสิ่งอันพึงได้ในชีวิตสมรสสักพักหนึ่ง?
11 เพราะฉะนั้น คัมภีร์ไบเบิลสั่งคริสเตียนที่สมรสแล้วว่า “สามีควรให้แก่ภรรยาของตนตามที่เธอควรได้รับ แต่ภรรยาควรกระทำเช่นกันต่อสามีของตนด้วย.” (1 โกรินโธ 7:3, ล.ม.) ขอให้สังเกตว่า มีการเน้นเรื่องการให้—ไม่ใช่การเรียกร้องเอา. เพศสัมพันธ์ในชีวิตสมรสให้ความพอใจอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อแต่ละฝ่ายคำนึงถึงความพอใจของอีกฝ่ายหนึ่ง. ตัวอย่างเช่น คัมภีร์ไบเบิลสั่งสามีให้ปฏิบัติกับภรรยา “โดยใช้ความรู้.” (1 เปโตร 3:7) นี่เป็นความจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการให้และการรับสิ่งอันพึงได้ในชีวิตสมรส. หากภรรยาไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างนุ่มนวลแล้ว เธออาจรู้สึกว่ายากที่จะพึงพอใจในด้านนี้ของชีวิตสมรส.
12 มีบางครั้งที่อาจทำให้คู่สมรสต้องรอนสิทธิ์อันพึงได้ของกันและกันในชีวิตสมรส. อาจเป็นเช่นนี้กับภรรยาในบางช่วงของเดือนหรือเมื่อเธอรู้สึกเหนื่อยอ่อนมาก. (เทียบกับเลวีติโก 18:19.) อาจเป็นเช่นนี้กับสามีเมื่อเขากำลังรับมือกับปัญหาสำคัญในที่ทำงานและรู้สึกหมดพลังใจ. กรณีที่งดการให้สิ่งอันพึงได้ในชีวิตสมรสสักพักหนึ่งเช่นนี้ย่อมเป็นการจัดการอย่างที่ดีที่สุดหากทั้งสองฝ่ายสนทนากันอย่างตรงไปตรงมาถึงสภาพการณ์นั้นและเห็นพ้องกันโดย “ทั้งสองฝ่ายยินยอม.” (1 โกรินโธ 7:5, ล.ม.) การทำเช่นนี้จะป้องกันไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งด่วนลงความเห็นผิด ๆ. แต่ถ้าภรรยาจงใจรอนสิทธิ์ของสามี หรือถ้าสามีเจตนาไม่ให้สิ่งอันพึงได้ในชีวิตสมรสด้วยท่าทีที่แสดงความรักแล้ว อาจเปิดโอกาสให้คู่ของเขาตกเข้าสู่การล่อใจได้. ในสถานการณ์เช่นนั้น ปัญหาอาจเกิดขึ้นได้ในชีวิตสมรส.
13. คริสเตียนจะรักษาความคิดของตนให้สะอาดได้โดยวิธีใด?
13 เช่นเดียวกับคริสเตียนทุกคน ผู้รับใช้ที่สมรสแล้วของพระเจ้าต้องหลีกเลี่ยงสื่อลามก ซึ่งอาจก่อให้เกิดความปรารถนาที่ไม่สะอาดและผิดธรรมชาติ. (โกโลซาย 3:5) เขาต้องระวังความคิดและการกระทำของตนเมื่อติดต่อเกี่ยวข้องกับสมาชิกทุกคนที่เป็นเพศตรงกันข้าม. พระเยซูเตือนว่า “ผู้ใดแลดูผู้หญิงด้วยใจกำหนัดในหญิงนั้น, ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว.” (มัดธาย 5:28) โดยนำคำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับเรื่องเพศมาใช้ คู่สมรสน่าจะสามารถหลีกเลี่ยงการถลำเข้าสู่การล่อใจและทำการเล่นชู้. เขาสามารถมีความสุขกับการมีเพศสัมพันธ์ที่น่ายินดีในชีวิตสมรสต่อไปได้ซึ่งเรื่องเพศถือว่าเป็นของประทานอันมีค่าที่ดีงามจากพระยะโฮวา ผู้ทรงริเริ่มการสมรส.—สุภาษิต 5:15-19.
เหตุผลตามคัมภีร์ไบเบิลสำหรับการหย่าร้าง
14. บางครั้งมีสถานการณ์ที่น่าเศร้าอะไรเกิดขึ้น? เพราะเหตุใด?
14 น่ายินดี ในชีวิตสมรสของคริสเตียนส่วนใหญ่ ปัญหาใด ๆ ที่เกิดขึ้นสามารถจัดการได้. แต่บางครั้งไม่เป็นเช่นนั้น. เพราะมนุษย์ไม่สมบูรณ์และอยู่ในโลกที่มีบาปซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของซาตาน ชีวิตสมรสบางรายจึงมาถึงขั้นวิกฤติ. (1 โยฮัน 5:19) คริสเตียนควรรับมือกับสถานการณ์ที่ลำบากเช่นนั้นโดยวิธีใด?
15. (ก) อะไรเป็นเหตุผลเดียวตามหลักพระคัมภีร์สำหรับการหย่าร้างแล้วแต่งงานใหม่ได้? (ข) ทำไมบางคนตัดสินใจที่จะไม่หย่ากับคู่สมรสที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อตน?
15 ดังที่กล่าวไว้ในบท 2 ของหนังสือนี้ การผิดประเวณีเป็นเหตุผลเดียวตามหลักพระคัมภีร์สำหรับการหย่าร้างแล้วแต่งงานใหม่ได้.c (มัดธาย 19:9) หากคุณมีหลักฐานแน่ชัดว่า คู่สมรสของคุณไม่ซื่อสัตย์ต่อคุณ คุณก็เผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบาก. คุณจะรักษาสายสมรสไว้หรือว่าจะหย่า? ไม่มีกฎเกณฑ์. คริสเตียนบางคนได้ให้อภัยอย่างหมดสิ้นแก่คู่สมรสที่กลับใจจริง ๆ และสายสมรสที่รักษาไว้นั้นกลับกลายเป็นดี. คนอื่นได้ตัดสินใจไม่หย่าเพราะเห็นแก่ลูก.
16. (ก) มีปัจจัยอะไรบ้างที่ได้กระตุ้นบางคนให้หย่ากับคู่สมรสที่ทำผิด? (ข) เมื่อฝ่ายที่ไม่มีความผิดตัดสินใจที่จะหย่าหรือไม่หย่านั้น ทำไมไม่ควรที่ใคร ๆ จะวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของเขา?
16 ในอีกด้านหนึ่ง การกระทำที่ผิดบาปอาจยังผลด้วยการตั้งครรภ์หรือเป็นโรคติดต่อทางเพศ. หรือบางทีเด็ก ๆ อาจจำเป็นต้องได้รับการปกป้องจากบิดาหรือมารดาที่กระทำผิดทางเพศ. ปรากฏชัดว่า มีสิ่งที่พึงพิจารณามากมายก่อนทำการตัดสินใจ. อย่างไรก็ดี หากคุณทราบเรื่องการนอกใจของคู่สมรสของคุณแล้ว และหลังจากนั้นกลับมีเพศสัมพันธ์กับคู่ของคุณอีก โดยวิธีนี้คุณแสดงว่า คุณให้อภัยคู่สมรสของคุณแล้วและปรารถนาจะรักษาสายสมรสไว้. เหตุผลสำหรับการหย่าแล้วแต่งงานใหม่ได้ตามหลักพระคัมภีร์จึงเป็นโมฆะไป. ไม่ควรมีใครไปเที่ยวยุ่งกับธุระของคนอื่นแล้วพยายามโน้มน้าวการตัดสินใจของคุณ อีกทั้งไม่ควรที่ใคร ๆ จะวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจที่คุณทำลงไป. คุณจะต้องทนอยู่กับผลซึ่งเกิดจากสิ่งที่คุณตัดสินใจนั้น. “ทุกคนต้องแบกภาระของตนเอง.”—ฆะลาเตีย 6:5.
เหตุผลสำหรับการแยกกันอยู่
17. หากไม่มีการทำผิดประเวณี พระคัมภีร์วางข้อจำกัดอะไรในเรื่องการแยกกันอยู่หรือการหย่าร้าง?
17 มีสถานการณ์ที่อาจทำให้เป็นการชอบด้วยเหตุผลไหมในการแยกกันอยู่หรืออาจจะหย่ากับคู่สมรสถึงแม้เขาไม่ได้ทำผิดประเวณี? มี แต่ในกรณีเช่นนั้น คริสเตียนไม่มีอิสระที่จะสนใจคนอื่นซึ่งไม่ใช่คู่ของตนโดยมุ่งหมายจะแต่งงานใหม่. (มัดธาย 5:32) คัมภีร์ไบเบิล แม้จะอนุญาตให้มีการแยกกันอยู่เช่นนั้นก็ตาม ได้ระบุว่า คนที่แยกกันอยู่นั้น ‘อย่าให้ไปมีใหม่ หรือไม่ก็ให้กลับคืนดีกับสามีเก่า.’ (1 โกรินโธ 7:11, ฉบับแปลใหม่) สถานการณ์ถึงขีดสุดอะไรบ้างที่อาจทำให้การแยกกันอยู่ดูเหมือนว่าเหมาะสม?
18, 19. สภาพการณ์ถึงขีดสุดอะไรบ้างที่อาจทำให้คู่สมรสพิจารณาความเหมาะสมในเรื่องการแยกกันอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือการหย่าร้าง ถึงแม้ไม่อาจแต่งงานใหม่ได้?
18 ครอบครัวอาจยากจนลงเนื่องจากความเกียจคร้านอย่างเห็นได้ชัดและนิสัยที่ไม่ดีของสามี.d เขาอาจเอารายได้ของครอบครัวไปเล่นการพนันจนหมดหรือใช้เงินนั้นเพื่อเจือจุนนิสัยติดยาหรือแอลกอฮอล์. คัมภีร์ไบเบิลแถลงว่า “ถ้าแม้นผู้ใดไม่จัดหามาเลี้ยง . . . สมาชิกแห่งครอบครัวของตน ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธเสียซึ่งความเชื่อและนับว่าเลวร้ายกว่าคนที่ไม่มีความเชื่อเสียด้วยซ้ำ.” (1 ติโมเธียว 5:8, ล.ม.) หากคนเช่นนั้นไม่ยอมเปลี่ยนแนวทางของเขา บางทีถึงกับเอาเงินที่ภรรยาหามาได้นั้นไปใช้ในการกระทำอันชั่วร้ายของเขา ภรรยาก็อาจเลือกที่จะปกป้องสวัสดิภาพของเธอและของลูก ๆ ไว้โดยการแยกกันอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย.
19 อาจมีการคำนึงถึงการดำเนินการตามกฎหมายเช่นนั้นด้วย หากคู่สมรสใช้ความรุนแรงอย่างสุดขีดกับคู่ของเขา บางทีทุบตีเขาครั้งแล้วครั้งเล่าจนถึงขั้นที่สุขภาพและแม้แต่ชีวิตตกอยู่ในอันตราย. นอกจากนี้ หากคู่สมรสพยายามอย่างไม่ละลดที่จะบังคับให้คู่ของเขาละเมิดพระบัญชาของพระเจ้าโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง ฝ่ายที่ถูกคุกคามอาจคำนึงถึงการแยกกันอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเรื่องมาถึงขั้นที่ชีวิตฝ่ายวิญญาณตกอยู่ในอันตราย. ฝ่ายที่เสี่ยงอันตรายอาจลงความเห็นว่า วิธีเดียวที่จะ “เชื่อฟังพระเจ้าในฐานะเป็นผู้ครอบครองยิ่งกว่ามนุษย์” ก็คือการแยกกันอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย.—กิจการ 5:29, ล.ม.
20. (ก) ในกรณีที่เกิดการแตกหักในครอบครัว เพื่อน ๆ และผู้ปกครองที่อาวุโสอาจเสนออะไรให้ และพวกเขาไม่ควรเสนออะไร? (ข) บุคคลที่แต่งงานแล้วไม่ควรใช้สิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงการแยกกันอยู่และการหย่าร้างเป็นข้อแก้ตัวที่จะทำอะไร?
20 ในทุกกรณีของการกระทำอย่างโหดร้ายทารุณต่อคู่สมรส ไม่ควรมีใครมากดดันฝ่ายที่ไม่มีความผิดให้แยกกันอยู่หรือคงอยู่ต่อไปกับคู่สมรส. ขณะที่เพื่อน ๆ และผู้ปกครองที่อาวุโสอาจเสนอการช่วยเหลือและคำแนะนำที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิล คนเหล่านี้ไม่อาจรู้รายละเอียดทั้งหมดของสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างสามีกับภรรยา. เฉพาะพระยะโฮวาเท่านั้นทรงทราบเรื่องนี้. แน่นอน ภรรยาคริสเตียนคงจะไม่นับถือการจัดเตรียมของพระเจ้าเรื่องการสมรส หากเธอใช้ข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผลเพื่อให้พ้นจากชีวิตสมรส. แต่ถ้าสถานการณ์ที่เป็นอันตรายถึงขีดสุดมีอยู่เรื่อย ๆ ก็ไม่ควรที่ใครจะวิพากษ์วิจารณ์เธอหากเธอเลือกที่จะแยกจากคู่สมรส. อาจกล่าวได้เช่นเดียวกันเกี่ยวกับสามีคริสเตียนซึ่งหาทางแยกจากคู่สมรส. “เราทุกคนจะยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์แห่งการพิพากษาของพระเจ้า.”—โรม 14:10, ล.ม.
วิธีกอบกู้ชีวิตสมรสที่แตกสลาย
21. ประสบการณ์อะไรแสดงว่า คำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิลในเรื่องชีวิตสมรสนั้นใช้ได้ผล?
21 สามเดือนหลังจากที่ลูชีอาซึ่งกล่าวถึงข้างต้นได้แยกทางกับสามี เธอได้พบพยานพระยะโฮวาแล้วเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพวกเขา. เธออธิบายว่า “สิ่งที่ทำให้ดิฉันประหลาดใจอย่างยิ่งก็คือ คัมภีร์ไบเบิลเสนอทางแก้ที่ใช้ได้ผลจริงสำหรับปัญหาของดิฉัน. หลังจากการศึกษาเพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น ดิฉันต้องการจะคืนดีกับสามีทันที. ทุกวันนี้ดิฉันพูดได้ว่า พระยะโฮวาทรงทราบวิธีประคับประคองชีวิตสมรสในช่วงวิกฤติ เพราะคำสอนของพระองค์ช่วยคู่สมรสให้เรียนรู้วิธีที่จะให้ความนับถือต่อกัน. ไม่เป็นความจริงดังที่บางคนยืนยันว่า พยานพระยะโฮวาทำให้ครอบครัวแตกแยก. ในกรณีของดิฉัน สิ่งที่เป็นความจริงนั้นตรงข้ามทีเดียว.” ลูชีอา เรียนรู้ที่จะนำหลักการในคัมภีร์ไบเบิลมาใช้ในชีวิตของเธอ.
22. คู่สมรสทุกคู่ควรมีความมั่นใจในสิ่งใด?
22 ลูชีอาไม่ได้เป็นกรณียกเว้น. ชีวิตสมรสน่าจะเป็นพระพร ไม่ใช่ภาระหนัก. เพื่อจุดประสงค์นั้น พระยะโฮวาได้จัดเตรียมแหล่งยอดเยี่ยมที่สุดของคำแนะนำเกี่ยวกับชีวิตสมรสเท่าที่เคยบันทึกมา—พระคำอันล้ำค่าของพระองค์. คัมภีร์ไบเบิลสามารถทำให้ “ผู้ที่ขาดประสบการณ์มีปัญญา.” (บทเพลงสรรเสริญ 19:7-11, ล.ม.) พระคัมภีร์ได้กอบกู้ชีวิตสมรสหลายรายที่อยู่ในขั้นวิกฤติ และได้ช่วยชีวิตสมรสอีกหลายรายที่มีปัญหาร้ายแรงให้ดีขึ้น. ขอให้คู่สมรสทุกคู่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมในคำแนะนำเรื่องชีวิตสมรสที่พระยะโฮวาพระเจ้าทรงจัดเตรียมให้. คำแนะนำนั้นใช้ได้ผลจริง ๆ!
a เป็นนามสมมุติ.
b มีการพิจารณาขอบเขตเหล่านี้บางเรื่องในบทก่อน ๆ.
c ถ้อยคำในคัมภีร์ไบเบิลที่ได้รับการแปลว่า “การผิดประเวณี” หมายรวมถึงการกระทำที่เกี่ยวกับการเล่นชู้, การรักร่วมเพศ, การร่วมเพศกับสัตว์, และการกระทำที่เจตนาแบบอื่น ๆ ซึ่งไม่ถูกทำนองคลองธรรมอันเกี่ยวข้องกับการใช้อวัยวะเพศ.
d นี่ไม่ได้หมายรวมถึงสภาพการณ์ซึ่งสามีแม้จะมีความตั้งใจดี ก็ไม่สามารถหาเลี้ยงครอบครัวได้เนื่องด้วยเหตุผลที่อยู่เหนือการควบคุมของเขา เช่น ความเจ็บป่วยหรือการขาดโอกาสที่จะได้รับการว่าจ้าง.
-
-
ร่วมกันรับมือกับอายุที่มากขึ้นเคล็ดลับสำหรับความสุขในครอบครัว
-
-
บทสิบสี่
ร่วมกันรับมือกับอายุที่มากขึ้น
1, 2. (ก) เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างขณะที่ใกล้จะถึงวัยชรา? (ข) ผู้คนที่เลื่อมใสพระเจ้าในสมัยคัมภีร์ไบเบิลประสบความพอใจในวัยชราโดยวิธีใด?
เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างขณะที่เรามีอายุมากขึ้น. ความอ่อนแอด้านร่างกายทำให้กำลังวังชาของเราหมดไป. การส่องกระจกเผยให้เห็นรอยย่นใหม่ ๆ และสีของผมค่อย ๆ หายไป—แม้แต่เส้นผมด้วยซ้ำ. เราอาจความจำเสื่อมไปบ้าง. เกิดมีสัมพันธภาพใหม่เมื่อลูก ๆ แต่งงานไป และอีกครั้งหนึ่งเมื่อมีหลาน. สำหรับบางคน การเกษียณจากงานอาชีพยังผลด้วยกิจวัตรประจำวันที่ต่างออกไป.
2 ที่จริง อายุที่มากขึ้นอาจก่อความยากลำบาก. (ท่านผู้ประกาศ 12:1-8) กระนั้น จงพิจารณาผู้รับใช้ของพระเจ้าในสมัยคัมภีร์ไบเบิล. ถึงแม้เขาต้องตายในที่สุดก็ตาม เขาได้รับทั้งสติปัญญาและความเข้าใจ ซึ่งยังความพอใจมากมายแก่เขาในวัยชรา. (เยเนซิศ 25:8; 35:29; โยบ 12:12; 42:17) พวกเขาประสบผลสำเร็จอย่างมีความสุขได้อย่างไรแม้มีอายุมากขึ้น? แน่นอน โดยการดำเนินชีวิตประสานกับหลักการที่เราพบบันทึกอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลทุกวันนี้.—บทเพลงสรรเสริญ 119:105; 2 ติโมเธียว 3:16, 17.
3. เปาโลให้คำแนะนำอะไรสำหรับชายหญิงที่สูงอายุ?
3 ในจดหมายของท่านถึงติโต อัครสาวกเปาโลได้ให้แนวชี้แนะที่สมเหตุสมผลแก่คนเหล่านั้นที่มีอายุมากขึ้น. ท่านเขียนว่า “จงให้ชายที่สูงอายุประมาณตนกับนิสัยต่าง ๆ, จริงจัง, มีสุขภาพจิตดี, สมบูรณ์ในความเชื่อ, ในความรัก, ในความอดทน. เช่นเดียวกันให้สตรีสูงอายุมีความประพฤติที่แสดงความเคารพนับถือ, ไม่พูดใส่ร้าย, ทั้งไม่ตกเป็นทาสของเหล้าองุ่นมาก, เป็นผู้สอนสิ่งที่ดี.” (ติโต 2:2, 3, ล.ม.) การเอาใจใส่ฟังถ้อยคำเหล่านี้สามารถช่วยคุณให้เผชิญข้อท้าทายจากการมีอายุมากขึ้น.
ปรับตัวเมื่อลูกแยกไปอยู่ต่างหาก
4, 5. บิดามารดาหลายคนมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อลูก ๆ แยกไปอยู่ต่างหาก และบางคนปรับตัวให้เข้ากับสภาพการณ์ใหม่นี้โดยวิธีใด?
4 เมื่อบทบาทเปลี่ยนไปก็จำเป็นต้องมีการปรับตัว. เรื่องนี้ปรากฏว่าเป็นความจริงสักเพียงไรเมื่อลูกที่โตแล้วออกจากบ้านไปและแต่งงาน! สำหรับบิดามารดาหลายคน นี่เป็นข้อเตือนใจอย่างแรกว่าเขากำลังมีอายุมากขึ้น. ถึงแม้สบายใจที่ลูก ๆ โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว บ่อยครั้งบิดามารดากังวลว่าตนได้ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้หรือไม่เพื่อเตรียมลูกไว้สำหรับการยืนอยู่บนลำแข้งของตัวเอง. และเขาอาจคิดถึงตอนที่ลูก ๆ ยังอยู่ที่บ้าน.
5 พอจะเข้าใจได้ว่า บิดามารดายังคงสนใจสวัสดิภาพของลูก ๆ อยู่ แม้แต่หลังจากลูกแยกไปอยู่ที่อื่นแล้ว. มารดาคนหนึ่งบอกว่า “ขอแต่ให้ได้รับข่าวคราวจากพวกเขาบ่อย ๆ เพื่อจะได้สบายใจว่าลูก ๆ สบายดี—แค่นั้นก็จะทำให้ดิฉันมีความสุข.” บิดาคนหนึ่งเล่าว่า “เมื่อลูกสาวของเราออกจากบ้านไป ช่วงนั้นยุ่งยากลำบากใจทีเดียว. นั่นทำให้มีช่องว่างใหญ่ในครอบครัวของเรา เพราะเราเคยทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยกันเสมอ.” บิดามารดาเหล่านี้ได้รับมือกับการที่ลูก ๆ ไม่อยู่กับเขาโดยวิธีใด? ในหลายกรณี ก็โดยการแสดงความห่วงใยและช่วยเหลือคนอื่น ๆ.
6. อะไรช่วยให้มีการมองดูความสัมพันธ์ในครอบครัวอย่างเหมาะสม?
6 เมื่อลูก ๆ แต่งงาน บทบาทของบิดามารดาก็เปลี่ยนไป. เยเนซิศ 2:24 แถลงว่า “ผู้ชายจึงจะละ บิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา: และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อหนังอันเดียวกัน.” การยอมรับหลักการของพระเจ้าว่าด้วยตำแหน่งประมุขและระเบียบที่ดีจะช่วยบิดามารดาให้มองดูสิ่งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม.—1 โกรินโธ 11:3; 14:33, 40.
7. บิดาคนหนึ่งได้ปลูกฝังเจตคติที่เหมาะสมเช่นไรเมื่อลูกสาวออกเรือนไปแล้ว?
7 หลังจากลูกสาวสองคนแต่งงานและย้ายไปแล้ว สามีภรรยาคู่หนึ่งเกิดความรู้สึกอ้างว้างในชีวิต. ทีแรก ผู้เป็นสามีขุ่นเคืองในตัวลูกเขย. แต่ขณะที่เขาไตร่ตรองดูหลักการว่าด้วยตำแหน่งประมุข เขาตระหนักว่าตอนนี้สามีของลูกสาวต่างก็รับผิดชอบต่อครอบครัวของตน. เพราะฉะนั้น เมื่อลูกสาวของเขาขอคำแนะนำ เขาถามลูกสาวว่าสามีของพวกเธอคิดอย่างไร แล้วเขาก็ทำให้แน่ใจที่จะให้การสนับสนุนเท่าที่เป็นไปได้. ตอนนี้ลูกเขยมองดูเขาเสมือนเพื่อนและยินดีรับคำแนะนำของเขา.
8, 9. บิดามารดาบางคนได้ปรับตัวอย่างไรเมื่อลูกที่โตแล้วแยกไปอยู่ต่างหาก?
8 จะว่าอย่างไรหากผู้ที่เพิ่งแต่งงาน แม้ไม่ได้ทำสิ่งใดที่ผิดหลักพระคัมภีร์ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่บิดามารดาคิดว่าดีที่สุด? สามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งมีลูก ๆ ที่แต่งงานไปแล้วชี้แจงว่า “เราช่วยลูก ๆ ให้เข้าใจทัศนะของพระยะโฮวาเสมอ แต่ถ้าเราไม่เห็นพ้องกับการตัดสินใจของพวกเขา เราก็ยอมรับเรื่องนั้นและให้การสนับสนุนและกำลังใจแก่ลูก.”
9 ในบางประเทศแถบเอเชีย มารดาบางคนพบว่ายากเป็นพิเศษที่จะยอมรับการที่ลูกชายแยกครอบครัวออกไป. อย่างไรก็ดี หากพวกเธอนับถือระเบียบและตำแหน่งประมุขแบบคริสเตียนแล้ว พวกเธอย่อมประสบว่าความขัดแย้งกับลูกสะใภ้จะลดลง. สตรีคริสเตียนคนหนึ่งพบว่า การที่ลูกชายแยกครอบครัวไปนั้นเป็น “เหตุให้เกิดความปลื้มปีติซึ่งทวีขึ้นเรื่อย ๆ.” เธอรู้สึกตื่นเต้นที่เห็นความสามารถของพวกเขาในการจัดการกับครอบครัวใหม่ของตน. และนี่หมายถึงการแบ่งเบาภาระทางกายและใจซึ่งเธอกับสามีต้องแบกขณะที่มีอายุมากขึ้น.
ทำให้ความผูกพันในชีวิตสมรสแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
10, 11. คำแนะนำอะไรตามหลักพระคัมภีร์จะช่วยคนเราให้หลีกเลี่ยงหลุมพรางบางอย่างในวัยกลางคน?
10 ผู้คนมีปฏิกิริยาหลายอย่างต่าง ๆ กันเมื่อเข้าสู่วัยกลางคน. ผู้ชายบางคนแต่งกายต่างออกไปด้วยพยายามจะให้ดูหนุ่มขึ้น. ผู้หญิงหลายคนกังวลเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากภาวะหมดระดู. น่าเศร้าใจ ผู้ที่อยู่ในวัยกลางคนบางคนได้ยั่วยุให้คู่สมรสเกิดความขุ่นเคืองและความหึงหวงโดยการเกี้ยวพาราสีเพศตรงข้ามที่อ่อนวัยกว่า. แต่ชายผู้สูงวัยกว่าซึ่งเลื่อมใสพระเจ้า “มีสุขภาพจิตดี” ระงับความปรารถนาที่ไม่เหมาะสมไว้. (1 เปโตร 4:7) สตรีที่อาวุโสก็เช่นกัน พยายามที่จะรักษาชีวิตสมรสของตนให้มั่นคงต่อไป เนื่องจากความรักต่อสามีและความปรารถนาที่จะทำให้พระยะโฮวาพอพระทัย.
11 ภายใต้การดลใจ กษัตริย์ละมูเอลทรงบันทึกคำยกย่องสำหรับ “ภรรยาที่ดี” ซึ่งยังประโยชน์ให้สามีโดย “ทำความดีให้เขา ไม่ทำความร้าย ตลอดชีวิต ของเธอ.” สามีคริสเตียนจะไม่พลาดที่จะแสดงความหยั่งรู้ค่าวิธีที่ภรรยาพยายามจะรับมือกับความว้าวุ่นด้านอารมณ์ที่เธอประสบในช่วงวัยกลางคนนั้น. ความรักจะกระตุ้นเขาให้ “สรรเสริญเธอ.”—สุภาษิต 31:10, 12, 28, ฉบับแปลใหม่.
12. คู่สมรสสามารถใกล้ชิดกันมากขึ้นได้อย่างไรขณะที่เวลาผ่านไป?
12 ในช่วงที่วุ่นอยู่กับการอบรมเลี้ยงดูลูก คุณทั้งสองคงยินดีที่จะไม่คำนึงถึงความปรารถนาส่วนตัวเพื่อเอาใจใส่ต่อความต้องการของลูก. หลังจากที่พวกเขาแยกไปอยู่ต่างหากแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะหันมาสนใจชีวิตสมรสของคุณอีกครั้งหนึ่ง. สามีคนหนึ่งบอกว่า “เมื่อลูกสาวออกเรือนไปแล้ว ผมก็เริ่มเกี้ยวภรรยาของผมอีกครั้งหนึ่ง.” สามีอีกคนหนึ่งบอกว่า “เราเป็นห่วงสุขภาพของกันและกัน และต่างเตือนกันให้นึกถึงความจำเป็นในการออกกำลังกาย.” เพื่อที่จะไม่รู้สึกว้าเหว่ เขากับภรรยาแสดงน้ำใจต้อนรับแขกต่อสมาชิกคนอื่น ๆ ของประชาคม. ถูกแล้ว การแสดงความสนใจในคนอื่นนำมาซึ่งพระพร. นอกจากนี้ การทำเช่นนั้นทำให้พระยะโฮวาพอพระทัย.—ฟิลิปปอย 2:4; เฮ็บราย 13:2, 16.
13. การเป็นคนเปิดเผยและความจริงใจมีบทบาทอะไรขณะที่ทั้งสามีและภรรยามีอายุมากขึ้น?
13 อย่าปล่อยให้ช่องว่างในการสื่อความเกิดขึ้นระหว่างคุณกับคู่ชีวิต. จงพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา. (สุภาษิต 17:27) สามีคนหนึ่งออกความเห็นว่า “การใส่ใจและเห็นอกเห็นใจกันทำให้เราเข้าใจกันและกันยิ่งขึ้น.” ภรรยาของเขาเห็นพ้องด้วย โดยบอกว่า “ขณะที่เราอายุมากขึ้น เราชอบดื่มน้ำชาด้วยกัน, สนทนากัน, และทำอะไรด้วยกัน.” การที่คุณเป็นคนเปิดเผยและตรงไปตรงมาสามารถช่วยเสริมความผูกพันในชีวิตสมรสให้แน่นแฟ้น ทำให้ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ซึ่งจะขัดขวางการโจมตีของซาตาน ตัวบ่อนทำลายการสมรส.
เพลิดเพลินกับหลานของคุณ
14. ดูเหมือนว่ายายของติโมเธียวมีบทบาทอะไรในการช่วยเขาให้เติบโตขึ้นเป็นคริสเตียน?
14 หลานเป็น “มงกุฎ” ของผู้สูงอายุ. (สุภาษิต 17:6) การมีหลาน ๆ เป็นเพื่อนอาจเป็นความยินดีอย่างแท้จริง—ทำให้มีชีวิตชีวาและสดชื่น. คัมภีร์ไบเบิลชมเชยโลอี ผู้เป็นยายซึ่งพร้อมกับยูนิเกลูกสาวของตน ได้สอนความเชื่อของนางให้แก่ติโมเธียวหลานชายตั้งแต่เป็นทารก. เด็กคนนี้ได้เติบโตขึ้นโดยที่รู้ว่าทั้งมารดาและยายให้ความสำคัญกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิล.—2 ติโมเธียว 1:5; 3:14, 15.
15. ผู้เป็นปู่ย่าตายายอาจมีส่วนสนับสนุนอะไรที่มีคุณค่าต่อหลาน ๆ แต่เขาควรหลีกเลี่ยงอะไร?
15 ดังนั้นแล้ว นี่เป็นขอบเขตพิเศษซึ่งผู้เป็นปู่ย่าตายายอาจมีส่วนสนับสนุนที่มีคุณค่ามากที่สุด. ผู้ที่เป็นปู่ย่าตายายทั้งหลาย คุณได้สอนความรู้เกี่ยวกับพระประสงค์ของพระยะโฮวาให้กับลูก ๆ ของคุณมาแล้ว. ตอนนี้คุณสามารถทำอย่างเดียวกันได้กับอีกชั่วอายุหนึ่ง! เด็กเล็ก ๆ หลายคนรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ยินผู้เป็นปู่ย่าตายายเล่าเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิล. แน่นอน คุณไม่ได้รับหน้าที่รับผิดชอบแทนผู้เป็นบิดาที่จะพร่ำสอนความจริงในคัมภีร์ไบเบิลให้กับลูก ๆ ของเขา. (พระบัญญัติ 6:7) ถ้าจะพูดให้ถูกแล้ว คุณช่วยเสริมในเรื่องนี้. ขอให้คำอธิษฐานของคุณเป็นเหมือนผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญที่ว่า “ข้าแต่พระเจ้า, แม้ว่าข้าพเจ้าชราผมหงอกแล้ว, ขออย่าทรงละทิ้งข้าพเจ้าจนกว่าข้าพเจ้าจะได้พรรณนาถึงพลานุภาพของพระองค์แก่คนชั่วอายุต่อ ๆ มา, ให้ทุก ๆ คนที่จะบังเกิดมานั้นรู้ถึงฤทธานุภาพของพระองค์.”—บทเพลงสรรเสริญ 71:18; 78:5, 6.
16. ผู้เป็นปู่ย่าตายายอาจหลีกเลี่ยงการเป็นต้นเหตุของความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในครอบครัวได้อย่างไร?
16 น่าเสียดาย ผู้ที่เป็นปู่ย่าตายายบางคนพะเน้าพะนอหลานจนกระทั่งเกิดความตึงเครียดขึ้นระหว่างเขากับลูก ๆ ที่โตแล้ว. อย่างไรก็ดี บางทีความกรุณาอย่างจริงใจของคุณอาจทำให้ง่ายสำหรับหลานที่จะเผยความในใจกับคุณเมื่อเขารู้สึกไม่อยากเผยเรื่องราวให้กับพ่อแม่ของตน. บางครั้ง เด็กหวังว่าปู่ย่าตายายที่ชอบตามใจจะเข้าข้างตนในการค้านกับพ่อแม่. ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไร? จงใช้สติปัญญาและสนับสนุนหลานให้เป็นคนเปิดเผยกับพ่อแม่ของเขา. คุณอาจอธิบายว่าพระยะโฮวาพอพระทัยการทำเช่นนี้. (เอเฟโซ 6:1-3) ถ้าจำเป็น คุณอาจอาสาที่จะปูทางไว้สำหรับการเข้าหาของเด็กโดยคุณพูดกับพ่อแม่ของเขาไว้ก่อน. จงพูดตรงไปตรงมากับหลานเกี่ยวกับสิ่งที่คุณได้เรียนรู้มาตลอดหลายปี. การที่คุณจริงใจและตรงไปตรงมาอาจเป็นประโยชน์แก่เขาได้.
ปรับตัวเมื่ออายุมากขึ้น
17. คริสเตียนที่สูงอายุควรเลียนแบบความตั้งใจแน่วแน่อะไรของผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญ?
17 ขณะที่เวลาล่วงเลยไป คุณจะพบว่าคุณไม่สามารถทำทุกสิ่งได้อย่างที่เคยทำหรือต้องการทำ. คนเราจะยอมรับกระบวนการที่ทำให้เกิดความแก่ชรานั้นได้อย่างไร? ในใจแล้ว คุณอาจรู้สึกว่าตนอายุ 30 ปี ทว่าการมองแวบเดียวในกระจกเผยให้เห็นความจริงที่ต่างออกไป. อย่ารู้สึกท้อใจ. ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญทูลวิงวอนพระยะโฮวาว่า “เวลาชราแล้วขออย่าทรงสลัดข้าพเจ้าเสีย; เมื่อกำลังของข้าพเจ้าถอยขออย่าทรงละทิ้งข้าพเจ้าเสียเลย.” จงปลงใจที่จะเลียนแบบความตั้งใจแน่วแน่ของผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญ. ท่านกล่าวว่า “ฝ่ายข้าพเจ้าจะหวังใจในพระองค์อยู่เสมอ และจะยังสรรเสริญพระองค์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป.”—บทเพลงสรรเสริญ 71:9, 14.
18. คริสเตียนที่อาวุโสจะใช้เวลาหลังเกษียณอายุให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร?
18 หลายคนได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าเพื่อเพิ่มพูนการสรรเสริญพระยะโฮวาภายหลังการเกษียณจากงานอาชีพแล้ว. บิดาคนหนึ่งซึ่งตอนนี้เกษียณแล้วอธิบายว่า “ผมวางแผนล่วงหน้าว่าจะทำอะไรเมื่อลูกสาวออกจากโรงเรียนแล้ว. ผมตั้งใจว่าจะเริ่มงานประกาศเผยแพร่เต็มเวลา และผมขายธุรกิจเพื่อจะมีอิสระที่จะรับใช้พระยะโฮวาอย่างเต็มที่มากขึ้น. ผมอธิษฐานขอการชี้นำจากพระเจ้า.” หากคุณใกล้จะเกษียณอายุ จงรับเอาการปลอบประโลมใจจากคำแถลงของพระผู้สร้างองค์ยอดเยี่ยมของเราที่ว่า “เรายังจะต้องหอบหิ้วเจ้าไปอย่างนี้จนเจ้าชรา, เราจะต้องอุ้มชูเจ้าไปจนเจ้าหัวหงอก.”—ยะซายา 46:4.
19. มีการให้คำแนะนำอะไรสำหรับคนเหล่านั้นซึ่งกำลังมีอายุมากขึ้น?
19 การปรับตัวให้เข้ากับการเกษียณจากงานอาชีพอาจไม่ใช่เรื่องง่าย. อัครสาวกเปาโลแนะนำชายสูงอายุให้ “ประมาณตนกับนิสัยต่าง ๆ.” นี่เรียกร้องให้มีการหักห้ามใจ ไม่ยอมจำนนต่อแนวโน้มที่จะแสวงหาชีวิตที่สะดวกสบาย. อาจมีความจำเป็นมากขึ้นด้วยซ้ำสำหรับการมีตารางเวลาและการใช้วินัยกับตัวเองภายหลังการเกษียณยิ่งกว่าเมื่อก่อน. ดังนั้นแล้ว จงง่วนอยู่กับการงาน “มีมากมายหลายสิ่งที่จะให้ทำในงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ โดยรู้ว่า การงานของท่านเกี่ยวด้วยองค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ไร้ประโยชน์.” (1 โกรินโธ 15:58, ล.ม.) จงขยายการงานเพื่อช่วยคนอื่น. (2 โกรินโธ 6:13) คริสเตียนหลายคนทำเช่นนี้โดยการประกาศข่าวดีด้วยใจแรงกล้าในระดับที่เหมาะกับวัยของเขา. ขณะที่คุณอายุมากขึ้น จง “สมบูรณ์ในความเชื่อ, ในความรัก, ในความอดทน.”—ติโต 2:2, ล.ม.
รับมือกับการสูญเสียคู่ชีวิต
20, 21. (ก) ในระบบปัจจุบัน ในที่สุดอะไรจะทำให้คู่สมรสพรากจากกัน? (ข) อันนาวางตัวอย่างที่ดีอะไรสำหรับผู้ที่สูญเสียคู่ชีวิตไป?
20 นับเป็นข้อเท็จจริงที่น่าเศร้าแต่จริงที่ว่า ในระบบปัจจุบัน ในที่สุดคู่สมรสก็ตายจากกันไป. คริสเตียนที่สูญเสียคู่ชีวิตทราบว่าผู้เป็นที่รักของตนตอนนี้นอนหลับอยู่ และเขามั่นใจว่าจะได้พบผู้นั้นอีก. (โยฮัน 11:11, 25) แต่การสูญเสียนั้นยังคงทำให้เศร้าโศกอยู่. ผู้ที่มีชีวิตอยู่จะรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างไร?a
21 การรำลึกถึงสิ่งที่บุคคลหนึ่ง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลกระทำนั้นจะช่วยได้. อันนาเป็นม่ายหลังจากแต่งงานได้เพียงเจ็ดปี และเมื่อเราอ่านเรื่องราวของเธอ เธออายุ 84 ปี. เราแน่ใจได้ว่าเธอคงเศร้าโศกเมื่อสูญเสียสามี. เธอรับมืออย่างไร? เธอได้ถวายการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์แด่พระยะโฮวาพระเจ้าที่พระวิหารทั้งกลางวันกลางคืน. (ลูกา 2:36-38) ไม่ต้องสงสัย ชีวิตของอันนาที่รับใช้ด้วยความเลื่อมใสเป็นวิธีแก้ความโศกเศร้าและความว้าเหว่ที่เธอได้รับในฐานะเป็นแม่ม่าย.
22. แม่ม่ายและพ่อม่ายบางคนได้รับมือกับความว้าเหว่อย่างไร?
22 สตรีวัย 72 ปีซึ่งเป็นม่ายมาสิบปีแล้วชี้แจงว่า “ปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับดิฉันคือ ไม่มีคู่ที่จะคุยด้วย. สามีของดิฉันเป็นผู้ฟังที่ดี. เราจะคุยกันเรื่องประชาคมและการที่เรามีส่วนร่วมในงานเผยแพร่แบบคริสเตียน.” แม่ม่ายอีกคนหนึ่งบอกว่า “ถึงแม้กาลเวลาช่วยรักษาให้หายก็ตาม ดิฉันเห็นว่าถูกต้องกว่าที่จะพูดว่าเราทำอะไรกับเวลาของเรานั่นแหละที่ช่วยรักษาให้หาย. คุณอยู่ในฐานะดีกว่าที่จะช่วยคนอื่น.” พ่อม่ายวัย 67 ปีคนหนึ่งเห็นพ้องด้วย โดยบอกว่า “วิธีดีเยี่ยมที่จะรับมือกับการสูญเสียคือ อุทิศตัวคุณเองในการปลอบประโลมคนอื่น.”
พระเจ้าทรงถือว่าคนเรามีค่าในวัยชรา
23, 24. คัมภีร์ไบเบิลให้การปลอบประโลมที่ยอดเยี่ยมอะไรแก่ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะคนเหล่านั้นซึ่งเป็นม่าย?
23 ถึงแม้ความตายพรากคู่ชีวิตผู้เป็นที่รักไปก็ตาม พระยะโฮวายังคงซื่อสัตย์เสมอ วางใจได้เสมอ. กษัตริย์ดาวิดในสมัยโบราณทรงร้องเพลงว่า “สิ่งเดียวซึ่งข้าพเจ้าได้ขอจากพระยะโฮวา, แล้วข้าพเจ้าจะเสาะหา; สิ่งนั้นคือที่จะได้อาศัยอยู่ในพระวิหารของพระองค์ตลอดชั่วชีวิตของข้าพเจ้า, เพื่อจะได้เห็นความสง่างามของพระยะโฮวา, และจะได้พินิจพิจารณาพระวิหารของพระองค์.”—บทเพลงสรรเสริญ 27:4.
24 อัครสาวกเปาโลกระตุ้นเตือนว่า “จงให้เกียรติแม่ม่ายซึ่งเป็นแม่ม่ายจริง ๆ.” (1 ติโมเธียว 5:3, ล.ม.) คำแนะนำถัดจากคำสั่งข้อนี้บ่งชี้ว่า แม่ม่ายที่คู่ควรซึ่งไม่มีญาติใกล้ชิดนั้นอาจได้รับการเกื้อหนุนที่จำเป็นด้านวัตถุจากประชาคม. ถึงกระนั้น ความหมายของคำสั่งที่ว่า “จงให้เกียรติ” นั้นหมายรวมถึงแนวคิดในการถือว่าพวกเขามีค่า. ช่างเป็นการปลอบประโลมสักเพียงไรที่แม่ม่ายและพ่อม่ายซึ่งเลื่อมใสในพระเจ้าสามารถได้รับจากการรู้ว่า พระยะโฮวาทรงถือว่าพวกเขามีค่าและจะค้ำจุนพวกเขา.—ยาโกโบ 1:27.
25. เป้าประสงค์อะไรยังคงมีอยู่ต่อไปสำหรับผู้สูงอายุ?
25 พระคำของพระเจ้าที่มีขึ้นโดยการดลใจแถลงว่า “ความงามแห่งคนชราคือผมขาวของเขา.” นั่นเป็น “เหมือนมงกุฎแห่งสง่าราศีถ้าใจอยู่ในที่ชอบธรรม.” (สุภาษิต 16:31; 20:29) ดังนั้น ไม่ว่าสมรสหรือเป็นโสดอีกครั้งก็ตาม จงจัดให้การรับใช้พระยะโฮวาเป็นอันดับแรกในชีวิตของคุณต่อ ๆ ไป. โดยวิธีนี้ คุณจะมีชื่อเสียงที่ดีกับพระเจ้าในขณะนี้และมีความหวังเกี่ยวกับชีวิตถาวรในโลกที่ความเจ็บปวดเนื่องจากวัยชราจะไม่มีอีกต่อไป.—บทเพลงสรรเสริญ 37:3-5; ยะซายา 65:20.
a สำหรับการพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องนี้ โปรดดูจุลสารเมื่อคนที่คุณรักเสียชีวิต จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.
-
-
การให้เกียรติบิดามารดาผู้สูงอายุเคล็ดลับสำหรับความสุขในครอบครัว
-
-
บทสิบห้า
การให้เกียรติบิดามารดาผู้สูงอายุ
1. เราเป็นหนี้บิดามารดาของเราในสิ่งใด และฉะนั้นเราควรรู้สึกและปฏิบัติอย่างไรต่อท่าน?
บุรุษผู้สุขุมในอดีตได้แนะนำไว้ว่า “เจ้าจงฟังคำบิดาผู้บังเกิดเกล้าของเจ้า, และอย่าดูหมิ่นมารดาของเจ้าเมื่อท่านแก่ชรา.” (สุภาษิต 23:22) คุณอาจพูดว่า ‘ฉันจะไม่มีวันทำอย่างนั้น!’ แทนที่จะดูหมิ่นมารดา—หรือบิดา—เราส่วนใหญ่รู้สึกรักท่านอย่างสุดซึ้ง. เรายอมรับว่าเป็นหนี้บุญคุณท่านมากมาย. แรกทีเดียว บิดามารดาให้ชีวิตแก่เรา. ถึงแม้พระยะโฮวาทรงเป็นบ่อเกิดแห่งชีวิต แต่ถ้าไม่มีบิดามารดาแล้ว เราก็คงจะไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างแน่แท้. ไม่มีอะไรที่เราจะให้บิดามารดาของเราได้ซึ่งมีค่าเท่ากับชีวิต. จากนั้น ขอให้คิดถึงการเสียสละ, การดูแลด้วยความห่วงใย, ค่าใช้จ่าย, และการเอาใจใส่ด้วยความรักที่รวมอยู่ด้วยในการช่วยลูกตั้งแต่วัยทารกจนโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่! เพราะฉะนั้น ช่างมีเหตุผลสมควรสักเพียงไรที่พระคำของพระเจ้าแนะนำว่า “จงให้เกียรติบิดาและมารดาของตน . . . เพื่อว่าเจ้าจะอยู่ดีมีสุขและเจ้าจะอยู่ยืนยงบนแผ่นดินโลก”!—เอเฟโซ 6:2, 3, ล.ม.
การตระหนักถึงความต้องการด้านอารมณ์
2. ลูกที่โตแล้วสามารถ “ทดแทนบุญคุณ” บิดามารดาของตนได้โดยวิธีใด?
2 อัครสาวกเปาโลเขียนถึงคริสเตียนว่า “ให้ [ลูกหรือหลาน] เรียนรู้ที่จะแสดงความเลื่อมใสในพระเจ้าในครอบครัวของตัวเองก่อน และทดแทนบุญคุณบิดามารดาหรือปู่ย่าตายายของตนเสมอ เพราะการทำอย่างนี้เป็นที่ชอบในสายพระเนตรพระเจ้า.” (1 ติโมเธียว 5:4, ล.ม.) ลูกที่โตแล้วให้การ “ทดแทนบุญคุณ” เช่นนี้โดยแสดงความหยั่งรู้ค่าต่อความรัก, การงาน, และการเอาใจใส่ดูแลที่บิดามารดาและปู่ย่าตายายให้แก่พวกเขามาตลอดหลายปี. วิธีหนึ่งที่ลูกทำเช่นนี้ได้ก็คือโดยการตระหนักว่า เช่นเดียวกับคนอื่นทุกคน ผู้สูงอายุก็ต้องการความรักและการทำให้มั่นใจ—บ่อยครั้งต้องการมากเหลือเกิน. เช่นเดียวกับเราทุกคน พวกเขาต้องการรู้สึกว่าคนอื่นถือว่าตนมีค่า. เขาต้องการรู้สึกว่า ชีวิตของเขามีคุณประโยชน์.
3. เราสามารถให้เกียรติบิดามารดาและปู่ย่าตายายได้อย่างไร?
3 ดังนั้น เราสามารถให้เกียรติบิดามารดาและปู่ย่าตายายของเราได้โดยการให้ท่านรู้ว่าเรารักท่าน. (1 โกรินโธ 16:14) หากบิดามารดาไม่ได้อยู่กับเรา เราควรจดจำไว้ว่า การได้ยินข่าวคราวจากเราย่อมมีความหมายมากสำหรับท่าน. จดหมาย, การโทรศัพท์, หรือการไปเยี่ยมที่ทำให้เบิกบานใจอาจมีส่วนส่งเสริมได้มากที่จะให้ท่านมีความสุข. มิโยะ ซึ่งอยู่ในญี่ปุ่น เขียนเมื่อเธออายุ 82 ปีว่า “ลูกสาวของดิฉัน [ซึ่งมีสามีเป็นผู้เผยแพร่เดินทาง] บอกดิฉันว่า ‘คุณแม่คะ ขอเชิญ “เดินทาง” ไปกับเรา.’ เธอส่งตารางกำหนดการเดินทางและหมายเลขโทรศัพท์ของแต่ละสัปดาห์ให้ดิฉัน. ดิฉันสามารถเปิดแผนที่และพูดว่า ‘อ๋อ ตอนนี้พวกเขาอยู่ตรงนี้!’ ดิฉันขอบพระคุณพระยะโฮวาเสมอสำหรับพระพรที่มีลูกอย่างนี้.”
การช่วยเหลือเกี่ยวกับความจำเป็นด้านวัตถุ
4. ประเพณีทางศาสนาของชาวยิวส่งเสริมความใจดำต่อบิดามารดาที่สูงอายุนั้นอย่างไร?
4 การให้เกียรติบิดามารดาอาจหมายรวมถึงการเอาใจใส่ความจำเป็นของท่านทางด้านวัตถุด้วยไหม? ถูกแล้ว. บ่อยครั้งเป็นเช่นนั้น. ในสมัยของพระเยซู ผู้นำทางศาสนาชาวยิวส่งเสริมประเพณีที่ว่า หากบุคคลหนึ่งแถลงว่าเงินหรือทรัพย์สินของเขาเป็น “ของถวายแก่พระเจ้าแล้ว” เขาก็พ้นจากความรับผิดชอบที่จะใช้ทรัพย์นั้นเพื่อเอาใจใส่ดูแลบิดามารดาของตน. (มัดธาย 15:3-6) ช่างใจดำจริง ๆ! ที่แท้แล้ว ผู้นำทางศาสนาเหล่านั้นกำลังสนับสนุนผู้คนที่จะไม่ให้เกียรติบิดามารดา แต่ให้ปฏิบัติกับท่านด้วยการดูหมิ่นโดยปฏิเสธความต้องการของท่านอย่างเห็นแก่ตัว. เราไม่ต้องการทำเช่นนั้นเลย!—พระบัญญัติ 27:16.
5. ทั้ง ๆ ที่มีการสงเคราะห์โดยรัฐบาลบางประเทศก็ตาม ทำไมการให้เกียรติบิดามารดาบางครั้งหมายรวมถึงการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินด้วย?
5 ในหลายประเทศทุกวันนี้ โครงการด้านสังคมสงเคราะห์ที่รัฐอุปถัมภ์จัดเตรียมสิ่งจำเป็นด้านวัตถุบางอย่างให้ผู้สูงอายุ เช่น อาหาร, เครื่องนุ่งห่ม, และที่พักพิง. นอกจากนั้น ผู้สูงอายุเองอาจสามารถเก็บเงินได้บ้างเพื่อใช้ในยามชรา. แต่ถ้าเงินที่เก็บไว้นี้หมดหรือปรากฏว่าไม่พอ ลูก ๆ ให้เกียรติบิดามารดาของตนโดยทำสิ่งที่เขาทำได้เพื่อสนองความต้องการของบิดามารดา. ที่จริง การเอาใจใส่ดูแลบิดามารดาที่ชราเป็นหลักฐานของความเลื่อมใสในพระเจ้า นั่นคือความเลื่อมใสของคนเราที่มีต่อพระยะโฮวาพระเจ้า ผู้ทรงริเริ่มการจัดเตรียมเกี่ยวกับครอบครัว.
ความรักและการเสียสละตัวเอง
6. บางคนได้ทำการจัดเตรียมอย่างไรเรื่องการอยู่อาศัยเพื่อจะเอาใจใส่ความต้องการของบิดามารดา?
6 ลูกที่โตแล้วหลายคนได้สนองความต้องการของบิดามารดาที่ทุพพลภาพด้วยความรักและการเสียสละตัวเอง. บางคนได้รับบิดามารดาเข้ามาอยู่ในบ้านของตนเองหรือได้ย้ายไปอยู่ใกล้ท่าน. ส่วนคนอื่นได้ย้ายไปอยู่กับบิดามารดา. บ่อยครั้ง การจัดเตรียมเช่นนั้นปรากฏว่าเป็นพระพรแก่ทั้งบิดามารดาและลูก.
7. ทำไมเป็นการดีที่จะไม่ลงมือจัดการอย่างหุนหันพลันแล่นเมื่อทำการตัดสินใจเกี่ยวกับบิดามารดาที่สูงอายุ?
7 แต่บางครั้งการย้ายดังกล่าวไม่ได้เป็นผลดี. เพราะเหตุใด? บางทีเนื่องจากทำการตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นเกินไป หรืออาศัยอารมณ์เพียงอย่างเดียว. คัมภีร์ไบเบิลเตือนอย่างฉลาดสุขุมว่า “คนฉลาดย่อมมองดูทางเดินของเขาด้วยความระวัง.” (สุภาษิต 14:15) เพื่อเป็นตัวอย่าง สมมุติว่า คุณแม่ที่สูงอายุของคุณมีความลำบากในการอยู่ตามลำพัง และคุณคิดว่าท่านอาจได้รับประโยชน์โดยการย้ายมาอยู่กับคุณ. เพื่อเป็นการคำนึงถึงขั้นตอนต่าง ๆ อย่างสุขุมรอบคอบ คุณอาจพิจารณาประเด็นต่อไปนี้: ความจำเป็นจริง ๆ ของท่านคืออะไร? มีการบริการของเอกชนหรือที่รัฐให้การสนับสนุนไหมที่เสนอทางเลือกซึ่งเป็นหนทางออกที่น่าพอใจ? ท่านต้องการย้ายไหม? หากท่านต้องการ ชีวิตของท่านจะได้รับผลกระทบในทางใดบ้าง? ท่านจะต้องจากเพื่อน ๆ ไปไหม? เรื่องนี้จะมีผลกระทบต่ออารมณ์ของท่านอย่างไร? คุณได้พูดคุยเรื่องเหล่านี้กับท่านแล้วไหม? การย้ายเช่นนั้นอาจมีผลกระทบต่อคุณ, คู่สมรสของคุณ, ลูก ๆ ของคุณเองอย่างไร? หากคุณแม่ของคุณจำเป็นต้องได้รับการดูแล ใครจะให้การดูแล? จะแบ่งความรับผิดชอบกันได้ไหม? คุณได้หารือเรื่องนี้กับทุกคนที่เกี่ยวข้องโดยตรงแล้วไหม?
8. คุณอาจสามารถปรึกษากับใครเมื่อตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีที่จะช่วยบิดามารดาที่สูงอายุ?
8 เนื่องจากลูกทุกคนในครอบครัวมีส่วนรับผิดชอบในการเอาใจใส่ดูแลนั้น อาจเป็นการสุขุมที่จะจัดการประชุมครอบครัวขึ้นเพื่อว่าทุกคนอาจมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ. การพูดคุยกับผู้ปกครองในประชาคมคริสเตียนหรือคนอื่นซึ่งเคยเผชิญกับสภาพการณ์คล้ายกันนั้นอาจมีส่วนช่วยได้ด้วย. คัมภีร์ไบเบิลเตือนว่า “ปราศจากการปรึกษาหารือ แผนงานก็ล้มเหลว แต่มีผู้แนะนำมาก ๆ แผนงานนั้นก็สำเร็จ.”—สุภาษิต 15:22, ฉบับแปลใหม่.
จงมีความร่วมรู้สึกและความเข้าใจ
9, 10. (ก) ทั้ง ๆ ที่มีอายุมากแล้ว ควรคำนึงถึงอะไรเกี่ยวกับผู้สูงอายุ? (ข) ไม่ว่าลูกที่โตแล้วดำเนินการเช่นไรก็ตามเพื่อประโยชน์ของบิดามารดา เขาควรให้อะไรแก่ท่านเสมอ?
9 การให้เกียรติบิดามารดาที่สูงอายุจำเป็นต้องมีความร่วมรู้สึกและความเข้าใจ. ขณะที่วัยชราก่อผลกระทบที่ร้ายแรง ผู้สูงอายุอาจพบว่ายากขึ้นทุกทีที่จะเดิน, รับประทาน, และจดจำ. เขาอาจต้องการความช่วยเหลือ. บ่อยครั้ง ลูก ๆ ต้องการปกป้องและพยายามให้การชี้แนะ. ทว่า ผู้สูงอายุเป็นผู้ใหญ่ที่มีสติปัญญาและประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมาชั่วชีวิต เอาใจใส่ดูแลตัวเองและทำการตัดสินใจด้วยตนเองมาตลอดชีวิต. เอกลักษณ์ของเขาและความนับถือต่อตัวเองอาจรวมจุดอยู่ที่บทบาทของเขาฐานะบิดามารดาและผู้ใหญ่. บิดามารดาซึ่งรู้สึกว่าต้องยอมให้ลูก ๆ ควบคุมชีวิตของตนนั้นอาจรู้สึกหดหู่ใจหรือโกรธเคือง. บางคนขุ่นเคืองและต่อต้านสิ่งที่เขาอาจเข้าใจว่าเป็นความพยายามที่จะทำให้เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป.
10 ไม่มีทางแก้ง่าย ๆ สำหรับปัญหาเช่นนั้น ทว่า เป็นการแสดงความกรุณาที่จะยอมให้บิดามารดาที่สูงอายุดูแลตัวเองและทำการตัดสินใจเองถึงขีดที่เป็นไปได้. เป็นการฉลาดสุขุมที่จะไม่ทำการตัดสินว่าอะไรดีที่สุดสำหรับบิดามารดาของคุณโดยที่ยังไม่ได้พูดคุยกับท่านก่อน. ท่านอาจสูญเสียอะไรไปหลายอย่างแล้ว. จงยอมให้ท่านรักษาสิ่งที่ท่านยังคงมีอยู่. คุณอาจพบว่า ยิ่งคุณพยายามน้อยเท่าไรที่จะควบคุมชีวิตของบิดามารดา ความสัมพันธ์ของคุณกับท่านก็จะดีขึ้นเท่านั้น. ท่านจะมีความสุขมากขึ้น และคุณก็เช่นกัน. ถึงแม้ว่าจำเป็นที่จะยืนกรานในบางเรื่องเพื่อผลประโยชน์ของท่านก็ตาม การให้เกียรติบิดามารดาเรียกร้องให้คุณมอบศักดิ์ศรีและความนับถือที่ท่านสมควรได้รับแก่ท่าน. พระคำของพระเจ้าแนะนำว่า “จงคำนับคนผมหงอกและนับถือคนแก่.”—เลวีติโก 19:32.
การรักษาไว้ซึ่งเจตคติที่ถูกต้อง
11-13. หากลูกที่เป็นผู้ใหญ่แล้วไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับบิดามารดาของตนในอดีต เขาจะยังคงสามารถจัดการกับข้อท้าทายในการเอาใจใส่ดูแลท่านตอนสูงอายุได้อย่างไร?
11 บางครั้งปัญหาที่ลูกซึ่งโตแล้วเผชิญในการให้เกียรติแก่บิดามารดาที่สูงอายุนั้นเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่เขาเคยมีกับบิดามารดาตอนที่เขายังเล็กอยู่. บางทีคุณพ่อของคุณอาจเคยเย็นชาและไม่แสดงความรัก คุณแม่อาจเคยใช้อำนาจบาตรใหญ่และเกรี้ยวกราด. คุณอาจยังคงรู้สึกข้องขัดใจ, โกรธเคือง, หรือเจ็บใจเพราะท่านไม่ได้เป็นบิดามารดาแบบที่คุณต้องการให้ท่านเป็น. คุณจะเอาชนะความรู้สึกเช่นนั้นได้ไหม?a
12 บัสเซ ซึ่งเติบโตในฟินแลนด์เล่าว่า “พ่อเลี้ยงของผมเคยเป็นทหารหน่วยเอสเอสในเยอรมนีสมัยนาซี. ท่านเป็นคนขี้โมโห และถ้าเกิดขึ้นเมื่อไรก็เป็นอันตราย. ท่านตบตีคุณแม่ต่อหน้าผมหลายครั้ง. ครั้งหนึ่งที่ท่านโมโหผม ท่านเอาเข็มขัดฟาดผมที่หน้าพร้อมด้วยหัวเข็มขัด. มันแรงจนทำให้ผมล้มคะมำลงบนเตียง.”
13 กระนั้น มีอีกมุมมองหนึ่งเกี่ยวกับบุคลิกของท่าน. บัสเซเสริมว่า “ในอีกด้านหนึ่ง ท่านทำงานหนักทีเดียวและมิได้หวงตัวเองในการเอาใจใส่ดูแลครอบครัวทางด้านวัตถุ. ท่านไม่เคยแสดงความรักใคร่อย่างที่พ่อพึงมีต่อลูก แต่ผมทราบว่า ท่านมีบาดแผลทางใจ. คุณย่าไล่ท่านออกจากบ้านตอนที่ท่านยังเด็ก. ท่านเติบโตมาพร้อมกับการชกต่อยและเข้าสู่สงครามขณะเป็นหนุ่ม. ผมเข้าใจได้ในระดับหนึ่งและไม่ได้โทษท่าน. เมื่อผมอายุมากขึ้น ผมต้องการช่วยเหลือท่านมากเท่าที่ทำได้จนกระทั่งท่านสิ้นชีวิต. นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผมพยายามจะช่วยเหลือท่านไม่ว่าทางใดที่ผมทำได้. ผมพยายามจะเป็นลูกที่ดีจนถึงที่สุด และผมคิดว่าท่านยอมรับผมว่าเป็นเช่นนั้น.”
14. ข้อคัมภีร์ใดนำมาใช้ได้ในทุกสถานการณ์ รวมทั้งสถานการณ์เหล่านั้นที่เกิดขึ้นในการเอาใจใส่ดูแลบิดามารดาที่สูงอายุ?
14 กับสภาพการณ์ในครอบครัว เช่นเดียวกับในเรื่องอื่น คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลนำมาใช้ได้ที่ว่า “จงสวมตัวท่านด้วยความรักใคร่อันอ่อนละมุนแห่งความเมตตา, ความกรุณา, ใจถ่อม, ความอ่อนโยน, และความอดกลั้นไว้นาน. จงทนต่อกันและกันอยู่เรื่อยไปและจงอภัยให้กันและกันอย่างใจกว้างถ้าแม้นผู้ใดมีสาเหตุจะบ่นว่าคนอื่น. พระยะโฮวาทรงให้อภัยท่านอย่างใจกว้างฉันใด ท่านทั้งหลายจงกระทำฉันนั้น.”—โกโลซาย 3:12, 13, ล.ม.
ผู้ที่ให้การเอาใจใส่ต้องได้รับการเอาใจใส่ด้วยเช่นกัน
15. ทำไมการเอาใจใส่ดูแลบิดามารดาบางครั้งเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจ?
15 การเอาใจใส่ดูแลบิดาหรือมารดาที่ทุพพลภาพเป็นงานหนัก เกี่ยวข้องกับภารกิจมากมาย หน้าที่รับผิดชอบหลายอย่าง และเวลายาวนาน. แต่ส่วนที่ยากที่สุดบ่อยครั้งคือด้านอารมณ์. เป็นเรื่องทุกข์ใจที่จะเฝ้าดูบิดามารดาของคุณมีสุขภาพเสื่อมทรุดลง, สูญเสียความจำ, และสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง. แซนดี ซึ่งมาจากเปอร์โตริโก เล่าว่า “คุณแม่ของดิฉันเป็นจุดรวมของครอบครัว. เป็นสิ่งที่ทำให้ปวดร้าวใจทีเดียวที่จะดูแลท่าน. ตอนแรกท่านเริ่มเดินกะโผลกกะเผลก ต่อจากนั้นท่านต้องใช้ไม้เท้า ครั้นแล้วก็ใช้อุปกรณ์ช่วยการเดิน จากนั้นก็เก้าอี้ล้อ. หลังจากนั้นก็ทรุดลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งท่านสิ้นชีวิต. ท่านเป็นโรคมะเร็งกระดูกและต้องได้รับการดูแลตลอดเวลา—ทั้งวันทั้งคืน. เราอาบน้ำและป้อนอาหารให้ท่านและอ่านหนังสือให้ท่านฟัง. เป็นเรื่องที่ยากลำบากจริง ๆ —โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านอารมณ์. เมื่อดิฉันรู้ว่าคุณแม่กำลังจะตาย ดิฉันร้องไห้เพราะดิฉันรักท่านมากเหลือเกิน.”
16, 17. คำแนะนำอะไรอาจช่วยผู้ที่ให้การเอาใจใส่ดูแลมีทัศนะที่สมดุลต่อเรื่องต่าง ๆ เสมอ?
16 หากคุณพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพการณ์คล้ายกัน คุณสามารถทำประการใดเพื่อจะรับมือได้? การรับฟังพระยะโฮวาโดยการอ่านคัมภีร์ไบเบิลและพูดกับพระองค์โดยการอธิษฐานจะช่วยคุณได้อย่างมากมาย. (ฟิลิปปอย 4:6, 7) ในทางปฏิบัติ จงทำให้แน่ใจว่า คุณรับประทานอาหารที่ได้สัดส่วนและพยายามนอนหลับให้พอ. โดยการทำเช่นนี้ คุณจะอยู่ในสภาพที่ดีขึ้น ทั้งทางด้านอารมณ์และด้านร่างกาย เพื่อจะเอาใจใส่ดูแลคนที่คุณรัก. บางทีคุณอาจจัดให้มีการพักจากกิจวัตรประจำวันเป็นครั้งคราว. แม้ว่าการหยุดพักร้อนอาจเป็นไปไม่ได้ก็ตาม ก็ยังนับว่าฉลาดสุขุมที่จะจัดเวลาบางช่วงไว้เพื่อการหย่อนใจ. เพื่อจะมีเวลาปลีกตัวจากผู้ป่วย คุณอาจสามารถจัดให้คนอื่นอยู่กับบิดาหรือมารดาที่ป่วยอยู่นั้นได้.
17 ไม่ใช่เรื่องผิดปกติสำหรับผู้ใหญ่ที่ให้การเอาใจใส่ดูแลนั้นจะมีการคาดหมายจากตัวเองอย่างไม่มีเหตุผล. แต่อย่ารู้สึกผิดเนื่องจากสิ่งที่คุณทำไม่ได้. ในสภาพแวดล้อมบางอย่าง คุณอาจต้องมอบคนที่คุณรักไว้ในความดูแลของสถานพยาบาล. หากคุณเป็นคนที่ให้การเอาใจใส่ดูแล จงตั้งความคาดหมายอย่างมีเหตุผลไว้สำหรับตัวคุณเอง. คุณต้องทำให้สมดุลกันไม่เพียงแต่ความต้องการของบิดามารดา แต่ของลูก ๆ, ของคู่สมรส, และของตัวคุณเองด้วย.
กำลังที่เกินกว่ากำลังปกติ
18, 19. พระยะโฮวาทรงให้คำสัญญาอะไรเกี่ยวกับการเกื้อหนุน และประสบการณ์อะไรแสดงว่า พระองค์ทรงรักษาคำสัญญาข้อนี้?
18 โดยทางคัมภีร์ไบเบิล พระคำของพระองค์ พระยะโฮวาทรงจัดเตรียมการชี้นำด้วยความรักซึ่งสามารถช่วยคนเราได้อย่างมากมายในการเอาใจใส่ดูแลบิดามารดาที่ชรา แต่นั่นไม่ใช่การช่วยเหลืออย่างเดียวเท่านั้นที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้. ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญเขียนภายใต้การดลใจว่า “พระยะโฮวาทรงสถิตใกล้คนทั้งปวงที่ร้องทูลต่อพระองค์ . . . จะทรงสดับเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเขา และพระองค์จะทรงช่วยเขาให้รอด.” พระยะโฮวาจะทรงช่วยผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ให้รอดหรือคุ้มครองเขาให้ผ่านพ้นสถานการณ์ที่ยากลำบากมากที่สุดด้วยซ้ำ.—บทเพลงสรรเสริญ 145:18, 19, ล.ม.
19 เมอร์นา ในฟิลิปปินส์ เรียนรู้เรื่องนี้ขณะที่เอาใจใส่ดูแลคุณแม่ของเธอ ซึ่งช่วยตัวเองไม่ได้เลยเนื่องจากเป็นอัมพาต. เมอร์นาเขียนว่า “ไม่มีอะไรที่ทำให้ทุกข์ใจยิ่งไปกว่าการเห็นคนที่คุณรักต้องทนทุกข์ ไม่สามารถบอกคุณว่าเจ็บตรงไหน. มันคล้ายกับเห็นท่านค่อย ๆ จมน้ำไป และดิฉันไม่สามารถทำอะไรได้. หลายครั้งดิฉันจะคุกเข่าลงพูดกับพระยะโฮวาว่า ดิฉันเหนื่อยล้าสักเพียงไร. ดิฉันร้องไห้ออกมาเหมือนดาวิด ผู้ซึ่งวิงวอนพระยะโฮวาให้เก็บน้ำตาของท่านไว้ในขวดและระลึกถึงท่าน. [บทเพลงสรรเสริญ 56:8] และดังที่พระยะโฮวาทรงสัญญาไว้ พระองค์ทรงจัดเตรียมกำลังที่ดิฉันต้องการ. ‘พระยะโฮวาทรงเป็นที่พึ่งของดิฉัน.’”—บทเพลงสรรเสริญ 18:18.
20. คำสัญญาอะไรในคัมภีร์ไบเบิลช่วยผู้ที่ให้การเอาใจใส่ดูแลมองในแง่ดีเสมอ ถึงแม้ผู้ที่เขาดูแลนั้นเสียชีวิตก็ตาม?
20 กล่าวกันว่า การเอาใจใส่ดูแลบิดามารดาที่สูงอายุนั้นเป็น “นิยายที่ไม่ได้จบอย่างมีความสุข.” ทั้ง ๆ ที่มีความพยายามอย่างดีที่สุดในการเอาใจใส่ดูแลแล้วก็ตาม ผู้สูงอายุอาจเสียชีวิตก็ได้ ดังเช่นมารดาของเมอร์นา. แต่คนเหล่านั้นที่วางใจในพระยะโฮวาทราบว่าความตายไม่ใช่จุดจบของเรื่อง. อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า “และข้าพเจ้ามีความหวังในพระเจ้า. . . . ว่าจะมีการกลับเป็นขึ้นจากตายทั้งของคนชอบธรรมและคนไม่ชอบธรรม.” (กิจการ 24:15, ล.ม.) คนเหล่านั้นที่ได้สูญเสียบิดามารดาที่สูงอายุไปเนื่องด้วยความตายนั้นได้รับการปลอบประโลมด้วยความหวังเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตายพร้อมกับคำสัญญาเรื่องโลกใหม่อันทำให้เบิกบานใจที่พระเจ้าทรงสร้างซึ่ง “ความตายจะไม่มีอีกต่อไป.”—วิวรณ์ 21:4, ล.ม.
21. ผลดีอะไรบ้างเกิดจากการให้เกียรติบิดามารดาที่สูงอายุ?
21 ผู้รับใช้ของพระเจ้ามีความนับถือสุดซึ้งต่อบิดามารดา ถึงแม้ท่านอาจชราแล้วก็ตาม. (สุภาษิต 23:22-24) พวกเขาให้เกียรติบิดามารดา. โดยการทำเช่นนั้น พวกเขาประสบสิ่งที่สุภาษิตซึ่งมีขึ้นโดยการดลใจกล่าวไว้ว่า “บิดาและมารดาของเจ้าจะปีติยินดี และนางผู้ให้กำเนิดเจ้าจะชื่นชมยินดี.” (สุภาษิต 23:25, ล.ม.) และสำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด คนเหล่านั้นที่ให้เกียรติบิดามารดาที่สูงอายุทำให้พระยะโฮวาพระเจ้าพอพระทัยและถวายเกียรติแด่พระองค์ด้วย.
a ในที่นี้เรามิได้พิจารณาสภาพการณ์ที่บิดามารดามีความผิดฐานใช้อำนาจและหน้าที่ในทางที่ผิดอย่างเกินขอบเขต ซึ่งอาจถือว่าเป็นความผิดทางอาญา.
-
-
บากบั่นเพื่อให้ได้มาซึ่งอนาคตถาวรสำหรับครอบครัวของคุณเคล็ดลับสำหรับความสุขในครอบครัว
-
-
บทสิบหก
บากบั่นเพื่อให้ได้มาซึ่งอนาคตถาวรสำหรับครอบครัวของคุณ
1. อะไรคือพระประสงค์ของพระยะโฮวาสำหรับการจัดเตรียมเกี่ยวกับครอบครัว?
เมื่อพระยะโฮวาทรงผูกพันอาดามและฮาวาเป็นหนึ่งเดียวในการสมรส อาดามแสดงความยินดีของเขาออกมาโดยการกล่าวบทกวีภาษาฮีบรูซึ่งเป็นบทแรกสุดที่มีการบันทึกไว้. (เยเนซิศ 2:22, 23) อย่างไรก็ดี พระผู้สร้างทรงคำนึงถึงยิ่งกว่าเพียงการนำความเพลิดเพลินมาสู่เหล่าบุตรของพระองค์ที่เป็นมนุษย์. พระองค์ทรงประสงค์ให้คู่สมรสและครอบครัวทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์. พระองค์รับสั่งแก่มนุษย์คู่แรกว่า “จงบังเกิดทวีมากขึ้นทั่วทั้งแผ่นดิน; จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน; จงครอบครองฝูงปลาในทะเลและฝูงนกในอากาศ, กับบรรดาสัตว์ที่มีชีวิตไหวกายได้ซึ่งอยู่บนแผ่นดิน.” (เยเนซิศ 1:28) ช่างเป็นงานมอบหมายที่ใหญ่โต ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าจริง ๆ! พวกเขาและลูก ๆ ที่จะเกิดมาในอนาคตคงจะมีความสุขสักเพียงไรหากอาดามกับฮาวาทำตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวาด้วยการเชื่อฟังอย่างครบถ้วน!
2, 3. ครอบครัวสามารถประสบความสุขมากที่สุดในทุกวันนี้ได้โดยวิธีใด?
2 ในทุกวันนี้ก็เช่นกัน ครอบครัวมีความสุขมากที่สุดเมื่อพวกเขาบากบั่นร่วมกันที่จะทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. อัครสาวกเปาโลเขียนไว้ว่า “ความเลื่อมใสในพระเจ้ามีประโยชน์ทุกทาง เพราะอำนวยประโยชน์แก่ชีวิตในปัจจุบันและชีวิตอนาคตด้วย.” (1 ติโมเธียว 4:8, ล.ม.) ครอบครัวที่ดำเนินชีวิตด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าและติดตามการชี้แนะของพระยะโฮวาดังที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลนั้นจะประสบความสุขใน “ชีวิตในปัจจุบัน.” (บทเพลงสรรเสริญ 1:1-3; 119:105; 2 ติโมเธียว 3:16) ถึงแม้สมาชิกเพียงคนเดียวในครอบครัวนำหลักการของคัมภีร์ไบเบิลมาใช้ ก็ดีกว่าที่ไม่มีสักคนนำหลักการเหล่านั้นมาใช้.
3 หนังสือนี้ได้พิจารณาหลักการในคัมภีร์ไบเบิลหลายข้อที่ส่งเสริมความสุขในครอบครัว. บางทีคุณอาจได้สังเกตว่า มีการแสดงถึงหลักการบางอย่างหลายครั้งหลายหนตลอดทั้งเล่มของหนังสือนี้. เพราะเหตุใด? เพราะหลักการนั้นแสดงถึงความจริงที่มีพลังซึ่งเกิดผลในทางที่เป็นประโยชน์แก่ทุกคนในแง่มุมต่าง ๆ ของชีวิตครอบครัว. ครอบครัวที่พยายามนำหลักการเหล่านี้ในคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ประสบว่า ความเลื่อมใสในพระเจ้า “อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตในปัจจุบัน” จริง ๆ. ขอให้เราพิจารณาอีกครั้งหนึ่งถึงหลักการสำคัญเหล่านั้นสี่ประการ.
คุณค่าของการรู้จักบังคับตน
4. ทำไมการรู้จักบังคับตนจึงสำคัญยิ่งในชีวิตสมรส?
4 กษัตริย์ซะโลโมตรัสว่า “คนที่ไม่มีอำนาจบังคับระงับใจของตนเองก็เป็นเหมือนเมืองที่หักพังและไม่มีกำแพงเมือง.” (สุภาษิต 25:28; 29:11) ‘การบังคับระงับใจของคนเรา’ คือการรู้จักบังคับตน เป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับคนเหล่านั้นซึ่งต้องการชีวิตสมรสที่มีความสุข. การยอมแพ้ต่ออารมณ์ที่ยังความเสียหาย เช่น ความเดือดดาลหรือราคะตัณหา จะก่อความเสียหายที่ต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อจะแก้ไขให้ดีดังเดิม—ถ้าหากแก้ไขได้.
5. มนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์สามารถปลูกฝังการรู้จักบังคับตนได้อย่างไร และพร้อมด้วยผลประโยชน์อะไรบ้าง?
5 แน่นอน ไม่มีลูกหลานคนใดของอาดามสามารถควบคุมเนื้อหนังที่ไม่สมบูรณ์ของตนได้อย่างครบถ้วน. (โรม 7:21, 22) กระนั้น การรู้จักบังคับตนเป็นผลแห่งพระวิญญาณอย่างหนึ่ง. (ฆะลาเตีย 5:22, 23) เนื่องจากเหตุนี้ พระวิญญาณของพระเจ้าจะทำให้การรู้จักบังคับตนเกิดขึ้นในตัวเราหากเราอธิษฐานขอคุณลักษณะนี้, หากเราเอาคำแนะนำอันเหมาะสมที่มีอยู่ในพระคัมภีร์มาใช้, และหากเราคบหาสมาคมกับคนอื่นซึ่งสำแดงคุณลักษณะนี้และหลีกเลี่ยงคนเหล่านั้นที่ไม่ได้สำแดงคุณลักษณะดังกล่าว. (บทเพลงสรรเสริญ 119:100, 101, 130; สุภาษิต 13:20; 1 เปโตร 4:7) แนวทางเช่นนั้นจะช่วยเราให้ ‘หลีกหนีจากการล่วงประเวณี’ แม้แต่เมื่อเราถูกล่อใจ. (1 โกรินโธ 6:18) เราจะปฏิเสธความรุนแรงและจะหลีกเลี่ยงหรือเอาชนะการติดสุรา. และเราจะปฏิบัติอย่างใจเย็นมากขึ้นกับการยั่วโมโหและสภาพการณ์ที่ยุ่งยาก. ขอให้ทุกคน—รวมทั้งเด็ก ๆ —เรียนรู้ที่จะปลูกฝังผลของพระวิญญาณอันสำคัญยิ่งนี้.—บทเพลงสรรเสริญ 119:1, 2.
ทัศนะที่ถูกต้องต่อตำแหน่งประมุข
6. (ก) ลำดับตำแหน่งประมุขที่พระเจ้ากำหนดไว้นั้นคืออย่างไร? (ข) ผู้ชายต้องจดจำอะไรเพื่อว่าตำแหน่งประมุขของเขาจะนำความสุขมาสู่ครอบครัว?
6 หลักการสำคัญประการที่สองคือ การยอมรับตำแหน่งประมุข. เปาโลพรรณนาลำดับที่เหมาะสมเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เมื่อท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าใคร่ให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่า, พระคริสต์เป็นศีรษะของชายทุกคน, และชายเป็นศีรษะของหญิง, และพระเจ้าเป็นศีรษะของพระคริสต์.” (1 โกรินโธ 11:3) ทั้งนี้หมายความว่า ผู้ชายนำหน้าในครอบครัว ภรรยาให้การสนับสนุนด้วยความภักดี และลูก ๆ เชื่อฟังบิดามารดา. (เอเฟโซ 5:22-25, 28-33; 6:1-4) แต่โปรดสังเกตว่า ตำแหน่งประมุขนำไปสู่ความสุขก็ต่อเมื่อมีการปฏิบัติในวิธีที่เหมาะสมเท่านั้น. สามีซึ่งดำเนินชีวิตด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าทราบว่า ตำแหน่งประมุขไม่ใช่ระบอบเผด็จการ. พวกเขาเลียนแบบพระเยซู ประมุขของเขา. ถึงแม้พระเยซู “เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัตร” ก็ตาม พระองค์ “มิได้มาเพื่อให้เขาปรนนิบัติ. แต่ . . . มาเพื่อจะปรนนิบัติเขา.” (เอเฟโซ 1:22; มัดธาย 20:28) ในทำนองคล้ายกัน ชายคริสเตียนใช้ตำแหน่งประมุข ไม่ใช่เพื่อประโยชน์แก่ตัวเอง แต่เพื่อเอาใจใส่ผลประโยชน์ของภรรยาและลูก ๆ.—1 โกรินโธ 13:4, 5.
7. หลักการอะไรบ้างในพระคัมภีร์จะช่วยภรรยาให้ปฏิบัติตามบทบาทของเธอที่พระเจ้ากำหนดไว้ในครอบครัว?
7 สำหรับบทบาทของเธอ ภรรยาซึ่งดำเนินชีวิตด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าไม่แข่งขันกับสามีหรือพยายามจะมีอำนาจเหนือเขา. เธอยินดีสนับสนุนเขาและร่วมมือกับเขา. บางครั้งคัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงภรรยาว่า สามี “เป็นเจ้าของ” ของเธอ ทำให้เห็นชัดว่า เขาเป็นประมุขของเธอ. (เยเนซิศ 20:3, ล.ม.) โดยการสมรสเธอมาอยู่ใต้ “กฎประเพณีสามีภรรยา.” (โรม 7:2) ในเวลาเดียวกัน พระคัมภีร์เรียกเธอว่า “ผู้ช่วย” และ “คู่เคียง.” (เยเนซิศ 2:20) เธอเสริมคุณลักษณะและความสามารถที่สามีของเธอขาดไป และเธอให้การสนับสนุนที่จำเป็นแก่เขา. (สุภาษิต 31:10-31) คัมภีร์ไบเบิลบอกด้วยว่าภรรยาเป็น “เพื่อน” ซึ่งทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับคู่ครองของตน. (มาลาคี 2:14) หลักการเหล่านี้ในพระคัมภีร์ช่วยสามีและภรรยาให้เข้าใจฐานะของแต่ละฝ่าย และให้ปฏิบัติต่อกันด้วยความนับถือและศักดิ์ศรีที่เหมาะสม.
“ว่องไวในการฟัง”
8, 9. จงอธิบายหลักการบางอย่างซึ่งจะช่วยทุกคนในครอบครัวให้พัฒนาทักษะในการสื่อความของตน.
8 มีการเน้นความจำเป็นในการสื่อความบ่อยครั้งในหนังสือนี้. เพราะเหตุใด? เพราะสถานการณ์ดีขึ้นเมื่อคนพูดคุยกันและรับฟังกันและกัน. มีการเน้นหลายครั้งว่า การสื่อความเป็นเหมือนถนนที่มีการเดินรถทั้งไปและกลับ. สาวกยาโกโบแสดงให้เห็นเรื่องนั้นดังนี้: “จงให้ทุกคนว่องไวในการฟัง, ช้าในการพูด.”—ยาโกโบ 1:19.
9 เป็นเรื่องสำคัญด้วยที่จะระวังเกี่ยวกับวิธี ที่เราพูด. คำพูดแบบไม่ยั้งคิด, ชอบโต้เถียง, หรือติอย่างรุนแรงมิได้ก่อให้เกิดการสื่อความที่ประสบผลสำเร็จ. (สุภาษิต 15:1; 21:9; 29:11, 20) แม้แต่เมื่อสิ่งที่เราพูดนั้นถูกต้องก็ตาม หากแสดงออกด้วยท่าทีเหี้ยมเกรียม, หยิ่งยโส, หรือไม่คำนึงถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายแล้ว ก็เกิดผลเสียมากกว่าผลดี. คำพูดของเราควรน่าฟัง “ปรุงด้วยเกลือให้มีรส.” (โกโลซาย 4:6) คำพูดของเราควรเป็นเหมือน “ผลแอปเปิลทำด้วยทองคำใส่ไว้ในกระเช้าเงิน.” (สุภาษิต 25:11) ครอบครัวซึ่งเรียนรู้ที่จะสื่อความอย่างดีได้ดำเนินการขั้นสำคัญไปสู่การประสบความสุข.
บทบาทที่สำคัญยิ่งของความรัก
10. ความรักชนิดใดสำคัญยิ่งในชีวิตสมรส?
10 คำว่า “ความรัก” ปรากฏหลายครั้งตลอดหนังสือเล่มนี้. คุณจำความรักชนิดที่มีการกล่าวถึงเป็นอันดับแรกได้ไหม? เป็นความจริงที่ว่า ความรักระหว่างชายและหญิง (ภาษากรีก, เอʹรอส) มีบทบาทสำคัญในชีวิตสมรส และในการสมรสที่ประสบผลสำเร็จนั้น ความรักใคร่และมิตรภาพอันลึกซึ้ง (ภาษากรีก, ฟีเลียʹ) งอกงามระหว่างสามีกับภรรยา. แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ความรักที่คำภาษากรีก อะกาʹเป หมายถึง. นี่เป็นความรักที่เราปลูกฝังต่อพระยะโฮวา, ต่อพระเยซู, และต่อเพื่อนบ้านของเรา. (มัดธาย 22:37-39) นี่เป็นความรักที่พระยะโฮวาแสดงต่อมนุษยชาติ. (โยฮัน 3:16) ช่างยอดเยี่ยมสักเพียงไรที่เราสามารถแสดงความรักอย่างเดียวกันต่อคู่สมรสและบุตรของเรา!—1 โยฮัน 4:19.
11. ความรักเกิดผลในทางที่ดีต่อชีวิตสมรสอย่างไร?
11 ในชีวิตสมรส ความรักอันสูงส่งนี้เป็น “เครื่องเชื่อมสามัคคีที่ดีพร้อม” อย่างแท้จริง. (โกโลซาย 3:14, ล.ม.) ความรักนี้ผูกพันคู่สมรสเข้าด้วยกันและทำให้เขาต้องการทำสิ่งดีที่สุดเพื่อกันและกันและเพื่อลูก. เมื่อครอบครัวเผชิญสภาพการณ์ยุ่งยาก ความรักช่วยเขาให้จัดการเรื่องต่าง ๆ อย่างปรองดองกัน. ขณะที่คู่สมรสอายุมากขึ้น ความรักช่วยเขาให้เกื้อหนุนและยังคงหยั่งรู้ค่ากันและกัน. “ความรัก . . . ไม่แสวงหาผลประโยชน์สำหรับตนเอง . . . ความรักทนรับเอาทุกสิ่ง, เชื่อทุกสิ่ง, หวังทุกสิ่ง, อดทนทุกสิ่ง. ความรักไม่ล้มเหลวเลย.”—1 โกรินโธ 13:4-8, ล.ม.
12. ทำไมความรักต่อพระเจ้าในส่วนของคู่สมรสทำให้ชีวิตสมรสของเขามั่นคง?
12 เครื่องผูกพันในชีวิตสมรสจะแน่นแฟ้นเป็นพิเศษเมื่อผนึกไม่เพียงด้วยความรักระหว่างคู่สมรสเท่านั้น แต่ด้วยความรักต่อพระยะโฮวาเป็นอันดับแรก. (ท่านผู้ประกาศ 4:9-12) เพราะเหตุใด? อัครสาวกโยฮันได้เขียนว่า “นี่แหละหมายถึงความรักต่อพระเจ้า คือว่าให้เราปฏิบัติตามบัญญัติของพระองค์.” (1 โยฮัน 5:3, ล.ม.) ฉะนั้น คู่สมรสควรอบรมลูกด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าไม่เพียงเพราะเขารักลูกของตนอย่างลึกซึ้งเท่านั้น แต่เพราะนี่เป็นพระบัญชาของพระยะโฮวา. (พระบัญญัติ 6:6, 7) พวกเขาควรหลีกเลี่ยงการประพฤติผิดศีลธรรมไม่เพียงเพราะเขารักกันและกันเท่านั้น แต่ที่สำคัญเป็นเพราะเขารักพระยะโฮวา ผู้ซึ่ง “จะทรงพิพากษาคนผิดประเวณีและคนเล่นชู้.” (เฮ็บราย 13:4, ล.ม.) ถึงแม้ฝ่ายหนึ่งก่อปัญหาร้ายแรงในชีวิตสมรสก็ตาม ความรักต่อพระยะโฮวาจะกระตุ้นอีกฝ่ายหนึ่งให้ปฏิบัติตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิลต่อ ๆ ไป. แท้จริง ความสุขมีแก่ครอบครัวเหล่านั้นซึ่งให้ความรักต่อพระยะโฮวาผนึกความรักที่มีต่อกันให้แน่นแฟ้น!
ครอบครัวที่ทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า
13. ความตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าจะช่วยคนเราให้เพ่งเล็งในสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงนั้นอย่างไร?
13 ชีวิตทั้งสิ้นของคริสเตียนรวมจุดอยู่ที่การทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. (บทเพลงสรรเสริญ 143:10) นี่เป็นสิ่งที่ความเลื่อมใสในพระเจ้าหมายถึงอย่างแท้จริง. การทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าช่วยครอบครัวให้เพ่งเล็งในสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริง. (ฟิลิปปอย 1:9, 10) ตัวอย่างเช่น พระเยซูทรงเตือนว่า “เรามาเพื่อจะให้ลูกชายหมางใจกับบิดาของตน, และลูกสาวหมางใจกับมารดา, และลูกสะใภ้หมางใจกับแม่ผัว และผู้ที่อยู่ร่วมเรือนเดียวกันก็จะเป็นศัตรูต่อกัน.” (มัดธาย 10:35, 36) จริงตามคำเตือนของพระเยซู สาวกหลายคนของพระองค์ได้รับการข่มเหงจากสมาชิกในครอบครัว. ช่างเป็นสภาพการณ์ที่น่าเศร้า น่าปวดร้าวใจจริง ๆ! ถึงกระนั้นก็ตาม ความผูกพันในครอบครัวไม่ควรมีความสำคัญกว่าความรักต่อพระยะโฮวาพระเจ้าและพระเยซูคริสต์. (มัดธาย 10:37-39) หากคนเราอดทนทั้ง ๆ ที่มีการต่อต้านจากครอบครัว ผู้ต่อต้านอาจเปลี่ยนเมื่อเขาเห็นผลกระทบที่ดีจากความเลื่อมใสในพระเจ้า. (1 โกรินโธ 7:12-16; 1 เปโตร 3:1, 2) ถึงแม้ว่าไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นก็ตาม ก็ไม่ได้ประโยชน์ถาวรอะไรโดยการเลิกรับใช้พระเจ้าเนื่องจากการต่อต้าน.
14. ความปรารถนาที่จะทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าจะช่วยบิดามารดาให้ปฏิบัติเพื่อผลประโยชน์อันดีที่สุดสำหรับลูกของเขาอย่างไร?
14 การทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าช่วยบิดามารดาให้ทำการตัดสินใจที่ถูกต้อง. ตัวอย่างเช่น ในชุมชนบางแห่ง บิดามารดามีแนวโน้มที่จะถือว่าลูกเป็นเหมือนการลงทุน และเขาหวังพึ่งลูกให้ดูแลเขาในยามชรา. ถึงแม้เป็นการถูกต้องและเหมาะสมที่ลูกซึ่งโตแล้วจะเอาใจใส่ดูแลบิดามารดาที่สูงอายุ การคำนึงถึงเช่นนั้นไม่ควรทำให้บิดามารดาชี้นำลูกไปยังรูปแบบชีวิตที่ฝักใฝ่ทางวัตถุ. บิดามารดาไม่ได้ช่วยลูกหากเขาเลี้ยงลูกให้ถือว่าสมบัติพัสถานมีค่ามากกว่าสิ่งฝ่ายวิญญาณ.—1 ติโมเธียว 6:9.
15. ยูนิเกมารดาของติโมเธียวเป็นตัวอย่างดีเลิศอย่างไรสำหรับมารดาที่ได้ทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า?
15 ตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้คือยูนิเก มารดาของติโมเธียว สหายหนุ่มของเปาโล. (2 ติโมเธียว 1:5) ถึงแม้เธอสมรสกับผู้ไม่มีความเชื่อ ยูนิเกพร้อมกับโลอียายของติโมเธียวได้ประสบผลสำเร็จในการเลี้ยงดูติโมเธียวให้ติดตามความเลื่อมใสในพระเจ้า. (2 ติโมเธียว 3:14, 15) เมื่อติโมเธียวมีอายุมากพอแล้ว ยูนิเกได้อนุญาตให้เขาออกจากบ้านไปและรับเอางานประกาศราชอาณาจักรฐานะเพื่อนมิชชันนารีของเปาโล. (กิจการ 16:1-5) เธอคงต้องรู้สึกตื่นเต้นสักเพียงไรเมื่อลูกชายของเธอได้มาเป็นมิชชันนารีที่โดดเด่น! ความเลื่อมใสของเขาในพระเจ้าตอนเป็นผู้ใหญ่สะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดีถึงการอบรมในวัยเยาว์ที่เขาได้รับ. แน่นอน ยูนิเกคงประสบความพอใจและความยินดีเมื่อได้ยินรายงานเกี่ยวกับการรับใช้อย่างซื่อสัตย์ของติโมเธียว ถึงแม้เธออาจจะอาลัยอาวรณ์ที่ลูกไม่ได้อยู่กับเธอก็ตาม.—ฟิลิปปอย 2:19, 20.
ครอบครัวและอนาคตของคุณ
16. ในฐานะบุตรชาย พระเยซูแสดงความห่วงใยที่เหมาะสมเช่นไร แต่เป้าประสงค์หลักของพระองค์คืออะไร?
16 พระเยซูได้รับการเลี้ยงดูในครอบครัวที่เลื่อมใสพระเจ้า และเมื่อเป็นผู้ใหญ่ พระองค์ในฐานะบุตรได้แสดงความห่วงใยอย่างเหมาะสมต่อมารดาของพระองค์. (ลูกา 2:51, 52; โยฮัน 19:26) อย่างไรก็ตาม เป้าประสงค์หลักของพระเยซูคือ ทำให้พระทัยประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ และสำหรับพระองค์แล้วนี่หมายรวมถึงการเปิดทางเพื่อมนุษย์จะได้รับชีวิตนิรันดร์. พระองค์ทรงทำเช่นนี้เมื่อถวายชีวิตมนุษย์สมบูรณ์ของพระองค์เป็นค่าไถ่สำหรับมนุษยชาติที่ผิดบาป.—มาระโก 10:45; โยฮัน 5:28, 29.
17. โอกาสอันรุ่งโรจน์อะไรที่แนวทางอันซื่อสัตย์ของพระเยซูเปิดทางไว้สำหรับคนเหล่านั้นที่ทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า?
17 หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู พระยะโฮวาทรงปลุกพระองค์ขึ้นสู่ชีวิตทางภาคสวรรค์แล้วประทานอำนาจใหญ่ยิ่งให้พระองค์ ในที่สุดทรงสถาปนาพระองค์เป็นกษัตริย์ในราชอาณาจักรทางภาคสวรรค์. (มัดธาย 28:18; โรม 14:9; วิวรณ์ 11:15) การเสียสละของพระเยซูทำให้มีทางเป็นไปได้ที่มนุษย์บางคนจะถูกเลือกไปปกครองร่วมกับพระองค์ในราชอาณาจักรนั้น อีกทั้งเป็นการเปิดทางให้แก่มนุษยชาติที่สุจริตใจที่เหลืออยู่นั้นได้ชื่นชมกับชีวิตสมบูรณ์บนแผ่นดินโลกที่ได้รับการฟื้นฟูสู่สภาพอุทยาน. (วิวรณ์ 5:9, 10; 14:1, 4; 21:3-5; 22:1-4) สิทธิพิเศษอย่างหนึ่งซึ่งเรามีในทุกวันนี้คือบอกข่าวดียอดเยี่ยมนี้แก่เพื่อนบ้านของเรา.—มัดธาย 24:14.
18. มีการให้ข้อเตือนใจอะไรและการหนุนใจอะไรทั้งสำหรับครอบครัวและปัจเจกบุคคล?
18 ดังที่อัครสาวกเปาโลแสดงให้เห็น การดำเนินชีวิตด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าอำนวยประโยชน์แก่ผู้คนที่จะได้รับพระพรเหล่านั้นเป็นมรดกในชีวิต “อนาคต.” แน่นอน นี่เป็นแนวทางดีที่สุดที่จะพบความสุข! โปรดจำไว้ว่า “โลกกับความปรารถนาของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่ผู้ที่ทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์.” (1 โยฮัน 2:17, ล.ม.) ฉะนั้น ไม่ว่าคุณเป็นบุตรหรือเป็นบิดามารดา, เป็นสามีหรือภรรยา, หรือเป็นผู้ใหญ่ตัวคนเดียวซึ่งมีลูกหรือไม่มีลูกก็ตาม จงมุ่งมั่นในการทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. แม้แต่เมื่อคุณอยู่ภายใต้ความกดดันหรือเผชิญหน้ากับความยุ่งยากแสนสาหัส อย่าลืมว่า คุณเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่. ด้วยเหตุนี้ ขอให้การกระทำของคุณนำความยินดีมาสู่พระยะโฮวา. (สุภาษิต 27:11) และขอให้ความประพฤติของคุณยังผลด้วยความสุขสำหรับคุณในขณะนี้และชีวิตนิรันดร์ในโลกใหม่ที่จะมาถึง!
-